Kitabı oku: «เสียงร้องแห่งเกียรติยศ », sayfa 2

Yazı tipi:

บทที่ สาม

ธอร์ขี่ม้าข้ามทุ่งคลุ้งฝุ่นนอกเขตราชสำนัก โดยมีเจ้าชายรีซ โอคอนเนอร์ เอลเด็นและคู่แฝดอยู่ด้านข้าง โครห์นวิ่งตามมาด้วย เจ้าชายเคนดริค คอล์ค บรอม และทหารกองยุวชนและกองรบเงินขี่ม้ามาพร้อมพวกเขา ยกทัพใหญ่ไปรับมือกับพวกแม็คคลาวด์ ทั้งหมดขี่ม้าไปพร้อมกัน เตรียมพร้อมที่จะปกป้องเมือง เสียงฝีเท้าม้าดังสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับฟ้าผ่า พวกเขาขี่ม้ามาตลอดทั้งวัน อาทิตย์ดวงที่สองเริ่มคล้อยต่ำอยู่บนฟ้า ธอร์แทบไม่อยากเชื่อว่าเขาขี่ม้าอยู่กับนักรบผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ในภารกิจทางทหารครั้งแรกของเขา ธอร์รู้สึกว่าได้รับการยอมรับเป็นหนึ่งในพวกเขา ที่จริงกองทหารยุวชนทั้งกองถูกเรียกตัวมาเป็นกองหนุน เพื่อนทุกคนขี่ม้าอยู่รอบตัวเขา กองทหารยุวชนมีจำนวนน้อยนิดเมื่อเทียบกับกองทัพหลวงหลายพันคน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ธอร์รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง

ธอร์รู้สึกถึงเป้าหมายที่กำลังผลักดันเขาอยู่ เขารู้สึกเป็นที่ต้องการ ชาวเมืองกำลังถูกพวกแม็คคลาวด์จับตัวไว้ และเป็นหน้าที่ของกองทัพนี้ที่จะช่วยปลดปล่อยพวกเขา เพื่อช่วยชาวเมืองให้พ้นจากชะตากรรมอันโหดร้าย ความสำคัญของสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ทิ้งน้ำหนักลงบนบ่าเขาราวกับมีชีวิต มันทำให้เขารู้สึกมีชีวิต

ธอร์รู้สึกปลอดภัยท่ามกลางชายเหล่านี้ แต่เขายังรู้สึกกังวลด้วย กองทัพนี้ประกอบด้วยชายชาตรีแต่นั่นก็หมายถึงพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์ด้วยเช่นกัน มันเป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นและความตาย เดิมพันนั้นสูงกว่าที่เขาเคยพบมากนัก ขณะที่ธอร์ขี่ม้าไปนั้น เขายื่นมือลงไปตามสัญชาตญาณและรู้สึกมั่นใจเมื่อพบหนังสติ๊กคู่ใจและดาบเล่มใหม่ของเขา ธอร์สงสัยว่าเมื่อวันนี้สิ้นสุดลงมันจะเปื้อนคราบโลหิตหรือไม่ หรือเขาเองจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่

ทันใดนั้นมีเสียงตะโกนดังขึ้น ดังสนั่นกว่าเสียงฝีเท้าม้า ขณะที่พวกเขาเลี้ยวไปตามโค้งและเห็นเมืองที่ถูกบุกยึดอยู่ตรงขอบฟ้าเป็นครั้งแรก ควันดำลอยคละคลุ้งเหนือเมือง กองทัพแม็คกิลกระตุ้นม้าเพื่อเร่งความเร็ว ธอร์ก็เตะม้าแรงขึ้น พยายามตามคนอื่นให้ทัน ขณะที่ทุกคนชักดาบออกมา ชูขึ้นและมุ่งหน้าไปยังเมืองนั้นด้วยความมุ่งมั่น

กองทัพมหึมาแยกออกเป็นกองย่อย ในกองของธอร์มีทหารสิบนาย ทหารยุวชน เพื่อนของเขา และคนอื่นอีกสองสามคนที่เขาไม่รู้จัก ด้านหน้ามีผู้บัญชาการอาวุโสนายหนึ่งขี่ม้านำอยู่ คนอื่น ๆ เรียกเขาว่า ฟอร์ก เป็นชายร่างสูงผอมเกร็ง ผิวเป็นรอยแผลเป็นจากฝีดาษ ผมสีเทาตัดสั้น ดวงตาโหลลึก กองทัพแยกออกเป็นกองย่อยและกระจายออกไปทุกทิศ

“กองนี้ตามข้ามา!” เขาสั่ง ชี้ไม้เท้ามาที่ธอร์และคนอื่น ๆ ให้แยกออกมาและตามเขาไป

กองของธอร์ทำตามคำสั่ง และขี่ม้าตามหลังฟอร์กไป แยกห่างออกจากกองทัพใหญ่ ธอร์หันกลับไปดูและสังเกตว่ากองของเขาแยกห่างออกมา มากที่สุด กองทัพหลวงเริ่มไกลออกไปมากขึ้น และขณะที่ธอร์กำลังสงสัยว่าพวกเขาจะถูกพาไปที่ไหน ฟอร์กก็ตะโกนขึ้น

“เราจะเข้าประจำที่ทางด้านข้างกองทัพของพวกแม็คคลาวด์!”

ธอร์และคนอื่น ๆ มองหน้ากันอย่างกังวลและตื่นเต้นขณะที่ขี่ม้าแยกออกไป จนกองทัพใหญ่หายลับไปจากสายตา

ในไม่ช้าพวกเขาก็ไปถึงภูมิประเทศใหม่ เมืองหายไปจากสายตา ธอร์ระวังตัว แต่ไม่มีวี่แววกองทัพของพวกแม็คคลาวด์

ในที่สุด ฟอร์กก็ชักม้าให้หยุดลงที่เนินเขาเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในป่าละเมาะ คนอื่นหยุดอยู่ด้านหลังเขา

ธอร์และเพื่อนมองดูฟอร์กพลางสงสัยถึงสาเหตุที่เขาหยุด

“ภารกิจของเราคือประจำการอยู่ที่นั่น” ฟอร์กอธิบาย “พวกเจ้ายังเป็นนักรบหนุ่ม เราจึงไม่อยากให้เผชิญความคุกรุ่นของสนามรบมากนัก พวกเจ้าต้องตั้งมั่นอยู่ที่นี่ ขณะที่กองทัพหลวงเคลื่อนผ่านเมืองไปเผชิญหน้ากับกองทัพแม็คคลาวด์ ทหารแม็คคลาวด์ไม่น่าจะมาทางนี้ พวกเจ้าน่าจะปลอดภัยที่นี่ กระจายกันประจำตำแหน่งและรออยู่ที่นี่จนกว่าเราจะสั่งเปลี่ยนแปลง ไปได้แล้ว!”

ฟอร์กกระตุ้นม้าให้วิ่งขึ้นเนินไป ธอร์และคนอื่นทำตามและขี่ม้าตามเขาไป กองทหารเล็ก ๆ นี้ขี่ม้าตัดทุ่งราบคละคลุ้งไปด้วยฝุ่น โดยไม่เห็นใครเลยในรัศมีการมองเห็น ธอร์รู้สึกผิดหวังที่ถูกถอนออกจากหน้าที่หลัก ทำไมพวกเขาถึงได้รับการปกป้องขนาดนี้?

