Kitabı oku: «กำเนิดราชันย์มังกร »

Yazı tipi:
มอร์แกน ไรซ์

มอร์แกน ไรซ์ เป็นผู้แต่งหนังสือขายดีอันดับ 1 และเป็นผู้แต่งมหากาพย์แฟนตาซีที่ขายดีที่สุดใน USA Today นิยายชุดวงแหวนของผู้วิเศษ จำนวน 17 เล่ม นิยายชุดขายดีอันดับ 1 บันทึกของแวมไพร์ จำนวน 11 เล่ม (และยังมีเล่มต่อไป) นิยายชุดขายดีอันดับ 1 เรื่อง THE SURVIVAL TRILOGY เรื่องราวระทึกขวัญหลังวันโลกาวินาศ จำนวน 2 เล่ม (และยังมีเล่มต่อไป) และนิยายชุดเรื่องราวแฟนตาซีใหม่ล่าสุด กษัตริย์และผู้วิเศษ หนังสือของ มอร์แกน มีทั้งรูปแบบเสียงและสิ่งพิมพ์ และได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 25 ภาษา

มอร์แกน ยินดีรับฟังความคิดเห็นของคุณ โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.morganricebooks.com เพื่อสมัครรับข่าวสารทางอีเมล พร้อมรับหนังสือฟรีและของรางวัลมากมาย สามารถดาวน์โหลดแอปฟรี เพื่อรับข่าวสารล่าสุด หรือเชื่อมต่อกับ Facebook และ Twitter โปรดติดตาม!

คำนิยมสำหรับ มอร์แกน ไรซ์

“เรื่องราวแฟนตาซีที่เชื่อมโยงองค์ประกอบของความลึกลับและการวางแผน เส้นทางแห่งวีรบุรุษ เกี่ยวข้องกับการสร้างความกล้าหาญและการตระหนักถึงเป้าหมายของชีวิตที่จะนำไปสู่การเติบโต ความเป็นผู้ใหญ่ และความดีงาม…เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหานิยายแนวผจญภัยแฟนตาซี ตัวละครสำคัญ อุปกรณ์ และการกระทำที่ส่งผลให้ชีวิตของธอร์เปลี่ยนแปลงจากเด็กช่างฝันสู่วัยรุ่นที่กำลังเผชิญหน้ากับเรื่องราวอันเหลือเชื่อเพื่อเอาชีวิตรอด…นั่นเป็นแค่เพียงการเริ่มต้นของนิยายชุดวัยรุ่นที่ยอดเยี่ยม”

--Midwest Book Review (D. Donovan นักวิจารณ์อีบุค)

“วงแหวนของผู้วิเศษ มีส่วนผสมทุกอย่างของการประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นโครงเรื่องหลัก โครงเรื่องย่อย ความลึกลับ อัศวินผู้กล้าหาญ ความสัมพันธ์ที่แบ่งบานพร้อมกับการอกหัก การหลอกลวงและการทรยศ คุณจะเพลิดเพลินได้หลายชั่วโมง และเป็นที่ชื่นชอบของทุกวัย แนะนำให้มีประจำไว้ในห้องสมุดสำหรับคอนักอ่านแนวแฟนตาซี”

--Books and Movie Reviews, Roberto Mattos

“เรื่องราวแฟนตาซีแสนสนุกของไรซ์ [วงแหวนของผู้วิเศษ] มีเนื้อหาสุดคลาสสิค การจัดวางเรื่องราวที่เข้มข้น ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของสกอตแลนด์ยุคโบราณ รวมถึงความฉลาดในการวางแผน”

—Kirkus Reviews

“ฉันชอบวิธีการสร้างตัวละครธอร์ของมอร์แกน และโลกที่เขาอาศัยอยู่ ภูมิประเทศ รวมถึงสัตว์ประหลาดที่ได้รับการใส่ใจรายละเอียดเป็นอย่างดี…ฉันมีความสุข [เนื้อเรื่อง] เรื่องราวที่กระชับและกลมกล่อม…มีความเหมาะสมของจำนวนตัวครที่บทบาทน้อย ดังนั้นฉันจึงไม่รู้สึกสับสน เรื่องราวประกอบด้วยการผจญภัยและการลุ้นระทึก ฉากต่อสู้ไม่ได้ประหลาดมากจนเกินไป หนังสือเล่มนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักอ่านวัยรุ่น…จุดเริ่มต้นของบางอย่างที่น่าจดจำ…”

--San Francisco Book Review

“หนังสือเล่มแรกนี้อัดแน่นไปด้วยการผจญภัย นิยายชุดแฟนตาซีเรื่อง วงแหวนของผู้วิเศษ (ปัจจุบันมี 14 เล่ม) ไรซ์ได้แนะนำให้ผู้อ่านรู้จัก “ธอร์” ธอร์กริน แม็คคลอยด์ อายุ 14 ปี ที่ฝันอยากเข้าร่วมกองรบเงิน กองกำลังอัศวินชั้นยอดของพระราชา…การเขียนของไรซ์โดดเด่นและนำเสนอเรื่องราวได้น่าสนใจ

--Publishers Weekly

“[เส้นทางแห่งวีรบุรุษ] เป็นหนังสือที่กระชับและอ่านง่าย ตอนท้ายของแต่ละตอนจะทำให้คุณอยากรู้จะว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนต่อไป คุณจะประทับใจจนวางไม่ลง การพิมพ์ผิดในหนังสือและบางชื่ออาจดูสับสนอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ทำให้เรื่องราวโดยรวมทั้งหมดเสียรสชาติ ตอนจบทำให้ฉันอยากอ่านเล่มถัดไปทันที นิยายชุดวงแหวนของผู้วิเศษทุกเล่มสามารถสั่งซื้อได้ที่ร้านค้า Kindle และตอนนี้เส้นทางแห่งวีรบุรุษสามารถเริ่มอ่านได้ฟรี! หากคุณกำลังมองหานิยายที่กระชับและสนุกสำหรับวันหยุด หนังสือเล่มนี้คือตัวเลือกที่ดีอย่างยิ่ง

--FantasyOnline.net
หนังสือของ มอร์แกน ไรซ์

กษัตริย์และผู้วิเศษ

กำเนิดราชันย์มังกร (เล่ม 1)

วงแหวนของผู้วิเศษ

เส้นทางแห่งวีรบุรุษ (เล่ม 1)

ขบวนแห่งกษัตริย์ (เล่ม 2)

A FATE OF DRAGONS (เล่ม 3)

A CRY OF HONOR (เล่ม 4)

A VOW OF GLORY (เล่ม 5)

A CHARGE OF VALOR (เล่ม 6)

A RITE OF SWORDS (เล่ม 7)

A GRANT OF ARMS (เล่ม 8)

A SKY OF SPELLS (เล่ม 9)

A SEA OF SHIELDS (เล่ม 10)

A REIGN OF STEEL (เล่ม 11)

A LAND OF FIRE (เล่ม 12)

A RULE OF QUEENS (เล่ม 13)

AN OATH OF BROTHERS (เล่ม 14)

A DREAM OF MORTALS (เล่ม 15)

A JOUST OF KNIGHTS (เล่ม 16)

THE GIFT OF BATTLE (เล่ม 17)

THE SURVIVAL TRILOGY

ARENA ONE: SLAVERSUNNERS (เล่ม 1)

ARENA TWO (เล่ม 2)

