Kitabı oku: «การเดินทางแห่งราชา », sayfa 2

Yazı tipi:

บทที่ สาม

ธอร์วิ่งไปในความมืด ผ่านถนนที่วุ่นวายในราชสำนัก รู้สึกประหลาดใจกับความสับสนอลหม่านรอบ ๆ ตัว ถนนที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน ฝูงชนรีบเร่งไปกันด้วยความชุลมุน หลายคนถือคบเพลิง จุดให้แสงยามราตรี ทำให้เกิดเงาบนใบหน้าผู้คน ขณะที่ระฆังบนปราสาทถูกตีอย่างต่อเนื่อง เสียงกังวานต่ำดังขึ้นนาทีละครั้ง ธอร์รู้ดีว่าหมายถึงอะไร ความตาย เสียงระฆังแจ้งการตาย และมีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นในอาณาจักรที่ระฆังจะถูกตีให้ในคืนนี้ นั่นคือพระราชา

ธอร์ใจเต้นด้วยความสงสัย มีดสั้นที่เขาเห็นในความฝันวาบขึ้นในหัว มันเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ?

เขาจะต้องรู้ให้แน่ ธอร์เอื้อมมือไปคว้าตัวคนที่ผ่านมา เป็นเด็กหนุ่มที่วิ่งสวนทางมา

“เจ้าจะไปไหน?” ธอร์ถาม “นี่เขาวุ่นวายอะไรกัน?”

“เจ้าไม่ได้ยินหรอกหรือ?” เด็กหนุ่มตอบกลับอย่างตระหนก “พระราชาสวรรคตแล้ว! ทรงถูกแทง! มีคนชุมนุมกันที่หน้าประตูราชา พยายามจะหาข่าวเรื่องนี้ หากเป็นจริง ก็เป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับเราทุกคน เจ้าคิดดูสิ? แผ่นดินที่ไร้ราชาน่ะ?”

แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นก็ปัดมือธอร์ออก วิ่งจากไปในความมืด

ธอร์ยืนนิ่ง ใจเต้นแรง ไม่อยากรับรู้ความจริงที่เกิดขึ้นรอบตัว ความฝันของเขา นิมิตของเขา มันเกินกว่าจะจินตนาการได้ เขาได้เห็นอนาคตมาแล้วสองครั้ง มันทำให้เขาเริ่มกลัว พลังของเขาล้ำลึกกว่าที่เขารู้ และดูเหมือนนับวันจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เรื่องทั้งหมดนี้มันจะนำไปสู่ที่ไหนกัน?

ธอร์ยืนอยู่ตรงนั้น พยายามคิดว่าควรจะไปที่ไหนต่อ เขาหนีออกมา แต่กลับไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี แน่นอนว่าภายในไม่นานทหารยาม อาจจะทั้งราชสำนักคงจะต้องตามหาตัวเขา เรื่องที่ธอร์หนีออกมาคงยิ่งทำให้เขาดูมีความผิด แต่การที่ราชาแม็คกิลทรงถูกแทงขณะที่เขาถูกจองจำอยู่ นั่นไม่ได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาหรอกหรือ? หรือมันทำให้เขาดูเหมือนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด?

ธอร์ไม่อย่างเสี่ยง เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครในอาณาจักรอยู่ในอารมณ์ที่จะฟังเรื่องที่เป็นเหตุเป็นผล ดูเหมือนทุกคนรอบตัวเขากำลังกระหายเลือด และเขาอาจจะกลายเป็นแพะรับบาป ธอร์จะต้องหาที่หลบจากเรื่องวุ่นวายนี่และล้างมลทินให้ตัวเอง สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดคือไปให้ไกลจากที่นี่ เขาควรจะหนี ไปซ่อนตัวที่หมู่บ้านของเขา หรือไกลกว่านั้น ไปให้ไกลจากที่นี่ที่สุดเท่าที่เขาจะไปได้

แต่ธอร์ไม่อยากเลือกทางที่ปลอดภัยที่สุด นั่นไม่ใช่เขา เขาอยากจะอยู่ที่นี่ เพื่อล้างมลทินให้ตัวเอง และได้อยู่ในกองทหารยุวชน เขาไม่ใช่คนขี้ขลาด และเขาจะไม่หนี เหนืออื่นใดเขาอยากเข้าเฝ้าราชาแม็คกิลก่อนที่จะสวรรคต ธอร์คิดว่าพระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพ พระราชาต้องทรงอยากพบเขา เขารู้สึกผิดอย่างมากที่ไม่สามารถหยุดยั้งการลอบปลงพระชนม์นี้ได้ เขาถูกกำหนดให้มองเห็นการสวรรคตของพระองค์เพื่ออะไรกันหากเขาจะแก้ไขอะไรไม่ได้? แล้วเขาเห็นนิมิตว่าพระองค์ถูกลอบวางยาพิษทำไมกัน ในเมื่อที่จริงแล้วทรงถูกแทง?

ขณะที่ธอร์ยืนคิดใคร่ครวญอยู่นั้น เขาก็นึกถึงเจ้าชายรีซขึ้นมา เจ้าชายเป็นคนเดียวที่เขาไว้ใจได้ว่าจะไม่ส่งตัวเขาให้กับทางการ และอาจจะช่วยให้เขาหลบอย่างปลอดภัย ธอร์รู้ว่าเจ้าชายรีซจะเชื่อเขา ทรงรู้ว่าความรักที่ธอร์มีให้แก่พระบิดาของพระองค์เป็นความรู้สึกที่แท้จริง และหากจะมีใครที่จะช่วยล้างมลทินให้เขาได้ ก็คงจะมีเพียงเจ้าชายรีซเท่านั้น ธอร์ต้องตามหาเจ้าชาย

ธอร์ออกวิ่งไปตามตรอกซอกซอย ลดเลี้ยวฝ่าฝูงชนขณะที่วิ่งออกห่างประตูกษัตริย์ มุ่งหน้าไปยังปราสาท เขารู้ว่าห้องบรรทมของเจ้าชายรีซอยู่ที่ปีกตะวันออก ใกล้กับกำแพงเมืองชั้นนอก และเขาหวังว่าเจ้าชายจะอยู่ในนั้น หากพระองค์อยู่ เขาอาจจะดึงความสนใจของเจ้าชายได้ ให้ช่วยพาเขาเข้าไปในปราสาท ธอร์กังวลว่าหากเขายังอ้อยอิ่งอยู่บนถนนนี่ คงจะมีคนจำเขาได้ในไม่ช้า และเมื่อฝูงชนพวกนี้จำเขาได้ คงจะรุมฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ

ขณะที่ธอร์วิ่งลัดเลี้ยวไปตามถนน เท้าของเขาลื่นไถลไปตามพื้นโคลนในคืนกลางฤดูร้อน ในที่สุดเขาก็ไปถึงกำแพงหินที่เชิงเทินชั้นนอก ธอร์วิ่งแอบไปตามกำแพง หมอบต่ำให้พ้นสายตาของทหารยามที่ยืนประจำทุกสองสามฟุต

เมื่อเขาเข้าใกล้หน้าต่างห้องบรรทมของเจ้าชายรีซ ธอร์เอื้อมไปหยิบลูกหิน โชคดีที่พวกนั้นลืมปลดหนังสติ๊กคู่ใจอันเก่า อาวุธเพียงอย่างเดียวของเขา ธอร์ดึงมันออกจากข้างเอว วางลูกหินเข้าที่แล้วยิงออกไป

