Kitabı oku: «คำปฏิญาณแห่งศักดิ์ศรี »
คำปฏิญาณแห่งศักดิ์ศรี
(เล่ม 5 ในชุดวงแหวนของผู้วิเศษ)
มอร์แกน ไรซ์
ประวัติ มอร์แกน ไรซ์
มอร์แกน ไรซ์ เป็นผู้แต่งหนังสือขายดีอันดับ 1 และเป็นผู้แต่งมหากาพย์แฟนตาซีที่ขายดีที่สุดใน USA Today นิยายชุดวงแหวนของผู้วิเศษ จำนวน 17 เล่ม นิยายชุดขายดีอันดับ 1 บันทึกของแวมไพร์ จำนวน 11 เล่ม (และยังมีเล่มต่อไป) นิยายชุดขายดีอันดับ 1 เรื่อง THE SURVIVAL TRILOGY เรื่องราวระทึกขวัญหลังวันโลกาวินาศ จำนวน 2 เล่ม (และยังมีเล่มต่อไป) และนิยายชุดเรื่องราวแฟนตาซีใหม่ล่าสุด กษัตริย์และผู้วิเศษ หนังสือของ มอร์แกน มีทั้งรูปแบบเสียงและสิ่งพิมพ์ และได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 25 ภาษา
มอร์แกน ยินดีรับฟังความคิดเห็นของคุณ โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.morganricebooks.com เพื่อสมัครรับข่าวสารทางอีเมล พร้อมรับหนังสือฟรีและของรางวัลมากมาย สามารถดาวน์โหลดแอปฟรี เพื่อรับข่าวสารล่าสุด หรือเชื่อมต่อกับ Facebook และ Twitter โปรดติดตาม!
คำนิยมสำหรับ มอร์แกน ไรซ์
“วงแหวนของผู้วิเศษ มีส่วนผสมทุกอย่างของการประสบความสำเร็จทันที ไม่ว่าจะเป็นโครงเรื่องหลัก โครงเรื่องย่อย ความลึกลับ อัศวินผู้กล้าหาญ ความสัมพันธ์ที่เบ่งบานพร้อมกับการอกหัก การหลอกหลวงและการทรยศ มันจะทำให้คุณเพลิดเพลินได้หลายชั่วโมง และเป็นที่ชื่นชอบของทุกวัย แนะนำให้มีประจำไว้ในห้องสมุดสำหรับคอนักอ่านเรื่องแฟนตาซี”
--Books and Movie Reviews, Roberto Mattos
“นิยายมหากาพย์แฟนตาซีที่น่าสนุกสนาน”
--Kirkus REviews
“จุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่น่าดึงดูดใจ”
-- San Francisco Book Review
“อัดแน่นไปด้วยการผจญภัย...งานเขียนของไรซ์ช่างเข้มข้นและวางโครงเรื่องอย่างมีเหตุมีผล”
-- Publishers Weekly
“นิยายแฟนตาซีที่สร้างแรงบันดาลใจ เป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์นิยายสำหรับวัยรุ่นที่เหมาะสม”
-- Midwest Book Review
หนังสือของ มอร์แกน ไรซ์
กษัตริย์และผู้วิเศษ
กำเนิดราชันย์มังกร (เล่ม 1)
กำเนิดความกล้าหาญ (เล่ม 2)
ชุด วงแหวนของผู้วิเศษ
เส้นทางแห่งวีรบุรุษ (เล่ม 1)
การเดินทางแห่งราชา (เล่ม 2)
ชะตาแห่งมังกร (เล่ม 3)
เสียงร่ำร้องแห่งเกียรติยศ (เล่ม 4)
คำปฏิญาณแห่งศักดิ์ศรี (เล่ม 5)
หน้าที่ของผู้กล้า (เล่ม 6)
อำนาจแห่งดาบ (เล่ม 7)
ประทานพรแห่งสรรพาวุธ (เล่ม 8)
นภาแห่งเวทมนตร์ (เล่ม 9)
ท้องทะเลแห่งโล่ (เล่ม 10)
การครองราชย์แห่งเหล็กกล้า (เล่ม 11)
ดินแดนแห่งเปลวเพลิง (เล่ม 12)
บัญญัติแห่งราชินี (เล่ม 13)
คำสาบานของพี่น้อง (เล่ม 14)
ความฝันแห่งมรณะ (เล่ม 15)
การแข่งขันของอัศวิน (เล่ม 16)
ของขวัญจากการต่อสู้ (เล่ม 17)
ไตรภาคแห่งหนทางการอยู่รอด
สนามที่หนึ่ง ปลดปล่อยความเป็นทาส (เล่ม 1)
สนามที่สอง (เล่ม 2)
บันทึกของแวมไพร์
กลายร่าง (เล่ม 1)
ความรัก (เล่ม 2)
การทรยศ (เล่ม 3)
พรหมลิขิต (เล่ม 4)
ความปรารถนา (เล่ม 5)
การหมั้นหมาย (เล่ม 6)
คำสาบาน (เล่ม 7)
การค้นหา (เล่ม 8)
ฟื้นคืนชีพ (เล่ม 9)
การโหยหา (เล่ม 10)
โชคชะตา (เล่ม 11)
ฟัง นิยายชุด วงแหวนของผู้วิเศษ ในรูปแบบหนังสือเสียง!