บันทึกของแวมไพร์

กลายร่าง (เล่ม 1)

ความรัก (เล่ม 2)

การทรยศ (เล่ม 3)

พรหมลิขิต (เล่ม 4)

ความปรารถนา (เล่ม 5)

การหมั้นหมาย (เล่ม 6)

คำสาบาน (เล่ม 7)

การค้นหา (เล่ม 8)

ฟื้นคืนชีพ (เล่ม 9)

การโหยหา (เล่ม 10)

โชคชะตา (เล่ม 11)

ลิขสิทธิ์ © 2011 โดย มอร์แกน ไรซ์

สงวนลิขสิทธิ์ทั้งหมด ยกเว้นได้รับอนุญาตภายใต้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ค.ศ. 1976 ของประเทศสหรัฐอเมริกา ห้ามนำส่วนใดของการตีพิมพ์นี้ไปทำซ้ำ แจกจ่ายและเผยแพร่ในรูปแบบใด ๆ หรือโดยการกระทำใด ๆ หรือจัดเก็บในฐานข้อมูล หรือระบบสืบค้น โดยไม่ได้รับการอนุญาตจากผู้แต่ง

หนังสืออีบุคนี้ อนุญาตเพื่อความบันเทิงส่วนตัวของคุณเท่านั้น และอีบุคเล่มนี้ไม่อนุญาตให้นำไปจำหน่ายต่อหรือยกให้กับบุคคลอื่น ถ้าคุณต้องการแบ่งปันหนังสือเล่มนี้กับบุคคลอื่น โปรดสั่งซื้อหนังสือเพิ่มเติมสำหรับแต่ละคน ถ้าคุณกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้และไม่ได้ซื้อ หรือไม่ได้ซื้อในนามของคุณ โปรดส่งคืนและดำเนินการสั่งซื้อในนามของคุณเอง ขอบคุณที่ให้ความเคารพกับผลงานที่ผู้แต่งได้ทุ่มเท

หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องแต่ง ชื่อ ตัวละคร ธุรกิจ องค์กร สถานที่ เหตุการณ์ และสถานการณ์ต่าง ๆ ล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้แต่ง หรือได้รับการแต่งขึ้นมา ความคล้ายคลึงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลจริง ทั้งที่มีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว เป็นเหตุบังเอิญทั้งสิ้น

Jacket image Copyright Photosani ใช้ภายใต้ใบอนุญาตจาก Shutterstock.com


“บางคราเราเป็นนายโชคชะตา

อันความผิดมิตรเอยเฉลยเอา

ใช่ดวงดาวพราวเพราเจ้าบันดาล”

--วิลเลียม เชกสเปียร์
จูเลียส ซีซาร์


บทที่หนึ่ง

ไคร่ายืนอยู่บนเนินเขาขนาดเล็ก เหนือพื้นหิมะที่แข็งตัวใต้รองเท้าบูทของเธอ หิมะกำลังตก เธอพยายามไม่สนใจต่อความหนาวเหน็บที่เกาะกินผิวกายในขณะที่ยกคันธนูขึ้นมาและเล็งไปยังเป้าหมาย เธอหรี่ตาลง ไม่รับรู้ถึงกระแสลม เสียงแว่วของอีกา และสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เธอเพ่งสมาธิไปยังต้นเบิร์ชสีขาวสูงโปร่งที่ไกลออกไป ซึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเด่นท่ามกลางป่าสนสีม่วง ระยะสี่สิบหลานี้คือการยิงที่บรรดาพี่น้อง หรือแม้แต่ลูกน้องของพ่อเธอก็ไม่สามารถทำได้ นั่นทำให้เธอรู้สึกแน่วแน่มากยิ่งขึ้น เธอเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม และเป็นเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวในหมู่พวกเขา

ไคร่าไม่เคยรู้สึกว่าตัวเธอเหมาะกับที่นี่ เธออยากทำในสิ่งที่ต้องการ ใช้เวลาเล่นกับเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ และเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ แต่ลึกลงไป มันไม่ใช่สิ่งที่เธอเป็นอยู่ เธอคือลูกสาวของพ่อ เธอมีจิตวิญญาณแห่งนักรบ และเธอไม่ควรถูกขังไว้หลังกำแพงหินของฐานที่มั่น เธอจะไม่ยอมจำนนต่อชีวิตที่ต้องอยู่ข้างเตาผิง ความแม่นยำของเธอยอดเยี่ยมกว่าพวกเขาเหล่านั้น ทักษะการยิงธนูอันเฉียบขาดของเธอสามารถเอาชนะพ่อของเธอได้ และเธอจะทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เหนือสิ่งอื่นใดคือการทำให้พ่อมองเห็นว่าเธอสมควรได้รับความเคารพอย่างจริงจัง เธอรู้ดีว่าพ่อรักเธอ แต่เขาไม่ได้มองสิ่งที่เธอเป็นอยู่ในสายตา

ไคร่าฝึกซ้อมการยิงธนูเพียงลำพัง บนทุ่งโวลิสที่อยู่ห่างจากป้อมปราการซึ่งเหมาะกับเธออย่างยิ่ง ไคร่าเป็นเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวในปราการของนักรบ เธอจึงต้องเรียนรู้ถึงความโดดเดี่ยว เธอปลีกตัวมาที่นี่ทุกวัน จุดที่เธอชอบมากที่สุดคือบนเนินสูงที่สามารถมองเห็นกำแพงหินของป้อมได้ทั้งหมด ที่ซึ่งเธอสามารถหาต้นไม้ดี ๆ สำหรับใช้เป็นเป้า เสียงของลูกธนูที่พุ่งออกไปกลายเป็นเสียงสะท้อนที่ดังไปทั่วหุบเขา ต้นไม้ที่นี่ไม่ครณามือเธออีกต่อไป กิ่งก้านของมันเต็มไปด้วยร่องรอย ต้นไม้บางต้นเริ่มล้มเอียง

พลธนูส่วนใหญ่ของพ่อจะเล็งเป้าไปยังหนูที่วิ่งอยู่บนแนวราบ เมื่อไคร่าเริ่มยิงธนูครั้งแรก เธอทดลองด้วยตัวเอง และพบว่าเธอสามารถฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้ เธอเป็นคนกล้าหาญ แต่แฝงไปด้วยอารมณ์อ่อนไหว การฆ่าสิ่งมีชีวิตโดยไม่มีจุดประสงค์ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจ เธอสาบานกับตัวเองว่าจะไม่เล็งธนูไปยังสิ่งมีชีวิตอีกต่อไป ยกเว้นในกรณีที่ตกอยู่ในอันตรายหรือถูกจู่โจม เช่น หมาป่าค้างคาวที่ปรากฏตัวในตอนกลางคืนและบินเข้ามาใกล้ป้อมปราการ หากเป็นเช่นนี้เธอจะไม่รู้สึกลังเลที่จะยิงพวกมันให้ร่วง โดยเฉพาะหลังจากที่ไอดาน น้องชายคนเล็กของเธอต้องทนทรมานจากการถูกหมาป่าค้างคาวกัด ทำให้เขาล้มป่วยเป็นเวลาครึ่งพระจันทร์ นอกจากนี้มันยังเป็นสัตว์ประหลาดที่เคลื่อนไหวรวดเร็วที่สุดข้างนอกนั่น และเธอรู้ว่าถ้าเธอยิงหมาป่าค้างคาวในเวลากลางคืนได้ เธอก็จะสามารถยิงทุกอย่างได้เช่นกัน เธอเคยใช้เวลาทั้งคืนตอนจันทร์เต็มดวงในการยิงธนูจากหอคอยของพ่อ และหมดแรงตอนรุ่งสาง เธอรู้สึกตกใจที่เห็นกองหมาป่าค้างคาวบนพื้นพร้อมลูกธนูของเธอที่ปักอยู่ ชาวบ้านนับร้อยมารวมตัวกัน และมุงดูด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ

ไคร่ารวบรวมสมาธิของเธอ นิมิตถึงวิถีการยิงในดวงจิต มองเห็นตัวเธอเองกำลังยกคันธนูขึ้นมา ง้างไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว และปล่อยลูกธนูโดยไม่ลังเลใจ เธอรับรู้ได้ว่าการยิงธนูที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นก่อนที่จะยิงมันออกไป เธอเห็นนักธนูรุ่นราวคราวเดียวกับเธอหลายคนในวัย 14 ปี พวกเขาดึงคันธนูและแกว่งไปมา ไคร่ารู้ดีว่านั่นจะทำให้การยิงของพวกเขาไม่ได้เรื่อง เธอสูดหายใจลึก ยกธนูขึ้น ภายในการเคลื่อนไหวที่เฉียบขาดเพียงครั้งเดียว เธอง้างธนูและปล่อยออกไป โดยที่ไม่จำเป็นต้องมองดูว่าลูกธนูนั้นพุ่งไปโดนต้นไม้หรือไม่

เสียงของลูกธนูปักลงบนต้นไม้หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ แต่เธอได้หันหลังกลับเรียบร้อยแล้ว และกำลังมองหาเป้าใหม่ซึ่งอยู่ไกลออกไป

ไคร่าได้ยินเสียงร้องครางที่เท้า เธอมองลงมายังเลโอ หมาป่าของเธอที่เดินอยู่ข้าง ๆ ซึ่งกำลังคลอเคลียกับขาของเธอ เหมือนอย่างที่มันเคยทำเสมอมา เลโอเป็นหมาป่าโตเต็มวัย สูงเกือบเท่าเอวของเธอ เลโอคือผู้คุ้มกันของไคร่า เช่นเดียวกับไคร่าที่เป็นผู้ดูแลมัน ทั้งคู่ไม่อาจละสายตาจากกัน ไคร่าไม่สามารถไปไหนโดยไม่มีเลโอคอยวิ่งตาม และตลอดเวลาเลโอจะอยู่ข้างกายเธอ เว้นแต่มีกระรอกหรือกระต่ายเข้ามาขวางทางซึ่งมันจะหายไปเป็นชั่วโมง

“ข้าไม่ได้ลืมเจ้า เลโอ” ไคร่าพูด เอื้อมมือลงไปในกระเป๋า แล้วยื่นเศษกระดูกที่เหลือจากวันก่อน เลโอใช้ปากงับและวิ่งเหยาะ ๆ อย่างมีความสุขอยู่ข้างเธอ

เมื่อไคร่าเดินต่อไป อากาศหนาวทำให้ลมหายใจของเธอกลายเป็นไอ เธอพาดธนูไว้เหนือไหล่ หายใจลงบนมืออันเย็นเฉียบที่ไม่มีอะไรสวมใส่ เธอเดินข้ามที่ราบอันกว้างใหญ่และไกลสุดสายตา จากจุดนี้เธอสามารถมองเห็นสภาพโดยรอบได้ทั้งหมด เนินเขาของโวลิสที่ปกติจะเป็นสีเขียว บัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ อาณาเขตป้อมปราการของพ่อตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรเอสคาลอน ที่นี่ทำให้ไคร่าสามารถมองเห็นได้ทั่วว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในป้อมปราการ ชาวบ้านและนักรบกำลังเดินเข้าออกกันอย่างขวักไขว่ ไคร่าชอบศึกษาเรื่องราวโบราณ ป้อมปราการของพ่อสร้างขึ้นจากหิน รูปทรงใบเสมาบนกำแพงและหอคอยแผ่ขยายออกไปตลอดแนวเขาอย่างน่าทึ่ง เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด โวลิสคือสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในชานเมือง บางส่วนของอาคารสูงสี่ชั้นและประกอบด้วยใบเสมาบนกำแพง พร้อมด้วยหอคอยทรงกลมอีกฝั่งที่อยู่ไกลออกไป ที่นี่เป็นโบสถ์สำหรับชาวบ้าน แต่สำหรับไคร่าแล้วมันคือสถานที่สำหรับปีนป่าย เพื่อชมวิวโดยรอบและได้อยู่เพียงลำพัง อาคารหินแห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยคูน้ำ เชื่อมต่อกับสะพานโค้งที่ทำจากหินและถนนสายหลักที่ทอดยาวออกไป ด้านนอกล้อมรอบด้วยเขื่อน เนินเขา คูน้ำ และกำแพง นับเป็นทำเลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับหนึ่งในนักรบคนสำคัญของพระราชา ผู้เป็นบิดาของเธอ

แม้ว่าโวลิสจะเป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนกำแพงอัคคี ซึ่งต้องใช้เวลาหลายวันในการขี่ม้าไปยังเอนดรอส เมืองหลวงของเอสคาลอน ที่นี่ยังเป็นบ้านเกิดของนักรบผู้มีชื่อเสียงหลายคน นอกจากนี้โวลิสยังกลายเป็นประภาคาร ชาวบ้านและชาวนาหลายร้อยชีวิตได้อาศัยอยู่ข้างในหรือใกล้กับกำแพง ภายใต้การคุ้มครองของมัน

ไคร่ามองลงไปยังกระท่อมสิบสองหลังที่ทำจากดิน ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาด้านนอกป้อม มีควันลอยออกจากปล่องไฟ เหล่าชาวนาต่างเร่งรีบและเดินไปมา พวกเขากำลังเตรียมตัวสำหรับฤดูหนาว และงานเทศกาลตอนกลางคืน การอาศัยอยู่นอกกำแพงหลักทำให้ชาวบ้านรู้สึกปลอดภัย ไคร่ารู้ว่ามันคือสิ่งที่บ่งบอกถึงความยำเกรงที่มีต่ออำนาจของพ่อ และไม่สามารถพบได้จากที่ไหนในเอสคาลอน หากได้ยินแตรสัญญาณอยู่ห่างออกจากการป้องกันดังขึ้น กองกำลังของพ่อเธอจะรุดหน้าไปในทันที

