Kitabı oku: «คำปฏิญาณแห่งศักดิ์ศรี », sayfa 2
บทที่ สาม
ธอร์ขี่ม้าไปตามทางในป่าด้วยความระแวดระวัง เจ้าชายรีซ โอคอนเนอร์ เอลเด็น และคู่แฝดขี่ม้าตามไปข้างเขา โครห์นวิ่งตามมาด้านล่าง เมื่อทุกคนโผล่พ้นแนวป่าที่ฟากไกลสุดของหุบเขาใหญ่ หัวใจธอร์เต้นเร็วขึ้นด้วยความคาดหวัง เมื่อในที่สุดพวกเขาก็มาถึงชายป่าทึบ เขายกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้คนอื่นเงียบเสียง ทุกคนต่างหยุดนิ่งข้างเขา
ธอร์มองออกไปและสำรวจชายหาดที่ทอดแผ่กว้างไป ท้องฟ้าโล่งกว้าง และไกลกว่านั้นคือทะเลสีเหลืองแผ่ไพศาลที่จะนำพวกเขาไปยังดินแดนห่างไกลของจักรวรรดิ ทะเลทาร์ทูเวียน ธอร์ไม่ได้เห็นผืนน้ำของมันมาตั้งแต่การเดินทางไปฝึกร้อยวัน มันรู้สึกประหลาดที่ได้กลับมาที่นี่อีก และครั้งนี้ ด้วยภารกิจที่กุมชะตาของอาณาจักรวงแหวนไว้
หลังจากที่พวกเขาข้ามสะพานข้ามหุบเขาใหญ่มา การขี่ม้าผ่านป่าระยะสั้น ๆ ในแดนเถื่อนก็เป็นไปอย่างราบรื่น คอล์คและบรอมบอกให้ธอร์มองหาเรือลำเล็กที่ผูกไว้ที่ชายหาดของทะเลทาร์ทูเวียน มันถูกแอบซ่อนไว้ใต้ร่มเงากิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ที่ชะโงกอยู่เหนือทะเล ธอร์มาตามที่บอกไว้ทุกประการ และเมื่อมาถึงชายป่า เขาก็สังเกตเห็นเรือ ถูกซ่อนไว้อย่างดี พร้อมที่จะพาพวกเขาไปยังที่ที่ต้องไป ธอร์รู้สึกโล่งอก
แต่แล้วเขาก็เห็นทหารลาดตระเวนของจักรวรรดิหกคน ยืนอยู่บนหาดทรายตรงหน้าเรือ กำลังสำรวจดูมัน ทหารคนหนึ่งปีนขึ้นไปบนเรือที่เกยอยู่บนชายหาด เรือโยกไกวตามจังหวะคลื่นซัดเบา ๆ ไม่ควรจะมีใครที่นี่
โชคร้ายช่างกระหน่ำซ้ำเติม ขณะที่ธอร์มองออกไปไกลยังขอบฟ้า เขาเห็นเป็นเงาร่างอยู่ไกล ๆ ของสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นกองเรือทั้งหมดของจักรวรรดิ เรือสีดำนับพันลำ มีธงสีดำของจักรวรรดิ โชคดีที่กองเรือไม่ได้แล่นมาหาธอร์ แต่กำลังมุ่งหน้าไปอีกทาง ใช้เส้นทางโค้งอ้อมรอบอาณาจักรวงแหวน ไปยังฝั่งของแม็คคลาวด์ ซึ่งพวกนั้นได้ฝ่าข้ามหุบเขาใหญ่ไปแล้ว โชคดีที่กองเรือของจักรวรรดิกำลังวุ่นวายอยู่อีกเส้นทาง
ยกเว้นพลลาดตระเวนหน่วยนี้ ทหารทั้งหกคนอาจจะเป็นหน่วยสอดแนมที่ออกปฏิบัติภารกิจ และอาจจะเดินมาเจอเรือของกองทหารยุวชนเข้า จังหวะไม่ดีเอาเสียเลย หากธอร์และคนอื่น ๆ มาถึงเรือก่อนหน้านี้สักไม่กี่นาที พวกเขาอาจจะได้ขึ้นเรือและแล่นออกจากฝั่งไปแล้ว ตอนนี้พวกเขากลับต้องมาเผชิญหน้า ไม่มีทางที่จะหลบไปได้
ธอร์กวาดตามองไปตามชายหาด ไม่เห็นว่ามีกองทหารอื่นอีก อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ได้เปรียบ น่าจะเป็นหน่วยลาดตระเวนที่มาลำพัง
“ข้าคิดว่าเรือควรจะถูกซ่อนไว้อย่างดี” โอคอนเนอร์เอ่ย
“เห็นชัดว่ายังไม่ดีพอ” เอลเด็นตั้งข้อสังเกต
พวกเขาทั้งหกคนนั่งอยู่บนหลังม้า มองดูเรือลำนั้นและกลุ่มทหาร
“คงจะไม่นานก่อนที่พวกเขาจะเตือนทหารจักรวรรดิหน่วยอื่น ๆ” คอนเวนออกความเห็น
“และจากนั้น เราจะต้องเจอศึกหนัก” คอนวอลกล่าวเสริม
ธอร์รู้ว่าพวกเขาพูดถูก และพวกเขาไม่อย่างเสี่ยงในเรื่องนี้
“โอคอนเนอร์” ธอร์บอก “เจ้ายิงแม่นที่สุดในบรรดาพวกเรา ข้าเคยเห็นเจ้ายิงจากระยะห้าสิบหลา เห็นคนที่ถือคันธนูไหม? เรามีโอกาสครั้งเดียวเท่านั้น เจ้าทำได้ไหม?”