ธอร์เล็งออกไปอย่างแม่นยำ เขายิงลูกหินข้ามกำแพงปราสาท ผ่านเข้าไปในหน้าต่างห้องบรรทมที่เปิดรับลมของเจ้าชายรีซ เขาได้ยินมันกระแทกเข้ากับผนังห้องด้านใน จากนั้นจึงรอคอย ก้มหลบไปตามกำแพงเพื่อให้พ้นจากสายตาของทหารยามที่เหลียวหาเมื่อได้เสียง

ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ธอร์ใจฝ่อเมื่อคิดว่าเจ้าชายอาจจะไม่ได้อยู่ในห้อง หากพระองค์ไม่อยู่ เขาควรจะหนีไปจากที่นี่ ไม่มีทางอื่นที่เขาจะได้หลบอย่างปลอดภัย เขากลั้นหายใจ หัวใจเต้นเร็ว ขณะที่เฝ้ารอและจ้องมองหน้าห้องบรรทมของเจ้าชายรีซที่เปิดอยู่

หลังจากที่รอนานเหมือนไม่สิ้นสุด ธอร์กำลังจะหันหลังจากไป เขาก็เห็นร่างหนึ่งชะโงกศีรษะออกจากหน้าต่าง สองมือจับขอบหน้าต่างไว้ แล้วมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัย

ธอร์ยืนขึ้น พุ่งออกห่างจากกำแพงสองสามก้าว แล้วโบกมือหนึ่งขึ้นสูง

เจ้าชายรีซทอดพระเนตรลงมาและสังเกตเห็นเขา ทรงมีสีหน้าว่าจำได้ มองเห็นได้ในแสงคบไฟแม้กระทั่งจากตรงนี้ ธอร์รู้สึกโล่งอกที่ได้เห็นความยินดีในแววพระเนตรของเจ้าชาย มันบอกทุกอย่างที่เขาต้องการรู้ เจ้าชายจะไม่ส่งตัวเขาให้ทางการ

เจ้าชายรีซส่งสัญญาณให้เขารอ ธอร์รีบวิ่งกลับมาข้างกำแพง หมอบต่ำเมื่อทหารยามหันมาทางเขา

ธอร์รออยู่อย่างนั้นไม่รู้นานเท่าใด เตรียมพร้อมที่จะวิ่งหนีทหารยาม จนในที่สุดเจ้าชายก็ปรากฏกายขึ้น ทรงวิ่งพรวดออกมาจากประตูชั้นนอก หายใจแรงขณะที่ทรงหันซ้ายหันขวา มองหาธอร์

เจ้าชายรีซรีบวิ่งเข้ามาสวมกอดธอร์ไว้ ธอร์รู้สึกเต็มตื้น เขาได้ยินเสียงร้องแหลม เมื่อมองลงไปก็ต้องดีใจที่เห็น

โครห์นซุกอยู่ในฉลองพระองค์ของเจ้าชายรีซ มันแทบจะกระโดดออกมาตอนที่เจ้าชายล้วงตัวมันแล้วส่งให้แก่ธอร์

โครห์น ลูกเสือดาวขาวที่ธอร์ช่วยชีวิตไว้ กระโจนเข้าสู่อ้อมแขนธอร์ ครวญครางเสียงแหลมและเลียหน้าเขา ขณะที่เขากอดมันไว้

เจ้าชายรีซแย้มสรวล

“ตอนที่พวกนั้นจับตัวเจ้าไป มันพยายามจะตามไป ข้าเอาตัวมันมาเพื่อจะได้มั่นใจว่ามันปลอดภัย”

ธอร์ตบแขนเจ้าชายเบา ๆ ด้วยความขอบคุณ แล้วหัวเราะออกมาเมื่อโครห์นยังเลียหน้าเขาไม่หยุด

“ข้าก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน เจ้าหนู” ธอร์หัวเราะ จูบมันกลับ “เงียบได้แล้ว ไม่อย่างนั้นทหารยามจะได้ยินเสียงเรา”

โครห์นเงียบเสียงลง ราวกับเข้าใจที่เขาบอก

“เจ้าหนีมาได้อย่างไร?” เจ้าชายตรัสถามอย่างประหลาดใจ

ธอร์ยักไหล่ เขาไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอย่างไร เขายังรู้สึกอึดอัดที่จะพูดถึงพลังของตัวเอง ที่เขายังไม่เข้าใจดี ธอร์ไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าเขาเป็นตัวประหลาด

“ข้าคงโชคดี คิดว่าอย่างนั้น” เขาทูลตอบ “ข้าเห็นโอกาสและคว้ามันไว้”

“ข้าแปลกใจที่ฝูงชนไม่รุมฉีกเจ้าเป็นชิ้น ๆ” เจ้าชายรีซตรัส

“มันมืด” ธอร์ทูล “ข้าคิดว่าคงไม่มีใครจำข้าได้ อาจจะยังจำไม่ได้”

“เจ้ารู้ไหม ทหารทุกนายในอาณาจักรกำลังตามหาตัวเจ้า? เจ้ารู้หรือเปล่าว่าพระบิดาของข้าทรงถูกแทง?”

ธอร์พยักหน้าอย่างจริงจัง “ทรงปลอดภัยดีไหม?”

เจ้าชายรีซพระพักตร์สลดลง

“ไม่” ทรงตอบอย่างเคร่งขรึม “พระองค์กำลังจะสวรรคต”

ธอร์รู้สึกใจสลาย ราวกับเป็นบิดาของตัวเอง

“ท่านรู้ใช่ไหมว่าข้าไม่ได้เป็นคนทำ?” ธอร์ทูลถามอย่างมีความหวัง เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เขาต้องการเพียงให้เพื่อนรักของเขา โอรสองค์เล็กของราชาแม็คกิล รู้ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์

“แน่นอน” เจ้าชายรีซตรัส “ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอก”

ธอร์รู้สึกโล่งอก เขาตบที่พระอังสาอย่างขอบคุณ

“แต่ทั้งอาณาจักรจะไม่เชื่อมั่นเหมือนข้า” เจ้าชายรีซตรัส “สถานที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเจ้าคืออยู่ห่างจากที่นี่ ข้าจะให้ม้าที่มีฝีเท้าเร็วที่สุด พร้อมเสบียง แล้วส่งเจ้าไปให้ไกล เจ้าจะต้องซ่อนตัวจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะสงบ จนกว่าพวกเขาจะพบตัวมือสังหารตัวจริง ตอนนี้ไม่มีใครคิดอะไรได้แจ่มแจ้งหรอก”

ธอร์ส่ายศีรษะ

“ข้าไปไม่ได้” เขาทูลบอก “นั่นจะทำให้ข้ายิ่งเป็นคนผิด ข้าอยากให้คนอื่นรู้ว่าข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่อาจวิ่งหนีจากปัญหา ข้าจะต้องล้างมลทินให้ตัวเอง”

เจ้าชายรีซส่ายพระพักตร์

“หากเจ้าอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องพบตัวเจ้า แล้วเจ้าก็จะถูกจับไปขังอีก แล้วจากนั้นก็ต้องถูกประหาร ถ้าไม่ถูกประชาทัณฑ์เสียก่อนนะ”

“ข้าคงจะต้องเสี่ยงดู” เขาทูล

เจ้าชายทอดเนตรมองเขานิ่งนาน แววพระเนตรเปลี่ยนจากกังวลเป็นความชื่นชมอย่างช้า ๆ แล้วทรงพยักพระพักตร์

“เจ้าช่างทระนง และโง่เขลา เขลายิ่งนัก แต่นั่นก็ทำให้ข้าชอบเจ้า”