ไคร่ามองดูสะพานยกที่อยู่เบื้องล่าง สะพานแห่งนี้มักเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ชาวนา ช่างซ่อมรองเท้า พ่อค้าเนื้อ ช่างตีดาบ รวมถึงนักรบ ทั้งหมดกำลังเดินเข้าออกป้อมปราการ ภายในกำแพงไม่ใช่สถานที่สำหรับการใช้ชีวิตและฝึกฝนเท่านั้น แต่ยังเป็นลานหินกรวดขนาดใหญ่ซึ่งได้กลายเป็นสถานที่รวมตัวของบรรดาพ่อค้า ทุก ๆ วันแผงลอยมากมายจะวางเรียงรายทอดยาวออกไป ผู้คนต่างค้าขายสินค้า แลกเปลี่ยน คุยโอ้อวดถึงสิ่งที่ล่าหรือจับมาได้ รวมถึงเสื้อผ้าจากต่างแดน เครื่องเทศ และลูกกวาดที่ซื้อขายกันทั่วน่านน้ำ สนามหลังป้อมปราการมักจะเต็มไปด้วยกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย บ้างก็เป็นชาจากต่างถิ่น หรือสตูว์ เธอสามารถเดินชมสิ่งเหล่านี้ได้เป็นเวลานาน และเหนือกำแพงที่อยู่ไกลออกไป หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นเมื่อได้เห็นสนามฝึกทรงกลมของทหาร ประตูของนักสู้ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงหินขนาดเล็ก เธอมองดูด้วยความตื่นเต้น เหล่าทหารม้าพุ่งตัวออกไปด้วยแถวที่เป็นระเบียบ พยายามแทงหอกใส่โล่ที่แขวนอยู่บนต้นไม้ เธอต้องการที่จะฝึกร่วมกับพวกเขา

ทันใดนั้น ไคร่าได้ยินเสียงร้องตะโกนขึ้นมา เสียงที่เธอรู้สึกคุ้นเคยดังมาจากเรือนเฝ้าประตู ไคร่าหันไปมอง มันเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายในฝูงชน เธอมองผ่านความพลุกพล่านที่เนืองแน่นและล้นออกมาบนถนนสายหลัก เผยให้เห็นน้องชายคนเล็กของเธอ ไอดานถูกพาตัวไปโดยแบรนดอนและเบร็กซ์ตัน พี่ชายคนโตสองคนของเธอ ไคร่ารู้สึกตึงเครียดและเตรียมพร้อมรับมือ เธอสามารถรับรู้ได้จากเสียงเศร้าโศกของน้องชายคนเล็กว่าพวกพี่ชายกำลังคิดเรื่องไม่ดีอยู่แน่นอน

ไคร่าหรี่ตาลงในขณะที่มองไปยังพี่ชายทั้งสองของเธอ ความโกรธอันคุ้นเคยกำลังปะทุขึ้นมา เธอบีบคันธนูในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไอดานกำลังเดินอยู่ระหว่างพวกพี่ชายที่ตัวสูงกว่าประมาณฟุตหนึ่ง แต่ละคนจับแขนของไอดาน ลากเขาออกจากป้อมโดยไม่เต็มใจและเข้าไปยังชานเมือง แววตาของไอดานบ่งบอกถึงความดื้อรั้น ไอดานเป็นเด็กผู้ชายอ่อนไหว ตัวผอม รูปร่างเล็ก อายุเกือบสิบขวบ เขาดูไม่ปลอดภัยอย่างยิ่งเมื่อถูกขนาบข้างด้วยพี่ชายทั้งสองคน พวกพี่ชายอยู่ในช่วงวัยรุ่น พวกเขาอายุสิบเจ็ดและสิบแปดปี ทั้งคู่มีลักษณะและสีผิวคล้ายกัน รวมถึงแนวกรามที่ดูแข็งแรง คางที่ได้รูป ดวงตาสีน้ำตาลเข้มและผมสีน้ำตาลสลวย แบรนดอนและเบร็กซ์ตันสวมใส่กางเกงขาสั้น พวกเขาทั้งหมดดูเหมือนกัน และไม่มีใครเหมือนเธอ เธอมีผมสีบลอนด์สว่างและดวงตาสีเทาอ่อน แต่งกายในชุดทอ เสื้อคลุมขนสัตว์และเสื้อชั้นนอก ไคร่ารูปร่างสูงผอม ผิวสีอ่อน เธอมีหน้าผากกว้างและจมูกเล็ก ลักษณะพิเศษนี้ทำให้ผู้ชายมากกว่าหนึ่งคนต้องเหลียวมองเธอถึงสองครั้ง โดยเฉพาะวัยสิบห้าปีของเธอตอนนี้ เธอสังเกตได้ว่ามีผู้คนหันมามองเธอมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

มันทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ เธอไม่ต้องการเรียกร้องความสนใจ และเธอไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นสาวสวย เธอไม่เคยสนใจเรื่องรูปลักษณ์ เธอสนแต่เรื่องการฝึกฝนเท่านั้น เธอควรจะมีลักษณะคล้ายกับพ่อของเธอมากกว่าพวกพี่ชาย พ่อเป็นบุคคลที่เธอนับถือและรักมากกว่าสิ่งใดในโลก มากกว่าความสวยงามของเธอ เธอมักส่องกระจกค้นหาบางอย่างของพ่อในดวงตาของเธอ ไม่ว่าเธอพยายามเท่าไร แต่เธอก็ไม่สามารถค้นพบได้

“ข้าบอกว่าออกไปให้ห่างจากข้า!” ไอดานตะโกน เสียงของเขาดังขึ้นมาถึงที่นี่

น้ำเสียงที่ดูมีความทุกข์ของน้องชายคนเล็ก เด็กผู้ชายซึ่งไคร่ารักมากกว่าใครในโลกนี้ ไคร่ายืนขึ้น เหมือนสิงโตที่กำลังมองลูกของมัน เลโอก็ยืนตัวแข็งเช่นกัน ขนบนหลังของมันตั้งชัน แม่ของพวกเขาจากไปนานแล้ว ไคร่าจึงรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบการดูแลไอดาน เพื่อทดแทนในส่วนที่แม่ของเธอไม่ได้ทำ

แบรนดอนและเบร็กซ์ตันลากไอดานไปตามถนน ออกห่างจากป้อม บนถนนเปลี่ยวที่มุ่งสู่ป่าอันห่างไกล เธอมองเห็นว่าพวกเขาพยายามให้ไอดานจับหอก ซึ่งมีขนาดใหญ่เกินไปสำหรับเขา ไอดานกลายเป็นเป้าที่ต้องถูกรังแก แบรนดอนและเบร็กซ์ตันเป็นพวกเด็กเกเร พวกเขาแข็งแรงและค่อนข้างกล้าหาญ แต่พวกเขาดูวางก้ามมากกว่าจะมีทักษะที่แท้จริง พวกเขามักสร้างปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง มันช่างโง่เง่ายิ่งนัก

ไคร่ารู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แบรนดอนและเบร็กซ์ตันลากไอดานมาเพื่อร่วมล่ากับพวกเขา เธอสังเกตเห็นถุงใส่ไวน์ที่อยู่ในมือของพวกเขาและรู้ได้ทันทีว่าพวกเขากำลังเมา ความรู้สึกโกรธของเธอพลุ่งพล่าน พวกเขาไม่เพียงแต่กำลังจะไปฆ่าสัตว์ที่ไร้ความรู้สึก แต่ตอนนี้พวกเขากำลังลากน้องชายคนเล็กไปด้วย แม้ว่าเขาจะต่อต้านก็ตาม

สัญชาตญาณในตัวของไคร่ากระตุ้นตัวเธอ เธอกระโจนเข้าไปเพื่อขัดขวาง วิ่งลงเขาไปเพื่อเผชิญหน้าพวกเขา เลโอวิ่งตามมาเคียงข้างเธอ