โอคอนเนอร์พยักหน้าแข็งขัน สายตาจับจ้องอยู่ที่กลุ่มทหารจักรวรรดิ เขาเอื้อมมือข้ามไหล่ไปอย่างระวัง ยกคันธนูขึ้นมา แล้วประทับลูกธนู ง้างสายเตรียมพร้อม
ทุกคนต่างมองมาที่ธอร์ และเขารู้สึกพร้อมที่จะนำ
“โอคอนเนอร์ ยิงเมื่อข้าให้สัญญาณนะ แล้วพวกเราจะเข้าโจมตีคนอื่น ๆ ด้านล่าง ทุกคน ใช้อาวุธขว้างของพวกเจ้าเมื่อเราเข้าไปใกล้ พยายามเข้าไปใกล้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนโจมตี”
ธอร์ส่งสัญญาณมือ แล้วโอคอนเนอร์ก็ยิงออกไปทันที
ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศไปพร้อมเสียงหวือ มันเข้าเป้าอย่างจัง หัวโลหะของลูกธนูเสียบทะลุหัวใจของทหารจักรวรรดิคนที่ถือคันธนู มันยืนอยู่ตรงนั้น ตาเบิกโพลงอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ก่อนจะกางแขนออกกว้าง หน้าทิ่ม พุ่งหลาวลงมากระแทกชายหาดยู่แทบเท้าเพื่อนทหาร โลหิตไหลนองพื้นทราย
ธอร์และเพื่อน ๆ บุกเข้าไปพร้อมกัน ราวกับเครื่องจักรที่หยอดน้ำมันอย่างดี เสียงฝีเท้าม้าเปิดเผยตัวพวกเขา ทหารอีกหกคนหันมาหา พวกมันกระโดดขึ้นหลังม้า แล้วควบเข้ามา เตรียมพร้อมที่จะปะทะกันตรงกลาง
ธอร์และเพื่อน ๆ ยังคงได้เปรียบจากความประหลาดใจ เขาง้างแล้วยิงลูกหินออกไปโดนขมับพวกมันคนหนึ่งจากระยะยี่สิบหลา ขณะกำลังจะขึ้นหลังม้า มันหล่นลงมานอนตาย โดยมือยังกุมสายบังเหียนอยู่
เมื่อทุกคนเข้าไปใกล้ เจ้าชายรีซทรงขว้างพระแสงขวานของพระองค์ เอลเด็นขว้างหอก ส่วนคู่แฝดขว้างมีดสั้นของพวกเขา หาดทรายที่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ม้าลื่น การใช้อาวุธขว้างจึงยากกว่าปกติ พระแสงขวานของเจ้าชายรีซเข้าเป้า สังหารทหารจักรวรรดิคนหนึ่ง แต่อาวุธของคนอื่น ๆ พลาดเป้า
ทหารจักรวรรดิเหลือสี่คน คนหัวหน้าแยกออกจากกลุ่ม พุ่งเข้าใส่เจ้าชายรีซ ผู้ทรงไร้อาวุธ พระองค์ทรงขว้างขวานออกไป แต่ยังไม่ทันมีเวลาหยิบพระแสงดาบ เจ้าชายทรงเตรียมระวังพระองค์ และในวินาทีสุดท้าย โครห์นกระโจนไปข้างหน้า กัดขาม้าของทหารคนนั้น จนม้าล้มลง ทหารที่ขี่มันร่วงลงมาด้วย สามารถช่วยเจ้าชายรีซไว้ได้ในจังหวะสุดท้าย
เจ้าชายรีซทรงชักพระแสงดาบแล้วแทงศัตรู สังหารมันได้ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
พวกมันเหลือสามคนแล้ว คนหนึ่งเข้ามาหาเอลเด็นพร้อมด้วยขวาน มันเหวี่ยงมาโดยหมายหัวของเอลเด็น ซึ่งเขากันไว้ได้ด้วยโล่ และเหวี่ยงดาบฟันด้ามขวานขาดสองท่อนในจังหวะเดียวกัน จากนั้นเอลเด็นจึงใช้โล่ฟาดเข้าที่ศีรษะของศัตรู กระแทกมันหล่นจากหลังม้า
ทหารจักรวรรดิอีกคนหยิบกระบองออกมาจากเอว แล้วเหวี่ยงสายโซ่ยาว ฟาดลูกตุ้มหนามเข้าใส่โอคอนเนอร์ทันที มันเกิดขึ้นเร็วมากจนโอคอนเนอร์ไม่มีเวลาตอบโต้
ธอร์เห็นเหตุการณ์ เขาพุ่งเข้าไปทางด้านข้างของเพื่อน ยกดาบขึ้นแล้วฟันสายโซ่ขาดจากกระบอง ก่อนที่มันจะฟาดโอคอนเนอร์ มีเสียงดาบตัดผ่านเหล็ก ธอร์รู้สึกพิศวงกับความคมของดาบเล่มใหม่ของเขา ลูกตุ้มหนามหล่นลงไปบนพื้น แล้วฝังตัวอยู่ในทรายอย่างไร้พิษสง โอคอนเนอร์รอดชีวิต ขณะนั้นคอนวอลขี่ม้าขึ้นไปและใช้หอกแทงทหารคนหนึ่ง สังหารมันได้อีกคน
ทหารจักรวรรดิคนสุดท้ายเห็นแล้วว่ามันเสียเปรียบกำลังคนอย่างมาก เกิดความหวาดกลัวในดวงตา มันหันหลังแล้วควบม้าหนีไปตามชายหาดทันที รอยกีบเท้าม้าของมันประทับลึกในพื้นทราย
ทุกคนจับจ้องที่ศัตรูที่ถอยหนี ธอร์ใช้หนังสติ๊กยิงลูกหิน โอคอนเนอร์ยกคันธนูขึ้นมาแล้วยิงออกไป ส่วนเจ้าชายรีซทรงขว้างหอก แต่ทหารคนนั้นขี่ม้าไปไม่อยู่นิ่ง ม้าของมันลื่นอยู่ในผืนทราย ทำให้ทุกคนพลาดเป้า
เอลเด็นชักดาบออกมา ธอร์เห็นว่าเขากำลังจะตามทหารคนนั้นไป จึงยื่นมือออกไปห้ามไว้
“อย่า!” ธอร์ตะโกน
เอลเด็นหันมามองเขา
“ถ้ามันรอดชีวิต มันจะส่งคนอื่นมาจัดการเรา!” เอลเด็นประท้วง
ธอร์หันกลับไปมองดูเรือ และรู้ว่ามันจะเสียเวลาอันมีค่าในการตามล่าทหารคนนั้น เวลาที่พวกเขาไม่มีจะเสีย
“จักรวรรดิจะมาจัดการเราอยู่ดี” ธอร์บอก “เราไม่มีเวลาจะเสีย สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือพวกเราจะต้องไปให้ไกลจากที่นี่ ไปที่เรือ!”
