Kitabı oku: «กำเนิดความกล้าหาญ », sayfa 2
บทที่สาม
ไคร่าเดินอย่างเชื่องช้าผ่านประตูแห่งอาร์โกส์ สายตาของเหล่าทหารของพ่อของเธอจับจ้องมายังเธอ ทำให้เธอรู้สึกปวดแสบด้วยความอับอาย เธออ่านความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับธีโอส์ผิดไป เธอคิดมาโดยตลอดด้วยความโง่เขลาว่า เธอสามารถควบคุมเขาได้ – แต่ในทางกลับกัน เขากลับปฏิเสธเธอต่อหน้าทหารเหล่านี้ ในทุกสายตาที่มองเธอนั้น เธอเป็นคนที่ไร้ซึ่งอำนาจใด ๆ ไม่สามารถควบคุมมังกรได้ เธอเป็นเพียงแค่นักรบคนหนึ่งเท่านั้น – ไม่ใช่นักรบสิ เธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่นำผู้คนเหล่านี้เข้าสู่ศึกสงคราม และหากมังกรทิ้งพวกเขาไปอย่างนี้แล้ว มันเป็นสงครามที่ไม่มีทางที่จะเอาชนะได้เลย
ไคร่าเดินผ่านประตูแห่งอาร์โกส์อย่างเงียบ ๆ รับรู้ได้ถึงการถูกจ้องมอง แล้วตอนนี้พวกเขาจะคิดกับเธออย่างไร? เธอสงสัย เธอไม่รู้ว่าเสียด้วยซ้ำว่าจะคิดถึงตัวเองอย่างไร ธีโอส์ไม่ได้มาช่วยเธอหรอกหรือ? เขาเพียงต่อสู่สงครามของเขาเองเท่านั้นใช่ไหม? แล้วเธอมีพลังพิเศษบ้างหรือเปล่านะ?
ไคร่ารู้สึกโล่งอกที่เห็นทหารเหล่านั้นหันมองไปทางอื่น พวกเขาสนใจสมบัติที่ได้มา ทุกคนกำลังสาละวนอยู่กับการรวบรวมอาวุธยุทโธปกรณ์ เตรียมพร้อมสำหรับสงคราม พวกเขารีบเร่งเดินกลับไปกลับมา รวบรวมสิ่งของที่เหล่าทหารของท่านลอร์ดทิ้งไว้ นำขึ้นรถม้าและเคลื่อนย้ายออกไป โล่และเสื้อเกราะถูกนำมากองรวมกันไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อหิมะตกหนักขึ้น และท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้ม พวกเขามีเวลาเหลือน้อยเต็มที
“ไคร่า” เป็นเสียงที่คุ้นเคย
เธอหันกลับไปยังเสียงนั้นและรู้สึกโล่งอกที่ได้เห็นใบหน้าอันยิ้มแย้มของเอนวินขณะที่เดินเข้ามาหาเธอ เขามองเธอด้วยความเคารพ ความอ่อนโยน และความอบอุ่นอย่างที่เคยเป็นเสมอมา เขาโอบไหล่ข้างหนึ่งของเธอด้วยความรัก มีรอยยิ้มกว้างภายใต้เคราของเขา และถือดาบเล่มใหม่ที่สะท้อนแสงเป็นประกายต่อหน้าเธอ ดาบเล่มนี้แกะสลักเป็นสัญลักษณ์ของแพนดีเซีย
“นับเป็นโลหะที่ดีที่สุด ที่ฉันเคยเห็นมาในเวลาหลายปีเลยที่เดียว” เขาพูดพร้อมกับยิ้ม “ขอบคุณเธอ ที่ทำให้เราได้อาวุธมากพอที่จะทำสงคราม เธอช่วยให้เรากลายเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามเลยทีเดียว”
ไคร่ารู้สึกดีที่ได้ยินคำพูดของเขาเหมือนที่เคยมาทุกครั้ง ถึงกระนั้น เธอก็ยังไม่อาจสลัดความรู้สึกหดหู่ ความสับสน ที่ถูกเมินเฉยจากมังกรได้ เธอยักไหล่
“ฉันไม่ได้ทำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้” เธอตอบ “เป็นธีโอส์ต่างหาก”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ธีโอส์กลับมาเพื่อช่วย เธอ” เขาตอบ
ไคร่าเหลือบมองไปยังท้องฟ้าสีเทาเบื้องบนที่ขณะนี้ว่างเปล่า และเธอเริ่มเกิดความสงสัย
“ฉันไม่แน่ใจนักหรอก”
ทั้งสองมองท้องฟ้าอย่างเงียบงันเป็นเวลาเนิ่นนาน มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านเท่านั้น
“พ่อของเธอรอเธออยู่” เอนวินเอ่ยออกมาในที่สุด นำเสียงของเขาจริงจัง
ไคร่าเดินไปพร้อมเอนวิน เสียงกรอบแกรบของน้ำแข็งและหิมะดังใต้รองเท้าบูท พวกเขาเดินผ่านกลุ่มคนที่กำลังทำงานกันอยู่ เดินผ่านทหารของพ่อของเธอสิบคนที่กระจายอยู่ทั่วฐานทัพแห่งอาร์โกส์ รู้สึกผ่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเมื่อเห็นทหารเหล่านี้พากันหัวเราะ ดื่มกัน บ้างกระทบไหล่กัน ขณะที่รวบรวมอาวุธและเสบียง พวกเขาเป็นเหมือนเด็ก ๆ ในวันแห่งออล ฮอลโลว์
เหล่าทหารของพ่อของเธออีกหลายสิบคนเข้าแถวเรียงกันเพื่อส่งต่อถุงเมล็ดข้าวของแพนดีเซีย จนรถบรรทุกมีถุงเมล็ดข้าวกองสูง รถอีกคันมีเกราะที่ส่งเสียงกระทบกันในขณะที่แล่นไป มันกองทับกันสูงมากจนบางส่วนหล่นออกด้านข้าง มีทหารพยายามเก็บอุปกรณ์ที่ตกลงมากลับคืน รถเหล่านี้ล้วนมุ่งหน้าไปที่ป้อมปราการ บางคันอยู่บนเส้นทางกลับไปที่โวลิส คันอื่น ๆ มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่พ่อของเธอสั่งการไว้ ทุกคันล้วนบรรทุกจนปริ่มขอบ ไคร่ารู้สึกพอใจในภาพที่เห็น ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อสงครามที่เธอเป็นผู้กระตุ้นให้เกิดเริ่มลดลง
พวกเขาเลี้ยวที่มุมหนึ่งในขณะที่ไคร่ามองเห็นพ่อของเธอ รายล้อมไปด้วยทหารของเขา กำลังง่วนอยู่กับการตรวจสอบดาบและหอกที่พวกเขานำออกมาให้พ่อของเธอได้ตรวจตรา พ่อของไคร่าหันมา ในขณะที่เธอเดินเข้าไป เขาส่งสัญญาณให้เหล่าทหารแยกย้ายออกไป ปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพัง
พ่อของเธอหันมามองที่เอนวิน ในขณะที่เอนวินยืนอยู่ตรงนั้นสักครู่ ไม่แน่ใจปนประหลาดใจในอาการมองแบบนิ่งเงียบของเขา ในที่สุดเขาก็สั่งให้เอนวินออกมาจากที่นั่นเช่นกัน เอนวินจึงเข้าไปร่วมกับทหารคนอื่น ๆ ปล่อยให้ไคร่าอยู่เพียงลำพังกับพ่อของเธอ เธอเองก็ประหลาดใจเช่นกัน – เขาไม่เคยขอให้เอนวินออกมาก่อนเลย
ไคร่ามองขึ้นไปยังใบหน้าของพ่อเธอ เขามีสีหน้าที่ไม่มีใครคาดเดาได้เหมือนเช่นเคย เป็นสีหน้าที่นิ่งเฉยของผู้นำทหาร ไม่ใช่ใบหน้าของพ่อที่เธอเคยรู้จักและเคยรัก เขามองตรงลงมายังเธอ ทำให้เธอรู้สึกประหม่า ในขณะที่ความคิดหลายอย่างแล่นผ่านเข้ามาในหัวเธอในเวลาเดียวกัน: พ่อภูมิใจในตัวฉันหรือเปล่านะ? หรือเขาโกรธที่เธอเป็นคนจุดชนวนสงครามนี้ขึ้น? เขาผิดหวังหรือเปล่าที่ธีโอส์ขับไสไล่ส่งเธอและละทิ้งกองทหารของเขา?
