Kitabı oku: «เส้นทางแห่งวีรบุรุษ », sayfa 4
บทที่ 5
ราชาแม็คกิลประทับอยู่ที่ท้องพระโรงด้านบนในปราสาท ในท้องพระโรงส่วนพระองค์ ห้องที่ทรงใช้เพื่อกิจการส่วนพระองค์ ประทับอยู่บนบัลลังก์ที่ทำจากไม้แกะสลัก ทอดเนตรมองโอรสธิดาทั้งสี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า เคนดริค โอรสองค์โตสุด อายุยี่สิบห้าปี เป็นนักรบที่ดีและเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง ในบรรดาลูกทุกคน เขาเหมือนราชาแม็คกิลมากที่สุด ซึ่งนั่นช่างน่าแปลก เพราะเคนดริคเป็นลูกนอกสมรสที่เกิดกับหญิงนางหนึ่ง ที่ทรงลืมไปนานแล้ว ราชาแม็คกิลทรงเลี้ยงเคนดริคร่วมกับโอรสธิดาองค์อื่น ๆ แม้ในตอนแรกราชินีจะคัดค้าน โดยทรงยื่นเงื่อนไขว่าพระราชาจะต้องไม่มอบบัลลังก์ให้เขา ในตอนนี้เงื่อนไขนั้นกลับทำให้พระองค์ทรงเจ็บปวด เนื่องจากเคนดริคเป็นชายหนุ่มที่ดีที่สุดที่ทรงรู้จัก เป็นลูกชายที่พ่อควรภาคภูมิใจ ไม่มีใครเหมาะสมจะเป็น
รัชทายาทมากไปกว่าเขา
คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กาเร็ธ เป็นบุตรคนที่สองแต่เป็นบุตรคนแรกที่เกิดจากการสมรส เขาอายุยี่สิบสามปี ผอมบางมีแก้มตอบและดวงตาโตสีน้ำตาลลอกแลก บุคลิกของเขาแตกต่างจากพี่ชายคนโตของเขาเป็นอย่างมาก กาเร็ธไม่มีลักษณะใด ๆ เหมือนเคนดริคเลย พี่ชายเป็นคนตรงไปตรงมา ส่วนกาเร็ธจะซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงไว้ เคนดริคเป็นคนที่มีความภาคภูมิและทระนง แต่กาเร็ธเป็นคนไม่ซื่อสัตย์และไม่จริงใจ พระราชาแม็คกิลทรงเจ็บปวดที่รู้สึกไม่ชอบโอรสของตนเอง และทรงพยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะแก้นิสัยของโอรส แต่หลังจากช่วงหนึ่งในสมัยวัยรุ่นของโอรส ทรงตัดสินพระทัยว่านิสัยของโอรสคนนี้ถูกชะตากำหนดมาแล้ว ทั้งเจ้าเล่ห์เพทุบาย หิวอำนาจและทะเยอทะยานในทุกทางที่ผิด นอกจากนี้พระองค์ยังทรงรู้ว่ากาเร็ธไม่มีความรักให้แก่สตรี และยังมีชายคู่รักมากมาย หากเป็นราชาองค์อื่นคงจะขับไล่โอรสเช่นนี้ไปแล้ว แต่ราชาแม็คกิลทรงใจกว้างกว่านั้น นี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่รักลูกชาย พระองค์ไม่ได้ตัดสินเขาจากเรื่องนี้ สิ่งที่พระองค์นำมาตัดสินคือความชั่วร้าย และเจ้าเล่ห์ของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงมองข้ามไปไม่ได้
บุตรคนที่ยืนต่อจากกาเร็ธคือธิดาคนที่สอง เกว็นโดลีน นางเพิ่งอายุครบสิบหกปี เป็นสตรีที่งดงามที่สุดที่พระองค์เคยทอดพระเนตร และลักษณะนิสัยของนางยิ่งโดดเด่นกว่ารูปโฉม นางจิตใจดี มีเมตตาและเอื้อเฟื้อ เป็นสตรีที่ดีที่สุดที่ทรงรู้จัก ในเรื่องนี้นางมีคุณสมบัติเทียบเท่าเคนดริค นางมองดูราชาแม็คกิลด้วยความรักที่บุตรีจะมีต่อบิดา และพระองค์ทรงรู้สึกได้ถึงความจงรักภักดีในแววตานั้น ทรงภาคภูมิใจในตัวธิดาคนนี้ยิ่งกว่าโอรสทั้งหลายเสียอีก
คนที่ยืนต่อจากเกว็นโดลินคือ รีส โอรสคนเล็กสุด เด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีที่มีความทระนงและมุ่งมั่น กำลังจะเติบโตเป็นชายหนุ่ม ราชาแม็คกิลทรงพอใจอย่างยิ่งที่โอรสได้เข้าร่วมในกองทหารยุวชน และทรงมองออกแล้วว่าเขาจะเติบโตเป็นผู้ชายแบบไหน พระองค์ไม่สงสัยเลยว่าวันหนึ่ง รีสจะเป็นโอรสที่ดีที่สุดของพระองค์ เป็นผู้ปกครองที่ดี แต่ยังไม่ถึงเวลานั้น เขายังเด็กเกินไป ยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก
พระราชาแม็คกิลทรงสับสนขณะที่สำรวจตรวจตราโอรสธิดาทั้งสี่ ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทรงภาคภูมิใจระคนผิดหวัง ทั้งขุ่นเคืองและรำคาญ เนื่องจากมีบุตรอีกสองคนหายไป ลูอันดา ธิดาองค์โต ซึ่งแน่นอนว่าคงกำลังเตรียมตัวสำหรับงานอภิเษก และการที่นางกำลังจะแต่งงานออกเรือนไปอยู่อาณาจักรอื่น นางจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกรัชทายาท แต่ก็อดฟรีย์ โอรสคนกลางวัยสิบแปดปี ก็หายตัวไป ราชาแม็คกิลทรงหน้าแดงด้วยความกริ้ว
นับตั้งแต่ก็อดฟรีย์ยังเป็นเด็ก เขาก็แสดงความไม่สนใจในราชบัลลังก์ เป็นที่เห็นได้ชัดเจนมาตลอดว่าเขาไม่สนใจและไม่ต้องการ และที่ราชาแม็คกิลทรงเสียพระทัยอย่างยิ่งคือการที่ก็อดฟรีย์เลือกที่จะทิ้งชีวิตไปในโรงเหล้ากับเพื่อนเสเพล ทำให้ราชวงศ์ต้องอับอายและไร้เกียรติ เขาเป็นคนเกียจคร้าน นอนเกือบทั้งวัน เวลาที่เหลือก็หมดไปกับการดื่มเหล้า ใจหนึ่งทรงโล่งอกที่เขาไม่มาอยู่ที่นี่ด้วย แต่อีกใจทรงรู้สึกว่าเป็นการดูหมิ่น ที่จริงทรงคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว และได้ส่งทหารออกไปค้นหาตามโรงเหล้าแล้วนำตัวกลับมา พระราชาประทับอยู่เงียบ ๆ รอคอยจนกระทั่งพวกทหารกลับมาถึง
ประตูไม้โอ๊คบานหนาเปิดออก และพวกทหารเดินแถวเข้ามา ลากก็อดฟรีย์เข้ามาด้วย ทหารดันเขาออกมา ก็อดฟรีย์ถลาเข้ามาในห้องเมื่อทหารปิดประตูตามหลัง
พี่น้องคนอื่น ๆ หันไปมอง ก็อดฟรีย์สกปรก เหม็นกลิ่นเหล้าคลุ้ง ไม่โกนหนวดเคราและแต่งตัวไม่เรียบร้อย เขายิ้มกลับมา อวดดีเหมือนเช่นเคย
“สวัสดี พระบิดา” ก็อดฟรีย์ทูล “นี่ข้าพลาดความสนุกอะไรไปหรือเปล่า?”