เจ้ารีสแย้มสรวล ขณะที่ธอร์ยิ้มตอบ

“ข้าต้องพบพระบิดาของพระองค์” เขาทูล “ข้าต้องการโอกาสได้อธิบายกับพระองค์ด้วยตัวเอง ว่าข้าไม่ได้ทำ ว่าข้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หากพระองค์ตัดสินพระทัยจะลงโทษข้า ข้าก็ยินดี แต่ขอโอกาสให้ข้าสักครั้ง ข้าอยากให้พระองค์ได้ทรงทราบ ข้าขอท่านเพียงเท่านี้”

เจ้าชายรีซทอดเนตรมองเขาเขม็งอย่างประเมิน ในที่สุดหลังจากนานเหมือนจะไม่สิ้นสุด เจ้าชายก็ทรงพยักพระพักตร์

“ข้าพาเจ้าไปเฝ้าพระบิดาได้ ข้ารู้ทางด้านหลังที่จะไปถึงห้องบรรทมเลย แต่มันเสี่ยง เมื่อเจ้าเข้าไปแล้ว เจ้าต้องพึ่งตัวเอง มันไม่มีทางออกและข้าจะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้อีก มันอาจจะหมายถึงชีวิต เจ้าแน่ใจนะว่าต้องการจะเสี่ยง?”

ธอร์พยักหน้าตอบอย่างจริงจัง

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” เจ้าชายตรัส แล้วเอื้อมไปหยิบเสื้อคลุมโยนให้ธอร์

ธอร์รับไว้แล้วมองดูอย่างประหลาดใจ เขารู้ว่าเจ้าชายรีซต้องคิดเรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว

เจ้าชายรีซทรงแย้มสรวลขณะที่ธอร์เงยหน้าขึ้นมอง

“ข้ารู้ว่าเจ้าโง่พอที่จะอยู่ ข้าไม่หวังอะไรที่น้อยกว่านี้จากเพื่อนรักของข้าหรอก”

บทที่ สี่

เจ้าชายกาเร็ธทรงดำเนินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องบรรทม คิดทบทวนเหตุการณ์ในคืนนี้ด้วยความวิตกกังวล พระองค์ไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยง ทุกสิ่งมันผิดพลาดไปหมด ทรงไม่เข้าใจว่าเจ้าเด็กโง่ธอร์ คนนอกคอกนั่น ล่วงรู้แผนการลอบวางยาพิษของพระองค์ได้อย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นมันยังสามารถปัดถ้วยเสวยได้เสียอีก เจ้าชาย

กาเร็ธคิดย้อนไปถึงขณะที่ทรงเห็นธอร์กระโดดเข้าปัดถ้วยเสวย ตอนที่ทรงเห็นถ้วยหล่นกระทบพื้นหิน เห็นเหล้าไวน์หกนองพื้น เหมือนกับเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์หกกระจายลงไปด้วย

ในชั่วขณะนั้นเจ้าชายกาเร็ธทรงรู้สึกว่าแผนการพังพินาศ ทุกสิ่งที่ทรงหวังย่อยยับลงไป และเมื่อเจ้าหมาตัวนั้นเลียเหล้าไวน์แล้วขาดใจตาย ก็ทรงรู้ว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ทรงเห็นทั้งชีวิตวาบขึ้นตรงหน้า ทรงเห็นตัวเองถูกจับได้ ถูกตัดสินจองจำอยู่ในคุกใต้ดินในข้อหาที่พยายามลอบปลงพระชนม์พระบิดา หรือแย่กว่านั้นก็คงถูกประหารชีวิต มันช่างโง่เง่า พระองค์ไม่น่าจะเริ่มแผนการนี้ ไม่น่าไปหายายแม่มดนั่น

แต่อย่างน้อยเจ้าชายกาเร็ธก็ทรงมีปฏิภาณ อาศัยจังหวะผุดลุกขึ้นยืน แล้วชี้นิ้วป้ายความผิดไปที่ธอร์ เมื่อคิดย้อนกลับไปทรงรู้สึกภูมิใจในตัวเองที่มีไหวพริบ ความคิดที่ผุดขึ้นมาในขณะนั้นดูจะได้ผลจนต้องประหลาดใจ พวกนั้นลากธอร์ออกไป แล้วหลังจากนั้นงานเลี้ยงก็เกือบจะเรียบร้อยลงอีกครั้ง แน่ละ ว่าไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีก แต่อย่างน้อยที่สุด ความสงสัยก็ตกอยู่ที่เจ้าหนุ่มคนนั้น

เจ้าชายกาเร็ธได้แต่ภาวนาให้เป็นเช่นนั้นไปตลอด มันนานหลายศตวรรษมาแล้วนับตั้งแต่มีคนพยายามจะลอบปลงพระชนม์ราชาแม็คกิล และเจ้าชายกาเร็ธทรงกลัวว่าจะมีข้อกังขา และจะมีคนขุดคุ้ยลึกลงไป เมื่อคิดย้อนไปช่างเป็นเรื่องโง่เขลาที่พยายามจะวางยาพิษพระราชา พระบิดาของพระองค์เป็นผู้ที่ไม่เคยพ่ายแพ้ เจ้าชายน่าจะรู้ดี ว่าทรงทำเรื่องเกินตัว และตอนนี้เจ้าชายทรงอดรู้สึกไม่ได้ว่าเหมือนกับกำลังรอเวลาที่พระองค์จะตกเป็นผู้ต้องสงสัย คงจะต้องทำอะไรเพื่อยืนยันว่าธอร์เป็นคนผิด และให้มันถูกประหารไปก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

อย่างน้อยที่สุดเจ้าชายกาเร็ธก็จะได้แก้หน้า หลังจากที่ทำพลาดไป พระองค์ได้ยกเลิกแผนการลอบปลงพระชนม์ ตอนนี้ทรงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว หลังจากที่ทรงเห็นว่าผิดแผน เจ้าชายทรงตระหนักว่าส่วนหนึ่งของพระองค์ไม่ต้องการปลงพระชนม์พระบิดา ไม่อยากให้โลหิตเปื้อนมือ พระองค์คงจะไม่ได้เป็นราชา และอาจจะไม่มีวันได้เป็น แต่หลังจากเรื่องในคืนนี้ที่ลงเอยไปด้วยดี อย่างน้อยพระองค์ก็เป็นอิสระ และคงจะไม่ทรงสามารถรับมือกับความเครียดที่เกิดขึ้นได้อีก ทั้งความลับ การปิดบัง ความกังวลว่าจะถูกเปิดโปง มันมากเกินไปสำหรับพระองค์

ขณะที่ทรงดำเนินกลับไปกลับมา ราตรีก็ยิ่งล่วงเลยไป และในที่สุดพระองค์ก็ค่อยสงบลง ขณะที่ทรงเริ่มรู้สึกเป็นตัวเอง และเตรียมพร้อมที่จะเข้าบรรทม จู่ ๆ ก็มีเสียงโครมคราม เมื่อหันไปทอดเนตรก็เห็นประตูห้องบรรทมถูกกระแทกเปิดออก เฟิร์ธพรวดพราดเข้ามา ตาเบิกโพลงอย่างตื่นตระหนก รีบวิ่งเข้ามาในห้องราวกับถูกไล่ตามมา

“ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว!” เฟิร์ธกรีดร้อง “ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว! ข้าเป็นคนฆ่า ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว!”

เฟิร์ธตีโพยตีพาย คร่ำครวญ เจ้าชายกาเร็ธไม่เข้าใจเลยว่าเขากำลังพูดอะไร หรือว่าเขาเมา?