ไคร่าได้แต่รอ เธอเคยชินกับการนิ่งเงียบเป็นเวลานานก่อนจะเอ่ยปากบอกสิ่งใด และเธอไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ หลายสิ่งได้เปลี่ยนแปลงระหว่างทั้งสองในเวลาอันรวดเร็ว เธอรู้สึกเหมือนกับโตขึ้นมาในชั่วเวลาข้ามคืน ในขณะที่เขาเปลี่ยนไปจากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนกับว่าทั้งคู่ไม่รู้ว่าจะสานสัมพันธ์ดังเดิมได้อย่างไร เขายังคงเป็นพ่อที่เธอรู้จักและรักหรือไม่ คนที่อ่านนิทานให้เธอฟังก่อนเข้านอนตอนกลางคืนหรือเปล่า? หรือเขาเป็นผู้บังคับบัญชาของเธอแล้วในตอนนี้?
เขายังยืนนิ่ง จ้องมอง และเธอคิดได้ว่าเขาไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไร ในขณะที่ความเงียบเริ่มกดดันคนทั้งสองมากยิ่งขึ้น มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่าน คบเพลิงที่เหล่าทหารจุดเพื่อขับไล่ความมืดในยามค่ำคืนส่องแสงวับวาวอยู่ด้านหลัง ในที่สุด ไคร่าก็ไม่อาจทนกับความเงียบได้อีกต่อไป
“พ่อจะนำสิ่งของเหล่านี้กลับไปที่โวลิสหรือ?” เธอถามขณะที่รถขนดาบวิ่งผ่านส่งเสียงโลหะกระทบกัน
เขาหันไปสำรวจรถคันนั้นและดูเหมือนว่าจะหลุดออกมาจากภวังค์ เขาไม่ได้หันกลับมายังไคร่า ยังคงมองไปที่รถในขณะที่ส่ายหัว
“โวลิสไม่มีสิ่งใดให้เราอีกต่อไปนอกจากความตาย” เขาพูดด้วยเสียงทุ้มและเด็ดขาด “เรามุ่งหน้าไปทางใต้แล้วในขณะนี้”
ไคร่ารู้สึกประหลาดใจ
“ทางใต้หรือ?” เธอถาม
เขาพยักหน้า
“เอสเฟส” เขาเอ่ยออกมา
หัวใจของไคร่าท่วมท้นไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อเธอนึกภาพการเดินทางไปยังเอสเฟส ป้อมปราการอันแข็งแกร่งบนเกาะในทะเล เพื่อนบ้านที่ยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้ เธอยิ่งรู้สึกตื่นเต้นยิ่งขึ้นเมื่อเธอนึกได้ว่า – การเดินทางไปที่แห่งนั้นมีความหมายแต่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น: เขากำลังตระเตรียมทำสงคราม
เขาพยักหน้า เหมือนจะอ่านใจเธอออก
“เราจะไม่หันหลังกลับไปอีกแล้ว” เขาบอก
ไคร่ามองพ่อของเธอด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อนเป็นเวลาหลายปีแล้ว เขาไม่ใช่เพียงนักรบที่มีความพึงพอใจกับชีวิตวัยกลางคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ปกป้องฐานทัพเล็ก ๆ อีกต่อไป แต่เขาคือผู้บัญชาการรบที่กล้าหาญที่สุดที่เคยได้รู้จัก ผู้ซึ่งยินดีจะเสี่ยงเพื่ออิสรภาพ
“เราจะไปกันเมื่อไร?” เธอถาม หัวใจเธอเต้นโครมคราม ด้วยความหวังที่จะทำศึกเป็นครั้งแรกในชีวิต
เธอต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเขาส่ายศีรษะ
“ไม่ใช่เรา” เขาแก้ไข “ฉันและทหารของฉัน ไม่ใช่เธอ”
ไคร่ารู้สึกผิดหวัง คำพูดของเขาเปรียบเสมือนมีดที่กรีดดวงใจของเธอ
“พ่อจะทิ้งลูกไว้ที่นี่หรือ?” เธอถามอย่างตะกุกตะกัก “หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้นะหรือ? ลูกต้องทำอย่างไรจึงจะพิสูจน์ตัวเองกับพ่อได้?”
เขาส่ายหน้า ในขณะที่เธอรู้สึกสิ้นหวังที่เห็นแววตาอันหนักแน่นในสายตาของเขา สายตาแบบที่เธอรู้ดีว่า เขาจะไม่เปลี่ยนใจอย่างแน่นอน
“ลูกจะต้องไปหาลุงของเจ้า” เขาบอก มันเป็นคำสั่งไม่ใช่การขอร้อง และด้วยคำพูดเหล่านี้ เธอรู้ดีถึงสถานะของเธอในเวลานี้ เธออยู่ในสถานะของทหารคนหนึ่ง ไม่ใช่ลูกของเขา ความรู้สึกนี้เจ็บปวดไม่น้อย
ไคร่าหายใจเข้าลึก – เธอจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก
“แต่ลูกต้องการต่อสู้เคียงข้างพ่อ” เธอยืนยัน “ลูกช่วยพ่อได้”
“เธอ จะ ได้ช่วยฉันแน่” เขาบอก “ด้วยการไปยังสถานที่ที่ต้องการลูก และพ่อต้องการให้เธอไปอยู่กับลุง”
เธอขมวดคิ้ว พยายามทำความเข้าใจ
“แต่ทำไม่ล่ะ?” เธอถาม
เขานิ่งเงียบไปพักใหญ่ จนในที่สุดเขาก็ถอนหายใจ
“ลูกมี ...” เขาเริ่มพูด “...ทักษะ ที่พ่อเองก็ไม่เข้าใจ ทักษะที่เราต้องการเพื่อที่จะชนะในศึกสงครามครั้งนี้ ทักษะที่มีเพียงลุงของลูกเท่านั้นที่รู้ว่าจะฟูมฟักอย่างไร”
เขายื่นมือออกมาจับไหล่ของเธออย่างมีความหมาย
“หากลูกต้องการช่วยเราแล้วละก็” เขาเสริม “หากลูกต้องการช่วยผู้คนของเรา ที่แห่งนั้นคือสถานที่ที่ต้องการลูก พ่อไม่ต้องการทหารเพิ่มอีกหนึ่งคน – พ่อต้องการความสามารถอันโดดเด่นที่ลูกมีอยู่ ทักษะที่ไม่มีใครมีเสมอเหมือน”
เธอมองเห็นถึงความกระตือรือร้นในดวงตาของเขา แม้ว่าเธอจะรู้สึกแย่ที่ไม่สมหวังที่จะติดตามเขาไป เธอรู้สึกว่าได้รับคำยืนยันจากคำพูดของเขา – ประกอบกับความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นที่เพิ่มพูนยิ่งขึ้น เธอสงสัยว่าทักษะที่เขาพูดนี้หมายถึงอะไร และยิ่งสงสัยว่าลุงของเธอคือใคร