ลิขสิทธิ์ © 2013 โดย มอร์แกน ไรซ์
สงวนลิขสิทธิ์ ยกเว้นที่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ของสหรัฐฯ พ.ศ. 2519 ห้ามนำส่วนใดของการเผยแพร่นี้ไปทำซ้ำ แจกจ่ายหรือถ่ายทอดในรูปแบบใด ๆ หรือโดยความหมายใด ๆ หรือเก็บบันทึกเป็นข้อมูล หรือระบบสืบค้น โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เขียน
หนังสือ ebook นี้ อนุญาตเพื่อความบันเทิงส่วนตัวของคุณเท่านั้น และ ebook เล่มนี้ไม่อาจนำไปขายซ้ำ หรือยกให้ผู้อื่น หากคุณต้องการแบ่งปันหนังสือเล่มนี้กับผู้อื่น ขอความกรุณาซื้อเพิ่มใหม่เป็นส่วนตัว หากคุณกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้ และไม่ได้ซื้อ หรือไม่ได้ซื้อในนามของคุณ ขอความกรุณาส่งคืนและดำเนินการซื้อในนามของคุณ ขอบคุณที่ให้ความเคารพในการทำงานอย่างหนักของผู้เขียน
หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ชื่อ ตัวละคร ธุรกิจ องค์กร สถานที่ สถานการณ์ และเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน หรือเป็นการแต่งขึ้น ความคล้ายคลึงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลจริง ทั้งที่ยังมีชีวิตหรือเสียชีวิตไปแล้ว เป็นความบังเอิญทั้งสิ้น
Jacket image Copyright RazoomGame, used under license from Shutterstock.com.
สารบัญ
บทที่ หนึ่ง
บทที่ สอง
บทที่ สาม
บทที่ สี่
บทที่ ห้า
บทที่ หก
บทที่ เจ็ด
บทที่ แปด
บทที่ เก้า
บทที่ สิบ
บทที่ สิบเอ็ด
บทที่ สิบสอง
บทที่ สิบสาม
บทที่ สิบสี่
บทที่ สิบห้า
บทที่ สิบหก
บทที่ สิบเจ็ด
บทที่ สิบแปด
บทที่ สิบเก้า
บทที่ ยี่สิบ
บทที่ ยี่สิบเอ็ด
บทที่ ยี่สิบสอง
บทที่ ยี่สิบสาม
บทที่ ยี่สิบสี่
บทที่ ยี่สิบห้า
บทที่ ยี่สิบหก
บทที่ ยี่สิบเจ็ด
บทที่ ยี่สิบแปด
“มนุษย์ทุกคนต่างรักชีวิต แต่ผู้ที่น่ายกย่องจะยึดถือเกียรติยศเป็นสิ่งมีค่ายิ่งกว่าชีวิต”
วิลเลียม เช็คสเปียร์
ทรอยลัสกับเครสสิดา
บทที่ หนึ่ง
แอนโดรนิคัสทรงม้าอย่างภาคภูมิไปยังใจกลางเมืองหลวงของแม็คคลาวด์ ขนาบด้วยแม่ทัพหลายร้อยนายของพระองค์ โดยลากราชาแม็คคลาวด์ซึ่งเป็นเหมือนถ้วยรางวัลแห่งชัยชนะมาด้วยด้านหลัง ราชาแม็คคลาวด์ทรงถูกปลดฉลองพระองค์เกราะ เกือบจะทรงเปลือย พระวรกายที่เต็มไปด้วยพระโลมาเป็นลอนด้วยไขมัน พระองค์ทรงถูกมัดข้อพระกรด้วยเชือกยาวและโยงผูกกับหลังอานม้าของแอนโดรนิคัส
ขณะที่แอนโดรนิคัสทรงม้าไปช้า ๆ เพลิดเพลินกับชัยชนะของพระองค์ ทรงลากราชาแม็คคลาวด์ไปตามท้องถนนที่เป็นดินและกรวด ทำให้เกิดฝุ่นฟุ้งขึ้น ชาวเมืองมาชุมนุมกันและตกใจจนอ้าปากค้าง แอนโดรนิคัสทรงได้ยินราชาแม็คคลาวด์ร้องออกมาและดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ขณะที่ทรงแห่ราชาไปตามถนนในเมืองของพระองค์เอง แอนโดรนิคัสทรงแย้มสรวลกว้าง ชาวเมืองแม็คคลาวด์ต่างมีสีหน้าหวาดกลัว นี่คืออดีตราชาของพวกเขา ตอนนี้กลายเป็นทาสที่ต่ำต้อยที่สุด มันเป็นช่วงเวลาที่ดี่ที่สุดช่วงเวลาหนึ่งที่แอนโดรนิคัสจะทรงจดจำ
แอนโดรนิคัสทรงประหลาดพระทัยที่การยึดครองเมืองแม็คคลาวด์ช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน ดูเหมือนว่าชาวเมืองแม็คคลาวด์จะหมดกำลังใจไปก่อนที่จะทรงเริ่มโจมตีเสียอีก ทหารของแอนโดรนิคัสสามารถเอาชนะได้ภายในแวบเดียว กองทหารหลายพันคนจู่โจมเข้ามาและจัดการทหารจำนวนหยิบมือที่อาจหาญขัดขืน แล้วเคลื่อนพลเข้ามาในเมืองได้ในพริบตาเดียว พวกมันคงรู้ตัวว่าไม่มีประโยชน์ที่จะขัดขืน ทุกคนต่างคิดว่าควรวางอาวุธ หากยอมศิโรราบ แอนโดรนิคัสคงจะทรงจับพวกมันเป็นเชลย