พวกเขาลงจากหลังม้า เมื่อไปถึงเรือ ธอร์ล้วงเข้าไปในอานม้า หยิบสัมภาระทั้งหลายแหล่ออกมา คนอื่นก็ทำเช่นเดียวกัน ขนอาวุธกับถุงกระสอบอาหารและน้ำออกมา ใครจะรู้ว่าการเดินทางจะยาวนานเพียงใด จะนานแค่ไหนกว่าที่พวกเขาจะได้เห็นแผ่นดินอีกครั้ง...หากพวกเขาจะมีโอกาสได้เห็นแผ่นดินอีก ธอร์ยังเตรียมอาหารสำหรับโครห์นมาด้วย
พวกเขาโยนกระสอบข้ามราวลูกกรงเรือไป มันหล่นตุ้บไปกองอยู่บนดาดฟ้าเรือ
ธอร์คว้าเชือกเส้นใหญ่ มัดเป็นปมที่แขวนอยู่ด้านข้าง แล้วลองดึง เชือกเส้นหยาบบาดมือเขา เขายกโครห์นพาดบนบ่าแล้วดึงตัวเองขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ น้ำหนักของเขาและมันทดสอบความแข็งแรงของเขา โครห์นร้องครางอยู่ข้างหู ใช้กรงเล็บคมกอดเขาไว้แน่น
ในไม่ช้าธอร์ก็ข้ามราวลูกกรงไปได้ โครห์นกระโจนจากตัวเขาลงไปบนดาดฟ้าเรือ คนอื่นตามหลังมาติด ๆ ธอร์ชะโงกมองลงไปดูม้าที่อยู่บนชายหาด พวกมันมองขึ้นมาราวกับกำลังรอฟังคำสั่ง
“แล้วจะทำอย่างไรกับพวกมันล่ะ?” เจ้าชายรีซตรัสถาม พลางเสด็จมาประทับอยู่ข้างเขา
ธอร์หันไปมองสำรวจดูเรือ มันยาวประมาณยี่สิบฟุตและกว้างราวครึ่งหนึ่งของความยาว มันใหญ่พอสำหรับพวกเขาทั้งเจ็ดคน แต่ไม่มีที่พอสำหรับม้าของพวกเขา หากเขาจะลองพาพวกมันไปด้วย มันอาจจะกระทืบพื้นไม้ ทำเรือพัง พวกเขาจำต้องทิ้งมันไว้ที่นี่
“เราไม่มีทางเลือก” ธอร์บอก มองดูพวกมันอย่างเสียดาย “เราคงต้องไปหาม้าใหม่”
โอคอนเนอร์ชะโงกตัวเหนือราวกั้น
“พวกมันเป็นม้าที่ฉลาด” โอคอนเนอร์บอก “ข้าฝึกพวกมันมาอย่างดี มันจะกลับไปบ้านตามที่ข้าสั่ง”
โอคอนเนอร์ผิวปากเสียงดัง
ม้าทั้งหมดหันหลังแล้ววิ่งจากไปอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกมันวิ่งข้ามหาดทราย แล้วหายเข้าไปในป่า มุ่งหน้ากลับไปที่อาณาจักรวงแหวน
ธอร์หันกลับมาหาเพื่อน ๆ ดูเรือและทะเลตรงหน้าพวกเขา ตอนนี้ทุกคนถูกปล่อยเกาะแล้ว ไม่มีม้า ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากไปต่อข้างหน้า ความเป็นจริงกำลังซึมซาบเข้ามา พวกเขาอยู่กันลำพังจริง ๆ แล้ว ไม่มีสิ่งใดนอกจากเรือลำนี้ และกำลังจะไปจากชายหาดของอาณาจักรวงแหวนตลอดไป ไม่มีทางหันหลังกลับอีกแล้ว
“แล้วเราจะเอาเรือลำนี้ลงน้ำได้อย่างไร?” คอนวอลถามขึ้น ขณะที่พวกเขามองลงไปที่ลำเรือสิบห้าฟุตเบื้องล่าง มีเพียงส่วนน้อยของเรือที่อยู่ในคลื่นโยกไกวของทะเลทาร์ทูเวียน แต่ลำเรือส่วนใหญ่ยังฝังแน่นอยู่ในพื้นทราย
“ทางนี้!” คอนเวนบอก
พวกเขารีบไปที่กราบเรืออีกด้านที่มีโซ่เหล็กเส้นหนาห้อยอยู่ และที่ปลายโซ่มีลูกตุ้มเหล็กทอดตัวอยู่บนพื้นทราย
คอนเวนเอื้อมมือไปพยายามดึงโซ่ เขาส่งเสียงร้องและพยายามเต็มที่ แต่ไม่สามารถยกมันได้
“มันหนักเกินไป” เขาคำราม
คอนวอลและธอร์รีบเข้าไปช่วย ขณะที่ทั้งสามคนจับโซ่แล้วช่วยกันดึง ธอร์ก็ต้องตกใจกับน้ำหนักของมัน ขนาดว่าช่วยกันดึงสามคน พวกเขายังยกมันขึ้นมาได้แค่ไม่กี่ฟุต ในที่สุดพวกเขาก็ปล่อยมือ โซ่ร่วงกลับลงไปบนพื้นทราย
“ให้ข้าช่วย” เอลเด็นบอก พลางก้าวมาข้างหน้า
เอลเด็นผู้มีรูปร่างใหญ่โต ยืนตระหง่านอยู่เหนือทุกคน เขายื่นมือลงไปแล้วดึงสายโซ่ สามารถยกลูกตุ้มเหล็กขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียว ธอร์อัศจรรย์ใจมาก คนอื่น ๆ กระโดดเข้าไปช่วยกันดึง พวกเขาสามารถดึงสมอขึ้นมาได้ครั้งละหนึ่งฟุต และในที่สุดก็สามารถดึงมันข้ามลูกกรง ขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือได้
เรือเริ่มขยับเคลื่อนที่ โยกไกวเล็กน้อยอยู่ในกระแสคลื่น แต่ยังคงฝังแน่นอยู่บนพื้นทราย
“เสานั่น!” เจ้าชายรีซตรัส
ธอร์หันไปเห็นเสาไม้สองต้น ยาวเกือบยี่สิบฟุต ทอดยาวติดอยู่ด้านข้างเรือ และรู้ว่าพวกมันมีไว้เพื่ออะไร เขาวิ่งไปพร้อมเจ้าชายรีซ และยกต้นนึงขึ้นมา ขณะที่คอนวอลและคอนเวนคว้าอีกต้นไว้
“พอพวกเราผลักเรือออก” ธอร์ตะโกนสั่ง “พวกเจ้าก็ช่วยกันกางใบเรือ”
พวกเขาชะโงกลงไป ทิ่มเสาไม้ลงไปในพื้นทราย และออกแรงดันสุดกำลัง ธอร์ร้องออกมาขณะพยายามดัน เรือเริ่มขยับช้า ๆ แม้จะเพียงน้อยนิด ขณะเดียวกันเอลเด็นและโอคอนเนอร์ก็วิ่งไปที่กลางลำเรือ แล้วดึงเชือกเพื่อยกผืนผ้าใบของใบเรือ พวกเขาออกแรงดึง ยกขึ้นไปได้ทีละหนึ่งฟุต โชคดีที่มีกระแสลมแรง เมื่อธอร์และคนอื่น ๆ ช่วยกันยันเสาไม้กับชายหาด พยายามเต็มที่ที่จะผลักเรือที่หนักอย่างน่าประหลาดใจนี้ออกจากหาดทราย ใบเรือก็ถูกยกสูงขึ้นไป และเริ่มกินลม
ในที่สุด เรือก็โยกอยู่ใต้เท้าพวกเขา เมื่อมันไถลลงสู่ผืนน้ำ โยกไกวและไร้น้ำหนัก ไหล่ของธอร์สั่นจากการออกแรงดัน เอลเด็นและโอคอนเนอร์ยกใบเรือขึ้นไปได้สุดเสากระโดง และในไม่ช้าพวกเขาก็ลอยลำออกสู่ทะเล