“เจ้าจะต้องยืนอยู่กับพี่น้องของเจ้า แล้วรอให้ข้าพูด ถ้าหากเจ้าไม่ทำ พระเจ้าช่วยด้วยเถอะ ข้าจะล่ามเจ้าไว้ในคุกใต้ดินรวมกับนักโทษคนอื่น ๆ และเจ้าจะไม่ได้เห็นอาหาร...เหล้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง.. ไปอีกสามวัน
เต็ม ๆ”
ก็อดฟรีย์มองพระบิดาอย่างท้าทาย ในแววตานั้น ราชาแม็คกิลทรงเห็นขุมพลังล้ำลึก บางอย่างที่เหมือนกับพระองค์ ประกายบางอย่างที่วันหนึ่งจะมีประโยชน์กับก็อดฟรีย์เป็นอย่างดี หากเขาสามารถก้าวข้ามสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไปได้
ก็อดฟรีย์ยังดื้อดึงจนถึงที่สุด เขารออยู่ถึงสิบวินาทีก่อนจะยอมทำตามในที่สุด ค่อย ๆ เดินทอดน่องไปรวมกับคนอื่น
ราชาแม็คกิลทอดพระเนตรโอรสธิดาทั้งห้าที่ยืนอยู่ตรงหน้า ลูกนอกสมรส คนเบี่ยงเบน ขี้เมา ธิดา และโอรสคนเล็ก เป็นส่วนผสมที่ประหลาด และพระองค์ไม่อยากเชื่อว่าพวกเขาทั้งหมดถือกำเนิดมาจากพระองค์ ตอนนี้ ในวันอภิเษกของธิดาคนโต เป็นภาระที่พระองค์ต้องเลือกรัชทายาทจากทั้งห้าคนนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม มันช่างเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ พระองค์ยังทรงแข็งแรงและสามารถปกครองต่อไปได้อีกสามสิบปี รัชทายาทที่ทรงเลือกในวันนี้อาจจะไม่ได้ขึ้นครองราชย์อีกหลายทศวรรษ เป็นธรรมเนียมที่น่ารำคาญสำหรับพระองค์ มันอาจจะเหมาะสมดีในรัชสมัยของพระบิดาของพระองค์ แต่ตอนนี้ไม่เห็นประโยชน์
พระราชาทรงกระแอม
“พวกเรามารวมกันในวันนี้ตามจารีตที่สืบต่อกันมา พวกเจ้ารู้ดีว่าวันนี้เป็นวันอภิเษกของธิดาคนโตของข้า ภาระจึงตกแก่ข้าที่จะต้องแต่งตั้งรัชทายาท ผู้ที่จะสืบราชบัลลังก์แห่งอาณาจักรนี้ หากข้าตาย ไม่มีผู้ใดเหมาะสมจะปกครองมากไปกว่าพระมารดาของพวกเจ้า แต่กฎมณเฑียรบาลระบุว่าผู้ที่ได้รับแต่งตั้งจึงสามารถสืบทอดราชบัลลังก์ได้ ดังนั้นข้าจึงต้องเลือก”
ราชาแม็คกิลทรงหยุดคิด เกิดความเงียบครอบคลุมไปทั่ว พระองค์ทรงรู้สึกถึงการรอคอย ทรงทอดพระเนตรดวงตาของพวกเขา และเห็นการแสดงออกที่แตกต่างกันไป ลูกนอกสมรสดูโล่งอก เขารู้ดีว่าจะไม่ถูกเลือก เจ้าคนเบี่ยงเบนตาวาวด้วยความทะเยอทะยาน ราวกับคิดว่าจะถูกเลือกอย่างแน่นอน เจ้าขี้เมามองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่สนใจอะไร ส่วนธิดามองมาด้วยความรัก รู้ดีว่านางไม่มีส่วนในเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็รักในบิดา เช่นเดียวกับโอรสคนเล็ก
“เคนดริค ข้าคิดเสมอว่าเจ้าเป็นลูกชาย แต่กฎทำให้ข้าไม่อาจมอบบัลลังก์ให้แก่คนที่ไม่มีสิทธิ์สมบูรณ์ตามกฎหมาย”
เคนดริคโค้ง “พระบิดา ข้าไม่เคยคาดหวังให้ทรงทำเช่นนั้น ข้าพอใจกับสิ่งที่มีแล้ว ได้โปรดอย่าให้เรื่องนี้ทำให้ต้องลำบากพระทัย”
ราชาทรงเจ็บปวดกับการตอบรับของเขา ทรงรู้สึกว่าเขามีความดีอย่างแท้จริง และยิ่งต้องการจะแต่งตั้งให้เขาสืบทอดราชบัลลังก์
“ทีนี้ก็เหลือพวกเจ้าอีกสี่คน รีส เจ้าเป็นเด็กหนุ่มที่ดี ดีที่สุดที่ข้าเคยพบ แต่เจ้ายังเด็กเกินไปที่จะมีส่วนในเรื่องนี้”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น พระบิดา” รีสทูลตอบ พร้อมคำนับเล็กน้อย
“ก็อดฟรีย์ เจ้าเป็นหนึ่งในโอรสสามคนที่ชอบด้วยกฎหมายของข้า แต่เจ้าเลือกที่จะทิ้งชีวิตไปใน
โรงเหล้า กับเรื่องโสมม เจ้าได้รับอภิสิทธิ์มากมายในชีวิต แต่เจ้ากลับปฏิเสธทุกสิ่ง หากข้าจะมีความผิดหวังอันยิ่งใหญ่ในชีวิต สิ่งนั้นก็คงเป็นเจ้า”
ก็อดฟรีย์หน้าบึ้งตึง ขยับตัวอย่างอึดอัด
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้น ข้าก็คงจะหมดธุระตรงนี้แล้ว ข้ากลับไปที่โรงเหล้าได้แล้ว ใช่ไหม พระบิดา?”
เขารีบโค้งคำนับอย่างล้อเลียน แล้วหันหลังเดินข้ามห้องไป
“กลับมาที่นี่!” ราชาแม็คกิลตวาด “เดี๋ยวนี้!”