แต่พวกมันไม่รู้จักแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงดูแคลนการยอมแพ้ และไม่ต้องการเชลยศึก การที่พวกมันยอมวางอาวุธนั้นยิ่งทำให้ง่ายขึ้นสำหรับพระองค์
ท้องถนนในเมืองแม็คคลาวด์นองไปด้วยโลหิต เมื่อทหารของแอนโดรนิคัสบุกไปตามตรอกซอกซอยต่าง และสังหารทุกคนที่พบ สตรีและเด็กถูกนำไปเป็นทาส เช่นที่ทรงเคยทำเสมอ และบุกปล้นสะดมบ้านเรือนไปทีละหลัง
ขณะที่แอนโดรนิคัสทรงม้าไปตามถนนช้า ๆ พลางมองสำรวจชัยชนะของพระองค์ ทรงเห็นซากศพอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทรัพย์สมบัติที่กองไว้ บ้านเรือนที่ถูกทำลาย พระองค์ทรงหันไปพยักพระพักตร์กับแม่ทัพคนหนึ่ง ซึ่งชูคบไฟขึ้นทันที ส่งสัญญาณให้ทหารหลายร้อยนายกระจายกันไปทั่วเมือง และลงมือจุดไฟเข้าที่หลังคามุงจาก เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นรอบ ๆ ตัวพวกเขา และพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แอนโดรนิคัสทรงเริ่มรู้สึกถึงความร้อนได้แม้จากตรงนี้
“ไม่!” ราชาแม็คคลาวด์ทรงร้องตะโกน ดิ้นรนอยู่บนพื้นด้านหลังพระองค์
แอนโดรนิคัสแย้มสรวลกว้างขึ้นและทรงเร่งฝีเท้าม้า มุ่งหน้าไปยังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง เกิดเสียงกระแทกอย่างน่าพอใจดังขึ้น พระองค์ทรงรู้ว่าร่างของแม็คคลาวด์ครูดไปบนก้อนหินนั้น
แอนโดรนิคัสทรงพอพระทัยอย่างยิ่งที่ได้ทอดพระเนตรเมืองนี้ลุกไหม้ พระองค์จะทรงเผาบ้านเมืองให้ราบเป็นหน้ากลอง เช่นเดียวกับที่ทรงทำกับทุกเมืองที่พิชิตได้ในจักรวรรดิ แล้วจึงสร้างขึ้นมาใหม่ ด้วยทหารของพระองค์เอง แม่ทัพของพระองค์ และจักรวรรดิของพระองค์เอง นี่คือวิถีของแอนโดรนิคัส พระองค์ทรงไม่ต้องการร่องรอยจากเมืองเก่า ทรงต้องการสร้างโลกใหม่ขึ้น โลกของแอนโดรนิคัส
อาณาจักรวงแหวนตอนนี้เป็นดินแดนของพระองค์แล้ว วงแหวนอันศักดิ์สิทธิ์ที่รอดพ้นเงื้อมมือของบรรพบุรุษของพระองค์มาได้ตลอด แอนโดรนิคัสแทบไม่ทรงเชื่อ พระองค์ทรงหายพระทัยเข้าลึก พลางสงสัยในความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ในไม่ช้าพระองค์จะข้ามเขตภูเขาสูงไป และมีชัยเหนือดินแดนอีกครึ่งหนึ่งของวงแหวนด้วยเช่นกัน จากนั้นจะไม่มีสถานที่ใดบนโลกใบนี้ที่พระองค์ยังไม่ทรงเหยียบย่างไป
แอนโดรนิคัสทรงม้าไปยังรูปปั้นราชาแม็คคลาวด์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่ใจกลางจัตุรัสของเมืองและหยุดลงตรงหน้า มันตั้งอยู่ตรงนั้นราวกับแท่นบูชาทำจากหินอ่อนสูงถึงห้าสิบฟุต เป็นรูปปั้นราชาแม็คคลาวด์ในแบบที่แอนโดรนิคัสทรงไม่รู้จัก ราชาแม็คคลาวด์ที่ยังหนุ่ม แข็งแรงและกำยำ ชูดาบขึ้นอย่างองอาจ แสดงถึงความหลงตัวเอง ซึ่งแอนโดรนิคัสทรงชื่นชมในเรื่องนี้ ใจหนึ่งทรงอยากที่จะนำรูปปั้นนี้กลับไปตั้งไว้ที่พระราชวังของพระองค์เหมือนเป็นถ้วยรางวัล
แต่อีกใจหนึ่งทรงรังเกียจเกินไป แอนโดรนิคัสทรงเอื้อมหยิบหนังสติ๊กขึ้นมาโดยไม่ต้องคิด เป็นหนังสติ๊กที่ใหญ่กว่าของคนทั่วไปสามเท่า ใหญ่พอที่จะใช้ก้อนหินผาขนาดย่อม ๆ พระองค์ทรงเงื้อและยิงออกไปด้วยพละกำลังทั้งหมด
ก้อนหินลูกย่อม ๆ แหวกอากาศไปและกระแทกเข้าที่ศีรษะของรูปปั้น ศีรษะที่ทำจากหินอ่อนของราชาแม็คคลาวด์แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ หลุดออกจากลำตัว จากนั้นแอนโดรนิคัสทรงตะโกนก้อง ยกกระบองสองมือขึ้น ทรงควบม้าเข้าใส่และฟาดไปด้วยพระกำลังทั้งหมด