เฟิร์ธวิ่งไปทั่วห้อง กรีดร้อง ฟูมฟาย ยกมือทั้งสองข้างขึ้น และตอนนั้นเองที่เจ้าชายกาเร็ธสังเกตฝ่ามือของเขา เปื้อนไปด้วยโลหิต เสื้อคลุมสีเหลืองของเขาก็มีคราบสีแดง

เจ้าชายกาเร็ธพระทัยหายวูบ เฟิร์ธเพิ่งฆ่าคนมา แต่ใครกัน?

“ใครสิ้นพระชนม์?” เจ้าชายตรัสถาม “เจ้าพูดถึงใคร?”

แต่เฟิร์ธฟูมฟายและไม่มีสติ เจ้าชายวิ่งไปหาเขา คว้าไหล่ไว้แน่นแล้วเขย่า

“บอกข้ามา!”

เฟิร์ธลืมตาแล้วจ้องมองมาด้วยแววตาของม้าป่า

“พระบิดาของพระองค์! พระราชา! สิ้นพระชนม์แล้ว! ด้วยมือของข้า!”

สิ้นคำพูดของเขา เจ้าชายกาเร็ธรู้สึกราวกับถูกมีดแทงเข้าที่หัวใจ

พระองค์ทรงจ้องเขา พระเนตรเบิกกว้างนิ่งตะลึง ทรงรู้สึกชาไปทั้งวรกาย เจ้าชายปล่อยไหล่เขา แล้วเซถอยหลัง พยายามหายใจ ทรงบอกได้จากรอยโลหิตทั้งหมดว่าเฟิร์ธพูดความจริง ทรงไม่อยากเชื่อ เฟิร์ธน่ะหรือ? เด็กเลี้ยงม้าน่ะหรือ? คนที่ใจอ่อนที่สุดในบรรดาสหายน่ะหรือ? เป็นคนปลงพระชนม์พระบิดาอย่างนั้นหรือ?

“แต่...มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?” เจ้าชายระล่ำระลักถาม “เมื่อไร?”

“เกิดขึ้นในห้องบรรทม” เฟิร์ธทูลตอบ “เมื่อกี้นี้เอง ข้าแทงพระองค์”

เรื่องราวที่ทรงได้ยินเริ่มซึมซาบเข้าไป ทำให้เจ้าชายเริ่มคืนสติ ทรงสังเกตเห็นประตูห้องบรรทมเปิดอยู่ จึงรีบวิ่งไปกระแทกปิด โดยตรวจตราให้แน่ใจว่าไม่มีทหารยามเห็น โชคดีที่ทางเดินว่างเปล่า พระองค์ทรงเลื่อนสลักเหล็กอันใหญ่ขัดประตูไว้

เจ้าชายรีบเดินกลับมา เฟิร์ธยังคงฟูมฟาย พระองค์ต้องทำให้เขาสงบลง พระองค์ต้องการคำตอบ

เจ้าชายกาเร็ธทรงจับบ่าเขาไว้ แล้วดึงหันมา ก่อนจะตบเขาด้วยหลังมือแรงพอที่จะทำให้เขาหยุด เฟิร์ธหันมาสนใจพระองค์

“เล่ามาให้หมด” เจ้าชายกาเร็ธตรัสอย่างเย็นชา “บอกข้ามาให้ละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงทำอย่างนั้น?”

“ทรงหมายความว่าอย่างไร ทำไม” เฟิร์ธทูลถามอย่างสับสน “ท่านอยากปลงพระชนม์พระองค์ เรื่องยาพิษนั่นไม่ได้ผล ข้าคิดว่าข้าช่วยได้ ข้าคิดว่านั่นคือสิ่งที่พระองค์ต้องการ”

เจ้าชายกาเร็ธส่ายพระเศียร ทรงกุมเสื้อของเฟิร์ธไว้แล้วเขย่าตัวเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

“ทำไมถึงทำอย่างนี้!?” ทรงแผดเสียง

เจ้าชายกาเร็ธทรงรู้สึกเหมือนทั้งโลกแตกสลายลง ทรงตกพระทัยที่รู้ว่าแท้จริงแล้วทรงเสียพระทัยเรื่องพระบิดา เจ้าชายไม่เข้าใจเลย เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงอยากเห็นพระบิดาถูกยาพิษสิ้นพระชนม์ที่โต๊ะนั่นยิ่งกว่าสิ่งใด แต่ตอนนี้ข่าวว่าพระบิดาถูกปลงพระชนม์มันกระแทกใจพระองค์ราวกับข่าวการตายของเพื่อนที่ดีที่สุด พระองค์รู้สึกเสียพระทัยอย่างยิ่งยวด ส่วนหนึ่งของพระองค์ไม่อยากให้พระบิดาสวรรคต โดยเฉพาะไม่ใช่ด้วยวิธีนี้ ไม่ใช่ด้วยฝีมือของเฟิร์ธ ไม่ใช่เพราะคมมีด

“ข้าไม่เข้าใจ” เฟิร์ธสะอื้น “ไม่กี่ชั่วโมงก่อนท่านพยายามจะปลงพระชนม์ด้วยตัวเอง แผนการเรื่องแก้วเสวยนั่น ข้าคิดว่าท่านจะดีใจ!”

เจ้าชายกาเร็ธทรงประหลาดพระทัย ที่ทรงต่อยเข้าที่ใบหน้าของเฟิร์ธ

“ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าทำแบบนี้!” เจ้าชายตะคอก “ข้าไม่เคยบอกให้เจ้าทำแบบนี้ ทำไมเจ้าถึงทำ? ดูเจ้าสิ ตัวเปื้อนเลือดไปหมด ตอนนี้เราทั้งคู่จบเห่แล้ว แค่รอเวลาจนกว่าทหารจะมาจับตัวเรา”

“ไม่มีใครเห็น” เฟิร์ธโอดครวญ “ข้าแอบเข้าไประหว่างเปลี่ยนเวร ไม่มีใครเห็นข้า”

“แล้วอาวุธอยู่ที่ไหน?”

“ข้าไม่ได้ทิ้งมันไว้” เฟิร์ธทูลบอกอย่างภูมิใจ “ข้าไม่ได้โง่ ข้าเอามันออกมา”

“เจ้าใช้มีดอะไร?” เจ้าชายตรัสถาม ความคิดวุ่นวายถึงเรื่องที่จะตามมา พระองค์เริ่มรู้สึกกังวล พยายามคิดถึงทุกรายละเอียดที่เจ้าโง่นี่อาจจะทิ้งร่องรอยไว้ ทุกรายละเอียดที่อาจจะนำมาถึงพระองค์

“ข้าใช้มีดที่ตามรอยไม่ได้” เฟิร์ธบอก อย่างภูมิใจในตัวเอง “มันเป็นมีดทื่อ ๆ ไม่มีลักษณะเด่นอะไร ข้าพบที่คอกม้า มีเหมือน ๆ กันสี่เล่ม มันตามรอยไม่ได้หรอก” เขาทูลซ้ำ

เจ้าชายกาเร็ธพระทัยหายวูบ

“มันเป็นมีดสั้น ด้ามสีแดง มีใบมีดโค้งหรือเปล่า? เหน็บอยู่ที่ผนังข้างม้าของข้าใช่ไหม?”

เฟิร์ธพยักหน้าอย่างสงสัย

เจ้าชายทรงถลึงตา

“เจ้าโง่ มีดนั่นตามรอยได้แน่นอน!”