ก็อดฟรีย์ยังคงเดินต่อ ไม่สนใจพระองค์ เขาเดินไปดึงประตูเปิดออก ทหารสองนายยืนอยู่ตรงนั้น
ราชาทรงกริ้ว ขณะที่ทหารมองพระองค์อย่างลังเล
แต่ก็อดฟรีย์ไม่ได้รอ เขาพุ่งตัวผ่านพวกนั้นไปยังโถงด้านนอก
“จับเขาไว้!” พระราชาตะโกน “แล้วพาไปให้พ้น อย่าให้ราชินีเห็นเขา ข้าไม่อยากให้แม่ต้องทุกข์ใจที่เห็นสภาพเขาในวันแต่งงานของธิดา”
“พะยะค่ะ ฝ่าบาท” พวกทหารทูล ปิดประตูแล้วรีบวิ่งตามเขาไป
พระราชาแม็คกิลประทับนั่ง หอบหายใจ พักตร์แดง พยายามสงบอารมณ์ เป็นครั้งที่พันที่ทรงสงสัยว่าทรงทำสิ่งใดไปจึงได้มีลูกเช่นนี้
พระองค์หันกลับมายังโอรสธิดาที่เหลือ ทั้งสี่มองมาที่บิดา คอยอยู่เงียบ ๆ พระราชาทรงหายใจเข้าลึก พยายามตั้งสมาธิ
“ตอนนี้ก็เหลือแค่สองคน” ทรงตรัสต่อ “และจากพวกเจ้าสองคนนี้ ข้าต้องเลือกหนึ่งคนเป็นรัชทายาท”
ราชาแม็คกิลหันไปหาธิดา
“เกว็นโดลิน นั่นคือเจ้า”
เกิดความเงียบไปทั่วห้อง ทุกคนดูตกตะลึง โดยเฉพาะเกว็นโดลิน
“ท่านตรัสถูกแล้วหรือ พระบิดา?” กาเร็ธทูลถาม “ท่านตรัสว่าเกว็นโดลินอย่างนั้นหรือ?”
“พระบิดา ข้ารู้สึกเป็นเกียรติ” เกว็นโดลินทูล “แต่ข้าไม่อาจรับได้ ข้าเป็นสตรี”
“ถูกแล้ว ไม่เคยมีสตรีขึ้นครองบัลลังก์ของแม็คกิล แต่ครั้งนี้ข้าได้ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนธรรมเนียม
เกว็นโดลิน เจ้าเป็นสตรีที่มีจิตใจดีและมีน้ำใจที่สุดที่ข้าเคยพบ เจ้ายังอายุน้อย แต่ด้วยประสงค์ของพระเจ้า ข้าจะยังไม่ตายในเร็ว ๆ นี้ และเมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าจะชาญฉลาดพอที่จะปกครองแผ่นดิน อาณาจักรนี้เป็นของเจ้า”
“แต่พระบิดา!” กาเร็ธทูลเสียงดัง หน้าซีดเผือด “ข้าเป็นโอรสคนโตตามกฎหมาย! ตามประวัติศาสตร์ของราชวงศ์แม็คกิล บัลลังก์จะตกแก่โอรสคนโต!”
“ข้าคือราชา” ราชาแม็คกิลตรัสอย่างขุ่นเคือง “และข้าเป็นผู้กำหนดกฎ”
“แต่นี่มันไม่ยุติธรรม!” กาเร็ธโอดครวญ “ข้าควรจะได้เป็นราชา ไม่ใช่น้องสาวของข้า ไม่ใช่สตรี!”
“หุบปากของเจ้าได้แล้ว เจ้าหนุ่ม!” ราชาแม็คทรงตวาด สั่นเทิ้มด้วยความกริ้ว “เจ้ากังขาการตัดสินใจของข้าอย่างนั้นหรือ?”
“นี่ข้าถูกมองข้ามไปเพราะสตรีอย่างนั้นหรือ? นั่นคือสิ่งที่พระองค์คิดกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าตัดสินใจแล้ว” ทรงตรัสตอบ “เจ้าจะต้องเคารพมัน แล้วทำตามอย่างเชื่อฟัง เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในอาณาจักรของข้า ตอนนี้พวกเจ้าออกไปได้แล้ว”
ทุกคนโค้งคำนับอย่างรวดเร็วแล้วรีบออกไป
แต่กาเร็ธหยุดอยู่ที่ประตู ไม่อาจพาตัวเองออกไป
เขาหันกลับมา เผชิญหน้ากับพระบิดาเพียงลำพัง
ราชาแม็คกิลทรงเห็นความผิดหวังในสีหน้าของเขา แน่นอนว่าเขาคาดหวังว่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็น
รัชทายาทในวันนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาต้องการที่จะรัชทายาทเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งไม่ได้ทำให้ราชาแม็คกิลประหลาดพระทัยเลย และนั่นคือเหตุผลสำคัญที่ไม่ทรงเลือกเขา
“ทำไมพระบิดาทรงเกลียดข้า?” เขาทูลถาม
“ข้าไม่ได้เกลียดเจ้า ข้าเพียงแต่เห็นว่าเจ้าไม่เหมาะที่จะปกครองอาณาจักร”
“เพราะอะไร?” กาเร็ธร้องถาม
“เพราะนั่นคือสิ่งที่เจ้าแสวงหา”
กาเร็ธหน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าราชาแม็คกิลมองเขาทะลุถึงเนื้อแท้ที่สุดของเขา พระราชาทอดพระเนตรและเห็นความเกลียดชังแผดเผาอยู่ในดวงตาของโอรส อย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้
กาเร็ธผลุนผลันออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีก แล้วกระแทกประตูตามหลัง
ราชาแม็คกิลทรงตัวสั่น ท่ามกลางเสียงสะท้อนก้อง พระองค์ยังจำแววตาของโอรสและรู้สึกถึงความเกลียดชังอย่างล้ำลึก ลึกยิ่งกว่าศัตรูของพระองค์เสียอีก ในช่วงขณะนั้น ทรงคิดถึงอาร์กอน คิดถึงคำพูดของเขาที่ว่าอันตรายนั้นอยู่ใกล้
เป็นไปได้ไหมว่ามันจะใกล้ถึงเพียงนี้?