“ตอนนี้เจ้าโตพอแล้ว” แบรนดอนพูดกับไอดาน

“มันถึงเวลาที่เจ้าจะกลายเป็นลูกผู้ชาย” แบร็กซ์ตันพูด

ไคร่ากระโดดลงมาตามเนินหญ้า รับรู้ได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจ ใช้เวลาไม่นานไคร่าก็วิ่งทันพวกเขา เธอวิ่งลงมาบนถนนและหยุดต่อหน้าพวกเขา ปิดกั้นเส้นทาง หายใจเสียงดัง เลโออยู่ข้างกายเธอ พวกพี่ชายของเธอหยุดเดิน มองกลับมาด้วยความตกใจ

เธอสามารถเห็นได้ชัดว่าใบหน้าของไอดานดูโล่งใจ

“นี่เจ้าหลงทางหรือ?” แบร็กซ์ตันพูดเหน็บ

“เจ้ากำลังขวางทางพวกเรา” แบรนดอนพูด “กลับไปเล่นธนูกับไม้ขีดของเจ้าไป”

พวกเขาสองคนหัวเราะเยาะเย้ย แต่ไคร่าคิ้วขมวด สงวนท่าที เช่นเดียวกับเลโอที่ยืนอยู่ข้างเธอ มันส่งเสียงคำรามออกมาเล็กน้อย

“เอาสัตว์ร้ายนั่นออกไปให้พ้น” แบร็กซ์ตันพยายามพูดให้ดูกล้าหาญในขณะที่กำหอกในมือแน่น ความหวาดกลัวแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา

“พวกเจ้ากำลังจะพาไอดานไปไหน?” เธอถามอย่างจริงจัง มองกลับไปยังพวกเขาอย่างแน่วแน่

พวกเขาหยุดนิ่ง สีหน้าค่อย ๆ เปลี่ยนไป

“พวกข้าจะพาเขาไปไหนก็ได้ตามที่ต้องการ” แบรนดอนพูด

“เขากำลังจะไปล่า เพื่อเรียนรู้การกลายเป็นลูกผู้ชาย” แบร็กซ์ตันพูด เน้นที่คำสุดท้ายเพื่อแทงใจเธอ

แต่เธอไม่สนใจ

“เขายังเด็กเกินไป” เธอตอบกลับอย่างหนักแน่น

แบรนดอนทำตาถลึง

“ใครบอก?” เขาถาม

“ข้าบอกอยู่นี่ไง”

“เจ้าเป็นแม่เขาหรือ?” แบร็กซ์ตันถาม

ไคร่าหน้าแดง เต็มไปด้วยความโกรธ เธออยากให้แม่มาอยู่ที่นี่ด้วยมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด

“ก็เหมือนกับที่พวกเจ้าทำตัวเป็นพ่อของเขา” เธอตอบ

พวกเขาทั้งหมดยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด ไคร่ามองไปที่ไอดาน เขามองกลับมาด้วยแววตาหวาดกลัว

“ไอดาน” เธอถามเขา “นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการทำหรือ?”

ไอดานก้มหน้ามองพื้น หน้าเจื่อน เขายืนอยู่ตรงนั้น หลบสายตา ไคร่ารู้ว่าเขาไม่กล้าพูดออกมา กลัวว่าจะทำให้พี่ชายของเขาไม่พอใจ

“เป็นไงล่ะ ได้คำตอบแล้วนี่” แบรนดอนพูด “เขาไม่ปฏิเสธ”

ไคร่ายืนนิ่ง ร้อนรุ่มด้วยความไม่พอใจ เธอต้องการให้ไอดานพูดออกมา แต่ก็ไม่สามารถบังคับเขาได้

“การพาเขาออกมาล่ากับพวกเจ้าเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาด” เธอพูด “พายุกำลังก่อตัว ตอนนี้ใกล้จะมืดแล้ว ในป่าเต็มไปด้วยอันตราย ถ้าพวกเจ้าต้องการสอนเขาออกล่า เมื่อเขาโตกว่านี้ค่อยพาเขามาก็ได้”

พวกเขาค้อนตากลับอย่างรำคาญ

“แล้วเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับการล่าบ้าง?” แบร็กซ์ตันถาม “เจ้าล่าอะไรนอกจากต้นไม้พวกนั้น?”

“พักหลังพวกมันแว้งกัดเจ้าบ้างไหม?” แบรนดอนเสริม

ทั้งคู่หัวเราะออกมา ไคร่ารู้สึกโกรธ กำลังชั่งใจว่าจะทำอย่างไร ถ้าไอดานไม่พูดออกมา เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้

“เจ้าเป็นกังวลมากเกินไปน้องรัก” แบรนดอนพูดออกมา “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับไอดานหรอก พวกเราคอยระวังอยู่ เราอยากทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นอีกหน่อย ไม่ได้จะฆ่าเขา นี่เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเจ้าคือคนเดียวที่เป็นห่วงเขา?”

“นอกจากนี้ ท่านพ่อกำลังมองอยู่” แบร็กซ์ตันพูด “เจ้าอยากทำให้ท่านพ่อผิดหวังหรือ?”

ไคร่ามองข้ามไหล่พวกเขา สูงขึ้นไปบนหอคอย เธอเห็นพ่อยืนอยู่ที่หน้าต่างโค้งที่เปิดรับลมอยู่ กำลังเฝ้ามองลงมา เธอรู้สึกผิดหวังในตัวพ่ออย่างที่สุดที่เขาไม่หยุดเรื่องนี้

พวกเขาพยายามเดินฝ่าไป แต่ไคร่ายืนอยู่ที่นั่น ดื้อรั้นที่จะขวางทางไว้ พวกเขาคิดที่จะผลักเธอออกไป แต่เลโอเดินเข้ามา และส่งเสียงขู่ พวกเขารู้ว่าท่าไม่ดีแน่

“ไอดาน มันยังไม่สายเกินไป” เธอพูดกับเขา “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำสิ่งนี้ เจ้าต้องการกลับไปที่ป้อมกับข้าไหม?”

เธอมองหน้าเขา เห็นแววตาความสบายใจและความอึดอัดของเขา ความเงียบอันยาวนานผ่านไป ไม่มีสิ่งมารบกวน เว้นแต่เสียงลมพัดและหิมะที่กำลังตก

ในที่สุดเขาก็แสดงท่าทีออกมา

“ข้าต้องการออกล่า” เขาพูดพึมพำอย่างไม่เต็มใจ

พวกพี่ชายเดินผ่านไปพร้อมกระแทกไหล่ของเธอ และลากไอดานไปด้วย พวกเขามุ่งหน้าสู่ถนน ไคร่าหันหลังและมองดูพวกเขา รู้สึกปั่นป่วนในท้อง

เธอมองไปที่ป้อมปราการ มองขึ้นไปบนหอคอย แต่พ่อของเธอไม่อยู่ที่นั่นแล้ว

ไคร่ามองพี่น้องทั้งสามคนจนลับตา พวกเขาเดินเข้าสู่พายุที่กำลังก่อตัว ไปยังป่าแห่งหนาม เธอคิดที่จะชิงตัวไอดานและนำเขากลับมา แต่เธอไม่อยากทำให้เขาอับอาย

เธอรู้ว่าควรปล่อยให้มันเป็นไป แต่ก็ไม่สามารถทำได้ บางอย่างภายในตัวของเธอไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น เธอรับรู้ได้ถึงอันตราย โดยเฉพาะในช่วงพลบค่ำของเหมันต์จันทรา เธอไม่ไว้ใจพี่ชายทั้งสอง เธอรู้ว่าพวกเขาคงไม่ทำร้ายไอดาน แต่พวกเขาสะเพร่าและอันธพาลเกินไป แย่ไปกว่านั้น พวกเขามั่นใจในทักษะของตัวเองเกินไป มันช่างเป็นส่วนผสมที่เลวร้าย