“ไปและเรียนรู้ในสิ่งที่พ่อไม่สามารถสอนลูกได้” เขาพูดต่อ “กลับมาอย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้น และมาช่วยให้พ่อมีชัยชนะ”
ไคร่ามองไปที่ดวงตาของเขา และเธอรู้สึกได้ถึงความเคารพ และความอบอุ่นที่ได้รับกลับคืนมา ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นอีกครั้ง
“การเดินทางไปเออร์เป็นระยะทางที่ไกลมาก” เขาเสริม “ใช้เวลาขี่ม้าถึง 3 วันเต็มไปทางตะวันตกและขึ้นเหนือ ลูกจะต้องข้ามเอสคาลอนโดยลำพัง ต้องขี่ม้าด้วยความรวดเร็ว ต้องซ่อนตัว และต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางถนน เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ ในไม่ช้าจะแพร่กระจายออกไป และลอร์ดแห่งแพนดีเซียจะโกรธแค้นเป็นอย่างมาก เส้นทางถนนจึงมีอันตรายมาก ลูกต้องใช้เส้นทางในป่า ขี่ขึ้นเหนือมองหาทะเล และพยายามมองทะเลไว้ เพราะมันคือเข็มทิศของลูก เดินทางไปตามแนวชายทะเล แล้วลูกจึงจะเจอเออร์ หลีกเลี่ยงหมู่บ้าน หลีกเลี่ยงผู้คน จงอย่าหยุด จงอย่างบอกใครเป็นอันขาดว่าลูกจะไปที่ไหน และอย่าพูดกับใครเด็ดขาด”
เขาจับไหล่เธอแน่น ด้วยแววตาที่เศร้าหมองและดูเร่งรีบ มันทำให้เธอรู้สึกเจ็บแปลบ
“ลูกเข้าใจพ่อไหม?” เขาเรียกร้อง “มันเป็นการเดินทางที่อันตรายสำหรับผู้ชายก็ตาม – ไม่ต้องพูดถึงหากเป็นเด็กผู้หญิงที่ต้องเดินทางเพียงลำพัง พ่อไม่อาจหาคนไปเป็นเพื่อนเธอได้ พ่อต้องการให้ลูกมีความเข้มแข็งพอที่จะทำสิ่งนี้เพียงผู้เดียว ทำได้ไหม?”
เธอรับรู้ได้ถึงความกลัวในเสียงของเขา เป็นความรักของพ่อผู้ห่วงลูก และเธอพยักหน้ารับ รู้สึกภาคภูมิใจว่าเขาเชื่อใจให้เธอปฏิบัติภารกิจนี้
“ลูกทำได้ ท่านพ่อ” เธอพูดด้วยความภาคภูมิใจ
เขาสังเกตเธอ แล้วในที่สุดก็พยักหน้า ด้วยความพึงพอใจ ในไม่ช้า ดวงตาของเขาก็เอ่อล้นด้วยน้ำตา
“ในบรรดาคนทั้งหมดที่มี” เขาบอก “บรรดานักรบทั้งหมดเหล่านี้ ลูกเป็นคนซึ่งพ่อต้องการมากที่สุด ไม่ใช่พี่ ๆ ของเธอหรือแม้แต่ทหารที่ไว้ใจได้ มี เธอ เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่สามารถนำชัยในศึกสงครามนี้ได้”
ไคร่ารู้สึกสับสนและท่วมท้นในเวลาเดียวกัน เธอยังไม่เข้าใจเต็มที่นักว่าเขาหมายความว่าอะไร ขณะที่จะเอ่ยปากถาม เธอก็รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวใกล้เข้ามา
เธอหันไปเห็นเบย์เลอร์ ผู้ดูแลม้าของพ่อของเธอ เขาเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเคย ชายร่างอ้วนเตี้ย คิ้วดกหนา ผมเป็นเส้นเหมือนเส้นด้าย เขาเดินเข้ามาหาคนทั้งสองด้วยท่าทีวางโตและยิ้มให้เธอ หลังจากนั้นจึงมองพ่อของเธอเหมือนกับรอการอนุญาตจากเขา
พ่อของเธอพยักหน้าอนุญาต ไคร่าเริ่มประหลาดใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะที่เบย์เลอร์หันมาทางเธอ
“ผมได้รับทราบมาว่าท่านกำลังจะเดินทาง” เบย์เลอร์บอก เสียงขึ้นจมูก “สำหรับภารกิจนี้ ท่านต้องมีม้าสักตัวหนึ่ง”
ไคร่าขมวดคิ้วด้วยความสับสน
“แต่ฉันมีม้าอยู่แล้ว” เธอตอบ มองข้ามไปยังม้าพันธุ์ดีที่เธอขี่มาโดยตลอดที่ทำสงครามกับเหล่าทหารของท่านลอร์ด ที่ผูกอยู่ฝั่งตรงข้ามของสนาม
เบย์เลอร์ยิ้ม
“นั่นมันไม่ใช่ม้า” เขาบอก
เบย์เลอร์มองไปที่พ่อของเธออีกครั้ง และพ่อของเธอพยักหน้า ในขณะที่ไคร่าพยายามที่จะทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ตามผมมา” เขาบอก “แล้วท่านจะไม่เสียใจเลย”
*
ไคร่าเดินข้ามสนามที่มีหิมะปกคลุมไปกับเบย์เลอร์ โดยมีเอนวิน อาร์ทฟอล และวิดาร์ไปเป็นเพื่อน ทั้งหมดเดินอย่างกระตือรือร้นไปยังคอกม้าที่สร้างจากหินที่อยู่ด้านล่าง ไกลออกไป ในขณะที่เดินไปนั้น ไคร่าประหลาดใจว่าที่เบย์เลอร์พูดมีความหมายว่าอย่างไร สงสัยว่าม้าแบบไหนกันนะที่เขาเตรียมไว้ให้เธอ เพราะในความคิดของเธอแล้ว ม้าตัวไหน ๆ ก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร
ในขณะที่พวกเขาเดินมาถึงส่วนขยายของคอกม้าหินที่มีความยาวอย่างน้อย 100 หลา เบย์เลอร์หันมาหาเธอ ดวงตาของเขาเบิกโพลงด้วยความดีใจ
“บุตรสาวของท่านลอร์ดของเราต้องการม้าที่ดีเยี่ยมเพื่อนำเธอไปในที่ที่เธอต้องการเดินทางไป”
หัวใจของไคร่าเต้นเร็วขึ้น เธอไม่เคยได้รับม้าจากเบย์เลอร์มาก่อนเลย เกียรติยศระดับนี้มักสงวนไว้สำหรับนักรบผู้มีชื่อเสียงเท่านั้น เธอเคยฝันว่าจะเป็นเจ้าของม้าสักตัวเมื่อเธอโตพอ และเมื่อเธอคู่ควรที่จะได้ครอบครองมัน มันเป็นเกียรติที่แม้แต่พี่ชายของเธอก็ยังไม่มีโอกาสได้รับ
เอนวินพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ
“เธอคู่ควรแล้ว” เขาบอก
“หากเธอสามารถรับมือกับมังกรได้” อาร์ทฟอลเสริมด้วยรอยยิ้ม “เธอย่อมสามารถควบคุมเจ้าแห่งม้าได้แน่”
เมื่อคอกม้าปรากฏขึ้น กลุ่มคนขนาดเล็กเริ่มล้อมวงเข้ามา ร่วมเดินไปกับพวกเขา คนเหล่านี้หยุดพักจากการเก็บรวบรวมอาวุธ และสนใจใคร่รู้ว่าเขากำลังนำเธอไปที่ไหน พี่ชายทั้งสองของเธอ ได้แก่ แบรนดอน และแบรกซ์ตันเข้ามารวมกลุ่มด้วย เหลือบมองมาที่ไคร่าด้วยดวงตาแห่งความอิจฉาแต่ไม่กล่าวอะไร พวกเขารีบมองไปทางอื่นโดยทันที ด้วยความหยิ่งทะนงเหมือนที่เคย แทนที่จะชื่นชมกับเธอ กลับรู้สึกไม่ยินดียิ่งขึ้นเมื่อเธอได้รับคำชม จริง ๆ แล้วเธอไม่คาดหวังอะไรจากพี่ชายทั้งสองคนนี้เลย
ไคร่าได้ยินเสียงฝีเท้าจึงมองตามเสียงไป และดีใจที่เห็นเดียร์ดรี เพื่อนของเธอ เข้ามาร่วมกลุ่มกับเธอด้วย
“ฉันได้ยินว่าเธอกำลังจะไป” เดียร์ดรีบอกขณะที่เดินเข้ามาเคียงข้าง
ไคร่าเดินเคียงข้างเพื่อนใหม่ของเธอ รู้สึกอุ่นใจที่เห็นเพื่อนของเธอ เธอนึกย้อนกลับไปเมื่อเวลาที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันในห้องขังของท่านลอร์ด ทั้งความทุกข์ทรมานที่ทั้งสองต้องทน การหลบหนี และเธอรู้สึกถึงความผูกพันที่มีกับเพื่อนคนนี้โดยทันที เดียร์ดรีต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากปานนรกมากกว่าเธอมากนัก ในขณะที่เธอเหลือบมองเพื่อนคนนี้ เธอสังเกตเห็นสีดำใต้ขอบตาทั้งสองข้าง มันเป็นสัญลักษณ์แห่งความทุกทรมานและความเศร้าที่ยังคงอยู่ในตัวเธอ ทำให้เธอสงสัยว่าสิ่งนี้หรือเปล่าที่ทำให้เธอเป็นเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เธอรู้ดีว่าเธอไม่อาจปล่อยเพื่อนคนนี้ให้อยู่โดยลำพังในป้อมปราการแห่งนี้ได้ ทั้งกองทัพกำลังเคลื่อนลงสู่ทิศใต้ เดียร์ดรีจะต้องถูกปล่อยทิ้งไว้ตามลำพัง
“ฉันควรมีเพื่อนร่วมเดินทางด้วย” ไคร่าบอก แนวคิดนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเธอเอ่ยปาก
เดียร์ดรีมองไปที่ดวงตาของไคร่า ดวงตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ ตามมาด้วยการฉีกยิ้มกว้าง สัญญาณแห่งความหนักใจในตัวเธอเริ่มลดลง
“ฉันกำลังหวังอยู่ว่าเธอจะเอ่ยปากชวน” เธอตอบ
เอนวินได้ยินดังนั้นมีสีหน้าตึงเครียดทันที
“ฉันไม่แน่ใจนะว่าพ่อของเธอจะอนุญาต” เขาแทรกเข้ามา “เธอมีภารกิจสำคัญอยู่ตรงหน้าในขณะนี้”
“ฉันจะไม่ขัดขวางแน่นอน” เดียร์ดรีบอก “ฉันต้องเดินทางข้ามเอสคาลอนอยู่แล้ว ฉันกำลังเดินทางกลับไปหาพ่อ คงเป็นการดีถ้าไม่ต้องเดินทางโดยลำพัง”
เอนวินเอามือลูบเครา
“พ่อของเธอต้องไม่ชอบใจแน่” เขาบอกกับไคร่า “เธออาจเป็นภาระ”
ไคร่าจับข้อมือของเอนวินเพื่อให้ความมั่นใจกับเขา
“เดียร์ดรีเป็นเพื่อนของฉันนะ” เธอบอก เพื่อยุติเรื่องนี้ “ฉันจะไม่ทอดทิ้งเธอ เฉกเช่นที่เธอจะไม่ทิ้งเหล่าทหารของเธอเช่นกัน นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกแก่ฉันมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ? ไม่ทิ้งผู้ใดไว้เบื้องหลัง”
ไคร่าถอนหายใจ
“ฉันอาจเป็นคนช่วยเดียร์ดรีออกมาจากห้องขังก็จริง” ไคร่าเสริม “แต่เธอได้ช่วยชีวิตฉันไว้เช่นกัน ฉันเป็นหนี้บุญคุณเธอ ฉันขอโทษนะ แต่สิ่งที่ท่านพ่อของฉันคิดอาจมีเหตุผลเพียงเล็กน้อย เพราะเป็น ฉัน คนเดียวมิใช่หรือที่ต้องเดินทางข้ามเอสคาลอน ไม่ใช่เขา เดียร์ดรีจะเดินทางไปกับฉัน”
เดียร์ดรียิ้ม เธอก้าวเข้ามาเคียงข้างไคร่าและคล้องแขนเธอด้วยความภาคภูมิใจ ไคร่ารู้สึกดีกับความคิดที่ว่าจะมีเพื่อนร่วมเดินทางด้วยกัน และเธอมั่นใจว่าตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ไคร่าสังเกตเห็นพี่ของเธอเดินอยู่ข้าง ๆ และเธออดไม่ได้ที่จะสัมผัสได้ว่าพวกเขามีความรู้สึกผิดหวังที่เขาไม่สามารถปกป้องเธอได้ ทำให้เธอรู้เศร้าเมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพวกเขา ถึงอย่างนั้น เธอไม่อาจเปลี่ยนแปลงผู้อื่นได้ เธอตระหนักดีว่า ต้องรู้สึกดีขึ้นในไม่ช้า พวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความอวดดี และย่อมทำอะไรผลีผลามที่อาจทำให้เธอได้รับอันตรายได้
“ฉันอยากไปกับเธอด้วยนะ” เอนวินบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและรู้สึกผิด “ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไรกับแนวคิดของการเดินทางข้ามเอสคาลอน” เขาถอนหายใจ “แต่พ่อของเธอต้องการให้ฉันช่วยในช่วงเวลาเช่นนี้ ท่านได้ขอให้ฉันไปกับท่าน เดินทัพลงใต้”