บทที่ 6
ธอร์วิ่งจี๋ข้ามสนามกว้างภายในอัฒจันทร์ เขาวิ่งเร็วสุดชีวิต ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าของทหารยามวิ่งตามมาอย่างกระชั้นชิด พวกเขาวิ่งไล่ธอร์ข้ามสนามที่ทั้งร้อนและคลุ้งฝุ่น สบถด่าไปพลาง ตรงหน้าของเขามีสมาชิกกองทหารยุวชน และพวกเกณฑ์มาใหม่ยืนกระจายอยู่ เด็กหนุ่มหลายสิบคนเหมือนกันกับเขา เพียงแต่แก่กว่าและแข็งแรงกว่า พวกเขากำลังฝึกและถูกทดสอบหลาย ๆ อย่าง บางคนขว้างหอก บางคนพุ่งแหลน ส่วนหนึ่งกำลังฝึกจับทวน พวกเขาเล็งไปที่เป้าที่อยู่ห่างออกไป และแทบจะไม่พลาดเลย พวกนี้คือคู่แข่งของเขา ซึ่งดูน่าเกรงขาม
ท่ามกลางพวกเขามีอัศวินจริง ๆ อีกหลายสิบคน สมาชิกของกองรบเงินยืนล้อมเป็นครึ่งวงกลม กำลังดูการฝึก ประเมินและตัดสินว่าใครจะได้อยู่และใครจะถูกส่งกลับบ้าน
ธอร์รู้ว่าเขาจะต้องพิสูจน์ตัวเอง จะต้องทำให้คนพวกนี้ประทับใจ อีกไม่ช้าพวกทหารยามจะไล่เขาทัน หากมีโอกาสที่เขาจะสร้างความประทับใจได้ ก็ต้องเวลานี้ละ แต่อย่างไรกันเล่า? เขารีบคิดขณะที่วิ่งข้ามสนามไป ตั้งใจจะไม่ยอมถูกปฏิเสธ
ขณะที่ธอร์วิ่งตัดสนามไปนั้น เริ่มมีบางคนสังเกตเห็น พวกเกณฑ์มาบางคนหยุดแล้วหันมามองเขา เช่นเดียวกับพวกอัศวิน ในไม่ช้าธอร์รู้สึกว่าทุกคนหันมาสนใจเขา พวกเขาดูประหลาดใจ ธอร์รู้ว่าพวกเขาคงสงสัยว่าเขาเป็นใคร มาวิ่งอยู่ในสนาม โดยมีทหารยามสามนายวิ่งไล่กวด นี่ไม่ใช่วิธีสร้างความประทับใจที่ธอร์ต้องการ ตลอดทั้งชีวิต เขาฝันที่จะได้ร่วมกองทหารยุวชน แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาวาดภาพไว้ว่าจะเกิดขึ้น
ระหว่างที่ธอร์วิ่งไปพลางคิดใคร่ครวญหาวิธี ก็มีคนมาช่วยหาคำตอบให้ เด็กหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่ง พลเกณฑ์ใหม่ที่ตัดสินใจว่าจะใช้โอกาสนี้สร้างความประทับใจให้ตัวเองโดยการหยุดธอร์ ร่างกายสูงใหญ่ล่ำสันของเขาใหญ่กว่าธอร์เกือบสองเท่า เขายกดาบไม้ขึ้นขวางทางธอร์ ธอร์รู้ว่าเขาตั้งใจจะกระแทกธอร์ให้ล้ม เพื่อให้เป็นตัวตลกต่อหน้าคนอื่น ๆ และจะทำให้ตัวเองได้เปรียบพวกที่เกณฑ์มาใหม่คนอื่นมากขึ้น
นั่นทำให้ธอร์ไม่พอใจ แต่เขาไม่มีอะไรจะไปต่อกรกับเด็กหนุ่มคนนี้ได้ นี่ไม่ใช่การต่อสู้ของเขา แต่ธอร์ก็ตัดสินใจจะสู้ เพื่อจะได้มีโอกาสเหมือนกับคนอื่น ๆ
เมื่อเข้าไปใกล้ ธอร์ยิ่งไม่อยากเชื่อในขนาดตัวของเด็กหนุ่มคนนี้ เขาสูงตระหง่านอยู่เหนือธอร์ หน้าตาถมึงทึง มีปอยผมสีดำหนาคลุมหน้าผาก มีใบหน้าเหลี่ยม ขากรรไกรบึกบีนที่สุดที่ธอร์เคยเห็น เขาไม่เห็นทางที่จะต่อกรกับเด็กหนุ่มคนนี้ได้เลย
เด็กหนุ่มพุ่งเข้าหาธอร์พร้อมกับดาบไม้ ธอร์รู้ดีว่าหากเขาไม่รีบทำอะไร จะต้องถูกคว่ำลงไปกอง
แล้วสัญชาตญาณของเขาก็เข้าสั่งการ ธอร์หยิบหนังสติ๊กขึ้นมา ง้างแล้วยิงลูกหินไปที่มือของเด็กหนุ่มคนนั้น กระแทกดาบหลุดจากมือตอนที่เขากำลังเหวี่ยงดาบลงมาพอดี ดาบกระเด็นหลุดไปขณะที่เด็กหนุ่มส่งเสียงร้อง พลางกุมมือ
ธอร์ไม่ยอมเสียเวลา เขาพุ่งเข้าไป อาศัยโอกาสนี้กระโจนขึ้นไปในอากาศ และถีบเด็กหนุ่มคนนั้น ธอร์ใช้สองเท้ายันเข้าที่อกกว้าง แต่เด็กหนุ่มคนนั้นล่ำสันมากจนเหมือนเขาถีบเข้ากับต้นโอ๊ค เด็กหนุ่มผงะถอยไปไม่กี่นิ้ว ขณะที่ธอร์หล่นลงไปกองอยู่แทบเท้าเขา
นี่ท่าจะไม่ดีแล้ว ธอร์คิด ขณะหล่นกระแทกพื้นดังตุ้บ แก้วหูลั่น
เขาพยายามลุกขึ้นยืน แต่เด็กหนุ่มก้าวเข้ามาหา ยื่นมือมาคว้าหลังธอร์แล้วเหวี่ยงเขาลอยไป หน้ากระแทกพื้น
พวกเด็กหนุ่มคนอื่นล้อมวงกันรอบตัวทั้งคู่และส่งเสียงโห่ร้อง ธอร์หน้าแดง รู้สึกอับอาย
เขาพลิกตัวจะลุกขึ้น แต่เด็กหนุ่มคนนั้นเร็วกว่า เข้ามาอยู่เหนือตัวเขาแล้วกดธอร์ลงกับพื้น ก่อนที่ธอร์จะรู้ตัว มันก็กลายเป็นการแข่งขันมวยปล้ำไปแล้ว น้ำหนักของเด็กหนุ่มคนนั้นช่างมหาศาล
ธอร์ได้ยินเสียงตะโกนดังแว่ว ๆ จากพวกที่ล้อมวงอยู่ โห่ร้องอย่างกระหายเลือด ใบหน้าถมึงทึงของเด็กหนุ่มที่มองลงมาขณะยื่นมือออกมา หมายจะเอานิ้วโป้งจิ้มตาธอร์ เขาไม่อยากเชื่อเลย ดูเหมือนเด็กหนุ่มคนนี้อยากจะทำร้ายเขาอย่างจริงจัง นี่เขาอยากได้เปรียบคนอื่นขนาดนี้เชียวหรือ?