ไคร่าไม่อาจทนได้อีกต่อไป ถ้าพ่อของเธอไม่ยอมทำอะไร เธอจะทำเอง เธอโตพอแล้ว และไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใคร

ไคร่าออกวิ่งไปยังเส้นทางเปลี่ยวริมป่า เลโอวิ่งอยู่ข้างเธอ ทั้งคู่กำลังมุ่งหน้าสู่ป่าแห่งหนาม

บทที่สอง

ไคร่าเดินเข้าสู่ป่าแห่งหนามอันมืดมิดทางฝั่งตะวันตกของป้อมปราการ ป่าอันหนาทึบที่ยากจะมองเห็น เธอเดินไปกับเลโออย่างช้า ๆ เสียงหิมะและน้ำแข็งแตกละเอียดดังอยู่ใต้ฝ่าเท้า เธอดูตัวเล็กลงเมื่ออยู่ใต้ต้นไม้หนามที่แผ่ขยายออกไปอย่างไม่สิ้นสุด ป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ดึกดำบรรพ์สีดำที่มีกิ่งก้านตะปุ่มตะป่ำคล้ายหนาม พร้อมใบสีดำหนา เธอรู้สึกเหมือนสถานที่แห่งนี้ต้องคำสาป เพราะไม่เคยมีสิ่งดี ๆ ออกมาจากที่นี่เลย คนของพ่อได้รับบาดเจ็บหลังจากออกล่าในป่า หลายครั้งที่กำแพงอัคคีถูกโทรลบุก พวกมันใช้ป่านี้เป็นที่หลบซ่อนเพื่อโจมตีหมู่บ้าน

ขณะที่ไคร่าเดินเข้าไป เธอรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นทันที ในป่าแห่งนี้ช่างลึกลับ อากาศหนาวเย็น เปียกชื้น กลิ่นของต้นหนามกระจายไปทั่ว กลิ่นของมันเหมือนหน้าดินที่กำลังเน่าเปื่อย ภายในป่ามีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ดูดซับแสงเหลืออยู่ ไคร่าเดินอย่างระมัดระวัง แม้ว่าเธอจะโกรธพี่ชาย แต่การเข้ามาในป่านี้โดยไม่มีเพื่อนร่วมทางเป็นนักรบหลาย ๆ คนมันอันตรายเกินไป โดยเฉพาะหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน เสียงสะท้อนกึกก้องทำให้เธอหวาดผวา เสียงร้องของสัตว์ดังมาแต่ไกล เธอสะดุ้งและหันกลับไปมอง แต่ป่าหนาทึบมาก เธอไม่สามารถหาที่มาของเสียงนั้นได้

เลโอส่งเสียงร้องอยู่ข้างเธอ ทันใดนั้นมันวิ่งออกไปตามเสียง

“เลโอ!” เธอตะโกนขึ้น

แต่เลโอหายไปแล้ว

เธอถอนหายใจ รู้สึกหงุดหงิด เลโอมักจะเป็นแบบนี้เสมอเมื่อมีสัตว์อื่นเข้ามาใกล้ แต่สุดท้ายแล้วมันมักจะกลับมาเอง

ไคร่าเดินต่อไป ตอนนี้เธออยู่เพียงลำพัง ภายในป่าที่ดูหนาทึบขึ้นเรื่อย ๆ เธอพยายามติดตามร่องรอยของพี่ชายและน้องชาย เมื่อไคร่าได้ยินเสียงหัวเราะดังมาแต่ไกล เธอมองหาที่มาของเสียง และรีบฝ่าดงต้นไม้หนาออกไป จนเห็นพี่น้องของเธออยู่เบื้องหน้า

ไคร่าถอยกลับมา พยายามรักษาระยะห่างไว้ และไม่ต้องการให้ใครเห็น เธอรู้ว่าถ้าไอดานเห็นเธอ เขาจะต้องอับอายและไม่อยากพบเธออีก เธอสามารถมองดูพวกเขาจากเงามืด เธอเพียงแค่ต้องการแน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ประสบกับเรื่องอันตรายใด ๆ เธอไม่ต้องทำให้ไอดานอับอาย เพื่อให้เขาได้รู้สึกว่าเขาคือลูกผู้ชาย

เสียงกิ่งไม้ถูกเหยียบใต้เท้าของเธอดังขึ้น ไคร่าก้มตัวลงทันที กลัวว่าเสียงจะทำให้พวกเขารู้ว่าเธออยู่ที่นี่ แต่โชคดีที่พวกพี่ชายขี้เมาของเธอไม่ได้ยิน พวกเขานำหน้าเธออยู่สามสิบหลา เธอรีบเดินเร็วขึ้น เสียงย่ำเท้าถูกกลบด้วยเสียงหัวเราะของพวกเขา เธอสามารถรู้ได้จากท่าทางของไอดานว่าเขากำลังวิตก เหมือนจะอยากร้องไห้ออกมา เขากำหอกในมือแน่น พยายามที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง แต่มันเป็นท่าทางการจับที่ดูเก้กัง เนื่องจากหอกนั้นมีขนาดใหญ่เกินไป และเขาต้องพยายามแบกรับน้ำหนักของหอกเอาไว้

“เร็วสิ!” แบรกซ์ตันตะโกนออกมา หันมามองไอดานที่เดินตามหลังไกลออกไปหนึ่งฟุต

“เจ้ากำลังกลัวอะไร?” แบรนดอนพูดกับเขา

“ข้าไม่ได้กลัว…” ไอดานยืนกราน

“เงียบ!” แบรนดอนพูดออกมา พร้อมกับหยุดเดิน และเอาฝ่ามือของเขามายันไว้ที่หน้าอกของไอดาน การแสดงออกของเขาดูจริงจังเป็นครั้งแรก แบรกซ์ตันก็หยุดเดินเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดกำลังเคร่งเครียด

ไคร่าแอบอยู่หลังต้นไมในขณะที่กำลังมองดูพี่น้องของเธอ พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางที่โล่ง กำลังมองไปข้างหน้าราวกับเจออะไรบางอย่าง

เธอคลานไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง พยายามหามุมที่ดีกว่านี้ เธอแหวกตัวเข้าไประหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้น และต้องผงะเมื่อเห็นสิ่งที่พวกเขากำลังยืนดู หมูป่าเขาดำ ตัวใหญ่มหึมา กำลังกินลูกโอ๊คอยู่ มันไม่ใช่หมูป่าธรรมดา แต่มันเป็นหมูป่าตัวใหญ่ที่สุดที่เธอเคยเห็น งาของมันสีขาวโค้งยาวเหยียด พร้อมด้วยเขาสีดำแหลมคมสามอัน อันหนึ่งยื่นออกมาจากจมูก และอีกสองอันยื่นออกมาจากหัว ตัวของมันใหญ่เกือบเท่าหมี มันเป็นสัตว์หายาก ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายและรวดเร็วดุจสายฟ้า มันเป็นสัตว์ที่ทุกคนเกรงกลัว และเป็นสัตว์ที่นักล่าไม่อยากเจอมากที่สุด