ทุกคนส่งเสียงโห่ร้องยินดีในความสำเร็จ พวกเขาเก็บเสาไม้เข้าที่และวิ่งไปช่วยเอลเด็นกับโอคอนเนอร์มัดเชือกขึงใบเรือ โครห์นกระโดดโลดเต้นอยู่ข้าง ๆ ตื่นเต้นไปกับเรื่องทั้งหมด
เรือลอยลำไปอย่างไร้จุดหมาย ธอร์รีบไปถือพวงมาลัยเรือ โอคอนเนอร์อยู่ข้างเขา
“อยากถือพวงมาลัยไหม?” ธอร์ถามโอคอนเนอร์
โอคอนเนอร์ยิ้มกว้าง
“อยากมากเลยล่ะ”
พวกเขาเริ่มเพิ่มความเร็ว แล่นผ่านผืนน้ำสีเหลืองของทะเลทาร์ทูเวียน โดยมีสายลมหนุนส่ง ในที่สุดพวกเขาก็เคลื่อนที่แล้ว ธอร์สูดหายใจลึก พวกเขาออกเดินทางแล้ว
ธอร์มุ่งหน้าไปยังหัวเรือ เจ้าชายรีซเสด็จไปพร้อมเขา โดยมีโครห์นวิ่งไปตรงกลาง แล้วเบียดแข้งเบียดขาธอร์ เขาเอื้อมมือลงไปลูบขนสีขาวฟูนุ่มของมัน โครห์นเอียงเข้าหาแล้วเลียเขา ธอร์ล้วงลงไปในถุงเล็ก ๆ แล้วหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งมาให้โครห์น ที่รีบงับไป
ธอร์มองออกไปที่ทะเลกว้างเบื้องหน้า ขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปมีจุดสีดำของกองเรือจักรวรรดิ ที่อยู่ระหว่างมุ่งหน้าไปยังดินแดนแม็คคลาวด์ที่อีกฝั่งของอาณาจักรวงแหวน โชคดีที่พวกมันมีเป้าหมาย และไม่สามารถออกมาตามหาเรือลำหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปยังดินแดนของพวกมัน ท้องฟ้าใสกระจ่าง มีสายลมแรงพัดหนุนอยู่ด้านหลัง พวกเขายังคงเพิ่มความเร็วขึ้น
ธอร์มองออกไป พลางสงสัยว่ามีอะไรรอพวกเขาอยู่ เขาสงสัยว่าอีกนานเพียงใดกว่าที่พวกเขาจะไปถึงดินแดนจักรวรรดิ จะมีอะไรรอต้อนรับพวกเขาอยู่ ธอร์ยังสงสัยว่าพวกเขาจะพบดาบหรือไม่ แล้วเรื่องทั้งหมดนี้จะลงเอยอย่างไร เขารู้ว่าโอกาสไม่เข้าข้างพวกเขา แต่ก็ยังรู้สึกเบิกบานใจที่ในที่สุดก็ได้ออกเดินทางมา เขาตื่นเต้นที่ทุกคนมาได้ไกลถึงขนาดนี้ และปรารถนาที่จะกู้ดาบคืนมาให้ได้
“ถ้ามันไม่อยู่ที่นั่นล่ะ?” เจ้าชายรีซตรัสถาม
ธอร์หันมามองดูพระองค์
“ดาบเล่มนั้น” เจ้าชายรีซตรัสต่อ “หากว่ามันไม่ได้อยู่ที่นั่นล่ะ? หรือหากมันสูญหายไปแล้ว? หรือถูกทำลายไปแล้ว? หรือถ้าเราหามันไม่พบล่ะ? จักรวรรดิกว้างใหญ่จะตายไป”
“หรือถ้าหากจักรวรรดิหาวิธีใช้มันได้ล่ะ?” เอลเด็นถามด้วยเสียงทุ้มต่ำของเขา พลางก้าวเข้ามายืนข้าง ๆ
“หากเราพบมันแต่ไม่สามารถนำมันกลับไปได้ล่ะ?” คอนเวนถาม
คณะของพวกเขาอยู่ตรงนั้น กังวลกับสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า กับห้วงแห่งคำถามที่ไม่มีคำตอบ ธอร์รู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้มันบ้าสิ้นดี
บ้าคลั่ง
บทที่ สี่
ราชากาเร็ธทรงดำเนินกลับไปกลับมาอยู่บนพื้นหินในห้องทรงพระอักษรของพระบิดา ห้องเล็กที่อยู่บนชั้นบนสุดของปราสาทที่พระบิดาของพระองค์ทรงหวงแหน แล้วทรงทำลายมันลงทีละเล็กทีละน้อย
ราชากาเร็ธทรงเดินจากชั้นหนังสือหนึ่งไปยังอีกชั้น กระชากหนังสือชุดที่มีค่า หนังสือปกหนังเก่าโบราณที่ตกทอดมาในราชวงศ์หลายศตวรรษ ทรงดึงปกแล้วฉีกหน้าหนังสือออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วเหวี่ยงขึ้นไปในอากาศ มันร่วงกราวใส่พระองค์ราวกับเกล็ดหิมะ ติดอยู่บนพระวรกาย และติดที่พระเขฬะที่ไหลอยู่ข้างพระปราง พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำลายทุกสิ่งที่พระบิดาทรงหวงแหนในห้องนี้ ทำลายหนังสือทีละเล่ม
ราชากาเร็ธรีบดำเนินไปที่โต๊ะเข้ามุมตัวหนึ่ง ทรงคว้ากล้องยาฝิ่นขึ้นมาด้วยพระหัตถ์สั่นเทา แล้วสูบแรง ทรงต้องการกล้องยายิ่งกว่าที่เคย พระองค์ทรงติดฝิ่น ทรงสูบมันทุกนาทีที่ทรงทำได้ ด้วยทรงปรารถนาที่จะให้ฤทธิ์ของมันช่วยขวางกั้นภาพของพระบิดาที่ตามหลอกหลอนพระองค์ในความฝัน และตอนนี้แม้กระทั่งเวลาที่ทรงตื่น
ขณะที่ราชากาเร็ธทรงวางกล้องยาฝิ่น พระองค์ทรงเห็นพระบิดาประทับยืนอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ เป็นซากศพเน่าเปื่อย แต่ละครั้งซากศพนี้ก็ยิ่งเน่าเปื่อยมากขึ้น เป็นโครงกระดูกมากกว่าเนื้อหนัง ราชากาเร็ธทรงหันหนีภาพสยดสยองนั้น
พระองค์ทรงเคยพยายามโจมตีภาพหลอนนี้ แต่ทรงเรียนรู้ว่าไม่มีประโยชน์ ดังนั้นตอนนี้พระองค์จึงทรงหันหนี ทรงมองไปทางอื่นเสมอ มันเกิดขึ้นเหมือนเดิมเสมอ พระบิดาของพระองค์ทรงสวมมงกุฏสนิมเขรอะ พระโอษฐ์อ้า พระเนตรจับจ้องมาที่พระองค์อย่างหยามหยัน ทรงชี้ดัชนีมาที่พระองค์อย่างกล่าวหา สายพระเนตรน่ากลัวนั้น ทำให้ราชากาเร็ธทรงรู้สึกว่าเวลาของพระองค์มีจำกัด รู้สึกว่าขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นก่อนที่พระองค์จะได้ไปอยู่ร่วมกับพระบิดา พระองค์ทรงเกลียดพระบิดายิ่งกว่าสิ่งใด หากจะมีความดีงามสักอย่างจากการปลงพระชนม์พระบิดา นั่นก็คือการที่พระองค์จะไม่ทรงเห็นพระพักตร์ของพระบิดาอีก แต่ช่างน่าขันที่ตอนนี้พระองค์กลับต้องมาเห็นบ่อยขึ้นกว่าเมื่อก่อน