ในวินาทีสุดท้ายนั้น ธอร์หันหน้าหลบ มือของเด็กหนุ่มจึงพลาด กระแทกไปที่พื้นดิน ธอร์อาศัยจังหวะนั้นกลิ้งหลบออกมา
เขาลุกขึ้นยืน และหันไปเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มที่ยืนขึ้นเช่นเดียวกัน เขาพุ่งเข้าหา เหวี่ยงหมัดใส่หน้าธอร์ แต่ธอร์หลบได้ในวินาทีสุดท้าย ลมผ่านหน้าเขาไป เขารู้ว่าถ้าหมัดของเด็กหนุ่มโดนหน้าเขา กรามเขาต้องหักแน่ ๆ ธอร์ยืดตัวชกไปที่ท้องของเด็กหนุ่ม แต่แทบจะไม่มีผลอะไร มันเหมือนกับชกโดนต้นไม้
ก่อนที่ธอร์จะทันทำอะไรต่อ เด็กหนุ่มก็ศอกเข้าที่หน้า
ธอร์ผงะถอยหลัง เซถลาเพราะแรงกระแทก แรงเหมือนโดนค้อนฟาดจนหูลั่น
ขณะที่ธอร์โซเซ หอบหายใจ เด็กหนุ่มก็พุ่งเข้ามาอีก เตะเขาแรงที่หน้าอก ธอร์กระเด็นลอยไปกระแทกพื้น เด็กคนอื่น ๆ ส่งเสียงโห่ร้องยินดี
ธอร์มึนงง ลุกขึ้นนั่ง แต่เด็กหนุ่มก็พุ่งเข้าใส่อีกครั้ง เหวี่ยงหมัดชกเขาอีก กระแทกแรงเข้าที่หน้า คว่ำเขาลงไปนอนหงายหลังแน่นิ่งอีกครั้ง
ธอร์นอนอยู่อย่างนั้น ได้ยินเสียงโห่ร้องแว่วจากคนอื่น ๆ รู้สึกถึงรสเฝื่อนของเลือดที่ไหลจากจมูก และรอยแตกบนใบหน้า เขาครางด้วยความเจ็บปวด เมื่อลืมตาขึ้นมอง เขาเห็นเด็กหนุ่มหันหลังเดินกลับไปหา
เพื่อน ๆ ฉลองชัยชนะของเขา
ธอร์อยากจะยอมแพ้ เด็กหนุ่มคนนี้ตัวใหญ่มาก การพยายามจะต่อสู้ด้วยมันเปล่าประโยชน์ และเขาทนรับหมัดอีกไม่ไหวแล้ว แต่บางอย่างในตัวเขาผลักดัน ไม่ให้เขายอมแพ้ ไม่ใช่ต่อหน้าคนพวกนี้
อย่ายอมแพ้ ลุกขึ้น ลุกขึ้น
ธอร์รวบรวมกำลัง ครางออกมาขณะที่กลิ้งตัวแล้วยันตัวขึ้นบนมือและเข่า จากนั้นจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เขาเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม เลือดไหล ตาบวมปูดแทบมองไม่เห็น หอบหายใจแรง แล้วยกหมัดขึ้น
เด็กหนุ่มร่างยักษ์หันกลับมามองธอร์ เขาส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
“เจ้าควรจะนอนนิ่ง ๆ นะเจ้าหนู” เขาขู่ ขณะเริ่มเดินกลับมาหาธอร์
“พอได้แล้ว!” มีเสียงตะโกนขึ้น “เอลเด็น ถอยไป!”
อัศวินคนหนึ่งก้าวออกมายืนระหว่างพวกเขา ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เอลเด็นเข้ามาใกล้ธอร์ ฝูงชนหุบปากเงียบ ขณะที่มองดูอัศวิน เห็นได้ชัดว่าอัศวินคนนี้เป็นคนที่ต้องเคารพ
ธอร์เงยหน้าขึ้นมอง เห็นความน่าเกรงขามของอัศวินคนนี้ เขาอายุประมาณยี่สิบปี ตัวสูงมีไหล่กว้าง คางบึกบึน และมีผมสีน้ำตาลที่ตัดเล็มอย่างดี ธอร์รู้สึกชอบเขาขึ้นมาทันที ชุดดเกราะชั้นเลิศกับเสื้อเกราะที่ทำจากเงินขัดเงาของเขามีตราราชวงศ์ สัญลักษณ์นกเหยี่ยวซึ่งเป็นตราประจำราชวงศ์แม็คกิล ธอร์คอแห้งผาก เขายืนอยู่ต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ เขาแทบไม่อยากเชื่อ
“อธิบายมาสิ เจ้าหนู” เขาบอกธอร์ “ทำไมถึงบุกเข้ามาในสนามโดยไม่ได้รับเชิญ?”
ทันใดนั้นก่อนที่ธอร์จะทันตอบอะไร ทหารยามสามนายก็ฝ่าเข้ามาในวง คนที่นำหน้า หอบหายใจ ชี้นิ้วมาที่ธอร์
“มันขัดคำสั่งเรา!” ทหารยามตะโกน “ข้าจะล่ามมันแล้วพาไปไว้ที่คุกใต้ดิน!”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด!” ธอร์ประท้วง
“ตอนนี้เจ้าทำไหม?” ทหารยามตะคอก “บุกเข้ามาในเขตราชฐานโดยไม่ได้รับอนุญาต ใช่ไหม?”
“ที่ข้าต้องการคือโอกาสเท่านั้น!” ธอร์ตะโกน หันไปอ้อนวอนอัศวินตรงหน้าเขา คนที่เป็นเชื้อพระวงศ์ด้วย “ข้าต้องการโอกาสได้เข้าร่วมกองทหารยุวชน!”