“และฉัน” อาร์ทฟอลเสริม “ฉันอยากไปกับเธอด้วยเช่นกัน – แต่ฉันได้รับคำสั่งให้ไปทางใต้เหมือนกัน”
“สำหรับฉันได้รับคำสั่งให้อยู่ที่นี่เพื่อรักษาโวลิสเมื่อท่านไม่อยู่” วิดาร์เสริม
ไคร่ารู้สึกซาบซึ้งในความปรารถนาดี
“อย่ากังวลไปเลย” เธอตอบ “เพียงแค่การขี่ม้าเป็นเวลา 3 วันเท่านั้น ฉันต้องปลอดภัย”
“เธอจะปลอดภัย” เบย์เลอร์แทรกเข้ามา ก้าวเข้ามาใกล้ “และม้าตัวใหม่ของเธอจะทำให้เธอเป็นเช่นนั้น”
พูดจบ เบย์เลอร์ก็ผลักประตูคอกม้าเปิดกว้าง และพวกเขาเดินตามเขาเข้าไปในอาคารที่มีหลังคาต่ำ ที่มีกลิ่นม้าฉุนในอากาศ
สายตาของไคร่าค่อย ๆ ปรับให้เข้ากับแสงสลัว ขณะที่เธอเดินตามเขาเข้าไปในคอกม้าที่อับชื้นและเย็น เต็มไปด้วยเสียงของม้าที่แสดงออกถึงความตื่นเต้น เธอมองไปขึ้นและลงตามแถวคอกม้า และเห็นม้าที่สวยงามที่สุดที่เธอเคยพบเห็น – ม้าตัวใหญ่ แข็งแรง สวยงาม สีดำและสีน้ำตาล แต่ละตัวล้วนเป็นผู้ชนะ ที่นี่นับเป็นขุมทรัพย์จริง ๆ
“เหล่าทหารของท่านลอร์ดเก็บม้าที่ดีที่สุดไว้ให้ตัวเอง” เบย์เลอร์อธิบายในขณะที่พวกเขาเดินไป ด้วยท่าทีกร่างตามแบบฉบับของเขา เขาสัมผัสม้าตัวหนึ่ง ตบเบา ๆ ที่อีกตัวหนึ่ง และดูเหมือนว่าสัตว์เหล่านี้กลับกลายเป็นมีชีวิตเมื่อเขาอยู่ใกล้
ไคร่าเดินอย่างเชื่องช้า สังเกตทุกสิ่งทุกอย่าง ม้าแต่ละตัวเป็นเหมือนงานศิลปะ แต่ละตัวมีขนาดใหญ่กว่าม้าส่วนใหญ่ที่เธอเคยเห็นมา เต็มไปด้วยความสวยงามและทรงพลัง
“ต้องขอบคุณเธอ และมังกรของเธอ ม้าเหล่านี้เป็นของเราแล้วในเวลานี้” เบย์เลอร์พูด “เพียงแต่เลือกเท่านั้น พ่อของเธอบอกกำชับว่าให้เธอเป็นคนเลือกคนแรก ก่อนที่ท่านจะได้เลือกเสียด้วยซ้ำ”
ไคร่ารู้สึกตื้นตัน เธอมองไปที่คอกม้า รู้สึกได้ถึงภาระแห่งความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง ด้วยรู้ว่าครั้งนี้นับเป็นโอกาสเดียวในชีวิต
เธอเดินช้า ๆ มือลูบไล้ไปที่ขนที่แผงคอของพวกมัน รู้สึกได้ถึงความนุ่ม เรียบลื่น และพลัง เธอไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกตัวไหน
“ฉันจะเลือกยังไง?” เธอถามเบย์เลอร์
เขายิ้มและส่ายหัว
“ผมฝึกม้ามาตลอดชีวิต” เขาตอบ “ผมเลี้ยงพวกมันด้วย และหากมีเพียงสิ่งเดียวที่ผมรู้เกี่ยวกับม้าละก็ ไม่มีม้าตัวใดเลยที่เหมือนกัน บางตัวถูกเลี้ยงมาให้มีความเร็ว บางตัวเพื่อความแข็งแรง บางตัวเพื่อพละกำลัง ในขณะที่บางตัวเพื่อบรรทุกสัมภาระ ม้าบางตัวหยิ่งทระนงมากเกินกว่าจะยอมบรรทุกสิ่งใด สำหรับตัวอื่น ๆ ถูกสร้างมาเพื่อทำสงคราม บางตัวเหมาะกับการต่อสู่เพียงครั้งเดียวบนหลังม้า บางตัวเพียงแค่อยากต่อสู้เท่านั้น ในขณะที่ตัวอื่น ๆ ถูกสร้างเพื่อทำสงครามแบบมาราธอน บางตัวอาจเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ บางตัวอาจเบือนหน้าหนีจากเธอ สัมพันธภาพระหว่างคนกับม้านับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ มันต้องเป็นฝ่ายเลือกเธอ และเธอก็ต้องเป็นฝ่ายเลือกมันเช่นกัน เลือกให้ดี และม้าตัวนั้นจะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป ไม่ว่าจะต้องสู้ศึกหรือในสมรภูมิ ไม่มีนักรบคนใดเลยที่จะเป็นนักรบที่สมบูรณ์ได้โดยปราศจากอาชาเคียงข้าง”
ไคร่าเดินช้า ๆ หัวใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น เดินผ่านม้าตัวแล้วตัวเล่า บางตัวมองมาที่เธอ บางตัวหันมองไปทางอื่น บางตัวส่งเสียงร้อง บางตัวใช้ขาหน้ากระทืบพื้นด้วยความใจร้อน บางตัวยืนนิ่ง เธอรอดูว่ามีตัวไหนที่จะเชื่อมต่อกับเธอหรือไม่ แต่เธอไม่รู้สึกถึงการเชื่อมต่อนั้นเลย และนั่นทำให้เธอรู้สึกสับสนยิ่งขึ้น
ทันใดนั้น เธอรู้สึกเย็นวาบที่ไขสันหลังโดยฉับพลัน เหมือนสายฟ้าฟาดลงมาที่ตัวเธอ ตามด้วยเสียงแหลมดังก้องอยู่ในคอกม้า เสียงที่จะบอกเธอว่า นั่นแหละม้าตัวที่ใช่ เสียงของมันไม่เหมือนเสียงม้าโดยทั่วไป – แต่เสียงที่เปล่งออกมามีลักษณะที่เน้นหนักมากกว่า มีพลังมากกว่าม้าตัวอื่น ๆ เสียงนั้นดังเด่นชัดเหนือเสียงม้าตัวอื่นทั้งหมด เหมือนเสียงของราชสีห์เจ้าป่าที่พยายามจะปลดตัวเองให้หลุดพ้นจากพันธนาการ เสียงนั้นทั้งน่ากลัว และ – ในขณะเดียวกัน ก็ดึงดูดเธอเข้าไปหา
ไคร่าหมุนตัวหาต้นเสียง และมาหยุดตรงที่ตอนปลายของคอกม้า เมื่อมาถึงเธอได้เห็นไม้ล้มลง เห็นคอกม้ากระจัดกระจาย และเศษไม้ปลิวไปทั่วทุกทิศ หลายคนรีบรุดมายังจุดเกิดเหตุ พยายามที่จะปิดประตูไม้ที่หักพังแล้ว เจ้าม้ายังคงถีบประตูด้วยกีบหน้าทั้งสองข้าง