ยิ่งขี่ม้าใกล้เข้าไป ธอร์ก็ยิ่งรู้สึกประหลาด เขาไม่รู้ว่าคืออะไร แต่สัมผัสที่หกของเขาบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เมื่อพวกเขาใกล้ถึงยอดเนิน ด้านบนมีป้อมโบราณเล็ก ๆ ตั้งอยู่ หอคอยสูงถูกทิ้งร้าง บางอย่างบอกให้ธอร์หันกลับไปดูด้านหลัง เมื่อเขาหันไปก็ต้องประหลาดใจที่เห็นฟอร์กค่อย ๆ ลงไปอยู่รั้งท้าย ห่างออกไปเรื่อย ๆ และขณะที่เขากำลังมองดูนั้น ฟอร์กก็หันหลังแล้วกระตุ้นม้าควบห่างออกไปโดยไม่บอกกล่าว

ธอร์ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ ฟอร์กจึงทิ้งพวกเขาไว้? โครห์นร้องครางอยู่ข้างเขา

ขณะที่ธอร์กำลังประมวลสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็ไปถึงยอดเนิน ไปถึงป้อมโบราณนั่น ไม่คาดคิดว่าจะได้พบอะไรนอกจากความรกร้างตรงหน้า

แต่แล้วกองทหารยุวชนกองเล็ก ๆ นี้กลับต้องชักม้าให้หยุดอย่างกะทันหัน ทุกคนชะงักนิ่งและตัวแข็งกับภาพที่เห็นตรงหน้า

ที่นั่นมีกองทัพของแม็คคลาวด์ทั้งกองกำลังรอพวกเขาอยู่

ทุกคนถูกนำมาติดกับดัก

บทที่ สี่

เจ้าหญิงเกว็นโดลีนรีบเสด็จไปตามถนนคดเคี้ยวในราชสำนัก อคอร์ธและฟุลตันแบกเจ้าชายก็อดฟรีย์ตามไปด้านหลัง ทรงแหวกทางผ่านชาวบ้านธรรมดาไป เจ้าหญิงตั้งพระทัยที่จะถึงหมอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็อดฟรีย์จะตายไม่ได้ ไม่ใช่หลังจากที่ผ่านเรื่องต่าง ๆ นี้มา และต้องไม่ใช่มาตายแบบนี้ เจ้าหญิงแทบจะทรงเห็นภาพรอยยิ้มพึงพอใจของกาเร็ธเมื่อรู้ข่าวการตายของก็อดฟรีย์ ซึ่งพระนางทรงตั้งพระทัยที่จะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เจ้าหญิงเกว็นทรงปรารถนาให้พระนางได้มาพบเจ้าชายก็อดฟรีย์เร็วกว่านี้

เมื่อเจ้าหญิงทรงเลี้ยวที่มุมหนึ่งและเสด็จเข้าไปสู่จัตุรัสของเมือง มีฝูงชนหนาแน่นเป็นพิเศษ เมื่อทรงเงยพระพักตร์ขึ้นและเห็นเฟิร์ธที่ยังคงถูกห้อยอยู่บนขื่อ มีบ่วงเชือกรัดแน่นอยู่รอบลำคอ ห้อยต่องแต่งให้ผู้คนมองดูด้วยความแปลกใจ เจ้าหญิงทรงเมินหนีด้วยสัญชาตญาณ มันเป็นภาพที่น่าสยดสยอง เป็นสิ่งย้ำเตือนถึงความชั่วร้ายของเชษฐา พระนางทรงรู้สึกว่าไม่อาจจะหนีพ้นเงื้อมมือของเชษฐาไม่ว่าจะไปที่ไหน ช่างน่าประหลาดเมื่อทรงคิดว่าพระนางเพิ่งจะคุยกับเฟิร์ธอยู่เมื่อวันก่อน แต่ตอนนี้เขาถูกแขวนคออยู่ที่นั่น ทรงอดรู้สึกไม่ได้ว่าความตายรายล้อมอยู่รอบพระวรกาย และกำลังมาหาพระนางเองด้วย

แม้เจ้าหญิงเกว็นจะทรงอยากเลือกใช้เส้นทางอื่น แต่พระนางรู้ดีว่าทางที่ผ่านจัตุรัสไปเป็นทางที่สั้นที่สุด พระนางไม่อาจยอมแพ้แก่ความกลัว ทรงบังคับตัวเองให้เสด็จผ่านขื่อคานี้ ผ่านร่างที่ห้อยต่องแต่งไป ขณะนั้นเอง พระนางทรงประหลาดพระทัยที่เห็นเพชรฆาตในชุดเสื้อคลุมสีดำขวางทางพระนางอยู่

ในตอนแรกทรงคิดว่าเขาจะสังหารพระนางด้วย จนเขาโค้งถวายคำนับ

“ฝ่าบาท” เขาทูลอย่างนอบน้อม โค้งศีรษะแสดงความเคารพ “ยังไม่มีรับสั่งว่าจะทำเช่นไรกับศพ ข้าไม่ได้รับแจ้งว่าควรจะฝังเขาให้เหมาะสมหรือโยนลงหลุมพวกคนอนาถา”

เจ้าหญิงเกว็นทรงหยุด รำคาญพระทัยที่ต้องจัดการเรื่องนี้ อคอร์ธและฟุลตันหยุดอยู่ด้านหลังพระนาง เจ้าหญิงทรงเงยพระพักตร์ขึ้น หรี่พระเนตรสู้แสงอาทิตย์ มองดูร่างที่ห้อยอยู่ห่างไปไม่กี่ฟุต พระนางกำลังจะขยับพระองค์ไปต่อและไม่สนพระทัยเขา เมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้น เจ้าหญิงทรงต้องการความยุติธรรมให้แก่พระบิดา

“โยนเขาลงไปในหลุมรวม” พระนางตรัส “ไม่ต้องทำป้าย ไม่ต้องมีพิธีฝังพิเศษอะไรให้เขา ข้าอยากให้ชื่อของเขาถูกลืมไปจากบันทึกประวัติศาสตร์”

เขาโค้งศีรษะรับ เจ้าหญิงทรงรู้สึกเหมือนได้ล้างแค้นอยู่เล็ก ๆ ถึงอย่างไรชายคนนี้ก็เป็นคนที่ลงมือปลงพระชนม์พระบิดา แม้พระนางจะทรงเกลียดความรุนแรง แต่จะไม่ทรงหลั่งน้ำตาให้เฟิร์ธ เจ้าหญิงทรงรู้สึกว่าดวงพระวิญญาณของพระบิดาทรงอยู่กับพระนางในตอนนี้ ชัดเจนยิ่งกว่าที่เคย และทรงรู้สึกได้ว่าพระองค์ทรงสงบสุข

“มีอีกเรื่องหนึ่ง” พระนางตรัสต่อ เพชรฆาตชะงัก “เอาศพลงมาตอนนี้เลย”