“สนามฝึกนี้สำหรับคนที่ได้รับเชิญเท่านั้น เจ้าหนู” มีเสียงแหบพร่าดังขึ้น
นักรบคนหนึ่งก้าวเข้ามาในวง อายุราวห้าสิบปี รูปร่างใหญ่และกำยำ ศีรษะล้านเลี่ยนมีเคราเล็มสั้น และมีแผลเป็นพาดบนสันจมูก ดูเหมือนเขาเป็นนักรบอาชีพมาตลอดชีวิต และจากเครื่องหมายบนชุดเกราะ กับเข็มกลัดทองบนหน้าอก เขาน่าจะเป็นผู้บังคับบัญชาของคนอื่น ๆ หัวใจของธอร์เต้นเร็วเมื่อเห็นเขา ท่านแม่ทัพ
“ใต้เท้า ข้าไม่ได้รับเชิญ” ธอร์บอก “ข้อนั้นถูกต้อง แต่มันเป็นความฝันของข้ามาตลอดชีวิตที่จะมาที่นี่ สิ่งที่ข้าต้องการคือโอกาสที่จะได้แสดงให้ท่านเห็นว่าข้าทำอะไรได้บ้าง ข้าก็เก่งไม่แพ้พลที่เกณฑ์มาใหม่พวกนี้ ขอเพียงให้โอกาสข้าได้พิสูจน์สักครั้ง ได้โปรด การเข้าร่วมกองทหารยุวชนคือสิ่งที่ข้าเฝ้าฝันมาตลอด”
“สนามรบไม่ใช่ที่สำหรับนักฝัน เจ้าหนู” เสียงแหบตอบกลับมา “มันเป็นที่สำหรับนักสู้ กฎของเราไม่มีข้อยกเว้น พลเกณฑ์ใหม่ได้ถูกเลือกแล้ว”
แม่ทัพพยักหน้า แล้วทหารยามก็ก้าวเข้าหาธอร์ ดึงโซ่ตรวนออกมา
แต่ทันใดนั้นเอง อัศวินคนที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ก็ก้าวออกมาขวางไว้ พลางยกมือห้ามทหารยาม
“บางที โอกาสนี้อาจจะมีข้อยกเว้นได้” เขาบอก
ทหารยามมองเขาอย่างตกใจ เห็นได้ชัดว่าอยากจะพูดออกมา แต่ต้องยั้งปากไว้ด้วยความยำเกรง
“ข้าชื่นชมความมุ่งมั่นของเจ้า เจ้าหนู” อัศวินบอกต่อ “ก่อนที่เราจะไล่เจ้าไป ข้าอยากเห็นว่าเจ้าทำอะไรได้”
“แต่เจ้าชายเคนดริค เรามีกฎของเรา...” แม่ทัพทูล เห็นชัดว่าไม่พอใจ
“ราชวงศ์เป็นผู้กำหนดกฎ” เคนดริคตรัสบอกอย่างจริงจัง “และกองทหารยุวชนก็ขึ้นกับราชวงศ์”
“เราขึ้นกับพระราชา พระบิดาของท่าน ไม่ใช่ท่าน” แม่ทัพโต้ ดื้อดึงไม่แพ้กัน
บรรยากาศมึนตึง ความตึงเครียดแผ่ไปในอากาศ ธอร์แทบไม่เชื่อว่าเขาเป็นต้นเหตุ
“ข้ารู้จักพระบิดาดี รู้ว่าสิ่งใดที่ทรงต้องการ พระองค์จะทรงให้โอกาสเด็กหนุ่มคนนี้ และนั่นคือสิ่งที่เราจะทำ”
หลังจากครู่หนึ่งของช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด แม่ทัพยอมถอยในที่สุด
เจ้าชายเคนดริคหันไปหาธอร์ พระเนตรสีน้ำตาลที่จ้องมองเขาเขม็ง อยู่บนใบหน้าของเจ้าชายแต่ก็เป็นนักรบด้วย
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้ง” ตรัสบอกธอร์ “ดูซิว่าเจ้าจะโดนเป้านั้นหรือไม่”
เจ้าชายทรงชี้ไปที่กองฟางที่อยู่อีกฟากของสนาม มีเครื่องหมายสีแดงเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง มีหอกหลายอันปักอยู่ในกองฟางนั้น แต่ไม่มีอันไหนเข้าเป้าสีแดง
“หากเจ้าสามารถทำสิ่งที่ไม่มีเด็กหนุ่มคนไหนทำได้ ถ้าเจ้าสามารถขว้างโดนเป้านั่นจากตรงนี้ได้ ...เจ้าถึงจะได้เข้าร่วมกับพวกเรา”
เจ้าชายอัศวินทรงเขยิบหลบไปด้านข้าง ธอร์รู้สึกว่าสายตาทุกคู่จับจ้องที่เขา
ธอร์เห็นราวพาดหอก และมองดูพวกมันอย่างตั้งใจ มันทำจากวัสดุคุณภาพดีกว่าที่เขาเคยเห็น ทำจากไม้โอ๊คแข็ง มัดด้วยหนังสัตว์อย่างดี ใจเขาเต้นระทึกเมื่อก้าวไปข้างหน้า ใช้หลังมือเช็ดเลือดจากจมูก รู้สึกกังวลกว่าที่เคยเป็นมาในชีวิต เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับมอบภารกิจที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่เขาจะพยายาม
ธอร์ยื่นมือออกไปหยิบหอกขึ้นมาอันหนึ่ง ไม่ยาวและไม่สั้นเกินไป เขาลองชั่งน้ำหนักมันในมือ มันได้น้ำหนักและแข็งแรง ไม่เหมือนอันที่เขาเคยใช้ที่บ้าน รู้สึกเหมาะมือ เขารู้สึกว่าอาจจะ..แค่อาจจะขว้างไปเข้าเป้า อย่างไรก็ตาม การขว้างหอกเป็นทักษะที่เขาทำได้ดีที่สุด รองจากการยิงหนังสติ๊ก และการเที่ยวตะลอนไปตามป่าทำให้เขาผ่านเป้ามามากมาย เขามักจะเล็งโดนเป้าที่แม้แต่พวกพี่ชายก็ทำไม่ได้
ธอร์หลับตาและสูดหายใจลึก ถ้าเขาพลาด ก็คงจะถูกทหารยามตะครุบตัวแล้วลากไปขังคุก และโอกาสได้เข้าร่วมกองทหารยุวชนก็คงจะสูญไปตลอดกาล ทุกสิ่งที่เขาฝันถึงขึ้นอยู่กับช่วงเวลานี้เท่านั้น
เขาวิงวอนต่อพระเจ้าด้วยทุกสิ่งที่มี
ธอร์ลืมตา ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวอย่างไม่ลังเล เงื้อมือไปด้านหลัง แล้วขว้างหอกพุ่งออกไป
เขากลั้นหายใจขณะที่มองมันพุ่งไป
ได้โปรด พระเจ้า ได้โปรด
หอกพุ่งตัดไปในความเงียบสนิท ธอร์รู้สึกถึงสายตานับร้อยจับจ้องอยู่ที่มัน
หลังจากเนิ่นนานราวชั่วกัลป์ ก็มีเสียงหนึ่ง เสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของหอกที่พุ่งปักเข้าไปในฟาง ธอร์ไม่จำเป็นต้องมองด้วยซ้ำ เขารู้ เขาเพียงแค่รู้ว่ามันจะเข้าเป้าพอดีเผง มันเป็นความรู้สึกเมื่อหอกพ้นไปจากมือเขา องศาของข้อมือบอกเขาได้ว่าหอกจะเข้าเป้า
ธอร์กล้ามองและเห็นว่าเขาคิดถูก ด้วยความโล่งอก หอกปักอยู่กลางเครื่องหมายสีแดง มีหอกเพียงเล่มเดียวปักอยู่ เขาได้ทำในสิ่งที่ไม่มีพลเกณฑ์ใหม่คนไหนทำได้
ความเงียบอย่างตื่นตะลึงห้อมล้อมตัวเขา ขณะที่รู้สึกได้ว่าพลเกณฑ์ใหม่คนอื่น ๆ รวมทั้งบรรดาอัศวินต่างอ้าปากค้าง
ในที่สุด เจ้าชายเคนดริคก็ก้าวออกมาข้างหน้า ทรงตบบ่าธอร์แรง ๆ ด้วยความพอใจ และแย้มสรวลกว้าง
“ข้าคิดถูก” เจ้าชายตรัส “เจ้าจะได้อยู่!”
“อะไรกัน ฝ่าบาท!” ทหารยามร้องขึ้น “มันไม่ยุติธรรมเลย เจ้าเด็กนี่ไม่ได้รับเชิญมา!”
“เขาขว้างโดนเป้า นั่นเป็นการเชิญพอแล้วสำหรับข้า”
“เขายังเด็กและตัวเล็กกว่าคนอื่น ๆ มาก ที่นี่ไม่ใช่กองกำลังคนแคระ” แม่ทัพทูล
“ข้าขอเลือกทหารตัวเล็กที่สามารถขว้างโดนเป้า ดีกว่าเลือกพวกไม่เอาถ่านที่ทำไม่ได้” เจ้าชายอัศวินตรัสตอบ
“นั่นมันบังเอิญโชคดี!” เด็กหนุ่มตัวใหญ่ที่เพิ่งสู้กับธอร์ตะโกนขึ้น “ถ้าพวกเรามีโอกาสมากกว่านี้ เราก็ขว้างโดนเหมือนกัน!”