ไคร่ารีบเร่งไปยังจุดที่เสียงดังเอะอะนั้น
“เธอกำลังจะไปไหน?” เบย์เลอร์ถาม “ม้าที่ดีเลิศอยู่ที่นี่”
แต่ไคร่าไม่สนใจเขา เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น หัวใจเธอเต้นเร็วยิ่งขึ้นตามจังหวะการเดิน เธอรู้ว่ามันกำลังเรียกหาเธออยู่
เบย์เลอร์และคนที่เหลือพยายามที่จะรั้งตัวเธอไว้ในขณะที่เธอเดินมาจนเกือบสุดคอกม้า และเมื่อเดินมาถึง เธอหันไปพบกับภาพที่ทำให้เธอต้องอ้าปากค้าง เพราะที่ยืนอยู่ดูเหมือนจะเป็นม้า แต่มีขนาดใหญ่เป็น 2 เท่าของม้าทั่วไป ขาใหญ่หนาเหมือนลำต้นไม้ มันมีเขาเล็ก ๆ ที่แหลมคมเหมือนใบมีด ที่มองแทบไม่เห็นอยู่หลังใบหู ผิวหนังของมันไม่ได้เป็นสีน้ำตาลหรือสีดำเหมือนตัวอื่น แต่เป็นสีแดงเลือดนกที่เข้มเป็นประกาย – และดวงตาของมันต่างจากม้าตัวอื่นเช่นกัน ดวงตาของมันเป็นสีเขียวสุกใส ดวงตาทั้งคู่เพ่งจ้องมาที่เธอ เกิดความรู้สึกจุกแน่นพุ่งขึ้นมาที่อกจนเธอแทบหยุดหายใจ เธอไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้เลย
เจ้าสัตว์ตัวนั้นยืนตระหง่านอยู่เหนือเธอ ทำเสียงคำรามอย่างดุดัน เผยให้เห็นเขี้ยวในปากของมัน
“นี่มันม้าอะไร?” เธอถามเบย์เลอร์ เสียงของเธอแผ่วเบาจนคล้ายเสียงกระซิบ
เขาส่ายหัวแสดงอาการไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ
“นั่นมันไม่ใช่ม้า” เขามีสีหน้าบูดบึ้ง “แต่เป็นสัตว์ดุร้าย เจ้าตัวประหลาด พบเห็นได้ยากมาก มันคือโซลเซอร์ ที่นำเข้าจากดินแดนไกลโพ้นชายแดนของแพนดีเซีย ลอร์ด โกเวิร์นเนอร์คงจะเก็บมันเอาไว้ตั้งโชว์เหมือนเป็นถ้วยรางวัล เขาไม่สามารถขี่เจ้าสัตว์ตัวนี้ได้ – ไม่มีใครที่สามารถ โซลเซอร์เป็นสัตว์ที่ดุร้าย ไม่สามารถทำให้เชื่องได้ มาเถอะ – เธอเสียเวลาอันมีค่ายิ่ง กลับไปเลือกม้ากันต่อดีกว่า”
แต่ไคร่ายังยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนมีรากยึดติดอยู่กับพื้น ไม่สามารถละสายตาไปจากสัตว์ตัวนั้นได้ หัวใจเธอเต้นรัวยิ่งรู้ว่าสัตว์ตัวนี้เป็นของเธอ
“ฉันเลือกตัวนี้” เธอกล่าวกับเบย์เลอร์
เบย์เลอร์และคนอื่น ๆ พากันอ้าปากค้าง ทั้งหมดมองมาที่เธอ ราวกับเธอเป็นบ้าไปแล้ว ทั้งหมดพากันเงียบด้วยความตกตะลึง
“ไคร่า” เอนวินเริ่มต้นก่อน “ท่านพ่อของเธอจะไม่มีทางอนุญาตให้เธอ—”
“ฉันเป็นคนเลือกเอง ไม่ใช่หรือ” เธอตอบ
เขามีสีหน้าบูดบึ้งและยกมือทั้งสองขึ้นเท้าสะเอว
“นั่นมันไม่ใช่ม้า!” เขายืนยัน “มันเป็นสัตว์ป่า”
“ในไม่ช้ามันจะฆ่าเธอ” เบย์เลอร์เสริม
ไคร่าหันไปหาเบย์เลอร์
“ก็คุณไม่ใช่หรือที่บอกให้ฉันเชื่อสัญชาติญาณของฉันเอง?” เธอถาม “แล้วเจ้าตัวนี้ก็พาฉันมาที่นี่ เจ้าสัตว์ตัวนี้กับตัวฉันสามารถสื่อถึงกันได้”
ทันใดนั้น เจ้าโซลเซอร์ก็ยกขาอันใหญ่โตของมันถีบประตูไม้อีกบานกระเด็น เศษไม้เล็ก ๆ กระเด็นไปทั่ว ในขณะที่ผู้คนพากันแตกตื่น ไคร่ารู้สึกกลัวเกรง มันเป็นสัตว์ป่าที่ไม่เชื่องและยิ่งใหญ่ สัตว์ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าสถานที่แบบนี้ ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะถูกจับขังไว้ และเหนือกว่าสัตว์ตัวอื่นอย่างมาก
“ทำไมเธอถึงคู่ควรที่จะได้มันล่ะ?” แบรนดอนถาม ขณะที่ก้าวมาข้างหน้าและดันคนอื่นให้หลีกทาง “ฉันอายุมากกว่า และเหนือสิ่งอื่นใด ฉันอยากได้มัน”
ก่อนที่ไคร่าจะได้เอ่ยอะไร แบรนดอนก้าวมาข้างหน้าเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของด้วย เขากระโดดขึ้นบนหลังของมัน และเมื่อเขาทำเช่นนั้น โซลเซอร์ก็เหวี่ยงตัวอย่างรุนแรงจนร่างของเขาลอยละลิ่วข้ามคอกม้าไปกระแทกผนัง
แบรกซ์ตันจึงก้าวเข้ามาแทนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของเช่นกัน และมันก็เหวี่ยงหัวและกรีดแขนแบรกซ์ตันด้วยเขี้ยวของมัน
เมื่อมีเลือดออก แบรกซ์ตันกรีดร้องและวิ่งออกไปจากคอกม้า เอามือกุมแขนตัวเองไว้ แบรกซ์ตันพยุงกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล และก้าวเท้าออกไป ทำให้โซลเซอร์กัดไม่โดน
ไคร่ายืนนิ่งเงียบ แต่ไม่รู้สึกหวาดกลัว เธอรู้ว่าหากเป็นเธอแล้วละก็ มันจะต้องปฏิบัติต่อเธอแตกต่าง เธอรู้สึกว่าเธอกับเจ้าสัตว์ดุร้ายตัวนี้สามารถเชื่อมต่อกันได้ ในลักษณะเดียวกับที่เธอมีกับธีโอส์
ทันใดนั้น ไคร่าก็ก้าวเท้าเข้าไปหาอย่างกล้าหาญ และยื่นอยู่ตรงหน้ามัน ในระยะที่สามารถตายได้จากเขี้ยวของมัน เธอต้องการแสดงให้โซลเซอร์เห็นว่าเธอเชื่อใจมัน
“ไคร่า!” เอนวินตะโกน มีความกังวลในน้ำเสียง “ถอยมา!”