“แต่มันไม่มีร่องรอยใด ๆ บนใบมีดเลย!” เฟิร์ธประท้วง อย่างหวาดกลัว เสียงของเขาสั่น

“มันไม่มีรอยบนใบมีด แต่มันมีรอยที่ด้าม!” เจ้าชายทรงตะโกน

“ที่ข้างใต้! เจ้าโง่ เจ้าไม่ได้ดูให้ดี” เจ้าชายกาเร็ธก้าวไปข้างหน้า พระพักตร์แดงก่ำ “ตราของม้าข้าสลักไว้ข้างใต้ด้าม ใครที่รู้จักราชวงศ์ดีสามารถตามรอยมีดนั่นกลับมาถึงข้าได้”

พระองค์จ้องเฟิร์ธที่ดูจะแข็งทื่อไป ทรงอยากจะฆ่าเขาเสีย

“เจ้าทำยังไงกับมัน?” เจ้าชายกาเร็ธตรัสถาม “บอกมาว่ามันยังอยู่กับเจ้า บอกมาว่าเจ้าเอามันกลับมาด้วย ได้โปรด”

เฟิร์ธกลืนน้ำลาย

“ข้ากำจัดมันไปแล้วอย่างระวัง ไม่มีใครจะหามันพบได้”

เจ้าชายพระพักตร์บูดบึ้ง

“ที่ไหน?”

“ข้าโยนมันลงไปในช่องเทกระโถนของปราสาท พวกเขาเทกระโถนลงไปในแม่น้ำทุกชั่วโมง พระองค์อย่าทรงห่วง ป่านนี้มันลงไปอยู่ก้นแม่น้ำแล้ว”

ทันใดนั้นเสียงระฆังของปราสาทก็ดังขึ้น เจ้าชายกาเร็ธหันหลังวิ่งไปเปิดหน้าต่างอย่างตื่นตระหนก พระองค์ทอดพระเนตรออกไปและเห็นความวุ่นวายเบื้องล่าง ฝูงชนรายล้อมอยู่รอบปราสาท เสียงระฆังพวกนั้นหมายถึงสิ่งเดียว เฟิร์ธไมได้โกหก เขาปลงพระชนม์พระราชา

เจ้าชายกาเร็ธรู้สึกวรกายเย็นเฉียบ พระองค์ไม่อยากเชื่อว่าได้ทรงวางแผนการอันชั่วร้ายขึ้น และเฟิร์ธเป็นผู้ลงมือ

มีเสียงทุบที่หน้าประตูห้องบรรทมของพระองค์ ก่อนจะถูกเปิดผางออก ทหารองครักษ์หลายนายกรูเข้ามา ชั่วขณะนั้นเจ้าชายกาเร็ธมั่นใจว่าพวกเขาจะมาจับพระองค์

แต่กลับต้องประหลาดใจ พวกทหารหยุดและถวายความเคารพ

“ฝ่าบาท พระบิดาของพระองค์ทรงถูกลอบแทง อาจจะมีมือสังหารหลบเข้ามา ขอทรงหลบอยู่ในห้องบรรทม พระราชาทรงบาดเจ็บสาหัสมาก”

เจ้าชายกาเร็ธทรงขนลุกซู่เมื่อได้ยินคำสุดท้าย

“บาดเจ็บหรือ?” เจ้าชายทวนถาม คำนั้นแทบจะทิ่มเข้าไปในพระศอ “พระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพหรือ?”

“ถูกแล้ว ฝ่าบาท ขอพระเจ้าทรงอยู่กับพระองค์ พระราชาจะปลอดภัยและบอกเราได้ว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำการชั่วช้านี้”

ทหารองครักษ์โค้งถวายคำนับสั้น ๆ ก่อนจะรีบออกไปจากห้องบรรทม แล้วปิดประตูตามหลัง

เจ้าชายกาเร็ธโทสะเดือดพล่าน ทรงคว้าไหล่เฟิร์ธไว้ แล้วลากเขาไปโยนเข้ากับกำแพงหิน

เฟิร์ธมองจ้องมาด้วยดวงตาเบิกกว้าง ดูหวาดกลัว พูดไม่ออก

“เจ้าทำอะไรลงไป?” เจ้าชายตะโกน “ตอนนี้เราทั้งคู่จบเห่แล้ว!”

“แต่...แต่...” เฟิร์ธตะกุกตะกัก “...ข้ามั่นใจว่าพระองค์สวรรคต!”

“เจ้ามั่นใจทุกอย่าง” เจ้าชายตรัส “แล้วมันก็พลาดทุกอย่าง!”

แล้วเจ้าชายกาเร็ธก็เกิดความคิดขึ้น

“มีดนั่น” เจ้าชายตรัส “ เราจะต้องเก็บมันมาก่อนที่จะสายเกินไป”

“แต่ข้าโยนมันทิ้งไปแล้ว ฝ่าบาท” เฟิร์ธทูล “มันไหลลงแม่น้ำไปแล้ว!”

“เจ้าโยนมันลงไปในช่องเทกระโถน มันไม่ได้หมายความว่ามีดนั่นจะลงไปอยู่ในแม่น้ำแล้ว”

“แต่มันควรจะเป็นอย่างนั้น!” เฟิร์ธทูลบอก

เจ้าชายกาเร็ธทรงทนความโง่เขลาของเจ้างั่งนี่อีกไม่ไหว ทรงผลุนผลันวิ่งผ่านเขา ออกประตูไป มีเฟิร์ธตามไปติด ๆ

“ข้าจะไปกับพระองค์ ข้าจะพาไปดูตรงที่ข้าโยนมันลงไป” เฟิร์ธทูลบอก

เจ้าชายหยุดที่โถงทางเดิน ทรงหันมาจ้องเฟิร์ธ ตัวเขาเต็มไปด้วยโลหิต ซึ่งพระองค์ทรงประหลาดพระทัยที่ทหารองครักษ์ไม่สังเกตเห็น เป็นโชคดี เฟิร์ธดูเป็นคนผิดยิ่งกว่าที่เคย

“ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” เจ้าชายทรงคำราม “กลับไปที่ห้องเจ้าเดี๋ยวนี้ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเผามันทิ้งเสีย กำจัดรอยเลือดให้หมด แล้วก็หายไปจากปราสาทนี้เสีย อยู่ให้ห่างจากข้าในคืนนี้ เข้าใจที่ข้าบอกไหม?”

เจ้าชายผลักเขาออกห่าง แล้ววิ่งจากไป ทรงถลันไปตามโถงทางเดิน วิ่งลงไปตามบันไดเวียนชั้นแล้วชั้นเล่า ลงไปยังส่วนที่พักของคนรับใช้

ในที่สุดเจ้าชายก็ลงไปถึงชั้นใต้ดิน คนรับใช้หลายคนหันมามอง พวกเขากำลังขัดหม้อใบใหญ่และต้มน้ำ กองไฟใหญ่ลุกโหมอยู่ในเตาเผา พวกคนรับใช้สวมผ้ากันเปื้อนเลอะเทอะ เนื้อตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ

ที่อีกด้านของห้อง เจ้าชายทรงสังเกตเห็นกระโถนใบใหญ่ สิ่งปฏิกูลถูกเทลงมาตามช่องและแตกกระเซ็นทุกนาที

เจ้าชายกาเร็ธทรงหันไปหาคนรับใช้ที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วคว้าแขนไว้อย่างสิ้นหวัง

“เทกระโถนครั้งสุดท้ายเมื่อไร?” เจ้าชายตรัสถาม

“มันถูกยกออกไปที่แม่น้ำเมื่อนาทีที่แล้วนี่เอง ฝ่าบาท”

เจ้าชายกาเร็ธหันหลังวิ่งออกไปจากห้อง พุ่งทะยานไปตามทางเดินในปราสาท กลับขึ้นบันไดเวียน แล้วถลันออกไปสู่อากาศเย็นยามราตรี