แย่แล้ว

ไคร่าขนลุกชัน หวังว่าเลโอจะอยู่ที่นี่ แต่ดีแล้วที่มันไม่อยู่ ไม่เช่นนั้นมันคงจะกระโดดออกไปไล่หมูป่า และไคร่าไม่แน่ใจนักว่ามันจะสามารถเอาชนะได้ ไคร่าค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้า นำคันธนูออกมาจากไหล่อย่างช้า ๆ และเอื้อมมือไปหยิบลูกธนูโดยสัญชาตญาณ เธอพยายามคำนวณว่าหมูป่าอยู่ห่างจากพวกเขาแค่ไหน และห่างจากเธอเท่าไร เธอรู้ว่ามันไม่ดีแน่ เนื่องจากมีต้นไม้ขวางทิศทางการยิงธนูมากเกินไป และขนาดของสัตว์ตัวเท่านี้ ไม่มีที่ว่างสำหรับข้อผิดพลาด เธอสงสัยว่าธนูดอกเดียวจะสามารถล้มหมูป่าตัวนี้ได้หรือไม่

ไคร่าสังเกตเห็นความหวาดกลัวบนใบหน้าของพวกพี่ชาย แบรนดอนและแบรกซ์ตันปกปิดความตระหนกด้วยท่าทีห้าวหาญ เธอรู้ว่ามันเกิดจากความมึนเมาอย่างแน่นอน ทั้งคู่ยกหอกขึ้นมาและเดินไปข้างหน้าหลายก้าว แบรกซ์ตันเห็นไอดานยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาหันไป วางมือลงบนบ่าของเด็กน้อย และพาไอดานก้าวไปพร้อมกับเขา

“นี่คือโอกาสที่เจ้าจะพิสูจน์ตัวเอง” แบรกซ์ตันพูด “ฆ่าหมูป่าตัวนี้ซะ และพวกเขาจะสรรเสริญเจ้าไปชั่วลูกชั่วหลาน”

“นำหัวของมันกลับไปและเจ้าจะมีชื่อเสียงไปตลอดชีวิต” แบรนดอนพูด

“ข้า…กลัว” ไอดานพูด

แบรนดอนและแบรกซ์ตันยิ้มเยาะ และหัวเราะออกมา

“กลัวหรือ?” แบรนดอนพูด “ท่านพ่อจะคิดยังไงถ้าเขาได้ยินที่เจ้าพูด?”

หมูป่าเริ่มตัวรู้ มันยกหัวขึ้นมา เผยให้เห็นดวงตาสีเหลืองเป็นประกาย มันจ้องมาที่พวกเขา อ้าปากคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวโกรธ พร้อมแยกเขี้ยวอันแหลมคมที่เต็มไปด้วยน้ำลายยืด ตามด้วยเสียงขู่อันดุร้ายที่ดังออกมา ไคร่ารับรู้ได้ถึงความน่ากลัวแม้แต่ในระยะที่เธอยืนอยู่ เธอกำลังนึกถึงความกลัวที่ไอดานต้องเผชิญ

ไคร่ารีบพุ่งไปข้างหน้า ละทิ้งความรอบคอบไปกับสายลม มุ่งมั่นที่จะตามให้ทันก่อนที่เรื่องราวจะสายเกินไป เมื่อเธออยู่ห่างจากพี่น้องของเธอไม่กี่ฟุต เธอตะโกนออกไป

“อย่ายุ่งกับมัน!”

เสียงอันแข็งกร้าวของเธอทำลายความเงียบ พี่น้องของเธอทั้งหมดหันกลับมา สีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด

“พวกเจ้าสนุกมากพอแล้ว” เธอพูด “ปล่อยมันไป”

ไอดานดูคลายความกังวล ส่วนแบรนดอนและแบร็กซ์ตันถลึงตาใส่เธอ

“เจ้าจะไปรู้อะไร?” แบรนดอนตะโกนกลับมา “เลิกมายุ่งกับพวกผู้ชายสักที”

เสียงคำรามของหมูป่าดังขึ้น มันกำลังคืบคลานเข้ามาหาพวกเขา ไคร่าก้าวไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกกลัวและโกรธ

“ถ้าพวกเจ้าโง่พอที่จะเป็นศัตรูกับสัตว์ร้ายนี้ก็เรื่องของเจ้า” เธอพูด “แต่พวกเจ้าต้องส่งไอดานมาให้ข้า”

แบรนดอนคิ้วขมวด

“ไอดานจะไม่เป็นไร” แบรนดอนโต้กลับ “เขากำลังจะเรียนรู้วิธีการต่อสู้ ใช่ไหม ไอดาน?”

ไอดานยืนเงียบ กำลังตะลึงด้วยความกลัว

ไคร่าเดินเข้าไปใกล้ขึ้น และคว้าแขนของไอดานไว้ หมูป่ากำลังใกล้เข้ามาทีละก้าวอย่างน่ากลัว

“หมูป่าจะไม่โจมตี ถ้ามันไม่โดนท้าทาย” ไคร่ากดดันพี่ชายของเธอ “ปล่อยมันไป”

แต่พวกพี่ชายของเธอไม่สนใจ ทั้งคู่หันไปเผชิญหน้าและยกหอกขึ้น พวกเขาเดินไปข้างหน้า ราวกับต้องการพิสูจน์ว่าพวกเขากล้าหาญเพียงใด

“ข้าจะเล็งหัวของมัน” แบรนดอนพูด

“ส่วนข้าจะเล็งที่คอ” แบร็กซ์ตันเห็นด้วย

หมูป่าคำรามเสียงดังขึ้น อ้าปากกว้างมากกว่าเดิม น้ำลายไหลยืด และก้าวเข้ามาอย่างน่ากลัว

“กลับมานี่!” ไคร่าตะโกนออกไปอย่างสิ้นหวัง

แต่แบรนดอนและแบร็กซ์ตันก้าวเท้าไปข้างหน้า พร้อมกับยกหอกของพวกเขาขึ้น และขว้างออกไป

ไคร่ามองตามด้วยความกังวลในขณะที่หอกร่อนอยู่ในอากาศ เธอเตรียมรับมือกับเรื่องร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอมองอย่างผิดหวัง หอกของแบรนดอนพุ่งเฉี่ยวหูของหมูป่า แรงพอที่จะทำให้เลือดออก และกระตุ้นให้มันโกรธมากขึ้น ส่วนหอกของแบร็กซ์ตันนั้นไม่โดนเป้า ห่างจากหัวของหมูป่าไปหลายฟุต

นี่เป็นครั้งแรกที่แบรนดอนและแบร็กซ์ตันดูหวาดกลัว พวกเขายืนอยู่ที่นั่น อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ความมึนเมาจากไวน์ถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัว

หมูป่ากำลังโกรธ มันลดหัวต่ำลง ขู่คำรามด้วยเสียงที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง และทันใดนั้นมันก็พุ่งเข้ามา

ไคร่ามองดูด้วยความตกใจในขณะที่หมู่ป่ากำลังวิ่งเข้าใส่พี่ชายของเธอ มันเป็นหมูป่าที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่เธอเคยพบเจอ มันพุ่งกระโจนผ่านหญ้าอย่างคล่องแคล่วราวกับกวาง