ราชากาเร็ธทรงหันหลัง แล้วปากล้องยาฝิ่นไปที่ภาพหลอนนั้น ทรงหวังว่าหากทรงปาได้เร็วพอก็อาจจะโดนได้จริง ๆ
แต่กล้องยากลับลอยผ่านอากาศไปเฉย ๆ และกระแทกเข้ากับกำแพง แตกออกจากกัน พระบิดายังประทับอยู่ที่นั่น และทอดพระเนตรมาที่พระองค์
“ตอนนี้ยานั่นไม่ช่วยเจ้าหรอก” พระบิดาทรงตำหนิ
ราชากาเร็ธทรงทนต่อไปไม่ไหว พระองค์พุ่งเข้าหาภาพหลอน ยื่นพระหัตถ์ออกไป หวังจะข่วนพระพักตร์พระบิดา แต่ก็เหมือนเช่นเคย พระองค์พบเพียงอากาศ และครั้งนี้ทรงถลันข้ามห้องไป ชนเข้ากับโต๊ะทรงพระอักษรไม้ของพระบิดา จนล้มคว่ำไปกับพื้นพร้อมกัน
ราชากาเร็ธทรงกลิ้งไปบนพื้น เจ็บจุก และเมื่อเงยพระพักตร์ก็ทรงเห็นรอยแผลบนพระพาหา พระโลหิตหยดใส่ฉลองพระองค์ ทรงสังเกตเห็นว่าพระองค์ยังทรงสวมฉลองพระองค์ตัวในที่ทรงสวมบรรทมมาหลายวันแล้ว ที่จริงพระองค์ไม่ได้เปลี่ยนมาหลายสัปดาห์แล้ว ราชาทรงทอดพระเนตรดูเงาสะท้อน และทรงเห็นว่าพระเกศายุ่งฟู พระองค์ทรงดูเหมือนพวกนักเลงหัวไม้ธรรมดา ส่วนหนึ่งของพระองค์แทบไม่ทรงเชื่อว่าจะทรงตกต่ำถึงเพียงนี้ แต่อีกด้านหนึ่งกลับไม่ทรงสนพระทัย สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ภายในพระวรกายคือความปรารถนาที่จะทำลาย ทำลายสิ่งใดก็ตามที่เคยเป็นของพระบิดา พระองค์ทรงอยากทำลายปราสาทหลังนี้ให้ราบ รวมทั้งราชสำนัก เพื่อเป็นการแก้แค้นสำหรับสิ่งที่ได้รับเมื่อทรงพระเยาว์ ความทรงจำที่ฝังแน่นอยู่ในพระหทัย เป็นเหมือนหนามที่ไม่สามารถบ่งออกมาได้
ประตูห้องทรงพระอักษรของพระบิดาเปิดออกกว้าง มหาดเล็กคนหนึ่งของราชากาเร็ธวิ่งพรวดเข้ามา ท่าทางตื่นกลัว
“ฝ่าบาท” มหาดเล็กทูล “ข้าได้ยินเสียงกระแทก พระองค์ทรงสบายดีหรือไม่? ฝ่าบาท พระองค์ทรงมีพระโลหิตไหล!”
ราชากาเร็ธทอดพระเนตรดูเด็กหนุ่มด้วยความชิงชัง พระองค์ทรงพยายามลุกขึ้นยืน เพื่อที่จะตีเขา แต่ทรงเหยียบลื่น และหงายหลังลงไปบนพื้น ยังทรงมึนงงกับฤทธิ์ของฝิ่นระลอกสุดท้าย
“ฝ่าบาท ข้าจะช่วยพระองค์เอง!”
เด็กหนุ่มรีบเข้ามาคว้าพระพาหา ซึ่งผอมบาง มีเพียงหนังหุ้มกระดูก
แต่ราชากาเร็ธยังทรงมีพระพละกำลังเหลืออยู่ เมื่อเด็กหนุ่มแตะพระพาหา พระองค์ก็ทรงผลักเขาออก กระเด็นข้ามห้องไป
“หากเจ้าแตะตัวข้าอีก ข้าจะกุดมือเจ้าเสีย” ราชากาเร็ธทรงกริ้ว
เด็กหนุ่มถอยหนีด้วยความกลัว ขณะนั้นเองมหาดเล็กอีกคนได้เข้ามาในห้อง พร้อมด้วยชายชราผู้หนึ่งซึ่งราชากาเร็ธทรงจำได้รางเลือน ในความมืดมนของพระหทัย พระองค์ทรงรู้จักเขา แต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร
“ฝ่าบาท” เสียงแหบพร่าชราดังขึ้น “พวกเรารอพระองค์อยู่ที่ท้องพระโรงมาครึ่งวันแล้ว สมาชิกสภาไม่อาจรอได้อีกต่อไป พวกเขามีข่าวด่วนที่ต้องทูลให้ทรงทราบก่อนที่จะผ่านวันนี้ไป พระองค์จะเสด็จไปหรือไม่?”
ราชากาเร็ธทรงหรี่พระเนตรมองดูเขา พยายามนึกว่าเขาคือใคร พระองค์ทรงจำได้ราง ๆ ว่าเขารับใช้พระบิดาของพระองค์ ท้องพระโรง...การว่าราชการ...ทุกอย่างปั่นป่วนอยู่ในพระหทัย
“ท่านเป็นใคร?” ราชากาเร็ธตรัสถาม
“ฝ่าบาท ข้าคืออะเบอร์ธอล ที่ปรึกษาผู้ซื่อสัตย์ของพระบิดาของพระองค์” เขาทูล พลางก้าวเข้ามาใกล้
ความทรงจำค่อย ๆ กลับมาช้า ๆ อะเบอร์ธอล สภา การว่าราชการ พระหทัยของราชากาเร็ธทรงสับสน ภายในพระเศียรบีบรัด พระองค์ทรงต้องการอยู่เพียงลำพัง
“ออกไป” ทรงตวาด “ข้าจะไปเอง”
อะเบอร์ธอลพยักหน้า แล้วรีบออกไปจากห้องทรงพระอักษรพร้อมกับมหาดเล็ก โดยปิดประตูตามหลัง
ราชากาเร็ธทรงคุกพระชานุอยู่ตรงนั้น พระหัตถ์กุมพระเศียรไว้ ทรงพยายามคิด พยายามที่จะนึกให้ออก ทุกอย่างนี้มันมากเกินไป ความทรงจำเริ่มกลับคืนมาสู่พระองค์ทีละน้อย โล่พลังหายไป จักรวรรดิบุกโจมตี คนครึ่งหนึ่งในราชสำนักได้จากไป ขนิษฐาของพระองค์นำพวกเขาไป ไปยังซิเลเซีย...เกว็นโดลีน...มีเท่านี้ พระองค์ทรงคิดออกเพียงเท่านี้
เกว็นโดลีน พระองค์ทรงเกลียดนางด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจจะบรรยายได้ ตอนนี้พระองค์ทรงอยากจะสังหารนางยิ่งกว่าครั้งใด พระองค์จะต้องสังหารนาง ปัญหาทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนเกิดจากนางทั้งสิ้น ราชากาเร็ธจะทรงหาทางแก้แค้นนางให้ได้ แม้จะต้องพยายามจนตายก็ตาม และจากนั้นพระองค์จะทรงสังหารพี่น้องคนอื่น ๆ ต่อไป