พระองค์ทรงวิ่งตัดสนามหญ้า แทบไม่หายใจขณะที่วิ่งตรงไปยังแม่น้ำ

ขณะที่วิ่งเข้าไปใกล้ เจ้าชายทรงพบที่ซ่อนตัวด้านหลังต้นไม้ใหญ่ ใกล้กับตลิ่ง พระองค์ทรงมองดูคนรับใช้สองคนยกหม้อเหล็กใบใหญ่ขึ้น และเทมันลงไปในกระแสน้ำเชี่ยว

เจ้าชายทรงเฝ้ามองมันถูกเทจนหมด จนกระทั่งคนรับใช้ทั้งสองถือหม้อหันหลังกลับไปตามทางเดินสู่ปราสาท

ในที่สุดเจ้าชายกาเร็ธก็ทรงพอพระทัย ไม่มีใครสังเกตเห็นมีดเล่มนั้น ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหน ตอนนี้มันลงไปอยู่ในกระแสน้ำแล้ว ถูกพัดไปสู่ที่ใดไม่รู้ หากพระบิดาสิ้นพระชนม์ลงในคืนนี้ ก็จะไม่มีหลักฐานใดหลงเหลือให้สาวไปถึงตัวฆาตกร

หรืออาจจะมี?

บทที่ ห้า

ธอร์เดินตามเจ้าชายรีซไปติด ๆ โครห์นตามมาด้านหลังขณะที่พวกเขาผ่านไปตามทางด้านหลังสู่ห้องบรรทมของพระราชา เจ้าชายรีซนำเขาผ่านประตูลับที่ซ่อนอยู่ในกำแพงด้านหนึ่ง ทรงถือคบไฟนำทางขณะที่เดินเรียงเดี่ยวกันไปตามทางแคบ ๆ ผ่านเข้าไปในพื้นที่ชั้นในของปราสาทตามเส้นทางวกวนน่าเวียนหัว พวกเขาเดินขึ้นไปตามบันไดหินแคบ ๆ ที่นำไปสู่ทางเดินอีกเส้น ทั้งหมดเลี้ยวและพบบันไดอีกอัน ธอร์รู้สึกทึ่งกับความซับซ้อนของทางเดินพวกนี้

“ทางนี้ถูกสร้างขึ้นหลายร้อยปีมาแล้ว” เจ้าชายรีซทรงกระซิบบอกขณะที่เดินกันไป พลางหอบหายใจเมื่อต้องปีนขึ้น “มันถูกสร้างโดยเสด็จทวดของพระบิดาข้า ราชาแม็คกิลองค์ที่สาม ทรงสร้างหลังจากถูกโอบล้อม เพื่อใช้เป็นเส้นทางหลบหนี แต่น่าขำที่เราไม่เคยถูกโอบล้อมอีกเลยนับตั้งแต่นั้น แล้วทางพวกนี้ก็ไม่มีใครใช้มาเป็นศตวรรษแล้ว มันถูกปิดไว้แล้วข้ามาพบเมื่อสมัยยังเด็ก ข้าชอบเข้ามาใช้เดินไปรอบปราสาทโดยไม่มีใครรู้ว่าข้าอยู่ที่ไหน สมัยเรายังเด็ก เกว็น ก็อดฟรีย์และข้ามักจะเล่นซ่อนแอบกันในนี้ เคนดริคโตเกินไป ส่วนกาเร็ธก็ไม่ชอบเล่นกับพวกเรา มีกฎว่าห้ามมีคบไฟ มันมืดสนิท น่ากลัวมาก ๆ ตอนนั้น”

ธอร์พยายามเดินตามให้ทัน ขณะที่เจ้าชายรีซนำทางไปได้อย่างน่าทึ่ง เห็นได้ชัดว่าทรงจดจำทุกย่างก้าวได้อย่างขึ้นใจ

“ท่านจำทางเลี้ยวพวกนี้ได้อย่างไร?” ธอร์ทูลถามด้วยความทึ่ง

“ถ้าเจ้าเป็นเด็กผู้ชายที่เติบโตขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยวในปราสาท” เจ้าชายตรัส “โดยเฉพาะเมื่อคนอื่น ๆ โตกว่า และเจ้ายังเด็กเกินกว่าจะเข้าร่วมกองทหารยุวชน มันก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำ ข้าถือเป็นภารกิจที่จะต้องค้นพบทุกซอกทุกมุมของที่นี่”

ทั้งสองเลี้ยวอีกครั้ง ก้าวลงบันไดหินไปสามขั้น ก่อนจะเลี้ยวผ่านช่องแคบ ๆ บนกำแพง แล้วเดินลงไปตามบันไดยาว ในที่สุดเจ้าชายรีซก็พามาถึงประตูไม้โอ้คบานหนามีฝุ่นจับ ทรงแนบพระกรรณกับประตูแล้วฟัง ธอร์ก้าวมายืน

ข้าง ๆ

“นี่คือประตูอะไรหรือ?” ธอร์ทูลถาม

“ชู่” เจ้าชายส่งเสียงบอก

ธอร์เงียบเสียงแล้วแนบหูเข้ากับประตูบ้าง และนิ่งฟัง โครห์นยืนอยู่ด้านหลังเขา เงยหน้ามอง

“นี่คือประตูหลังไปสู่ห้องบรรทมของพระบิดา” เจ้าชายกระซิบ “ข้าอยากฟังว่ามีใครอยู่กับพระองค์บ้าง”

ธอร์นิ่งฟังเสียงอู้อี้หลังประตูด้วยใจเต้นแรง

“เสียงเหมือนคนอยู่กันเต็มห้อง” เจ้าชายรีซตรัส

เจ้าชายหันมามองธอร์อย่างมีความหมาย

“เจ้ากำลังจะเดินเข้าสู่ทะเลเพลิง บรรดาแม่ทัพทั้งหลายคงอยู่ที่นั่น สมาชิกสภา ที่ปรึกษา พระญาติอีก ทุกคนเลยล่ะ ข้ามั่นใจว่าทุกคนต้องจับตามองเจ้า คนที่ต้องสงสัยว่าเป็นฆาตกร มันจะเหมือนการเดินไปถูกรุมประชาทัณฑ์ หากพระบิดายังทรงคิดว่าเจ้าพยายามจะลอบปลงพระชนม์พระองค์ เจ้าคงจบเห่ เจ้าแน่ใจนะว่าต้องการจะทำอย่างนี้?”

ธอร์กลืนน้ำลายดังเอื๊อก ถ้าไม่ทำตอนนี้ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว ลำคอของเขาแห้งผากเมื่อคิดว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต มันคงจะง่ายกว่าถ้าจะหันหลังแล้วหนีไปตอนนี้ เขาคงจะมีชีวิตอย่างปลอดภัยที่ไหนสักแห่ง ไกลจากปราสาทของพระราชา หรือเขาจะก้าวผ่านประตูนี้ไปและเป็นไปได้ว่าจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือในคุกใต้ดินกับพวกคนแคระ หรืออาจจะถูกประหาร

เขาสูดหายใจเข้าลึก แล้วตัดสินใจ เขาจะต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้ายนี้ เขาจะถอยหนีไม่ได้

ธอร์พยักหน้า เขากลัวที่จะอ้าปากออกมา กลัวว่าถ้าเขาทำ เขาอาจจะเปลี่ยนใจ

เจ้าชายรีซทรงพยักพระพักตร์ตอบ แววพระเนตรแสดงว่าทรงเห็นชอบด้วย จากนั้นจึงทรงผลักหูจับเหล็กแล้วใช้พระอังสาดันบานประตู