แต่ไคร่าไม่ใส่ใจ เธอยังยืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองเจ้าสัตว์ที่ดวงตา
เจ้าสัตว์ร้ายจ้องตอบ เสียงคำรามดังออกมาจากลำคอ เหมือนกับกำลังตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อ ไคร่าสั่นด้วยความกลัว แต่เธอไม่ยอมให้ใครเห็น
เธอบังคับตัวเองให้แสดงความกล้าหาญออกมา เธอยกมือขึ้นช้า ๆ ในขณะที่ก้าวไปข้างหน้า และสัมผัสผิวหนังสีเลือดนกของมัน มันคำรามดังขึ้น เผยให้เห็นเขี้ยว และเธอสัมผัสได้ถึงความโกรธและความความคับข้องใจของมัน
“ปลดล็อกโซ่ให้มัน” เธอสั่งการ
“อะไรนะ?” หนึ่งในนั้นร้องออกมา
“นั่นมันไม่ฉลาดเลยนะ” เบย์เลอร์ร้อง เสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ทำตามที่ฉันสั่ง!” เธอยืนยัน รู้สึกถึงความเข้มแข็งที่ก่อนตัวเพิ่มขึ้นภายในตัวเธอ เหมือนสัตว์ตัวนี้กำลังส่งผ่านความต้องการของมันมาหาเธอ
ด้านหลังมีทหารวิ่งมาพร้อมกุญแจ และปลดล็อกโซ่ตรวน ตลอดเวลา เจ้าสัตว์ป่าตัวนั้นไม่ละสายตาออกจากเธอเลยแม้แต่น้อย ยังคงคำรามเหมือนกับจะท้าทายเธอ
ทันทีที่มันเป็นอิสระจากโซ่ตรวน มันก็กระทืบเท้า ทำท่าพร้อมที่จะจู่โจม
แต่น่าประหลาดตรงที่มันไม่จู่โจม แต่กลับจ้องมองไคร่าอย่างแน่นิ่ง และค่อย ๆ เปลี่ยนจากท่าทีที่โกรธเกรี้ยวมาเป็นท่าทีที่ยอมรับ บางทีอาจเป็นความกตัญญูรู้คุณก็ได้
แม้จะเล็กน้อย เจ้าสัตว์ตัวนี้ดูเหมือนว่าจะค้อมหัวลงต่ำ มันเป็นท่าทีที่แทบจะสังเกตไม่เห็น แต่เธอก็รับรู้ได้
ไคร่าก้าวไปข้างหน้า จับที่แผงคอของมัน และในภายในเวลาอันรวดเร็ว กระโดดขึ้นขี่
ทุกคนในห้องถึงกับตะลึง
ในตอนแรก เจ้าสัตว์เริ่มผงกหัวเตรียมจะสะบัด แต่ไคร่ารับรู้ได้ว่ามันทำท่าไปอย่างนั้นเอง มันไม่ได้อยากจะสลัดเธอทิ้งหรอก – มันเพียงต้องการแสดงออกถึงการต่อต้าน ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ควบคุม และจำกัดให้เธออยู่แต่ในขอบเขต มันต้องการให้เธอรู้ว่ามันเป็นสัตว์ป่า ที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำให้มันเชื่องได้
ฉันไม่ได้ต้องการที่จะทำให้เธอเชื่องหรอก เธอสื่อสารกับมันทางสายตา ฉันเพียงต้องการให้เราเป็นคู่หูในศึกสงครามเท่านั้น
โซลเซอร์สงบลง แต่ยังขยับตัวไปมา ไม่รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้ ราวกับเข้าใจในสิ่งที่เธอบอก ในไม่ช้า มันก็หยุดเคลื่อนไหว อยู่นิ่งสนิทภายใต้เธอ ส่งเสียงคำรามไปยังผู้อื่น เหมือนต้องการปกป้องเธอ
ไคร่านั่งอยู่บนหลังของโซลเซอร์ด้วยความสงบ มองลงมายังทุกคน คลื่นแห่งความตกตะลึงปรากฏบนใบหน้าที่มองมายังเธอ ทุกคนอ้าปากค้าง
ไคร่าค่อย ๆ ยิ้มเต็มที่ รู้สึกถึงสัมผัสของความยิ่งใหญ่
“และนี่” เธอพูด “นี่คือตัวเลือกของฉัน และชื่อของเขาคือ แอนดอร์”
*
ไคร่าขี่แอนดอร์ไปยังตรงกลางสนามของอาร์โกส์ ต่อหน้าทหารทั้งหมดของพ่อของเธอ ทหารผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต้องหยุดและมองเธอด้วยความเกรงขาม แน่นอนว่าพวกเขายังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน
ไคร่าจับขนที่แผงคออย่างอ่อนโยน พยายามปลอบประโลมให้เขาสงบในขณะที่เขาคำรามเบา ๆ ไปที่ทหารเหล่านั้น สายตาจ้องมองเหมือนมีความโกรธแค้นที่จับมันขังไว้ ไคร่าพยายามปรับความสมดุล เบย์เลอร์วางอานหนังสัตว์ใหม่เอี่ยมบนตัวเขา และพยายามทำความคุ้นเคยกับการขี่พาหนะที่สูงเช่นนี้ เธอรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมมากเมื่อขี่เจ้าสัตว์ตัวนี้
เคียงข้างเธอมีเดียร์ดรีที่ขี่ม้าตัวเมียที่สวยงามที่เบย์เลอร์เลือกให้ และทั้งสองขี่พาหนะผ่านไปบนหิมะจนกระทั่งไคร่ามองเห็นพ่อของเธอจากระยะไกล ยืนอยู่ที่บริเวณประตูรอเธออยู่ เขายืนอยู่กับเหล่าทหาร ทั้งหมดมารอส่งเธอ และทั้งหมดก็มองมาที่เธอด้วยความกลัวและความเกรงกลัวเช่นกันที่เห็นเธอสามารถขี่สัตว์ตัวนี้ได้ เธอเห็นสายตาแห่งความชื่นชม และนั่นทำให้เธอมีความกล้าหาญสำหรับการเดินทางที่กำลังจะมาถึง หากธีโอส์ไม่กลับมาหาเธอ อย่างน้อยเธอก็ยังมีสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ตัวนี้
ไคร่าลงจากหลังแอนดอร์เมื่อเธอมาถึงพ่อของเธอ เธอจับที่แผงคอเพื่อนำทางเขา ในขณะที่มองเห็นความกังวลในดวงตาของพ่อเธอ เธอไม่รู้แน่ว่าเป็นความกังวลในสัตว์ตัวนี้หรือการเดินทางข้างหน้ากันแน่ อย่างน้อย สายตาแห่งความกังวลทำให้เธอรู้ว่าไม่ใช่เพียงแค่เธอเท่านั้นที่มีความกลัวต่อหนทางข้างหน้า และพ่อของเธอมีความห่วงใยในตัวเธอไม่ใช่น้อย ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เขาผ่อนท่าทีอันแข็งกร้าวลงและมองเธอด้วยแววตาที่เธอคุ้นเคย: นั่นคือความรักของผู้เป็นพ่อ เธอรู้ว่าเขาต้องฝืนใจตนเองไม่ใช่น้อยที่ส่งเธอไปปฏิบัติภารกิจนี้
เธอหยุดอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่ฟุต เผชิญหน้าพ่อของเธอ เหล่าทหารที่รวมพลอยู่ที่นั่นเงียบเพื่อรอฟังบทสนทนา
เธอยิ้มให้เขา
“อย่างกังวลไปเลย ท่านพ่อ” เธอบอก “ท่านเลี้ยงลูกมาให้เข้มแข็ง”
เขาพยักหน้าตอบ ทำทีว่ายอมรับ – แต่เธอย่อมมองเห็นว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น อย่างน้อย เขายังมีความเป็นพ่ออยู่
เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“หากเพียงเจ้ามังกรกลับมาหาลูกในเวลานี้” เขาบอก “เธออาจข้ามเอสคาลอนในชั่วเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น หรือดีกว่านั้น – มันอาจร่วมเดินทางกับเธอและพ่นไฟใส่ใครก็ตามที่เข้ามาขวางทางเธอ”
ไคร่ายิ้มอย่างเศร้า ๆ
“ธีโอส์จากเราไปแล้ว ท่านพ่อ”
เขามองมาที่ดวงตาของเธอ เปี่ยมด้วยความประหลาดใจ
“ตลอดกาลหรือ?” เขาถาม เป็นคำถามที่ผู้นำกองทหารเข้าสู่สมรภูมิเช่นเขาปรารถนาอยากรู้แต่กลัวที่จะถาม
ไคร่าปิดตาและพยายามรับรู้ถึงการโต้ตอบของมังกร เธอประสงค์ให้มังกรตอบเธอ
แต่เธอไม่ได้รับสัมผัสใด ๆ เลย และนั่นทำให้เธอเริ่มสงสัยว่าเธอสามารถเชื่อมต่อกับมังกรได้ตั้งแต่ต้นหรือไม่ หรือเพียงแต่จินตนาการไปเท่านั้น
“ลูกไม่ทราบ ท่านพ่อ” เธอตอบแบบซื่อ ๆ
เขาพยักหน้าอย่างยอมรับ เป็นสีหน้าของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเรียนรู้ที่จะยอมรับในสิ่งที่เป็นและพยายามที่จะพึ่งตนอง
“จำที่ฉัน –” พ่อเธอเริ่มประโยค
“ไคร่า!” เสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นดังแทรกเข้ามา
ไคร่าหันไปตามเสียง ในขณะที่เหล่าทหารขยับตัวเป็นช่องทาง และใจเธอก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีที่ได้เห็นเอแดนวิ่งผ่านประตูเมืองเข้ามา พร้อมลีโออยู่เคียงข้าง ทั้งสองกระโดดลงจากรถที่ขับโดยทหารของท่านพ่อของไคร่า เขาวิ่งตรงมาที่เธออย่างทุลักทุเลเพราะหิมะ ลีโอรวดเร็วกว่าไอเดนมาก วิ่งนำหน้าและกระโดดเข้ามายังอ้อมแขนของไคร่า
ไคร่าหัวเราะในขณะที่ลีโอกระโจนทับตัวเธอ ขาทั้งสี่ยืนอยู่บนหน้าอก และเลียไปที่ใบหน้าของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า แอนดอร์คำรามอยู่ด้านหลัง พร้อมที่จะปกป้องเธอ ลีโอกระโจนขึ้นเผชิญหน้าและคำรามตอบ สิ่งมีชีวิตทั้งสองล้วนไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด และทั้งคู่ต้องการปกป้องเธอ ทำให้ไคร่ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง
เธอกระโดดขึ้นขวางระหว่างสัตว์ทั้งสอง ดึงลีโอไว้
“ไม่เป็นไร ลีโอ” เธอบอก “แอนดอร์เป็นเพื่อนของฉัน และแอนดอร์” เธอบอกพลางหันกลับไป “ลีโอก็เป็นเพื่อนของฉันเช่นกัน”
ลีโอถอยกลับอย่างไม่เต็มใจ ในขณะที่แอนดอร์ยังคงคำราม แม้จะลดความดังลงหน่อยก็ตาม
“ไคร่า!”