ราชากาเร็ธทรงรู้สึกดีขึ้นเมื่อคิดเรื่องนี้
พระองค์ทรงลุกขึ้นยืนได้โดยใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด แล้วกระแทกพระบาทออกไป โดยชนโต๊ะเล็กล้มลงเมื่อเสด็จผ่านไป เมื่อใกล้ถึงประตู ราชากาเร็ธทรงเห็นพระรูปปั้นครึ่งพระองค์ทำจากหินอลาบาสเตอร์ของพระบิดา รูปปั้นที่พระบิดาทรงโปรดปราน ราชากาเร็ธจึงทรงยื่นพระหัตถ์ไปคว้าส่วนพระเศียรไว้และขว้างใส่กำแพง
มันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ราชากาเร็ธทรงแย้มสรวลออกมาได้เป็นครั้งแรกของวันนี้ บางทีวันนี้อาจจะไม่ได้เลวร้ายนักหรอก
*
ราชากาเร็ธทรงเยื้องกรายเข้าไปในท้องพระโรง โดยมีมหาดเล็กหลายคนตามเสด็จ ทรงใช้ฝ่าพระหัตถ์กระแทกประตูไม้โอ้คบานใหญ่เปิดออก ทำให้ทุกคนที่แออัดกันอยู่ในห้องสะดุ้งเมื่อเห็นพระองค์ ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนรับเสด็จอย่างรวดเร็ว
หากเป็นเวลาปกติแล้วราชากาเร็ธคงจะทรงพอพระทัย แต่ในวันนี้พระองค์กลับไม่ใส่พระทัย ทรงรำคาญพระทัยเพราะปิศาจพระบิดา และยังทรงกริ้วที่ขนิษฐาจากไป พระอารมณ์ของพระองค์ปั่นป่วนอยู่ภายใน และทรงอยากจะระบายออกมาใส่โลก
ราชากาเร็ธทรงดำเนินโซเซเข้าไปในท้องพระโรงกว้างใหญ่ด้วยยังทรงมึนเมากับฤทธิ์ของฝิ่น ทรงดำเนินไปตามทางเดินตรงกลางที่ทอดไปยังบัลลังก์ของพระองค์ สมาชิกสภาหลายสิบคนยืนเฝ้าอยู่ด้านข้างเมื่อพระองค์เสด็จผ่าน ในท้องพระโรงมีคนเพิ่มจำนวนมากขึ้น และวันนี้ดูจะมีความตื่นตระหนก เพราะมีคนทยอยเข้ามาในห้องมากขึ้นเรื่อย ๆ จากข่าวการจากไปของผู้คนครึ่งหนึ่งในราชสำนัก และข่าวโล่พลังสลายไป ดูเหมือนคนที่ยังอยู่ในราชสำนักกำลังหลั่งไหลกันเข้ามาเพื่อหาคำตอบ
ซึ่งแน่นอนว่าราชากาเร็ธทรงไม่มีคำตอบ
ขณะที่ราชากาเร็ธทรงเยื้องกรายขึ้นไปตามบันไดงาช้างสู่บัลลังก์ของพระบิดา พระองค์ทรงเห็นลอร์ดคัลตินยืนอย่างอดทนอยู่ด้านหลังบัลลังก์ เขาเป็นหัวหน้าทหารรับจ้างของกองกำลังส่วนพระองค์ คนเดียวที่เหลืออยู่ในราชสำนักที่พระองค์จะทรงไว้วางพระทัยได้ เขายืนอยู่กับนักรบหลายสิบคน ที่ต่างยืนนิ่งเงียบ มือจับที่ดาบ พร้อมที่จะต่อสู้จนตัวตายเพื่อราชากาเร็ธ เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พระองค์ทรงสบายพระทัย
ราชากาเร็ธประทับนั่งบนบัลลังก์และสำรวจดูภายในห้อง มีผู้คนมากหน้าหลายตา มีเพียงไม่กี่คนที่พระองค์ทรงจำได้ และส่วนมากทรงไม่รู้จัก พระองค์ไม่ไว้ใจใคร ทรงกำจัดคนไปจากราชสำนักทุกวัน ราชาทรงสั่งขังคนมากมายในคุกใต้ดิน และยังสั่งประหารไปอีกมากกว่านั้น ไม่มีวันไหนที่พระองค์ไม่ได้ประหารคนอย่างน้อยสิบคน ราชากาเร็ธทรงคิดว่าเป็นนโยบายที่ดี มันช่วยให้ทุกคนอยู่กับที่ และป้องกันการก่อกบฏ
ภายในท้องพระโรงนิ่งเงียบ ทุกคนต่างมองดูพระองค์ด้วยความสงสัย พวกเขาดูหวาดกลัวเกินกว่าจะพูดออกมา ซึ่งนั่นคือสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการ ไม่มีอะไรจะทำให้พระองค์ทรงตื่นเต้นไปมากกว่าการสร้างความหวาดกลัวให้แก่ประชาชนของพระองค์
ในที่สุด อะเบอร์ธอลก็ก้าวมาด้านหน้า เสียงไม้เท้าของเขาสะท้อนก้องพื้นหิน เขากระแอม
“ฝ่าบาท” เขาเริ่มทูลด้วยเสียงชรา “พวกเรากำลังยืนอยู่ในช่วงเวลาแห่งความสับสนในราชสำนัก ข้าไม่รู้ว่าพระองค์ทรงทราบข่าวใดแล้วบ้าง ทั้งเรื่องที่โล่พลังไม่ทำงาน เจ้าหญิงเกว็นโดลีนทรงไปจากราชสำนัก พร้อมด้สนคอล์ค บรอม เจ้าชายเคนดริค แอ็ทมี กองรบเงิน กองทหารยุวชน และครึ่งหนึ่งของกองทัพ และยังมีข้าราชบริพารอีกครึ่งหนึ่งในราชสำนัก คนที่ยังเหลืออยู่จึงมาหาพระองค์เพื่อขอคำแนะนำ และอยากรู้ว่าพวกเราควรจะทำอย่างไรต่อไป ประชาชนต้องการคำตอบ ฝ่าบาท”
“นอกจากนี้” สมาชิกสภาอีกคนทูลขึ้น ราชากาเร็ธทรงจำเขาได้ราง ๆ “มีข่าวแพร่มาว่าหุบเขาใหญ่ถูกตีแตกแล้ว ข่าวลือบอกว่าแอนโดรนิคัสได้บุกดินแดนแม็คคลาวด์ที่อีกฝั่งของอาณาจักรวงแหวนด้วยกองทหารนับล้าน”
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วห้อง นักรบผู้กล้าหาญหลายสิบคนกระซิบกระซาบกัน ทั้งห้องเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และความตื่นตระหนกแพร่กระจายเหมือนไฟป่า
“มันไม่น่าจะเป็นความจริง!” ทหารคนหนึ่งร้องอุทานขึ้น
“มันเป็นความจริง!” สมาชิกสภาคนนั้นยืนยัน
“เช่นนั้นก็หมดหวังแล้ว!” ทหารอีกคนตะโกนขึ้น “หากแม็คคลาวด์ถูกยึดครอง จักรวรรดิก็จะมาที่ราชสำนักนี้เป็นที่ต่อไป ไม่มีทางที่พวกเราจะต้านทานได้”
“เราจะต้องหารือกันเรื่องการยอมจำนน ฝ่าบาท” อะเบอร์ธอลทูลราชากาเร็ธ
“ยอมแพ้หรือ!?” ชายอีกคนตะโกน “พวกเราไม่มีทางยอมแพ้!”