เจ้าชายอัศวินหันไปมองเด็กหนุ่มที่ตะโกนขึ้น
“อย่างนั้นหรือ?” ตรัสถาม “ถ้าอย่างนั้นข้าขอดูตอนนี้ได้ไหม? เรามาเดิมพันด้วยการอยู่ที่นี่ของเจ้าไหม?”
เด็กหนุ่มลังเล ก้มหน้าลงด้วยความละอาย เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการจะรับข้อเสนอนี้
“แต่เด็กคนนี้เป็นคนแปลกหน้า” แม่ทัพคัดค้านขึ้น “เราไม่รู้เลยว่าเขามาจากไหน”
“เขามาจากเขตที่ราบ” มีเสียงบอกดังขึ้น
คนอื่นหันไปมองหาผู้พูด แต่ธอร์ไม่จำเป็นต้องทำ เขาจำเสียงนี้ได้ เป็นเสียงที่ก่อกวนเขามาตลอดวัยเด็ก เป็นเสียงของเดรค พี่ชายคนโตของเขา
เดรคก้าวออกมาพร้อมกับน้องชายอีกสองคนของเขา มองมาที่ธอร์ด้วยสายตาไม่พอใจ
“ชื่อของเขาคือ ธอร์กริน แห่งเชื้อสายแม็คคลอยด์จากจังหวัดทางใต้ของอาณาจักรตะวันตก เขาเป็นน้องสุดท้องในบรรดาพี่น้องสี่คน เรามาจากบ้านหลังเดียวกัน เขาเลี้ยงแกะให้บิดาของพวกเรา!”
ทั้งกลุ่มเด็กหนุ่มและอัศวินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน
ธอร์หน้าแดงก่ำ เขาอยากจะตายเสียให้ได้ในตอนนี้ เขาไม่เคยอับอายเท่านี้มาก่อน สมกับที่เป็นพี่ชายของเขา ที่พรากเอาช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของเขาไป โดยทำอะไรก็ได้ที่จะเหยียบย่ำเขาจมดิน
“เขาเลี้ยงแกะอย่างนั้นหรือ?” แม่ทัพทวนคำ
“งั้นศัตรูของเราควรต้องระวังเขาให้ดี!” เด็กหนุ่มอีกคนตะโกนขึ้น
มีเสียงหัวเราะประสานกันขึ้นอีก และธอร์ยิ่งอับอายมากขึ้น
“พอได้แล้ว!” เจ้าชายเคนดริคตรัสเสียงดัง อย่างจริงจัง
เสียงหัวเราะค่อย ๆ จางหายไป
“ไม่ว่าเมื่อไร ข้าก็ขอเลือกคนเลี้ยงแกะที่ขว้างเข้าเป้า ดีกว่าพวกเจ้าทั้งโขยง ที่ดีแต่หัวเราะ แต่ทำอย่างอื่นไม่เป็น” เจ้าชายเคนดริคตรัสต่อ
พอสิ้นเสียงนั้น ก็เกิดความเงียบในกลุ่มเด็กหนุ่ม ไม่มีใครหัวเราะออกมาอีก
ธอร์รู้สึกขอบคุณเจ้าชายเคนดริค เขาปฏิญาณว่าจะตอบแทนบุญคุณทุกทางที่ทำได้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับธอร์ อย่างน้อยที่สุดชายผู้นี้ก็ช่วยกอบกู้เกียรติยศให้เขา
“เจ้าไม่รู้หรือ นี่ไม่ใช่วิถีของนักรบที่จะนินทาเพื่อน ยิ่งไปกว่านั้นคือครอบครัวของตัวเอง สายเลือดของตัวเอง?” เจ้าชายอัศวินถามเดรค
เดรคก้มหน้า ประหม่า เป็นเรื่องที่หาได้ยากที่ธอร์จะเห็นเขาไม่สบายใจ
แต่ดรอสส์ พี่ชายอีกคนของเขา ก้าวออกมาข้างหน้าแล้วกล่าวประท้วง “แต่ธอร์ไม่ได้ถูกเลือก พวกเราต่างหาก เขาแค่ตามพวกเรามาที่นี่”
“ข้าไม่ได้ตามเจ้ามา” ธอร์ยืนกราน เขาพูดขึ้นในที่สุด “ข้ามาเพื่อเข้ากองทหารยุวชน ไม่ใช่เพื่อพวกเจ้า”
“มันไม่สำคัญว่าเจ้ามาที่นี่ทำไม” แม่ทัพกล่าวอย่างรำคาญ ขณะก้าวมาข้างหน้า “เขาทำให้พวกเราเสียเวลา ถูกต้อง มันเป็นการขว้างหอกที่ดี แต่เขาก็ยังไม่สามารถเข้าร่วมได้ เขาไม่มีอัศวินสนับสนุน และไม่มีเด็กติดตามคนไหนเต็มใจจะจับคู่กับเขาด้วย”
“ข้าจะคู่กับเขาเอง” มีเสียงบอกขึ้น
ธอร์หมุนตัวไปพร้อมกับคนอื่น ๆ เขาประหลาดใจที่ได้เห็น เด็กหนุ่มอายุพอ ๆ กับเขา ยืนห่างออกไปไม่กี่ฟุต มีท่าทางคล้ายกันกับเขายกเว้นผมสีทองและดวงตาสีเขียว สวมชุดเกราะของราชวงศ์ที่สวยงามที่สุด เสื้อเกราะมีเครื่องหมายสีแดงและดำ เป็นเชื้อพระวงศ์อีกหนึ่งคน
“เป็นไปไม่ได้” แม่ทัพบอก “เชื้อพระวงศ์จะไม่จับคู่กับสามัญชน”
“ข้าจะทำสิ่งที่ข้าอยากทำ” เจ้าชายน้อยโต้กลับ “และข้าขอบอกว่าธอร์กรินจะเป็นคู่หูของข้า”
“ถึงแม้เราจะยินยอม” แม่ทัพทูล “มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เขาไม่มีอัศวินสนับสนุน”
“ข้าจะสนับสนุนเขาเอง” มีเสียงดังขึ้น
ทุกคนหันไปทางทิศต้นเสียง มีเสียงม้าเหยาะย่างเข้ามา
ธอร์หันไปเห็นอัศวินคนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า แต่งชุดเกราะสวยงามเป็นประกาย มีอาวุธเหน็บที่เอว เขาดูเปล่งประกาย เหมือนกำลังมองดูดวงอาทิตย์ ธอร์สามารถบอกได้จากกิริยา ท่าทางของเขาและสัญลักษณ์บนหมวกเหล็ก ว่าเขาแตกต่างจากคนอื่น ๆ เขาคือแชมเปี้ยน
ธอร์จำอัศวินคนนี้ได้ เขาเคยเห็นภาพวาดของชายคนนี้ และเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับเขา เขาคือ อีเร็ค ธอร์ไม่อยากเชื่อเลย อีเร็คเป็นอัศวินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรวงแหวน
“แต่ใต้เท้า ท่านมีเด็กติดตามอยู่แล้ว” แม่ทัพค้าน
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะมีสองคน” อีเร็คตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ มั่นใจ
เกิดความเงียบงันแผ่ไปทั่วกลุ่ม
“เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก” เจ้าชายเคนดริคตรัส “ธอร์กรินมีผู้สนับสนุนกับคู่หูแล้ว ปัญหาถูกจัดการหมดแล้ว ตอนนี้เขาได้เป็นสมาชิกของกองทหารยุวชนแล้ว”
“แต่ฝ่าบาททรงลืมข้า!” ทหารยามร้องขึ้น ขณะก้าวออกมา “ไม่มีข้อยกเว้นที่เด็กคนนั้นทำร้ายทหารของพระราชา และเขาจะต้องถูกลงโทษ จะต้องเกิดความยุติธรรม!”