ธอร์หรี่ตาในแสงคบไฟจ้าขณะที่ประตูเลื่อนเปิดออก เขาพบว่าตัวเองยืนอยู่กลางห้องบรรทมของพระราชา โดยมีโครห์นและเจ้าชายรีซอยู่เคียงข้าง

มีคนอย่างน้อยยี่สิบกว่าคนรายล้อมอยู่รอบพระราชาที่ประทับอยู่บนพระแท่น บางคนยืน บางคนคุกเข่า ผู้คนที่แวดล้อมอยู่นั้นคือบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพ พร้อมด้วยอาร์กอน ราชินี เจ้าชายเคนดริค เจ้าชายก็อดฟรีย์ และแม้แต่เจ้าหญิงเกว็นโดลีน มันคือการดูใจครั้งสุดท้าย และธอร์กำลังรุกล้ำเรื่องภายในครอบครัว

บรรยากาศภายในห้องดูอึมครึม แต่ละคนใบหน้าเศร้าหมอง ราชาแม็คกิลประทับหนุนอยู่บนพระเขนย ธอร์รู้สึก

โล่งอกที่ได้เห็นว่าพระองค์ยังมีพระชนม์ชีพ อย่างน้อยที่สุดก็ในตอนนี้

ทุกคนหันมาพร้อมกันและตกใจที่เห็นธอร์และเจ้าชายรีซเข้ามาอย่างกะทันหัน ธอร์รู้ว่าทุกคนจะต้องตกใจ ที่จู่ ๆ พวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นกลางห้อง จากประตูลับบนกำแพงหิน

“เจ้าเด็กคนนั้น!” ใครบางคนตะโกนขึ้น แล้วยืนชี้มาทางธอร์ด้วยความเกลียดชัง “เขาคือคนที่พยายามจะลอบวางยาพิษพระราชา!”

ทหารองครักษ์พุ่งตรงมาที่เขาจากทุกมุมห้อง ธอร์แทบไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไร ใจหนึ่งเขาอยากจะวิ่งหนี แต่เขารู้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับฝูงชนที่กำลังโกรธ เขาจะต้องเข้าเฝ้าพระราชา ดังนั้นเขาจึงเตรียมพร้อมเมื่อทหารวิ่งเข้าใส่ ตั้งท่าจะจับตัวเขา ขณะที่โครห์นส่งเสียงขู่ เตือนคนที่จะเข้ามาทำร้าย

ขณะที่ธอร์ยืนอยู่นั้น เขารู้สึกถึงความร้อนที่คุกรุ่นขึ้นในกาย พลังงานปะทุขึ้นในตัวเขา ธอร์ยกมือขึ้นข้างหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แล้วยื่นฝ่ามือออกไป ปล่อยพลังใส่พวกนั้น

“เจ้ากล้าดียังไงถึงเดินเข้ามาในนี้แล้วใช้เวทมนต์ เจ้าหนุ่ม!” บรอม แม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระราชาตะโกนขึ้น พลางชักดาบ “เจ้าพยายามจะปลงพระชนม์ครั้งหนึ่งยังไม่พออย่างนั้นหรือ?”

บรอมก้าวเข้าหาธอร์พร้อมดาบในมือ ขณะนั้นเองธอร์ก็รู้สึกว่าบางสิ่งเข้าครอบงำเขา เป็นความรู้สึกที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เขาเคยมี เขาหลับตาลงแล้วตั้งสมาธิ รู้สึกถึงพลังจากดาบของบรอม รูปร่างของมัน เนื้อโลหะ และไม่รู้ด้วยวิธีใดเขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับมัน เขาสั่งให้มันหยุดได้ด้วยใจ

บรอมชะงักนิ่ง ดวงตาเบิกกว้าง

“อาร์กอน!” บรอมหันไปแล้วตะโกนบอก “หยุดเวทมนต์นี่เดี๋ยวนี้! หยุดเจ้าเด็กนั่น!”

อาร์กอนก้าวออกมาจากกลุ่มคน ค่อย ๆ ลดผ้าคลุมศีรษะลง เขาจ้องมองธอร์เขม็ง ด้วยแววตาร้อนแรง

“ข้าไม่เห็นเหตุผลที่จะหยุดเขา” อาร์กอนบอก “เขาไม่ได้มาด้วยประสงค์ร้าย”

“ท่านบ้าไปแล้วหรือ? เขาเกือบจะปลงพระชนม์พระราชา!”

“นั่นคือสิ่งที่ท่านคิด” อาร์กอนบอก “แต่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าเห็น”

“ปล่อยเขา” สุรเสียงแหบห้าวดังขึ้น

ทุกคนหันไปพบราชาแม็คกิลทรงลุกขึ้นประทับนั่ง และทอดพระเนตรมาอย่างเหนื่อยอ่อน เห็นได้ชัดว่าทรงพยายามเปล่งคำพูดออกมา

“ข้าอยากพบเขา เขาไม่ใช่คนที่แทงข้า ข้าเห็นหน้ามัน และไม่ใช่เขา ธอร์เป็นผู้บริสุทธิ์”

คนอื่น ๆ ค่อยคลายท่าทีลง ขณะที่ธอร์ผ่อนจิต ปล่อยพวกนั้นเป็นอิสระ ทหารองครักษ์ถอยห่างออกไปพลางมองธอร์อย่างระแวดระวัง ราวกับเขามาจากอีกโลกหนึ่ง แล้วค่อย ๆ เก็บดาบเข้าฝัก

“ข้าอยากพบเขา” ราชาแม็คกิลตรัส “ตามลำพัง พวกเจ้าทุกคนออกไปให้หมด”

“ราชาของข้า” บรอมทูล “พระองค์ทรงคิดว่าจะเป็นการปลอดภัยหรือ? พระองค์จะอยู่ตามลำพังกับเจ้าหนุ่มนี่?

“ห้ามแตะต้องธอร์” ราชาแม็คกิลตรัส “ออกไปได้แล้ว ทุกคนรวมถึงครอบครัวของข้าด้วย”

ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้อง ทุกคนต่างมองหน้ากัน ดูไม่แน่ใจว่าควรทำเช่นไร ธอร์ยืนนิ่งอยู่กับที่ แทบจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

ทุกคนรวมถึงพระบรมวงศ์ค่อย ๆ เดินเรียงกันออกไปจากห้องบรรทม โครห์นเดินตามหลังเจ้าชายรีซไป ทั้งห้องที่เต็มไปด้วยผู้คนเมื่อครู่ กลับว่างเปล่าลงทันที

ประตูปิดลง เหลือเพียงธอร์และราชาแม็คกิลอยู่ตามลำพังในความเงียบ เขาแทบไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น ภาพพระราชาประทับบนพระแท่น พระพักตร์ซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด ทำร้ายเขาเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาได้ เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่มันเกือบจะเหมือนส่วนหนึ่งในตัวเขากำลังจะตายลงไปด้วย บนพระแท่นบรรทมนั้น เขาปรารถนาให้พระราชาทรงปลอดภัยดียิ่งกว่าสิ่งใด

“มานี่สิ เจ้าหนุ่ม” ราชาแม็คกิลตรัสอย่างอ่อนแรง พระสุรเสียงแหบพร่า แทบจะเป็นกระซิบ

ธอร์ก้มศีรษะลงแล้วรีบเข้าไปข้างพระราชา คุกเข่าลงตรงหน้าพระองค์ ราชาแม็คกิลทรงยื่นพระกรออกมา ธอร์รับแล้วก้มลงจุมพิต

เขาเงยหน้าขึ้นเห็นพระองค์ทรงแย้มพระสรวลอย่างอ่อนแรง ธอร์ประหลาดใจเมื่อรู้สึกถึงน้ำตาอุ่น ๆ ไหลอาบแก้ม

“ฝ่าบาท” ธอร์เอ่ยปากทูลอย่างเร่งร้อน ไม่อาจระงับไว้ได้ “ขอทรงโปรดเชื่อข้า ข้าไม่ได้วางยาพิษพระองค์ ข้าเห็นมันจากความฝัน ด้วยพลังบางอย่างที่ข้ายังไม่รู้จัก ข้าเพียงต้องการเตือนพระองค์ ขอทรงโปรดเชื่อข้าด้วย...”