แอนโดรนิคัสทรงฟาดใส่ลำตัวของรูปปั้น จนรูปปั้นหินอ่อนโงนเงนและล้มลงกับพื้น แตกกระจายเสียงดังสนั่น พระองค์ทรงชักม้าและทรงทำให้แน่ใจว่าขณะที่ขี่ม้าไปนั้นร่างของราชาแม็คคลาวด์จะครูดไปบนเศษหินที่กระจายอยู่
“เจ้าจะต้องชดใช้สำหรับเรื่องนี้!” ราชาแม็คคลาวด์ผู้เจ็บปวดร้องขึ้นอย่างอ่อนแรง
แอนโดรนิคัสทรงพระสรวล พระองค์ทรงเผชิญหน้ากับมนุษย์มามากมายตลอดพระชนม์ชีพ แต่เจ้าคนนี้น่าจะเป็นคนที่น่าสมเพชที่สุดในบรรดาพวกนั้น
“อย่างนั้นหรือ?” แอนโดรนิคัสทรงตะโกน
ราชาแม็คคลาวด์คนนี้โง่เขลาเกินไป มันยังไม่ซาบซึ้งถึงอำนาจของแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่ มันคงจะต้องได้รับบทเรียนเป็นครั้งสุดท้าย
แอนโดรนิคัสทอดพระเนตรดูรอบเมือง และสายพระเนตรไปหยุดที่สถานที่ซึ่งน่าจะเป็นปราสาทของแม็คคลาวด์ พระองค์ทรงเตะม้า กระตุ้นให้ออกควบ ทหารของพระองค์ตามมาด้านหลัง ขณะที่ทรงลากราชาแม็คคลาวด์ไปบนลานคลุ้งฝุ่น
แอนโดรนิคัสทรงควบม้าขึ้นไปตามขั้นบันไดหินอ่อนหลายสิบขั้น ร่างของราชาแม็คคลาวด์กระแทกกระทั้นอยู่ด้านหลัง ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดเมื่อกระแทกเข้ากับบันไดแต่ละขั้น จากนั้นแอนโดรนิคัสทรงขี่ม้าตรงไปยังประตูหินอ่อน ทหารของพระองค์ยืนเฝ้าระวังอยู่ที่ประตูแล้ว และแทบเท้าของพวกนั้นมีศพนองโลหิตของทหารยามของแม็คคลาวด์นอนเกลื่อนอยู่ แอนโดรนิคัสทรงแย้มสรวลด้วยความพอพระทัยที่ได้เห็นว่าทุกซอกมุมของเมืองนี้เป็นของพระองค์แล้ว
แอนโดรนิคัสทรงม้าต่อไป ตรงเข้าประตูปราสาทบานใหญ่ สู่โถงทางเดินหลังคาโค้งสูงที่ล้วนสร้างจากหินอ่อน พระองค์ทรงพิศวงกับความฟุ่มเฟือยของราชาแม็คคลาวด์ เห็นได้ชัดว่าราชาองค์นี้ไม่ได้เก็บสำรองเงินทองไว้บำรุงบำเรอตัวเองเลย
ตอนนี้ถึงเวลาของพระองค์แล้ว แอนโดรนิคัสยังทรงม้าต่อไปตามโถงทางเดินกว้างขวาง มุ่งหน้าไปยังห้องท้องพระโรงของราชาแม็คคลาวด์อย่างชัดเจน พร้อมด้วยทหารของพระองค์ เสียงฝีเท้าม้าดังก้องไปทั่ว แอนโดรนิคัสทรงควบทะยานผ่านประตูไม้โอ้ค ตรงไปยังกลางห้อง ไปยังบัลลังก์ทองคำสลักน่ารังเกียจที่ตั้งอยู่กลางท้องพระโรงแห่งนี้
แอนโดรนิคัสทรงลงจากหลังม้า เสด็จขึ้นไปตามขั้นบันไดทองคำอย่างช้า ๆ และประทับนั่งลงบนบัลลังก์
พระองค์ทรงหายพระทัยเข้าลึกขณะหันมองสำรวจกองทหารของพระองค์ แม่ทัพหลายสิบคนนั่งอยู่บนหลังม้า รอคอยรับสั่งจากพระองค์ แอนโดรนิคัสทอดพระเนตรมองราชาแม็คคลาวด์ที่โลหิตอาบโทรม ยังถูกมัดอยู่กับม้าทรงของพระองค์ นอนร้องครวญคราง พระองค์ทรงสำรวจท้องพระโรงแห่งนี้ ตรวจตราดูกำแพง ธง ชุดเกาะและอาวุธ แล้วทอดพระเนตรดูฝีมือสลักบัลลังก์องค์นี้ และทรงพอพระทัย แอนโดรนิคัสทรงคิดว่าจะหลอมมัน หรืออาจจะนำมันกลับไปใช้ส่วนพระองค์ บางทีพระองค์อาจจะพระราชทานให้แก่แม่ทัพชั้นรองลงไป
แน่นอนว่าบัลลังก์องค์นี้เทียบไม่ได้เลยกับบัลลังก์ของพระองค์เอง บัลลังก์องค์ใหญ่ที่สุดในทุกอาณาจักร บัลลังก์ที่ต้องใช้คนงานยี่สิบคนและเวลาสี่สิบปีในการสร้าง เริ่มสร้างมาตั้งแต่รัชสมัยของพระบิดาของพระองค์ และเสร็จสมบูรณ์ในวันที่แอนโดรนิคัสปลงพระชนม์พระบิดาของพระองค์เอง เป็นเวลาที่เหมาะเจาะจริง ๆ
แอนโดรนิคัสทอดพระเนตรราชาแม็คคลาวด์ มนุษย์ตัวเล็ก ๆ ที่น่าสมเพชคนนี้ แล้วทรงสงสัยว่าวิธีใดจะดีที่สุดที่จะทำให้มันทรมาน พระองค์ทรงสำรวจรูปร่างและขนาดของกะโหลก แล้วตัดสินพระทัยว่าพระองค์อยากจะนำมันมาหดแล้วห้อยไว้กับสร้อยพระศอ รวมกับศีรษะอื่น ๆ รอบพระศอ แต่พระองค์ทรงรู้ว่าก่อนที่จะประหารราชาแม็คคลาวด์ พระองค์จะต้องใช้เวลาในการลดขนาดใบหน้าและโหนกแก้มลง มันจะได้ดูดีขึ้นเวลาที่อยู่รอบพระศอ พระองค์ทรงไม่ต้องการให้ใบหน้าอ้วนจ้ำม่ำมาทำลายความงดงามของสร้อยพระศอของพระองค์ แอนโดรนิคัสจะทรงปล่อยให้ราชาแม็คคลาวด์มีชีวิตอยู่สักพัก และจะทรงทรมานไปพลาง ๆ พระองค์ทรงแย้มสรวลกับตัวเอง ใช่แล้ว มันช่างเป็นแผนการที่ดีจริง ๆ