“หากเราไม่ยอม” ทหารอีกคนตะโกน “พวกเราจะถูกบดขยี้ เราจะสามารถรับมือกับกองทัพนับล้านได้อย่างไร?”
เกิดเสียงพึมพำด้วยความโกรธแค้นดังไปทั่วห้อง ทหารและสมาชิกสภาโต้เถียงกัน เกิดชุลมุนไปทั่ว
ผู้นำสภากระแทกไม้เท้าเหล็กของเขากับพื้นหิน แล้วตะโกนขึ้น
“เป็นระเบียบหน่อย!”
ภายในห้องค่อยเงียบเสียงลงทีละน้อย ทุกคนหันมามองที่เขา
“เรื่องเหล่านี้เป็นการตัดสินพระทัยของราชา ไม่ใช่พวกเรา” สมาชิกสภาคนหนึ่งกล่าวขึ้น “ราชากาเร็ธทรงเป็นราชาโดยชอบธรรม และไม่ใช่พวกเราที่จะต้องมาหารือเรื่องเงื่อนไขการยอมจำนน...หรือจะยอมจำนนหรือไม่”
ทุกคนต่างหันไปหาราชากาเร็ธ
“ฝ่าบาท” อะเบอร์ธอลทูล น้ำเสียงเหน็ดเหนื่อย “พระองค์จะเสนอให้พวกเราจัดการอย่างไรกับกองทัพของจักรวรรดิ?”
ภายในท้องพระโรงเงียบสนิท
ราชากาเร็ธประทับอยู่เช่นนั้น ทอดพระเนตรดูประชาชนของพระองค์ ทรงอยากจะตอบ แต่มันยิ่งยากมากขึ้นที่จะทำสมองให้ปลอดโปร่ง พระองค์ทรงได้ยินพระสุรเสียงของพระบิดาในพระเศียร ทรงตะโกนใส่พระองค์ เหมือนเช่นครั้งที่ยังทรงพระเยาว์ มันทำให้พระองค์ทรงคลั่ง และเสียงนั้นก็ไม่ยอมหายไป
ราชากาเร็ธทรงจับเท้าพระกรของบัลลังก์แล้วครูดมันครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงพระนขาข่วนเท้าพระกรเป็นเสียงเดียวภายในห้อง
สมาชิกสภาต่างมองดูกันด้วยความกังวล
“ฝ่าบาท” สมาชิกสภาอีกคนทูลขึ้นทันที “หากพระองค์เลือกที่จะไม่ยอมจำนน เช่นนั้นเราก็จะต้องป้องกันราชสำนักให้แข็งแกร่งทันที เราจะต้องระวังทางเข้าทุกแห่ง ถนนทุกสาย ประตูทุกบาน เราจะต้องระดมพลทั้งหมดเพื่อเตรียมการป้องกัน พวกเราจะต้องเตรียมการโจมตี การปันส่วนอาหาร การคุ้มครองประชาชนของเรา มีเรื่องต้องทำอีกมาก ได้โปรด ฝ่าบาท ขอทรงมีคำสั่ง บอกพวกเราว่าควรจะทำอย่างไร”
ทั้งห้องเงียบสนิทอีกครั้ง สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ราชากาเร็ธ
ในที่สุด พระองค์ก็เงยพระพักตร์ขึ้นและทอดพระเนตร
“พวกเราจะไม่ต่อสู้กับจักรวรรดิ” ราชาทรงประกาศ “และจะไม่ยอมจำนน”
ทุกคนต่างมองกันด้วยความสับสน
“เช่นนั้นเราควรจะทำอย่างไร ฝ่าบาท?” อะเบอร์ธอลทูลถาม
ราชากาเร็ธทรงกระแอม
“เราจะสังหารเกว็นโดลีน!” พระองค์ทรงประกาศ “นั่นคือเรื่องที่สำคัญในตอนนี้”
เกิดความเงียบด้วยความตื่นตกใจ
“เจ้าหญิงเกว็นโดลีนหรือ?” สมาชิกสภาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ เกิดเสียงพึมพำไปทั่วอีกครั้ง
“เราจะส่งกองกำลังทั้งหมดไปตามล่านาง สังหารนางและคนที่ติดตามไป ก่อนที่พวกมันจะไปถึงซิเลเซีย” ราชากาเร็ธทรงประกาศ
“แต่ฝ่าบาท เรื่องนี้มันจะช่วยเราได้อย่างไร?” สมาชิกสภาคนหนึ่งร้องถามขึ้น “หากเราเสี่ยงอันตรายออกไปโจมตีนาง นั่นจะทำให้กองทัพของเราเป็นเป้า พวกเขาจะถูกทหารจักรวรรดิล้อมและสังหาร”
“และมันยังทำให้ราชสำนักเปิดโล่งรับการโจมตี!” อีกคนร้องขึ้น “หากเราจะไม่ยอมจำนน พวกเราก็จะต้องสร้างความแข็งแกร่งให้ราชสำนักในทันที!”
กลุ่มคนโห่ร้องขึ้นอย่างเห็นด้วย
ราชากาเร็ธทรงหันไปทอดพระเนตรสมาชิกสภาด้วยสายพระเนตรเย็นชา
“เราจะใช้ทุกคนที่จำเป็นเพื่อสังหารน้องสาวของข้า!” พระองค์ทรงตรัสอย่างโหดเหี้ยม “เราจะไม่เหลือไว้สักคนเดียว!”
ในท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบเมื่อสมาชิกสภาคนหนึ่งผลักเก้าอี้จนครูดไปกับพื้นหิน แล้วยืนขึ้น
“ข้าจะไม่ทนเห็นราชสำนักถูกทำลายเพื่อความต้องการส่วนพระองค์ ข้าคนหนึ่งล่ะที่จะไม่ทำตามพระองค์!”
“ข้าด้วย!” คนครึ่งหนึ่งในห้องเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
ราชากาเร็ธทรงรุ่มร้อนด้วยความกริ้ว และกำลังจะประทับยืนเมื่อจู่ ๆ ประตูก็ถูกกระแทกเปิดออก แม่ทัพของส่วนที่เหลืออยู่ของกองทัพพรวดพราดเข้ามา สายตาทุกคู่หันไปดูเขา เขาลากแขนชายคนหนึ่งเข้ามา ท่าทางเป็นนักเลงหัวไม้ผมเผ้ามันเยิ้ม หนวดเคราไม่ได้โกน ถูกมัดที่ข้อมือ แม่ทัพลากเขามาจนถึงกลางท้องพระโรง และหยุดลงตรงหน้าราชา
“ฝ่าบาท” แม่ทัพทูลอย่างเย็นชา “นอกจากพวกหัวขโมยหกคนที่ถูกประหารไปแล้วจากข้อหาขโมยดาบแห่งโชคชะตา ชายคนนี้คือคนที่เจ็ด คนที่หนีไป เขาได้เล่าเรื่องราวที่มหัศจรรย์ที่สุดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น”
“พูด!” แม่ทัพกระตุ้น พลางเขย่าตัวหัวขโมย
เจ้าหัวขโมยมองไปรอบ ๆ ด้วยความกังวล ท่าทางไม่มั่นใจ ผมเป็นมันเยิ้มระอยู่ข้างแก้ม ในที่สุดมันก็ตะโกนออกมา
“พวกเราถูกสั่งให้ขโมยดาบนั่น!”