“ความยุติธรรมต้องเกิดขึ้นแน่” เจ้าชายเคนดริคตรัสด้วยเสียงเฉียบขาด “แต่จะเป็นการตัดสินใจของข้า ไม่ใช่เจ้า”
“แต่ฝ่าบาท เขาต้องถูกขัง! ต้องทำให้เป็นเยี่ยงอย่าง”
“ถ้าเจ้ายังไม่หยุดพูด จะเป็นเจ้านั่นแหละที่จะต้องถูกขัง” เจ้าชายเคนดริคตรัสบอกทหารยาม ขณะจ้องมองเขาเขม็ง
ในที่สุดทหารยามก็ยอมแพ้ หันเดินจากไปอย่างไม่เต็มใจ หน้าแดง ถลึงตามองธอร์
“ถ้าอย่างนั้น” เจ้าชายเคนดริคตรัสด้วยเสียงดัง “ขอต้อนรับธอร์กรินเข้าสู่กองทหารยุวชนอย่างเป็นทางการ!”
กลุ่มอัศวินและเด็กหนุ่มต่างส่งเสียงโห่ร้อง แล้วหันหลังกลับไปฝึกซ้อมต่อ
ธอร์รู้สึกชาจากความตกใจ เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าตอนนี้เขาได้เข้าร่วมในกองทหารยุวชน มันเหมือนเป็นความฝัน
ธอร์หันไปหาเจ้าชายเคนดริค รู้สึกซาบซึ้งเกินกว่าจะพูดออกมาได้ ไม่เคยมีใครในชีวิตเขาที่สนใจเขามาก่อน คนที่จะออกนอกเส้นทางเพื่อมาตามหาเขา เพื่อปกป้องเขา มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาด เขารู้สึกใกล้ชิดกับชายผู้นี้มากกว่าบิดาของตัวเองเสียอีก
“ข้าไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร” ธอร์ทูลบอก “ข้าเป็นหนี้พระองค์จริง ๆ”
เจ้าชายเคนดริคแย้มสรวล “ข้าชื่อเคนดริค เจ้าคงจะได้รู้จักดี ข้าเป็นโอรสคนโตของพระราชา และข้าชื่นชมความกล้าหาญของเจ้า เจ้าจะทำประโยชน์ให้แก่พวกเราเป็นอย่างมาก”
เจ้าชายเคนดริคหมุนตัวแล้วรีบเสด็จจากไป ขณะที่เอลเด็น เด็กหนุ่มร่างยักษ์ที่สู้กับธอร์ เดินผ่านมา
“ระวังหลังของเจ้าไว้” เด็กหนุ่มบอก “เจ้ารู้ไหม เรานอนในค่ายทหารด้วยกัน แล้วอย่าคิดว่าเจ้าจะมีเวลาที่ปลอดภัย”
เด็กหนุ่มหันหลัง กระแทกเท้าจากไปก่อนที่ธอร์จะทันตอบโต้ เขาได้สร้างศัตรูเสียแล้ว
ธอร์กำลังเริ่มสงสัยว่าที่นี่มีอะไรรอเขาอยู่อีก ขณะที่โอรสคนเล็กของพระราชารีบเข้ามาหาเขา
“อย่าไปสนใจเขาเลย” เจ้าชายน้อยตรัสบอก “เขาชอบหาเรื่องต่อสู้ ข้าชื่อรีส”
“ขอบพระทัย” ธอร์ทูลพลางยื่นมือออกไป “ที่ทรงเลือกข้าเป็นคู่หู ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรหากท่านไม่ช่วย”
“ข้ายินดีเลือกคนที่กล้าลุกขึ้นสู้เจ้าอันธพาลนั่น” เจ้าชายรีสตรัสอย่างยินดี “เป็นการต่อสู้ที่เยี่ยมมาก”
“ทรงล้อเล่นหรือเปล่า?” ธอร์ทูลถาม เช็ดคราบเลือดออกจากใบหน้า รู้สึกว่าแผลแตกบวมขึ้น “หมอนั่นจัดการข้าได้”
“แต่เจ้าก็ไม่ยอมแพ้” เจ้าชายรีสตรัส “ช่างน่าประทับใจ พวกเราคนอื่น ๆ คงจะนอนอยู่อย่างนั้น แล้วยังการขว้างหอกที่สุดยอดนั่นอีก เจ้าเรียนขว้างแบบนั้นมาจากไหน? เราต้องเป็นคู่หูกันไปตลอดชีวิต!” ทรงทอดเนตรมองธอร์อย่างจริงจัง พลางเขย่ามือเขา “เป็นเพื่อนด้วย ข้ารู้สึกได้”
ขณะที่ธอร์เขย่ามือ เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขากำลังได้เพื่อนตลอดชีวิต
ทันใดนั้นเอง เขารู้สึกว่าถูกสะกิดด้านข้าง
เขาหันไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แก่กว่าเขายืนอยู่ตรงนั้น เขามีใบหน้าเสี้ยมยาวกับผิวหนังขรุขระ
“ข้าชื่อเฟธ์โกลด์ เป็นเด็กติดตามของท่านอีเร็ค ตอนนี้เจ้าเป็นเด็กติดตามคนที่สองของเขา นั่นหมายความว่าเจ้าจะต้องรายงานตัวกับข้า และเรากำลังจะมีการแข่งขันในไม่กี่นาทีนี้แล้ว เจ้าจะมัวยืนอยู่ตรงนี้ทั้งที่เจ้าได้เป็นเด็กติดตามอัศวินที่มีชื่อเสียงที่สุดในอาณาจักรอย่างนั้นหรือ? ตามข้ามา! เร็วเข้า!”
เจ้าชายรีสเสด็จจากไปแล้ว ธอร์รีบตามหลังเด็กติดตามที่วิ่งตัดสนามไป เขาไม่รู้ว่ากำลังจะไปที่ไหน แต่ก็ไม่ได้สนใจ ภายในใจเขากำลังร้องเพลง
เขาทำสำเร็จแล้ว