“ตอนนี้หรือฝ่าบาท?” เพชรฆาตทูลถาม “แต่ราชาทรงมีรับสั่งให้แขวนไว้ไม่มีกำหนด”

เจ้าหญิงเกว็นส่ายพระพักตร์

“เดี๋ยวนี้” เจ้าหญิงทรงย้ำ “นั่นเป็นรับสั่งใหม่” พระนางทรงปด

เพชรฆาตถวายคำนับแล้วรีบไปตัดเชือกนำศพลงมา

เจ้าหญิงเกว็นรู้สึกสาแก่ใจขึ้นมาอีก พระนางทรงไม่สงสัยเลยว่าราชากาเร็ธจะต้องคอยดูศพของเฟิร์ธจากหน้าต่างตลอดวัน และการที่เอาศพเขาลงนั้นจะต้องทำให้กริ้ว และเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นเช่นที่ทรงวางแผนไว้เสมอไป

เจ้าหญิงกำลังจะทรงผละจากไปเมื่อทรงได้ยินเสียงร้องแหลมสะดุดหู พระนางทรงหันกลับไป เงยพระพักตร์ขึ้นมอง ทรงเห็นเอสโตฟีลีสเกาะอยู่เหนือขื่อคา เจ้าหญิงทรงยกพระหัตถ์ขึ้นป้องแสงอาทิตย์ พยายามให้แน่พระทัยว่าไม่ได้ตาฝาด เอสโตฟีลีสร้องดังขึ้นอีก แล้วกางปีกออกก่อนจะหุบ

เจ้าหญิงเกว็นทรงรู้สึกว่านกตัวนี้เป็นสื่อนำดวงพระวิญญาณของพระบิดา ที่แม้จะยังไม่สงบสุข แต่ก็ใกล้เข้าไปอีกขั้น

พระนางทรงเกิดความคิดขึ้นมาทันที เจ้าหญิงทรงผิวปากและยื่นพระพาหาออกไปข้างหนึ่ง เอสโตฟีลีสโฉบลงมาจากขื่อและเกาะที่ข้อพระกรของเจ้าหญิงเกว็น นกตัวนี้หนัก กรงเล็บของมันจิกลงไปในพระฉวีของเจ้าหญิง

“ไปหาธอร์” พระนางทรงกระซิบสั่งเจ้านก “หาเขาให้พบในสนามรบ ปกป้องเขา ไป!” เจ้าหญิงทรงตะโกนพลางยกพระพาหาขึ้น

พระนางทอดพระเนตรเอสโตฟีลีสกระพือปีกและทะยานสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ทรงภาวนาให้มันได้ผล มีปริศนาบางอย่างเกี่ยวกับนกตัวนี้ โดยเฉพาะการที่มันเชื่อมโยงกับธอร์ เจ้าหญิงเกว็นทรงรู้ว่าอะไรก็เป็นไปได้

เจ้าหญิงทรงดำเนินต่อไป รีบเสด็จไปตามถนนคดเคี้ยวตรงไปยังกระท่อมของหมอ ทุกคนผ่านประตูโค้งหนึ่งในหลายประตู เพื่อมุ่งหน้าออกนอกเมือง พระนางรีบเสด็จไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทรงทำได้ พลางภาวนาให้ก็อดฟรีย์อดทนได้นานพอจนได้รับความช่วยเหลือ

อาทิตย์ดวงที่สองเริ่มคล้อยต่ำตอนที่พวกเขาปีนขึ้นไปตามเนินเขาเล็ก ๆ แถบชานเมือง และกระท่อมของหมอเริ่มปรากฏให้เห็น เป็นกระท่อมห้องเดียวธรรมดา ผนังทำจากดินสีขาว มีหน้าต่างเล็ก ๆ อยู่ด้านละหนึ่งบาน ประตูโค้งบานเล็กด้านหน้าทำจากไม้โอ๊ค บนหลังคามีพืชหลากชนิดหลากสีห้อยลงมารอบกระท่อม ซึ่งล้อมไว้ด้วยสวนสมุนไพรแผ่อยู่โดยรอบ ดอกไม้หลากสีสันและขนาดทำให้กระท่อมหลังนี้ดูราวกับตั้งอยู่กลางเรือนต้นไม้

เจ้าหญิงเกว็นทรงวิ่งไปที่ประตูและกระแทกที่เคาะหลายครั้ง ประตูเปิดออก หมอหลวงยืนทำหน้าตกใจที่เห็นพระนาง

อิลเลพราเป็นหมอหลวงมาตลอดชีวิตของนาง และเห็นเจ้าหญิงมาตั้งแต่พระนางทรงเริ่มหัดเดิน ถึงกระนั้นนางก็ยังดูสาว ที่จริงแทบจะดูไม่แก่กว่าเจ้าหญิงเกว็นเลย ผิวพรรณของนางเปล่งปลั่งผ่องใส ขับดวงตาสีเขียวมีเมตตา ซึ่งทำให้นางดูแทบจะมีอายุไม่เกินสิบแปดปี เจ้าหญิงทรงรู้ว่านางแก่กว่านั้นมาก รูปลักษณ์ของนางนั้นหลอกตา และทรงรู้ว่าอิลเลพราเป็นคนที่ฉลาดและเก่งที่สุดที่พระนางเคยพบ

อิลเลพราหันไปดูเจ้าชายก็อดฟรีย์และเข้าใจสถานการณ์ในทันที ความรื่นเริงหายไปเมื่อนางเบิกตากว้างด้วยความกังวล ตระหนักถึงความเร่งด่วน นางแทรกผ่านเจ้าหญิงออกมาแล้วรีบไปหาเจ้าชายก็อดฟรีย์ วางมือลงที่พระนลาฏ แล้วขมวดคิ้ว

“พาพระองค์เข้าไปข้างใน” นางสั่งชายทั้งสองอย่างเร่งร้อน “รีบเร็วเข้า”

อิลเลพราเข้าไปด้านใน พลางเปิดประตูออกกว้าง พวกเขาตามนางเข้าไปติด ๆ เจ้าหญิงเกว็นเสด็จตามเข้าไป ทรงก้มพระเศียรเมื่อผ่านประตูเตี้ย แล้วทรงปิดประตูตามหลัง

ด้านในนั้นแสงน้อยกว่า พระนางต้องใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อปรับสายพระเนตร ก่อนจะเห็นว่าภายในกระท่อมยังเหมือนที่ทรงจำได้สมัยที่ทรงพระเยาว์ กระท่อมหลังเล็ก สะอาด สว่าง และเต็มไปด้วยต้นไม้ สมุนไพรและยาหลากหลายตำรับ

“วางพระองค์ที่นั่น” อิลเลพราสั่งชายทั้งสอง น้ำเสียงจริงจังเช่นที่เจ้าหญิงทรงเคยได้ยิน “บนเตียงที่มุมห้องนั่น ถอดฉลองพระองค์กับฉลองพระบาทออก แล้วออกไปได้”

อคอร์ธและฟุลตันทำตามที่สั่ง ขณะที่พวกเขากำลังจะรีบออกไปด้านนอก เจ้าหญิงทรงคว้าแขนอคอร์ธไว้

“ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก” พระนางตรัสสั่ง “ใครก็ตามที่ลงมือกับก็อดฟรีย์ อาจจะยังต้องการโอกาสจัดการเขา หรือข้าอีกก็ได้”

อคอร์ธพยักหน้าแล้วออกไปพร้อมฟุลตัน ก่อนจะปิดประตู

“ทรงเป็นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว?” อิลเลพราถามอย่างเร่งร้อน ไม่หันมามองเจ้าหญิงเกว็นขณะที่คุกเข่าอยู่ข้างเจ้าชายก็อดฟรีย์ แล้วเริ่มตรวจพระกร พระนาภีและพระศอ

“ตั้งแต่เมื่อคืน” เจ้าหญิงเกว็นตรัสบอก

“เมื่อคืน!” อิลเลพราทวนคำ ส่ายศีรษะด้วยความกังวล นางตรวจอาการเงียบ ๆ อยู่นาน สีหน้าหม่นหมองลง

“พระอาการไม่ดีเลย” นางทูลขึ้นในที่สุด

อิลเลพราวางฝ่ามือลงบนพระนลาฏอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นางหลับตาลง สูดหายใจเข้ายาว เกิดความเงียบหนักอึ้งปกคลุมไปทั่วห้อง เจ้าหญิงเกว็นทรงเริ่มลืมเรื่องเวลาไป

“ยาพิษ” อิลเลพรากระซิบขึ้นในที่สุด นางยังคงหลับตา ราวกับกำลังอ่านอาการของเจ้าชายด้วยการซึมซับ

เจ้าหญิงเกว็นทรงประหลาดพระทัยเสมอกับความเชี่ยวชาญของนาง อิลเลพราไม่เคยผิดเลยสักครั้งในชีวิต นางสามารถช่วยชีวิตคนไว้ได้มากกว่าที่กองทัพสามารถทำได้เสียอีก เจ้าหญิงทรงสงสัยว่ามันเป็นทักษะที่เรียนรู้ได้หรือว่าสืบทอดมาทางสายโลหิต เพราะมารดาของอิลเลพราก็เป็นหมอ รวมถึงยายของนางด้วย แต่ขณะเดียวกันอิลเลพราก็ใช้เวลาทุกนาทีที่ตื่นอยู่ในชีวิตไปกับการศึกษาสูตรยาและการรักษา

“เป็นยาพิษที่มีฤทธิ์ร้ายแรงมาก” อิลเลพราทูลต่อด้วยความมั่นใจ “ยาพิษที่ข้าแทบจะไม่เคยพบ มันเป็นยาพิษที่ราคาสูงมาก ใครก็ตามที่คิดจะปลงพระชนม์รู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ เหลือเชื่อมากที่จะทรงพระชนม์ชีพอยู่ได้ เจ้าชายทรงแข็งแรงมากกว่าที่เราคิด”

“เขาได้มันมาจากพระบิดา” เจ้าหญิงเกว็นตรัส “ทรงแข็งแรงเหมือนวัว ราชาแม็คกิลทุกพระองค์ทรงเป็นเช่นนั้น”

อิลเลพราเดินข้ามห้องไปแล้วผสมสมุนไพรหลายชนิดบนเขียงไม้ สับและบดมัน แล้วเติมของเหลวลงไปผสม ได้ยาบดสีเขียวข้น นางเทใส่ฝ่ามือแล้วรีบกลับมาที่ข้างพระวรกายเจ้าชายก็อดฟรีย์ ทายานั้นลงที่พระศอ ใต้พระพาหา และบนพระนาฏ เมื่อทำเสร็จนางเดินกลับไปอีกครั้ง เพื่อหยิบแก้วแล้วเทของเหลวหลายชนิดลงไป ทั้งสีแดง สีน้ำตาลและสีม่วง เกิดฟองผุดและเสียงซ่าขณะที่ของเหลวผสมกัน อิลเลพราใช้ช้อนไม้ยาวคนให้เข้ากัน แล้วรีบกลับมาหาเจ้าชายก็อดฟรีย์และแตะยาที่ริมพระโอษฐ์

เจ้าชายก็อดฟรีย์ไม่ขยับพระองค์ อิลเลพราจึงเอื้อมไปจับด้านหลังพระเศียรและใช้ฝ่ามือยกขึ้น บังคับให้ยาไหลเข้าไปในพระโอษฐ์ แม้ยาส่วนมากจะไหลเลอะพระปรางทั้งสองข้าง และบางส่วนก็ไหลลงไปในพระศอ

อิลเลพราเช็ดยาจากพระโอษฐ์และต้นพระหนุ ก่อนจะผละห่างออกมาแล้วถอนหายใจ

“เขาจะรอดไหม?” เจ้าหญิงเกว็นตรัสถามด้วยความหวาดกลัว

“อาจจะ” นางทูลตอบอย่างหม่นหมอง “ข้าให้ยาทุกอย่างที่มีแล้ว แต่มันอาจจะไม่เพียงพอ ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้ว”

“ข้าจะช่วยอะไรได้บ้าง?” เจ้าหญิงเกว็นตรัสถาม

นางหันมามองเจ้าหญิง

“ทรงช่วยสวดภาวนาเพื่อเจ้าชาย คืนนี้จะต้องเป็นคืนที่ยาวนานแน่ ๆ”

บทที่ ห้า

เจ้าชายเคนดริคทรงไม่เห็นค่าว่าเสรีภาพที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร จนกระทั่งวันนี้ ช่วงเวลาที่ทรงถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินนั้นได้เปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อชีวิตของพระองค์ ตอนนี้พระองค์ทรงเห็นค่าของสิ่งเล็กน้อยทั้งหลาย สัมผัสของแสงอาทิตย์ สายลมที่พัดพระเกศา และการได้อยู่ภายนอกนี้ เจ้าชายทรงควบม้าตะบึงไป รู้สึกถึงพื้นโลกเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วด้านล่าง ได้กลับมาทรงฉลองพระองค์ชุดเกราะ ได้จับอาวุธอีกครั้ง และได้ทรงม้าเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนทหารทำให้พระองค์ทรงรู้สึกราวกับถูกยิงออกจากปืนใหญ่ และทรงรู้สึกชะล่าใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เจ้าชายเคนดริคทรงหมอบลงต่ำเพื่อให้ลู่ไปกับสายลม แอทมี สหายสนิทควบม้าอยู่ด้านข้าง ทรงซาบซึ้งกับโอกาสที่ได้ร่วมต่อสู้กับเพื่อนพ้อง ได้มีโอกาสร่วมศึกครั้งนี้ ทรงอยากช่วยปลดปล่อยบ้านเกิดจากการยึดครองของพวกแม็คคลาวด์ และให้พวกมันชดใช้ในสิ่งที่ทำ เจ้าชายทรงเร่งควบม้าไปหาการเข่นฆ่า แม้จะทรงรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพระองค์ ไม่ใช่พวกแม็คคลาวด์ แต่เป็นอนุชาของพระองค์เอง ราชากาเร็ธ เจ้าชายเคนดริคไม่มีวันยกโทษให้ที่เขาสั่งคุมขังพระองค์ ป้ายสีว่าพระองค์เป็นผู้ลอบปลงพระชนม์พระบิดา จับตัวพระองค์ไปต่อหน้าเพื่อนทหาร และพยายามที่จะประหารพระองค์ด้วย เจ้าชายทรงต้องการล้างแค้น แต่เมื่อพระองค์ยังไม่มีโอกาสนั้น อย่างน้อยที่สุดก็ในวันนี้ พระองค์จะเอาคืนจากพวกแม็คคลาวด์ก่อน