“เอาตัวมันมาให้ข้า” แอนโดรนิคัสตรัสสั่งแม่ทัพคนหนึ่ง ด้วยพระสุรเสียงห้าวลึกฟังดูโบราณ
แม่ทัพกระโดดลงจากหลังม้าโดยไม่ลังเล แล้วรีบไปหาราชาแม็คคลาวด์ ตัดเชือกออกแล้วลากร่างโชกโลหิตมาตามพื้น มีรอยโลหิตเปื้อนไปตามทาง แล้ววางร่างราชาแม็คคลาวด์ไว้แทบพระบาทแอนโดรนิคัส
“แกไม่มีทางรอดพ้นจากเรื่องนี้!” ราชาแม็คคลาวด์พึมพำอย่างอ่อนแรง
แอนโดรนิคัสส่ายพระพักตร์ มนุษย์ผู้นี้ไม่รู้จักหลาบจำ
“ข้าก็อยู่นี่ไง นั่งอยู่บนบัลลังก์ของเจ้า” แอนโดรนิคัสตรัส “ส่วนเจ้าก็อยู่ตรงนั้น นอนอยู่แทบเท้าข้า ข้าควรจะคิดว่ามันชอบดีแล้วที่จะกล่าวว่าข้าสามารถจะไปไหนก็ได้พร้อมกับทุกสิ่งที่ข้าต้องการ และข้าก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว”
ราชาแม็คคลาวด์ประทับนอนอยู่เช่นนั้น ทรงร้องครวญครางและดิ้นทุรนทุราย
“ราชโองการแรกแห่งข้า” แอนโดรนิคัสตรัส “คือเจ้าจะต้องถวายความเคารพอย่างเหมาะสมแก่ราชาองค์ใหม่และนายเหนือหัวของเจ้า จงมาหาข้าเดี๋ยวนี้ แล้วรับเกียรติเป็นคนแรกที่ได้คุกเข่าอยู่ต่อหน้าข้าในอาณาจักรใหม่ของข้า เป็นผู้แรกที่ได้จุมพิตหัตถ์และเรียกข้าว่าราชาของอาณาจักรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของแม็คคลาวด์ที่ฝั่งหนึ่งของวงแหวน”
ราชาแม็คคลาวด์ทรงเงยพระพักตร์ ลุกขึ้นคลานและยิ้มหยันให้แอนโดรนิคัส
“ไม่มีวัน!” พระองค์ตรัสแล้วหันไป ก่อนจะถ่มพระเขฬะลงพื้น
แอนโดรนิคัสทรงพระสรวล พระองค์ทรงพอพระทัยอย่างยิ่ง ด้วยไม่ได้พบมนุษย์ที่มีความมุ่งมั่นเช่นนี้มานานแล้ว
แอนโดรนิคัสทรงหันไปพยักพระพักตร์ ทหารนายหนึ่งเข้ามาคว้าราชาแม็คคลาวด์ไว้จากด้านหลัง ขณะที่อีกคนก้าวออกมาแล้วจับพระเศียรให้อยู่นิ่ง คนที่สามเข้ามาพร้อมกับดาบยาว ขณะที่เขาเข้ามาใกล้ ราชาแม็คคลาวด์ทรงดิ้นรนด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าจะทำอะไร?” ราชาแม็คคลาวด์ตรัสถามด้วยความตระหนก จนพระสุรเสียงหลง
ทหารนายนั้นยื่นมือลงมาแล้วโกนพระเคราของราชาแม็คคลาวด์ออกครึ่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว พระองค์ทรงเงยพักตร์ขึ้นด้วยความงุนงง เห็นได้ชัดว่าทรงประหลาดพระทัยที่ทหารไม่ได้ทำร้ายพระองค์
แอนโดรนิคัสพยักพระพักตร์ ทหารอีกคนก้าวออกมาพร้อมด้วยเหล็กเขี่ยไฟ ที่ปลายด้านหนึ่งมีเหล็กสลักตราประจำอาณาจักรของพระองค์ รูปสิงโตคาบนกไว้ในปาก มันเป็นสีส้มเรืองรองและร้อนจนควันขึ้น ขณะที่ทหารคนหนึ่งกดราชาแม็คคลาวด์ไว้ ทหารคนนั้นก็กดเหล็กเผาไฟต่ำลงไปยังพระปรางเปลือยเปล่าของราชาแม็คคลาวด์
“ไม่!” ราชาแม็คคลาวด์ทรงร้องโหยหวน เมื่อทรงรู้
แต่ก็สายเกินไป
เสียงร้องน่ากลัวดังไปทั่ว พร้อมกับเสียงฉ่าและกลิ่นเนื้อไหม้ แอนโดรนิคัสทรงทอดพระเนตรด้วยความสำราญพระทัยเมื่อแท่งเหล็กเผาลึกลงไปเรื่อย ๆ บนพระปรางของราชาแม็คคลาวด์ เสียงฉ่าดังยิ่งขึ้น พร้อมเสียงกรีดร้องที่แทบจะทนฟังไม่ได้
ในที่สุด พวกทหารก็ปล่อยราชาแม็คคลาวด์ หลังจากผ่านไปสิบวินาทีเต็ม
ราชาแม็คคลาวด์ทรงทรุดลงไปกองอยู่บนพื้น สิ้นสติสมประดี พระเขฬะไหลฟูม ขณะที่ควันลอยกรุ่นขึ้นมาจากซีกหนึ่งของพระพักตร์ ที่ตอนนี้มีตราของแอนโดรนิคัสไหม้อยู่บนพระฉวี
แอนโดรนิคัสทรงก้มลงทอดพระเนตรราชาแม็คคลาวด์ที่นอนสิ้นสติ เพื่อชื่นชมผลงาน