หมูป่าเข้ามาใกล้มากขึ้น แบรนดอนและแบร็กซ์ตันวิ่งหนีสุดชีวิตไปคนละทิศคนละทาง

นั่นทำให้ไอดานถูกทิ้งไว้ตรงนั้น เขายืนนิ่งอยู่กับที่เพียงคนเดียว ตัวแข็งทื่ออย่างหวาดกลัว อ้าปากค้างด้วยความตกใจ เขาปล่อยมือออก หอกที่ถือไว้หล่นกลิ้งไปตามพื้น ไคร่ารู้ว่าไอดานไม่สามารถป้องกันตัวเองได้อยู่ดีถ้าเขาพยายาม แม้แต่ผู้ชายตัวโตก็ไม่สามารถทำได้ และตอนนี้หมูป่ากำลังเล็งไปที่ไอดาน พุ่งเป้าไปที่เขา

หัวใจของไคร่าเต้นรัว เธอรู้ว่าเธอมีเพียงโอกาสเดียว เธอกระโจนออกไปข้างหน้าโดยไม่ต้องคิด หลบหลีกตัวผ่านต้นไม้ เล็งธนูไปข้างหน้า นี่เป็นเพียงโอกาสเดียว และมันต้องสมบูรณ์แบบ เธอกำลังอยู่ในสภาวะความกลัว แม้ว่าหมูป่าจะอยู่นิ่งก็อาจทำให้การยิงยากขึ้น เธอรวบรวมสมาธิ มันจะต้องเป็นการยิงที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น เธอและไอดานต้องรอดไปจากที่นี่

“ไอดาน หมอบลง!” เธอตะโกน

ไอดานยังไม่ขยับ เขาขวางทางเธอ ทำให้เธอยิงไม่ถนัด ไคร่ายกธนูขึ้นมาและวิ่งไปข้างหน้า เธอรู้ว่าถ้าไอดานไม่ขยับ โอกาสยิงเพียงครั้งเดียวของเธอจะหมดไป สิ่งกีดขวางในป่าทำให้เท้าของเธอลื่นไถลบนหิมะและดินที่เปียกชื้น เธอรู้สึกเหมือนทุกอย่างจะจบลง

“ไอดาน!” เธอตะโกนอีกครั้งอย่างสิ้นหวัง

ด้วยปาฏิหาริย์บางอย่าง ครั้งนี้ไอดานได้ยินเธอแล้ว เขาก้มตัวลงกับพื้นในวินาทีสุดท้าย เปิดทางให้กับวิถียิงของไคร่า

เมื่อหมูป่าพุ่งเข้าใส่ไอดาน ทันใดนั้นเอง ไคร่ารู้สึกเหมือนเวลาเดินช้าลง โลกกำลังบิดเบี้ยว บางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นภายในตัวของเธอ เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนและไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น โลกดูแคบลงและกลายเป็นจุดโฟกัส เธอสามารถได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัว เสียงลมหายใจของเธอ เสียงใบไม้ปลิวล่องลอย เสียงอีกาที่บินอยู่บนท้องฟ้า เธอรู้สึกเหมือนเธอเป็นส่วนหนึ่งกับจักรวาล ราวกับเธอได้เข้าสู่ดินแดนที่ซึ่งเธอและจักรวาลหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

ไคร่ารู้สึกว่าฝ่ามือของเธอเจ็บแปลบด้วยพลังงานอันอบอุ่นที่ไม่สามารถอธิบายได้ เหมือนมีบางสิ่งกำลังคุกคามร่างกายของเธอ ภายในชั่วพริบตา เธอได้กลายเป็นใครบางคนที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเธอเอง ใครบางคนที่ทรงพลังอย่างมาก

จิตของไคร่าอยู่ในภาวะนิ่งสงบ เธอปล่อยให้ตัวเธอเองถูกขับเคลื่อนไปด้วยสัญชาตญาณ ด้วยพลังใหม่ที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกายของเธอ เธอวางเท้าอย่างมั่นคง ยกคันธนูขึ้น ใส่ลูกธนู และยิงมันออกไป

เธอรู้ตั้งแต่วินาทีที่ปล่อยลูกธนูออกไปว่าครั้งนี้คือการยิงที่พิเศษ เธอไม่จำเป็นต้องมองดูว่าลูกธนูพุ่งเข้าเป้าตามที่ต้องการหรือไม่ เธอยิงออกไปอย่างเต็มกำลังเข้าที่ดวงตาข้างขวาของสัตว์ร้าย ทำให้มันไถลไปเกือบฟุตหนึ่งก่อนที่จะหยุดลง

หมูป่าส่งเสียงฮึดฮัด ขาของมันติดชะงัก หน้าของมันทิ่มลงไปกับหิมะ นอนดิ้นอยู่บนพื้น มันยังคงมีชีวิตอยู่ เกือบจะถึงตัวไอดาน หยุดห่างจากเขาเพียงฟุตหนึ่ง

หมูป่านอนชักกระตุกอยู่บนพื้น ไคร่าใส่ลูกธนูอีกดอกในคันธนูของเธอ ก้าวมาข้างหน้า ยืนอยู่เหนือหมูป่า และเล็งยิงไปที่หลังกะโหลกของมัน ในที่สุดมันก็นอนนิ่งสนิท

ไคร่ายืนอยู่อย่างนั้นในความเงียบสงบ หัวใจของเธอเต้นระรัว ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ฝ่ามือกำลังบรรเทาลง พลังนั้นค่อย ๆ จางหายไป เธอสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น การยิงนั่นเป็นฝีมือของเธอหรือ?

ไคร่านึกถึงไอดานขึ้นมา เธอหันไปคว้าตัวเขา เขามองหน้าเธอเหมือนกับที่เขามองแม่ ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยความกลัว แต่ไร้ซึ่งการบาดเจ็บ เธอรู้สึกโล่งใจทันทีที่รู้ว่าเขาไม่เป็นอะไร

ไคร่ามองหาพี่ชายคนโตทั้งสอง แต่ละคนนอนแผ่อยู่บนพื้น จ้องมาที่เธอด้วยความตกใจและเกรงกลัว แต่มันยังมีอีกอย่างในดวงตาของพวกเขา บางอย่างที่หาข้อสรุปไม่ได้ในตัวเธอ มันคือความสงสัย เหมือนกับว่าเธอแตกต่างจากพวกเขา เหมือนเธอเป็นคนนอก มันคือแววตาที่ไคร่าเคยเจอเมื่อนานมาแล้ว นานพอที่จะทำให้เธอสงสัยตัวเอง เธอหันไปมองซากศพของสัตว์ร้ายตัวโตมหึมาที่นอนอยู่แทบเท้าของเธอ อดสงสัยไม่ได้ว่าเธอทำได้อย่างไร เด็กผู้หญิงอายุสิบห้าปี สามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างไร เธอรู้ว่ามันเหนือกว่าคำว่าทักษะ และมันยิ่งกว่าคำว่าดวงดี

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ดูเหมือนจะมีบางสิ่งเกี่ยวกับตัวเธอที่บ่งบอกว่าเธอแตกต่างจากคนอื่น เธอยืนอยู่ที่นั่น รู้สึกสับสน ต้องการขยับตัวแต่ไม่สามารถทำได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เธอตัวสั่นเทา นั่นไม่ใช่เพราะสัตว์ร้ายตัวนี้ แต่มันคือแววตาของพวกพี่ชายที่มองดูเธอ เธอเคยสงสัยมานับล้านครั้ง คำถามที่เธอกลัวและไม่อยากเผชิญมาตลอดชีวิต

เธอคือใคร?