เมื่อเจ้าชายเคนดริคกลับมาที่ราชสำนักอีกครั้ง เมื่อนั้นพระองค์จะจัดการทุกสิ่ง จะทรงทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อปลดอนุชาลงจากบัลลังก์และสถาปนาเจ้าหญิงเกว็น ผู้เป็นขนิษฐาขึ้นปกครองแทน

พวกเขาเข้าไปใกล้เมืองที่ถูกปล้นสะดม กลุ่มควันดำขนาดใหญ่ม้วนตัวพุ่งมาหาพวกเขา เจ้าชายเคนดริคสูดควันฉุนเข้าไป ทรงเสียพระทัยที่ต้องมาเห็นเมืองในอาณาจักรแม็คกิลเป็นเช่นนี้ หากพระบิดายังอยู่ เรื่องนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้น หากกาเร็ธไม่ได้เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ เรื่องนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นเช่นกัน มันเป็นความอัปยศและรอยด่างบนเกียรติยศแห่งราชวงศ์แม็คกิลและกองรบเงิน เจ้าชายเคนดริคทรงภาวนาว่าพวกเขาไม่ได้มาช่วยชาวบ้านเหล่านี้ช้าเกินไป ทรงขอให้แม็คคลาวด์ไม่ได้อยู่ที่นี่นานเกินไป และขอให้มีคนบาดเจ็บล้มตายไม่มากนัก

เจ้าชายทรงกระตุ้นม้าแรงขึ้น แล้วควบนำหน้าคนอื่น ๆ ไป ขณะที่ทุกคนบุกตะลุยเข้าไปเหมือนกับฝูงผึ้ง มุ่งหน้าผ่านประตูเมืองที่เปิดอยู่ ทุกคนควบม้าผ่านเข้าไป เจ้าชายเคนดริคทรงชักดาบออกมา เตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับกองทัพแม็คคลาวด์เมื่อเข้าไปในเมือง พระองค์ทรงตะโกนโห่ร้องขึ้น พร้อมกับคนอื่น ๆ รอบพระวรกาย และเกร็งรับการปะทะ

แต่เมื่อพระองค์ผ่านประตูเมืองเข้าไปยังจัตุรัสที่เต็มไปด้วยฝุ่น เจ้าชายกลับต้องประหลาดพระทัยกับภาพที่ทรงเห็น ไม่มีอะไรเลย โดยรอบมีสิ่งที่บ่งบอกถึงการบุกโจมตี การทำลายล้าง ไฟไหม้ บ้านเรือนถูกปล้นสะดม ศพกองพะเนิน และสตรีหลายคนล้มลุกคลุกคลาน พวกสัตว์ถูกฆ่าตาย และมีรอยโลหิตบนกำแพง มันคือการสังหารหมู่ กองทัพแม็คคลาวด์เข่นฆ่าชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ เรื่องนี้ทำให้เจ้าชายเคนดริคทรงคลื่นเหียน พวกมันขี้ขลาดตาขาว

แต่สิ่งที่ทำให้ทรงประหลาดพระทัยระหว่างที่ทรงม้าไปนั้นคือไม่มีพวกแม็คคลาวด์ให้เห็นเลย เจ้าชายเคนดริคไม่เข้าพระทัย เหมือนกับทั้งกองทัพเคลื่อนพลหายไปอย่างตั้งใจ ราวกับพวกมันรู้ว่ากองทัพของพระองค์กำลังมา เปลวไฟยังลุกไหม้อยู่ เห็นได้ชัดว่าพวกมันตั้งใจจุดขึ้น

เจ้าชายเคนดริคทรงเริ่มเข้าใจลาง ๆ ว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนลวง กองทัพแม็คคลาวด์ต้องการหลอกให้กองทัพแม็คกิลมาที่นี่

แต่เพื่ออะไรล่ะ?

เจ้าชายเคนดริคทรงหันไปมองโดยรอบทันที พยายามมองหาว่ามีใครหายไป หรือมีกองพลไหนถูกลวงไปทางอื่นหรือไม่ พระหทัยว้าวุ่นกับสิ่งที่เพิ่งเข้าใจ ความคิดว่านี่อาจจะเป็นแผนการเพื่อปิดล้อมทหารกองพลหนึ่ง เพื่อลอบโจมตีพวกเขา เจ้าชายทรงมองหาไปทุกที่เพื่อหาว่าใครหายไป

แล้วพระองค์ก็คิดออก มีคนหนึ่งหายไป เด็กรับใช้ของพระองค์

ธอร์

บทที่ หก

ธอร์นั่งอยู่บนหลังม้า ที่บนยอดเนิน มีเพื่อนทหารยุวชนคนอื่นและโครห์นอยู่ข้าง ๆ กำลังมองไปยังภาพอันน่าตกใจตรงหน้า กองทัพแม็คคลาวด์นั่งอยู่บนหลังม้ามหาศาลและแผ่ไปไกลจนสุดสายตากำลังรอพวกเขาอยู่ ธอร์และเพื่อนถูกหลอก ฟอร์กต้องตั้งใจพาพวกเขามาที่นี่ และหักหลังพวกเขา แต่ทำไมกัน?

ธอร์กลืนน้ำลาย มองไปยังกองทหารที่ดูเหมือนจะเป็นมัจจุราชของพวกเขา

กองทัพแม็คคลาวด์บุกเข้าใส่ธอร์และเพื่อนพลางโห่ร้องดังกึกก้อง พวกมันอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ร้อยหลา และกำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ธอร์หันมองข้ามไหล่ แต่ไม่เห็นกำลังเสริมเลย พวกเขาอยู่กันเพียงลำพัง

ธอร์รู้ว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตั้งมั่นอยู่ที่นี่ บนเนินเขาเล็ก ๆ ข้างป้อมปราการที่ถูกทิ้งร้างนี้ พวกเขาไม่มีโอกาสเลย และไม่มีทางที่จะชนะ แต่หากจะต้องพ่ายแพ้ เขาก็ขอพ่ายแพ้อย่างกล้าหาญและเผชิญหน้ากับพวกมันอย่างลูกผู้ชาย กองทหารยุวชนสอนเขามาเช่นนั้น การหนีไม่ใช่ทางเลือก ธอร์เตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความตาย

ธอร์หันไปมองหน้าเพื่อน ๆ เขาเห็นว่าทุกคนเองก็หน้าซีดเผือดด้วยความกลัว มองเห็นความตายในสายตาของเพื่อน ๆ แต่ด้วยเกียรติยศของพวกเขา ทุกคนจึงยังคงกล้าหาญ ไม่มีใครผงะหรือขยับถอยหนี แม้แต่ม้าของพวกเขาก็ยังผยอง ทหารยุวชนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว พวกเขาเป็นยิ่งกว่าเพื่อน การฝึกร้อยวันหล่อหลอมทุกคนให้เป็นดุจพี่น้อง ไม่มีใครทิ้งใคร ทุกคนได้ปฏิญาณแล้วและถือมั่นในเกียรติยศ ซึ่งสำหรับทหารยุวชน เกียรติยศนั้นศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าสายโลหิต

“ท่านทั้งหลาย ข้าเชื่อว่าเรามีการต่อสู้รออยู่เบื้องหน้า” เจ้าชายรีซทรงประกาศอย่างช้า ๆ พลางเอื้อมพระหัตถ์ลงไปชักพระแสงดาบขึ้นมา

ธอร์คว้าหนังสติ๊กขึ้น อยากจะจัดการศัตรูให้ได้มากที่สุดก่อนที่พวกมันจะมาถึงตัวพวกเขา โอคอนเนอร์ถือหอกสั้นของเขา ขณะที่เอลเด็นเงื้อหลาว คอนวอลยกค้อนขว้างขึ้นมา และคอนเวนถืออีเต้อ ส่วนเด็กหนุ่มคนอื่นจากกองทหารยุวชนที่ร่วมกลุ่มอยู่ด้วย ซึ่งธอร์ไม่รู้จักพวกเขา ก็ชักดาบออกมาและยกโล่ขึ้น ธอร์รู้สึกถึงความกลัวในบรรยากาศและเขาเองก็กลัวเช่นกัน เมื่อทัพม้านับร้อยกำลังพุ่งตะบึงเข้าใส่ เมื่อทหารแม็คคลาวด์โห่ร้องราวกับจะให้ดังถึงสวรรค์ เสียงดังราวกับสายฟ้ากำลังจะฟาดใส่พวกเขา ธอร์รู้ว่าพวกเขาต้องวางกลยุทธ์ แต่เขาไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร

โครห์นส่งเสียงคำรามอยู่ข้างธอร์ เขาดึงความกล้าหาญมาจากมัน มันไม่ร้องครางหรือเหลียวหลังเลยสักครั้ง ที่จริงมันทำขนตั้งแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ราวกับจะเผชิญหน้ากับศัตรูเพียงลำพัง ธอร์รู้ว่าโครห์นคือสหายร่วมรบที่ไว้ใจได้

“เจ้าคิดว่าคนอื่น ๆ จะมาช่วยพวกเราไหม?” โอคอนเนอร์ถามขึ้น

“ไม่ทันหรอก” เอลเด็นตอบ “พวกเราถูกฟอร์กหลอก”

“แต่ทำไมกันเล่า?” เจ้าชายรีซตรัสถาม

“ข้าเองก็ไม่รู้” ธอร์ทูลตอบ พลางขี่ม้าไปข้างหน้า “แต่ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีว่ามันต้องเกี่ยวกับข้า ข้าคิดว่ามีบางคนอยากให้ข้าตาย”

ธอร์รู้สึกว่าคนอื่น ๆ หันมามองที่เขา

“เพราะอะไร?”

ธอร์ยักไหล่ เขาไม่รู้แต่ แต่สะดุดใจบางอย่างว่ามันน่าจะเกี่ยวกับเล่ห์เพทุบายทั้งหลายแหล่ในราชสำนัก เกี่ยวกับการลอบปลงพระชนม์ราชาแม็คกิล เป็นไปได้ว่าจะเป็นฝีมือราชากาเร็ธ พระองค์อาจจะทรงคิดว่าธอร์เป็นเสี้ยนหนาม

ธอร์รู้สึกไม่ดีที่ทำให้เพื่อนทุกคนตกอยู่ในอันตราย แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ที่เขาทำได้มีเพียงพยายามปกป้องทุกคนไว้

ธอร์พร้อมแล้ว เขาร้องตะโกนขึ้นแล้วกระตุ้นม้าให้พุ่งทะยาออกไป นำหน้าคนอื่น ๆ เขาจะไม่รอให้พวกมันเข้ามาหา จะไม่รอความตายอยู่ที่นี่ ธอร์จะลงมือเป็นคนแรก และอาจจะดึงความสนใจไปจากพี่น้องคนอื่น ให้โอกาสพวกเขาได้หนีหากพวกเขาต้องการ หากเขาจะต้องจบชีวิตลงที่นี่ เขาจะเผชิญกับมันอย่างไม่หวาดกลัวและมีเกียรติ

แม้ธอร์จะสั่นกลัวอยู่ภายในแต่เขาก็ไม่แสดงออกมา เขาควบม้าห่างคนอื่นออกไปเรื่อย ๆ พุ่งลงเนินเขาไปหากองทัพที่กำลังใกล้เข้ามา โครห์นพุ่งทะยานตามเขาไปไม่ห่าง

ธอร์ได้ยินเสียงตะโกนด้านหลัง เพื่อนทหารยุวชนของเขากำลังควบม้าตามมา ห่างออกไปไม่ถึงยี่สิบหลา ทุกคนควบม้าพลางโห่ร้องสู้ศึก ธอร์ยังคงนำอยู่ด้านหน้า แต่ก็รู้สึกดีที่มีเพื่อนคอยหนุนอยู่ด้านหลัง

กองพลย่อยของกองทัพแม็คคลาวด์แยกตัวออกมาจากทัพใหญ่ น่าจะมีราวห้าสิบนาย กำลังพุ่งเข้าเผชิญหน้ากับธอร์ พวกมันอยู่ห่างไปราวหนึ่งร้อยหลาและกำลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ธอร์คว้าหนังสติ๊กขึ้นมาใส่กระสุน แล้วยิงออกไป เขาเล็งที่คนนำหน้า เป็นนักรบร่างใหญ่สวมเกราะแผงอกสีเงิน ธอร์เล็งได้อย่างแม่นยำ เขายิงโดนคอหอย ช่วงระหว่างรอยต่อของแผ่นเกราะ ชายคนนั้นตกจากหลังม้า หล่นลงไปบนพื้นตรงหน้าคนอื่น ๆ

ขณะที่เขาล้มไปนั้น ม้าของเขาก็ล้มไปด้วย ทำให้ม้าที่ตามหลังมาสิบกว่าตัวล้มระเนระนาด ทหารที่ขี่พวกมันมากระเด็นล้มหน้ากระแทกพื้น

ก่อนที่พวกนั้นจะตอบโต้ได้ทัน ธอร์ก็หยิบลูกกระสุนเม็ดต่อไปขึ้นมาวางเข้าที่แล้วยิงออกไป เขายิงเข้าเป้าอีกครั้ง โดนทหารคนหนึ่งที่ขี่ม้านำมา เข้าที่ขมับตรงจุดที่โผล่ให้เห็นจากกระบังหน้าที่ยกขึ้น ทำให้ทหารแม็คคลาวด์หล่นลงจากหลังม้า กระแทกเข้าใส่ทหารอีกหลายคน ทำให้ล้มกันเหมือนโดมิโน