“ขอต้อนรับสู่จักรวรรดิ”
บทที่ สอง
อีเร็คยืนอยู่บนยอดเนินที่ชายป่า มองดูกองพลย่อม ๆ เคลื่อนใกล้เข้ามา ใจเขาร้อนรุ่มราวกับไฟ เขาเกิดมาเพื่อวันเวลาเช่นนี้ ในการสู้รบบางครั้งก็มีเส้นแบ่งที่ไม่ชัดเจนระหว่างความยุติธรรมและอยุติธรรม แต่ไม่ใช่วันนี้ ลอร์ดแห่งบาลัสเตอร์ขโมยเจ้าสาวของเขาไปอย่างหน้าด้าน ๆ อีกทั้งยังวางโตและไม่สำนึก อีเร็คได้บอกให้เขารู้ถึงความผิดของตัวเอง ให้โอกาสเขาได้แก้ตัว แต่เขาปฏิเสธที่จะแก้ไขความผิด เขาเป็นผู้หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตัวเอง ลูกน้องของเขาก็ควรจะปล่อยวางเสีย โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้เขาก็ได้ตายไปแล้ว
แต่พวกเขาหลายร้อยคนกลับกำลังขี่ม้ามา เพื่อตอบแทนค่าจ้างให้แก่ลอร์ดผู้ไม่คู่ควรคนนี้ ทุกคนต่างต้องการสังหารอีเร็คเพียงเพราะชายคนนั้นเป็นนายจ้างของพวกเขา ทุกคนสวมชุดเกราะสีเขียวเป็นประกายมุ่งตรงมา และเมื่อเข้ามาใกล้ก็ส่งเสียงโห่ร้องข่มขวัญ ราวกับว่ามันอาจจะทำให้อีเร็คกลัวได้
อีเร็คไม่ได้หวาดกลัว เขาผ่านศึกเช่นนี้มามากมายนัก หากเขาจะได้เรียนรู้อะไรจากการฝึกฝนตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ก็คืออย่าเกรงกลัวเมื่อต้องต่อสู้อยู่ในฝั่งความยุติธรรม เขาถูกสอนมาว่าความยุติธรรมอาจจะไม่ชนะเสมอไป แต่มันจะทำให้ผู้ที่ยึดถือความยุติธรรมมีกำลังเท่ากับคนสิบคน
อีเร็คไม่ได้รู้สึกกลัวเมื่อเห็นกองพลนับร้อยเคลื่อนใกล้เข้ามา และรู้ว่าเขาอาจจะตายในวันนี้ มันเป็นความคาดหวัง เขาได้รับโอกาสให้พบความตายอย่างสมเกียรติที่สุด และนั่นคือของขวัญ เขาได้ทำการปฏิญาณแห่งเกียรติยศแล้ว และในวันนี้คำปฏิญาณของเขาก็เรียกร้องที่จะแสดงผลของมัน
อีเร็คชักดาบออกมาและวิ่งลงเนินไป พุ่งเข้าใส่กองพลที่กำลังมุ่งหน้ามาหาเขา ในเวลาเช่นนี้อีเร็คอยากได้วาร์คฟิน ม้าคู่ใจยิ่งกว่าสิ่งใด อยากขี่มันตะลุยเข้าต่อสู้ แต่เขาก็สบายใจที่รู้ว่ามันกำลังพาอลิสแตร์กลับไปยังซาวาเรีย กลับไปสู่ความปลอดภัยในราชสำนักของท่านดยุค
ขณะที่เขาใกล้เข้าไป ห่างเพียงสิบหลา อีเร็คก็เร่งฝีเท้าขึ้น พุ่งเข้าใส่อัศวินตัวหัวหน้าที่อยู่ตรงกลาง พวกมันไม่ได้ชะลอช้าลง เขาเองก็เช่นกัน อีเร็คเตรียมพร้อมรับการปะทะที่จะเกิดขึ้น
อีเร็ครู้ว่าเขาได้เปรียบอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือคนสามร้อยคนไม่สามารถเข้ามาใกล้พอที่จะโจมตีคน ๆ เดียวได้พร้อมกัน เขารู้ได้จากการฝึกฝนว่าทหารบนหลังม้าอย่างมากที่สุดหกคนจึงจะสามารถเข้าใกล้พอที่จะโจมตีชายคนหนึ่งได้พร้อมกัน อีเร็คมองว่าสถานการณ์ของเขาไม่ใช่สามร้อยต่อหนึ่ง แต่เป็นหกต่อหนึ่ง ตราบเท่าที่เขาสามารถสังหารหกคนตรงหน้าได้ตลอด เขาก็มีโอกาสชนะ อยู่ที่ว่าเขาจะทรหดพอที่จะผ่านมันไปได้หรือไม่
ขณะที่อีเร็คพุ่งลงเนินไป เขาหยิบอาวุธชิ้นหนึ่งซึ่งเขารู้ว่าเหมาะที่สุดออกมาจากข้างเอว กระบองที่มีโซ่ยาวยี่สิบหลา ปลายด้านหนึ่งมีลูกตุ้มหนาม เป็นอาวุธที่เหมาะจะใช้วางกับดักบนถนน หรือในสถานการณ์เช่นนี้
อีเร็ครอจนถึงจังหวะสุดท้าย จนกองทหารไม่ทันตอบโต้ จึงเหวี่ยงกระบองขึ้นเหนือศีรษะ และขว้างออกไปในสนามรบ เขาเล็งไปที่ต้นไม้เล็ก ๆ ต้นหนึ่ง โซ่หนามขึงขวางสนามรบ ขณะที่ลูกตุ้มหนามพันรอบต้นไม้ อีเร็คก็เริ่มลงมือและหมอบลงกับพื้น เพื่อหลบหอกที่กำลังจะถูกขว้างมาใส่เขา พลางยึดกระบองไว้แน่นด้วยกำลังทั้งหมด
เขากะเวลาได้เหมาะเหม็ง กองทหารไม่มีเวลาตอบโต้ พวกนั้นเห็นมันในวินาทีสุดท้ายและพยายามจะหยุดม้า แต่พวกนั้นมาเร็วเกินไปและไม่มีเวลาพอ