ไคร่าหันไปตามเสียงในขณะที่เอแดนวิ่งเข้ามาสวมกอด เธอก้มตัวลงไปและกอดเขาแน่น ในขณะที่สองแขนเล็ก ๆ ของเขาโอบหลังไคร่าไว้ เธอรู้สึกดีที่ได้สวมกอดน้องชายของเธอ ผู้ซึ่งเธอมั่นใจว่าจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่เหลืออยู่ในชีวิตของเธอ เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เป็นอยู่อย่างเดิมโดยไม่มีเปลี่ยนแปลง
“ฉันได้ยินว่าพี่อยู่ที่นี่” เขาพูดอย่างเร่งรีบ “และฉันรีบเดินทางมาหาพี่ ฉันดีใจจริง ๆ ที่พี่กลับมา”
เธอยิ้มเศร้า ๆ
“น่ากลัวว่าอีกไม่นานนะ น้องชาย” เธอบอก
ความกังวลฉายขึ้นที่ใบหน้าของเขา
“พี่กำลังจะไปหรือ?” เขาถาม ท่าทีผิดหวัง
ท่านพ่อเข้ามาขัดจังหวะ
“เธอต้องไปหาท่านลุง” เขาอธิบาย “ปล่อยเธอไปเสีย”
ไคร่าสังเกตว่าท่านพ่อพูดว่า ลุงของเธอ ไม่ใช่ลุงของเจ้า และเธอรู้สึกสงสัยว่าเพราะเหตุใดท่านพ่อจึงพูดเช่นนี้
“ถ้าอย่างนั้น ขอฉันไปด้วยนะ!” เอแดนยืนยันอย่างภาคภูมิใจ
ท่านพ่อส่ายหน้า
“เจ้าไปไม่ได้” เขาตอบ
ไคร่ายิ้มให้น้อยชายของเธอ ช่างกล้าหาญเหมือนที่เคยเป็น
“พ่อต้องการให้น้องอยู่อีกที่หนึ่ง” เธอบอก
“ที่สมรภูมิหรือ?” เอแดนถาม หันหน้าไปหาท่านพ่ออย่างมีความหวัง “ท่านกำลังเดินทัพไปยังเอสเฟส” เขาพูดอย่างเร่งรีบ “ฉันได้ยิน! และฉันต้องการร่วมทัพด้วย!”
แต่เขาส่ายหัว
“พ่อต้องการให้ลูกอยู่ที่โวลิส” เขาตอบ “เจ้าจะอยู่ที่นี่ ได้รับการคุ้มกันโดยเหล่าทหารที่พ่อทิ้งไว้ สมรภูมิยังไม่เหมาะสำหรับลูกในเวลานี้ สักวันหนึ่งเท่านั้น”
เอแดนหน้าแดงด้วยความผิดหวัง
“แต่ลูกอยากต่อสู้นะ ท่านพ่อ!” เขาประท้วง “ลูกไม่ต้องการอยู่เฉย ๆ ในป้อมปราการที่ว่างเปล่าพร้อมกับผู้หญิงและเด็ก ๆ!”
เหล่าทหารพากันหัวเราะคิกคัก แต่ท่านพ่อมีสีหน้าจริงจัง
“พ่อตัดสินใจแล้ว” เขาตอบห้วน ๆ
เอแดนมีสีหน้าบูดบึ้งทันที
“หากลูกไม่สามารถไปกับไคร่าและท่านพ่อได้” เขาพูดอย่างไม่ลดละความพยายาม “แล้วลูกจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำสงครามได้อย่างไร แล้วเมื่อไรลูกจะได้เรียนรู้การใช้อาวุธล่ะ? แล้วที่ฝึกฝนมานี่ เพื่ออะไรหรือ?”
“รอให้หน้าอกเจ้ามีขนขึ้นเสียก่อน น้องชาย” แบรกซ์ตันหัวเราะขณะก้าวเข้ามาพร้อมแบรนดอนขนาบข้าง
เสียงหัวเราะดังขึ้นในกลุ่มทหาร และเอแดนหน้าแดง แน่นอนว่าเขารู้สึกอับอายต่อหน้าคนอื่น ๆ
ไคร่ารู้สึกไม่ดี จึงคุกเข่าต่อหน้าเขาและจ้องมองเขาพร้อมวางมือข้างหนึ่งลงบนแก้ม
“เธอจะเป็นนักรบที่ดีเยี่ยมกว่าพวกนั้นทั้งหมด” เธอพูดให้ความมั่นใจแก่เขาอย่างแผ่วเบา เพียงเพื่อให้เขาได้ยิน “จงอดทน และในระหว่างนี้ ดูแลโวลิส พี่ต้องการให้น้องทำหน้าที่นี้ ทำให้พี่ภูมิใจ แล้วพี่จะกลับมา พี่ให้สัญญา และในวันข้างหน้า เราจะร่วมรบในสมรภูมิสำคัญด้วยกัน”
เอแดนดูเหมือนจะอ่อนโยนลงบ้าง เมื่อเขาโน้มตัวมาข้างหน้าและสวมกอดเธออีกครั้ง
“แต่ฉันไม่อยากให้พี่ไป” เขาพูดอย่างแผ่วเบา “ฉันฝันถึงพี่ ฉันฟันว่า...” เขามองมาที่เธออย่างลังเล ดวงตาเอ่อท้นด้วยน้ำตา “...ว่าพี่จะต้องตายเมื่อไปที่นั่น”
ไคร่ารู้สึกตะลึงในคำพูดของเขา โดยเฉพาะสิ่งที่เธอเห็นในดวงตาของเขา มันหลอกหลอนเธอ เธอไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำใดจึงจะเหมาะสม
เอนวินก้าวมาข้างหน้าและนำผ้าคลุมขนสัตว์ผืนหนาคลุมที่ไหล่เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ไคร่า เธอยืนขึ้นและรู้สึกว่าตัวเองหนักขึ้นถึงสิบปอนด์ แต่ผ้าคลุมผื่นนี้กันลมและความหนาวเหน็บทั้งหลายได้จนหมดสิ้น เขายิ้มตอบ
“ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล และดวงไฟยังห่างออกไป” เขาบอก และสวมกอดเธอ