ขณะที่ธอร์ควบม้าไปนั้น มีหลาวพุ่งผ่านศีรษะเขาไป ตามด้วยหอก ค้อนและอีเต้อ ทำให้เขารู้ว่าพี่น้องของเขากำลังมาช่วย ทุกคนเล็งได้เข้าเป้าเหมือนกัน อาวุธของพวกเขาจัดการทหารแม็คคลาวด์ได้ถึงตาย หลายคนหล่นจากหลังม้าแล้วกระแทกเข้ากับคนอื่น ๆ จนพากันล้มไปด้วย

ธอร์ดีใจที่ได้เห็นว่าพวกเขาจัดการศัตรูได้หลายสิบคนแล้ว หลายคนก็โดนอาวุธเข้าอย่างจัง บางคนก็สะดุดม้าที่ล้ม กองพลย่อยของแม็คคลาวด์ที่มีราวห้าสิบคน ตอนนี้ลงไปนอนกองคลุกฝุ่นอยู่บนพื้น

แต่กองทัพแม็คคลาวด์นั้นกล้าแข็ง ตอนนี้พวกมันโต้ตอบกลับมา เมื่อธอร์เข้าไปใกล้ราวสามสิบหลา หลายคนขว้างอาวุธเข้าใส่เขา ค้อนขว้างพุ่งเข้าใส่ใบหน้าธอร์ แต่เขาสามารถหลบได้ทันในนาทีสุดท้าย มันลอยหวือเฉียดหูเขาไปเพียงนิ้วเดียว มีหอกพุ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว แต่ธอร์ก็หลบไปทางอื่นได้ ปลายหอกครูดผ่านเกราะของเขาไปอย่างฉิวเฉียด อีเต้อถูกขว้างใส่หน้าธอร์ เขายกโล่ขึ้นกันไว้ได้ มันกระแทกปักเข้ากับโล่ของเขา ธอร์เอื้อมไปดึงมันออกแล้วขว้างกลับไปหาเจ้าของ เขาเล็งโดนที่หน้าอกของศัตรู มันทะลุผ่านเสื้อเกราะเข้าไป ทำให้ชายคนนั้นร้องออกมาก่อนจะหล่นลงจากหลังม้าขาดใจตาย

ธอร์ยังคงควบม้าไปข้างหน้า เขาพุ่งเข้าใส่กองทหารมหาศาล ตรงเข้าหาคลื่นทหารแม็คคลาวด์และเตรียมพร้อมรับความตาย เขาชูดาบขึ้นพลางโห่ร้องสู้ศึก เพื่อนทหารยุวชนด้านหลังก็ทำเช่นเดียวกัน

เสียงอาวุธกระทบกัน เมื่อปะทะเข้าใส่กัน นักรบร่างใหญ่คนหนึ่งพุ่งเข้าหาธอร์ พลางยกขวานเล่มใหญ่ขึ้นฟันเข้าใส่ศีรษะของธอร์ เขาก้มหลบ คมขวานเหวี่ยงผ่านศีรษะเขาไป และเฉือนเข้าที่ท้องของนักรบคนนั้นขณะที่ขี่ม้าผ่านไป ทำให้เขาร้องออกมาก่อนจะหล่นลงจากหลังม้า ขณะที่ตกลงไปเขาทำขวานหลุดจากมือ มันกระเด็นลอยหมุนติ้วเข้าใส่ม้าของพวกแม็คคลาวด์ มันร้องออกมาพลางเผ่นโผน สะบัดคนขี่หล่นไปใส่ทหารอื่นอีกหลายคน

ธอร์ยังคงบุกตะลุยเข้าใส่กองทหารหนาแน่นของแม็คคลาวด์ที่มีนับร้อย เขาแหวกผ่านเข้าไป ขณะที่ศัตรูคนแล้วคนเล่าเหวี่ยงอาวุธเข้าใส่เขา ทั้งดาบ ขวาน และกระบอง ซึ่งเขาใช้โล่กันไว้ได้หรือหลบพ้น ทั้งโต้กลับ ก้มหลบไปมา พลางควบม้าผ่านไป ธอร์เคลื่อนไหวได้เร็วมาก เขาคล่องแคล่วเกินไปสำหรับพวกศัตรู ซึ่งพวกมันไม่ได้คาดคิดไว้เลย แม้จะมีกองทัพมหึมา แต่ก็ไม่เร็วพอที่จะหยุดธอร์ได้

เสียงโลหะปะทะกันดังขึ้นรอบตัวธอร์ เมื่ออาวุธฟาดฟันเข้าใส่เขาจากทุกทิศทุกทาง เขากันไว้ได้ด้วยโล่และดาบ แต่เขาก็ไม่สามารถหลบได้ทั้งหมด ธอร์ถูกดาบฟันเข้าที่ไหล่จนร้องออกมา โลหิตไหลซึม โชคดีที่แผลไม่ลึก และไม่ได้ทำให้เขาหมดทางสู้ ธอร์ยังคงโต้กลับ

ธอร์ต่อสู้ด้วยสองมือท่ามกลางวงล้อมของทหารแม็คคลาวด์ ในไม่ช้าการฟาดฟันก็เบาบางลงเมื่อเพื่อนทหารยุวชนคนอื่น ๆ เข้ามาร่วมวง เสียงโลหะกระทบกันดังมากขึ้นเมื่อทหารแม็คคลาวด์ต่อสู้กับเด็กหนุ่มจากกองทหารยุวชน ดาบปะทะกับโล่ หอกพุ่งใส่ม้า หลาวแทงเข้าใส่ชุดเกราะ พวกเขากำลังต่อสู้กับอยู่ทุกรูปแบบ เสียงร้องตะโกนดังขึ้นจากทั้งสองฝั่ง

กองยุวชนได้เปรียบตรงที่พวกเขาเป็นกองกำลังขนาดเล็กที่ต่อสู้ได้คล่องแคล่ว พวกเขาทั้งสิบคนอยู่ท่ามกลางกองทัพขนาดใหญ่ที่เคลื่อนไหวช้า มีบริเวณที่เป็นขอขวดซึ่งทหารแม็คคลาวด์ไม่สามารถบุกเข้าถึงตัวพวกเขาได้พร้อมกัน ธอร์เองกำลังสู้อยู่กับทหารสองหรือสามคนพร้อมกัน ไม่มากกว่านั้น พี่น้องคนอื่นที่อยู่ด้านหลังก็ช่วยป้องกันเขาจากการโจมตีจากด้านหลัง

เมื่อศัตรูคนหนึ่งเห็นจังหวะที่ธอร์ไม่ระวังตัว เหวี่ยงคทาตุ้มเหล็กเข้าใส่ศีรษะธอร์ โครห์นคำรามแล้วกระโจนสูงขึ้นไปบนอากาศ งับข้อมือของเขาไว้แล้วกัดขาด โลหิตกระจายไปทั่ว ทำให้ทหารคนนี้เสียจังหวะก่อนที่ลูกตุ้มเหล็กจะฟาดเข้าใส่กระโหลกของธอร์