พวกแนวหน้าพุ่งเข้าใส่กับดัก โซ่หนามขึงขวางขาม้าทุกตัว ทำให้คนขี่หน้าทิ่มกระแทกพื้น โดยมีม้าล้มทับซ้ำอีก หลายสิบคนล้มทับกันชุลมุน
อีเร็คไม่มีเวลาภูมิใจในผลงานความเสียหายที่เขาได้ทำ ทหารอีกชุดหันมาและพุ่งมาหาเขาพลางโห่ร้องข่มขวัญ อีเร็คม้วนตัวลุกขึ้นยืนเผชิญหน้า
ขณะที่อัศวินคนหัวหน้ายกหลาวขึ้น อีเร็คอาศัยข้อได้เปรียบที่มี เขาไม่มีม้าและไม่สามารถเผชิญหน้าที่ความสูงระดับเดียวกันได้ แต่เพราะเขาอยู่ต่ำ เขาจึงสามารถใช้พื้นดินเบื้องล่าง อีเร็คพุ่งลงไปที่พื้นทันที ม้วนตัวแล้วยกดาบขึ้นฟันขาม้าตัวหนึ่ง มันสะดุด ทำให้ทหารที่ขี่หน้าทิ่มลงมาก่อนที่จะมีโอกาสปล่อยอาวุธ
อีเร็คยังกลิ้งต่อไป และสามารถหลบเท้าม้าที่กำลังตื่นตกใจรอบ ๆ ตัวเขาได้ พวกมันพยายามจะวิ่งหลบม้าที่ล้มอยู่ แต่หลายตัวทำไม่สำเร็จ สะดุดม้าที่นอนตาย ทำให้มีม้าล้มฟาดลงบนพื้นมากขึ้นหลายสิบตัว เกิดฝุ่นตลบฟุ้งและทำให้เกิดแนวกั้นกองทหารไว้
เหตุการณ์เป็นไปอย่างที่อีเร็คหวังไว้ เกิดฝุ่นตลบและความชุลวุน มีม้าล้มลงบนพื้นเพิ่มอีกหลายสิบตัว
อีเร็คกระโดดลุกขึ้นยืน ยกดาบขึ้นรับดาบที่ฟาดใส่ศีรษะ เขาหมุนตัวและรับหลาว ก่อนที่จะกั้นทวนและขวานไว้ได้ เขาป้องกันอาวุธที่ฟาดฟันใส่เขาจากทุกด้าน แต่ก็รู้ว่าเขาไม่สามารถรับมือได้ตลอดไป เขาจะต้องเป็นฝ่ายโจมตีหากอยากจะมีโอกาส
อีเร็คม้วนตัวแล้วคุกเข่า เขาพุ่งดาบออกไปเหมือนกับหอก มันแหวกอากาศไปปักอกศัตรูคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ตามันเบิกโพลง เอียงตกจากหลังม้าลงไปนอนตาย
อีเร็คอาศัยจังหวะกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าและกระชากกระบองมาจากมือของมันก่อนที่จะขาดใจตาย มันเป็นกระบองที่ดี อีเร็คเลือกทหารคนนี้ด้วยเหตุนี้ กระบองเงินด้ามยาวมีโซ่ยาวสี่ฟุตและลูกตุ้มหนามสามลูก เขาเหวี่ยงมันขึ้นเหนือหัวแล้วฟาดอาวุธหลุดจากมือศัตรูอีกหลายคนพร้อมกัน จากนั้นจึงฟาดอีกครั้งส่งศัตรูหล่นจากหลังม้า
อีเร็คมองสำรวจสนามรบและเห็นว่าเขาได้สร้างความเสียหายไปมากทีเดียว อัศวินเกือบร้อยคนล้มไปแล้ว แต่ที่เหลืออีกอย่างน้อยสองร้อยคนกำลังรวมกลุ่มกันและพุ่งมาหาเขาแล้วในตอนนี้ด้วยความมุ่งมาด
อีเร็คขี่ม้าเข้าหา คนเดียววิ่งเข้าใส่ศัตรูสองร้อยคน เขาส่งเสียงร้องข่มขวัญ ชูกระบองขึ้นสูงยิ่งขึ้น และภาวนาต่อพระเจ้าขอให้เขาไม่หมดแรง
*
อลิสแตร์ร้องไห้ขณะที่เกาะวาร์คฟินไว้แน่นสุดกำลัง มันควบตะบึงพานางไปตามถนนเส้นที่คุ้นเคยดีมากเหลือเกิน กลับไปยังซาวาเรีย นางกรีดร้องและเตะมันไปตลอดทาง พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้มันหันหลังกลับไปหาอีเร็ค แต่มันไม่ยอมเชื่อฟัง อลิสแตร์ไม่เคยพบม้าเช่นนี้มาก่อน มันเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายอย่างไม่ลังเลและจะไม่เปลี่ยนใจ เห็นได้ชัดว่ามันจะพานางไปยังสถานที่ที่อีเร็คสั่งเท่านั้น ในที่สุดนางก็ยอมรับความจริงว่าไม่สามารถทำอะไรได้
อลิสแตร์มีความรู้สึกผสมปนเปกัน ขณะที่นางขี่ม้าผ่านประตูเมืองเข้าไป เมืองที่นางใช้ชีวิตอยู่นานในฐานะสาวใช้รับจ้าง ในมุมหนึ่งมันก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคย แต่อีกมุมหนึ่งมันก็ทำให้คิดถึงเจ้าของโรงแรมผู้กดขี่ข่มเหงนาง คิดถึงเรื่องเลวร้ายทุกอย่างของที่นี่ นางหวังที่จะใช้ชีวิตต่อไป ได้ออกไปจากเมืองนี้กับอีเร็ค และเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเขา ขณะที่นางปลอดภัยอยู่ภายในกำแพงเมืองนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกกังวลถึงอีเร็คที่อยู่ข้างนอกเพียงลำพัง เผชิญหน้ากับทั้งกองทัพ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้นางไม่สบายใจ