ราขาแม็คกิลยกพระกรขึ้น ธอร์จึงหยุดพูด

“ข้าเข้าใจเจ้าผิด” ราชาแม็คกิลตรัส “ต้องถูกแทงด้วยมือคนอื่นจึงรู้ว่าไม่ใช่เจ้า เจ้าเพียงพยายามจะช่วยข้า ยกโทษให้ข้าด้วย เจ้าเป็นผู้จงรักภักดี อาจจะเป็นผู้ภักดีเพียงคนเดียวในราชสำนักของข้า”

“ข้าปรารถนาให้เรื่องนี้ไม่จริง” ธอร์ทูล “ข้าปรารถนาให้พระองค์ทรงปลอดภัย และขอให้ความฝันของข้าเป็นเพียงภาพหลอน ขอให้พระองค์ไม่เคยถูกลอบปลงพระชนม์ ขอให้ข้าผิด และขอให้พระองค์ทรงปลอดภัย”

ราชาแม็คกิลส่ายพระพักตร์

“เวลาของข้ามาถึงแล้ว” พระราชาตรัสบอกธอร์

ธอร์กลืนน้ำลาย หวังว่ามันจะไม่ใช่ความจริง แต่ก็สัมผัสได้ว่ามันคงเป็นเช่นนั้น

“พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าใครเป็นผู้กระทำการนี้?” ธอร์ทูลถามคำถามที่แผดเผาใจเขามาตลอดนับตั้งแต่ฝันเห็น เขาคิดไม่ออกว่าใครจะต้องการให้พระองค์สวรรคต และเพราะเหตุใด

ราชาแม็คกิลทรงเงยหน้าขึ้นมองเพดาน พยายามกระพริบพระเนตร

“ข้าเห็นหน้ามัน เป็นใบหน้าที่ข้ารู้จักเป็นอย่างดี แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดข้านึกไม่ออก”

พระราชาหันมาหาธอร์

“คงไม่สำคัญแล้วตอนนี้ เวลาของข้ามาถึงแล้ว ไม่ว่าจะด้วยมือของมันหรือของคนอื่น ปลายทางก็ยังคงเหมือนเดิม ที่สำคัญคือ” ราชาตรัสพลางเอื้อมกรมาจับข้อมือของธอร์ไว้ด้วยพละกำลังที่ทำให้เขาประหลาดใจ “สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากข้าจากไปแล้ว อาณาจักรของเราจะไร้ราชา”

ราชาแม็คกิลทอดพระเนตรมองธอร์ด้วยแววจริงจังซึ่งเขาไม่เข้าใจ ธอร์ไม่รู้ว่าพระองค์หมายถึงสิ่งใด หรือว่าพระราชาทรงสั่งการสิ่งใด เขาอยากจะทูลถาม แต่เห็นว่าพระราชาทรงพยายามหายใจอย่างยากลำบาก และไม่อยากเสี่ยงที่จะขัดพระองค์

“อาร์กอนพูดถูกเรื่องเจ้า” พระราชาตรัส ค่อยคลายพระกรช้า ๆ “ชะตาของเจ้ายิ่งใหญ่กว่าของข้ามากนัก”

ธอร์รู้สึกราวกับถูกฟ้าฟาดจากคำพูดของพระราชา ชะตาของเขาหรือ? ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาเช่นนั้นหรือ? ความคิดว่าพระราชาทรงหารือกับอาร์กอนเรื่องธอร์นั้นก็เกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้แล้ว และความจริงที่ว่าพระองค์ตรัสว่าเขาจะมีชะตาอันยิ่งใหญ่กว่าราชานั้น มันหมายความว่าอย่างไรกัน? หรือว่าพระองค์ทรงเห็นภาพหลอนในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต?

“ข้าเลือกเจ้า รับเจ้าเข้ามาในครอบครัวด้วยเหตุผลบางอย่าง เจ้ารู้ไหมว่าคืออะไร?”

ธอร์ส่ายหน้า ต้องการรู้อย่างยิ่ง

“เจ้าไม่รู้หรือว่าทำไมข้าถึงต้องการให้เจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าเท่านั้น ในวาระสุดท้ายของข้า?”

“ฝ่าบาทโปรดอภัย” เขาทูลเสียงสั่น “ข้าไม่รู้เลย”

ราชาแม็คกิลแย้มพระสรวลจาง ๆ พระเนตรเริ่มหรี่ลง

“มีดินแดนยิ่งใหญ่อยู่ไกลจากที่นี่ เลยแดนเถื่อนไป ไกลกว่าดินแดนแห่งมังกร มันคือดินแดนของดรูอิด นั่นเป็นที่ที่แม่เจ้าจากมา เจ้าจะต้องไปที่นั่นเพื่อหาคำตอบ”

ราชาแม็คกิลลืมพระเนตรขึ้น ทรงจ้องมองธอร์ด้วยแววตาที่ธอร์ไม่เข้าใจ

“อาณาจักรของเราขึ้นอยู่กับเรื่องนี้” พระราชาตรัสต่อ “เจ้าไม่เหมือนคนอื่น เจ้าเป็นคนพิเศษ จนกว่าเจ้าจะรู้จักตัวเอง อาณาจักรของเราจะไม่มีวันสุขสงบ”

พระราชาหลับพระเนตร ทรงหายใจอย่างเหนื่อยหอบ พระกรที่กุมข้อมือธอร์ไว้เริ่มอ่อนแรง เขารู้สึกน้ำตาไหลอาบ ใจเขาคิดถึงสิ่งที่พระองค์ตรัสและพยายามจะเข้าใจมัน แต่แทบจะตั้งสติไม่ได้เลย นี่เขาได้ยินถูกต้องหรือไม่?

ราชาแม็คกิลทรงกระซิบบางอย่าง แต่เบามากจนธอร์แทบไม่ได้ยิน เขาก้มลงไปใกล้ เอียงหูเข้าใกล้พระโอษฐ์

พระราชายกพระเศียรขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย และพยายามเปล่งวาจาสุดท้ายออกมา

“แก้แค้นให้ข้า”

จากนั้นก็ทรงนิ่งไป พระองค์ประทับอยู่เช่นนั้นชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่พระเศียรจะเอียงไปด้านหนึ่ง เห็นพระเนตรเบิกค้าง

สวรรคตแล้ว

“ไม่!” ธอร์ตะโกน

เสียงร้องของเขาดังมากจนองครักษ์ได้ยิน เพราะทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงประตูเปิดออกด้านหลัง ได้ยินเสียงผู้คนกรูกันเข้ามา เขารับรู้ด้วยหางตาว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่รอบ ๆ ตัว เขารับรู้อย่างเลือนรางว่าได้ยินเสียงระฆังตีขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงระฆังดังเป็นจังหวะเดียวกับเส้นเลือดที่ขมับของเขา แต่แล้วทุกสิ่งก็เลือนรางลง ครู่ต่อมาทั้งห้องก็หมุนวน

ธอร์เป็นลมไปแล้ว เขาล้มลงฟาดกับพื้นหิน

Ücretsiz ön izlemeyi tamamladınız.