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ชัดเจน ขณะที่ธอร์ต่อสู้ ฟาดฟันและปัดป้องไปทุกทิศทุกทาง ใช้ทักษะฝีมือที่มีอยู่ทั้งหมดในการป้องกัน โจมตี และคุ้มครองพี่น้องทหารยุวชนของเขา และปกป้องตัวเองด้วย เขาดึงการฝึกที่ยาวนานเหมือนไม่สิ้นสุดมาใช้ด้วยสัญชาตญาณ ทั้งการถูกโจมตีจากรอบด้าน ในสถานการณ์ต่าง ๆ จนมันกลายเป็นธรรมชาติสำหรับเขา พวกนั้นฝึกเขามาอย่างดี ซึ่งธอร์รู้สึกว่าสามารถรับมือได้ เขายังคงกลัวแต่รู้สึกว่าสามารถควบคุมมันได้

ขณะที่ธอร์ต่อสู้อยู่นั้น แขนทั้งสองข้างเริ่มล้า บ่าเขาเริ่มอ่อนแรง คำพูดของคอล์คดังขึ้นในหัว

ศัตรูของเจ้าจะไม่ต่อสู้ตามวิถีของเจ้า เจ้าจะต้องสู้ตามวิถีของมัน การต่อสู้ของเจ้ากับของคนอื่นมันไม่เหมือนกัน

ธอร์เห็นทหารตัวเตี้ยล่ำสันคนหนึ่งยกโซ่หนามไว้ด้วยสองมือ และเหวี่ยงเข้าใส่ด้านหลังพระเศียรของเจ้าชายรีซ ซึ่งพระองค์ไม่ทรงรู้ตัวว่าอีกอึดใจเดียวก็จะทรงสิ้นพระชนม์

ธอร์กระโจนลงจากหลังม้า กระแทกเข้าใส่ทหารศัตรูก่อนที่มันจะทันเหวี่ยงโซ่ แล้วพากันหล่นลงไปกระแทกพื้นท่ามกลางฝุ่นฟุ้ง ธอร์กลิ้งไปหลายตลบจนจุก ขณะที่ม้าศึกย่ำอยู่รอบตัว เขาปล้ำกับศัตรูอยู่บนพื้น ขณะที่นักรบฝั่งศัตรูกำลังจะใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างจิ้มเข้าที่ลูกตาของธอร์ เขาได้ยินเสียงร้องแหลมขึ้นทันที และเห็นเอสโตฟีลีสบินโฉบลงมาและจิกตาทหารคนนั้นก่อนที่มันจะทันทำร้ายธอร์ มันร้องออกมา ยกมือขึ้นกุมดวงตาไว้ ขณะที่ธอร์ถองเข้าใส่อย่างแรง จนมันกระเด็นพ้นไปจากตัวเขา

ก่อนที่ธอร์จะมีโอกาสชื่นชมกับชัยชนะ เขารู้สึกว่าโดนเตะอย่างแรงเข้าที่ท้องจนหงายท้องไป เมื่อมองขึ้นไปก็เห็นทหารคนหนึ่งถือค้อนศึกอันใหญ่ เหวี่ยงเข้าใส่หน้าอกเขา

ธอร์กลิ้งหลบ ค้อนเหวี่ยงหวือผ่านเขาไป กระแทกจมลงไปในดินจนถึงด้าม เขารู้ว่ามันกระแทกเขาจนถึงตายได้

โครห์นกระโจนใส่ทหารคนนี้ แล้วฝังเขี้ยวเข้าที่ข้อศอก ทหารแม็คคลาวด์ต่อยใส่โครห์นหลายครั้ง แต่มันก็ไม่ยอมปล่อย พลางส่งเสียงขู่ จนในที่สุดมันก็กัดแขนเขาขาดออก ทหารแม็คคลาวด์ร้องโหยหวนแล้วล้มลงบนพื้น

ทหารอีกคนก้าวมาข้างหน้าและเหวี่ยงดาบใส่โครห์น แต่ธอร์กลิ้งตัวไปพร้อมใช้โล่ป้องกันไว้ได้ เขาตัวสั่นไปทั้งตัวจากแรงปะทะ และช่วยชีวิตโครห์นไว้ได้ ขณะที่ธอร์คุกเข่าอยู่กับพื้น เขากลายเป็นเป้านิ่ง ทหารชักม้าพุ่งเข้าใส่เขา ย่ำไปบนตัวเขาจนล้มหน้าคว่ำ กีบเท้าม้าทำให้รู้สึกเหมือนกระดูกหักไปทั้งตัว

ทหารแม็คคลาวด์หลายคนกระโดดลงมาล้อมธอร์ไว้ พลางรุกเข้าใส่

ธอร์รู้ว่าเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้กลับไปอยู่บนหลังม้าในตอนนี้ ขณะที่ธอร์นอนอยู่บนพื้นนั้น หัวเขาลั่นด้วยความเจ็บปวด เขามองเห็นจากหางตาว่าเพื่อน ๆ กำลังต่อสู้และกำลังเสียเปรียบ เด็กหนุ่มคนหนึ่งในกองยุวชนที่เขาไม่รู้จักส่งเสียงร้องแหลมออกมา ธอร์เห็นเขาถูกแทงเข้าที่หน้าอกแล้วหล่นลงไปตาย

เพื่อนจากกองทหารยุวชนอีกคนหนึ่งที่ธอร์ไม่รู้จัก เข้ามาช่วยสังหารศัตรูด้วยหอก แต่ในนั้นเองทหารแม็คคลาวด์คนหนึ่งโจมตีเขาจากทางด้านหลัง โดยแทงมีดสั้นเข้าที่ลำคอของเขา เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องแล้วหล่นจากหลังม้าลงไปตาย

ธอร์พลิกตัวมาเงยหน้าขึ้นไปดูก็เห็นทหารราวครึ่งโหลกำลังรุมเขา คนหนึ่งยกดาบขึ้นแทงลงมาที่หน้าเขา แต่ธอร์ยกโล่ขึ้นกันไว้ได้ เสียงโลหะกระทบกันดังลั่นในหู ทหารอีกคนยกเท้าขึ้นเตะโล่ของธอร์กระเด็นหลุดไปจากมือ

คนที่สามเหยียบข้อมือของธอร์แล้วตรึงไว้กับพื้น

คนที่สี่ก้าวมาพร้อมกับยกหอกขึ้น เตรียมจะแทงลงมาที่อกของธอร์

ธอร์ได้ยินเสียงคำราม และเห็นโครห์นกระโจนใส่ทหารคนนั้น จนล้มลงกับพื้น แต่ทหารอีกคนก้าวเข้ามาพร้อมกระบอง ฟาดเข้าใส่โครห์น โดนมันเข้าอย่างแรงจนมันส่งเสียงครางหงิง ก่อนจะล้มลงบนพื้นแล้วนิ่งไป

ทหารอีกคนก้าวมาข้างหน้า ยืนค้ำอยู่เหนือธอร์ และยกสามง่ามขึ้น พลางทำหน้าถมึงทึง ครั้งนี้ไม่มีใครจะมาหยุดมันได้แล้ว มันกำลังจะแทงสามง่ามเข้าใส่ใบหน้าของธอร์ ขณะที่ธอร์นอนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างอับจนหนทาง เขาอดคิดไม่ได้ว่าในที่สุดวาระสุดท้ายของเขาก็มาถึงแล้ว