เมื่ออลิสแตร์ตระหนักว่าวาร์คฟินจะไม่หันหลังกลับ นางรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่นางจะทำได้ต่อไปคือหาทางช่วยอีเร็ค เขาขอให้นางอยู่ที่นี่ ภายในกำแพงเมืองที่ปลอดภัย แต่นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่นางจะทำ ถึงอย่างไรนางก็เป็นธิดาของราชา และนางไม่ใช่คนที่จะวิ่งหนีจากความกลัวหรือการเผชิญหน้า อีเร็คได้พบคู่ครองที่เหมาะสมในตัวนาง นางเองก็มีชาติตระกูลและมีความแน่วแน่เช่นเดียวกับเขา และนางคงไม่สามารถอยู่กับตัวเองได้อีกหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาข้างนอกนั่น
อลิสแตร์รู้จักเมืองนี้เป็นอย่างดี นางบังคับวาร์คฟินไปที่ปราสาทของท่านดยุค ขณะนี้เมื่อทั้งสองได้เข้ามาอยู่ในกำแพงเมืองแล้ว วาร์คฟินจึงยอมเชื่อฟัง อลิสแตร์ขี่มันไปที่ทางเข้าปราสาท แล้วลงจากหลังม้า แล้ววิ่งผ่านมหาดเล็กที่พยายามจะห้ามนาง นางผลักอาวุธของพวกเขาแล้ววิ่งเร็วจี๋ไปตามทางเดินหินอ่อนที่นางคุ้นเคยดีสมัยเป็นสาวใช้
อลิสแตร์ใช้ไหล่ดันประตูบานใหญ่ของท้องพระโรง กระแทกมันให้เปิดออก แล้วถลันเข้าไปในท้องพระโรงส่วนตัวของท่านดยุค
สมาชิกสภาหลายคนหันมามองดูนาง ทุกคนต่างสวมเสื้อคลุมเต็มยศ มีท่านดยุคนั่งอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยอัศวินหลายคน พวกเขาต่างมีสีหน้าประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่านางเข้าไปขัดจังหวะการประชุมสำคัญบางอย่าง
“เจ้าเป็นใครกัน แม่หญิง?” คนหนึ่งตะโกนถามขึ้น
“ใครกันที่กล้าเข้ามาขัดจังหวะการว่าราชการของท่านดยุค?” อีกคนตะโกนบ้าง
“ข้ารู้จักนาง” ท่านดยุคบอก พลางลุกขึ้นยืน
“ข้าด้วย” แบรนด์ทเอ่ย อลิสแตร์จำได้ว่าเขาเป็นเพื่อนของอีเร็ค “เจ้าคืออลิสแตร์ ใช่ไหม?” เขาถาม “เจ้าสาวหมาด ๆ ของอีเร็คใช่ไหม?”
นางวิ่งไปหาเขา น้ำตานอง แล้วคว้ามือเขาไว้
“ได้โปรด ใต้เท้า ช่วยข้าด้วย อีเร็ค!”
“เกิดอะไรขึ้น?” ท่านดยุคถามด้วยความตกใจ
“เขากำลังอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับกองทัพของศัตรูเพียงลำพัง เขาไม่ยอมให้ข้าอยู่ด้วย ได้โปรด! เขาต้องการความช่วยเหลือ!”
อัศวินทุกคนต่างผุดลุกขึ้นยืนทันทีโดยไม่ได้เอ่ยสักคำ แล้วต่างวิ่งกรูกันออกไปจากท้องพระโรง โดยไม่มีผู้ใดลังเลเลย อลิสแตร์หันหลังแล้ววิ่งตามพวกเขาไป
“อยู่ที่นี่!” แบรนด์ทสั่ง
“ไม่มีทาง!” นางบอก พลางวิ่งตามหลังเขาไป “ข้าจะพาท่านไปหาเขา!”
พวกเขาวิ่งไปตามทางเดิน ออกจากปราสาทและตรงไปหาม้าฝูงใหญ่ที่กำลังรออยู่ แล้วต่างขึ้นม้าของตัวเองโดยไม่ลังเลเลย อลิสแตร์กระโดดขึ้นหลังวาร์คฟิน แล้วเตะมัน ให้นำคณะไป ด้วยความกระวนกระวายเช่นเดียวกับคนอื่น
ขณะที่ทุกคนควบผ่านเขตปราสาทของท่านดยุค ทหารที่อยู่โดยรอบเริ่มขึ้นหลังม้าและร่วมขบวนไปด้วย เมื่อทุกคนผ่านประตูเมืองซาวาเรียออกไป ก็เป็นกองกำลังที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ มีอย่างน้อยหนึ่งร้อยคน โดยมีอลิสแตร์ขี่ม้านำด้านหน้า ขนาบข้างด้วยแบรนด์ทและท่านดยุค
“หากอีเร็ครู้ว่าเจ้ามากับพวกเราด้วย ข้าหัวขาดแน่” แบรนด์ทบอก ขณะที่ขี่ม้าไปข้างนาง “ได้โปรด บอกเรามาว่าเขาอยู่ที่ไหนก็พอ แม่หญิง”
แต่อลิสแตร์ส่ายศีรษะอย่างดื้อดึง กลั้นน้ำตาขณะที่ควบไปเร็วขึ้น ท่ามกลางเสียงอึกทึกจากเหล่าทหารรอบตัวนาง
“ข้ายอมตายเสียดีกว่าจะทอดทิ้งอีเร็ค!”