ภายในท้องพระโรงเกิดเสียงพึมพำด้วยความขุ่นเคือง
“พวกเรามีกันสิบเก้าคน!” หัวขโมยเล่าต่อ “สิบสองคนเป็นผู้นำดาบไป พลางตัวไปในความมืด ข้ามสะพานหุบเขาใหญ่ไปยังแดนเถื่อน พวกเขาซ่อนมันไว้ในเกวียน และคุ้มกันมันข้ามสะพานไป ทหารที่เฝ้ายามอยู่ที่สะพานจึงไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ด้านใน คนอื่น ๆ อีกเจ็ดคนถูกสั่งให้รออยู่ที่นี่หลังจากการขโมยดาบ มีคนบอกว่าเราจะถูกคุมขังเป็นการแสดง แล้วเราจะถูกปล่อยตัว แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เพื่อนของข้ากลับถูกประหารทั้งหมด ข้าเองก็คงจะโดนด้วยถ้าข้าไม่หนีไปก่อน”
เกิดความปั่นป่วนเซ็งแซ่ยาวนานขึ้น
“แล้วพวกนั้นเอาดาบไปไว้ที่ไหน?” แม่ทัพรุกถาม
“ข้าไม่รู้ ที่ไหนสักแห่งลึกเข้าไปในจักรวรรดิ”
“แล้วใครเป็นคนสั่งการเรื่องนี้?”
“พระองค์!” หัวขโมยบอก หันไปหาและชี้นิ้วผอม ๆ ไปที่ราชากาเร็ธ “ราชาของพวกเรา! พระองค์ทรงสั่งให้พวกเราทำ!”
ภายในท้องพระโรงมีเสียงเซ็งแซ่ด้วยความตื่นตระหนก มีเสียงตะโกนดังขึ้น จนในที่สุดสมาชิกสภาต้องกระแทกไม้เท้าเหล็กของเขาหลายครั้งและตะโกนสั่งให้เงียบ
ทั้งห้องเงียบลงแต่เพียงเล็กน้อย
ราชากาเร็ธทรงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวและความกริ้ว ทรงประทับยืนขึ้นจากบัลลังก์ช้า ๆ ภายในห้องเงียบเสียงลง เมื่อสายตาทุกคู่จับจ้องที่พระองค์
พระองค์ทรงก้าวลงมาตามบันไดงาช้างทีละก้าว เสียงพระบาทดังก้อง ความนิ่งเงียบหนาหนักจนแทบจะสามารถใช้มีดฟันได้
ราชาเสด็จไปจนถึงเจ้าหัวขโมยในที่สุด พระองค์ทรงจ้องมองมันด้วยความเย็นชา ทรงอยู่ห่างเพียงหนึ่งฟุต ชายหัวขโมยดิ้นรนอยู่ในเงื้อมือของแม่ทัพ มองไปทางอื่นที่ไม่ใช่ราชา
“หัวขโมยและคนโกหกต้องได้รับการจัดการด้วยวิธีเดียวเท่านั้นในอาณาจักรของข้า” ราชากาเร็ธตรัสเสียงเบา
ทันใดนั้นพระองค์ทรงชักมีดสั้นออกมาจากบั้นพระองค์แล้วแทงเข้าที่หัวใจของหัวขโมย
ชายหัวขโมยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ดวงตาเหลือกถลน ก่อนจะทรุดลงไปกองอยู่บนพื้น สิ้นใจตาย
แม่ทัพมองดูราชากาเร็ธด้วยใบหน้าถมึงทึง
“พระองค์ทรงสังหารพยานที่ให้การกล่าวหาพระองค์” แม่ทัพทูล “ทรงไม่รู้หรือว่ามันจะยิ่งทำให้พระองค์ดูมีความผิด?”
“พยานอะไรกัน?” ราชากาเร็ธตรัสถามพลางแย้มสรวล “คนตายพูดไม่ได้หรอก”
แม่ทัพหน้าแดงก่ำ
“เพื่อไม่ให้พระองค์ทรงลืม ข้าคือแม่ทัพแห่งครึ่งหนึ่งของกองทัพ ข้าจะไม่ยอมถูกปั่นหัวเป็นคนโง่ จากการกระทำของพระองค์ ข้าสันนิษฐานได้เพียงว่าพระองค์ทรงมีความผิดตามที่เขากล่าวหา และเช่นนั้นข้าและกองทัพของข้าไม่อาจรับใช้พระองค์ได้อีกต่อไป ที่จริงแล้วข้าจะนำพระองค์ไปคุมขังในข้อหาทรยศต่ออาณาจักรวงแหวน”
แม่ทัพพยักหน้าสั่งทหารของเขา ทหารราวสิบคนชักดาบออกมาพร้อมกันและก้าวเข้ามาเพื่อจับกุมราชากาเร็ธ
ลอร์ดคัลตินก้าวออกมาพร้อมด้วยกำลังคนมากกว่าสองเท่า ที่ต่างชักดาบและเดินไปยืนด้านหลังราชากาเร็ธ
พวกเขายืนยิ่ง เผชิญหน้ากับทหารของแม่ทัพ โดยมีราชากาเร็ธประทับอยู่ตรงกลาง
ราชากาเร็ธทรงแย้มสรวลให้แม่ทัพอย่างผู้มีชัย เขามีคนน้อยกว่ากองกำลังพิเศษของพระองค์ และเขารู้ตัวดี
“ข้าจะไม่ถูกใครจับกุมหรอก” พระองค์ทรงหยัน “ไม่ใช่ด้วยน้ำมือของเจ้าแน่ พาคนของเจ้าไปจากราชสำนักของข้าเสีย...หรือไม่อย่างนั้นก็พบกับความเกรี้ยวกราดของกองกำลังของข้า”
ในที่สุดแม่ทัพก็หันหลังและส่งสัญญาณให้ทหารของเขา ทุกคนยอมล่าถอยไปพร้อมเพรียงกัน หลังจากตึงเครียดกันอยู่หลายวินาที พวกเขาเดินถอยหลังออกไปจากท้องพระโรง อย่างระแวดระวัง โดยถือดาบไว้ในมือ
“นับตั้งแต่วันนี้ไป” แม่ทัพตะโกนบอก “ขอให้เป็นที่ประจักษ์ว่าพวกเราไม่ได้รับใช้พระองค์อีก! พระองค์จะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพของจักรวรรดิด้วยพระองค์เอง ข้าหวังว่าพวกนั้นจะดูแลพระองค์อย่างดี ดีกว่าที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพระบิดา!”
ทหารทุกคนออกไปจากท้องพระโรงพร้อมด้วยเสียงเกราะกระทบกัน
บรรดาสมาชิกสภา มหาดเล็กและขุนนางหลายสิบคนที่ยังอยู่ ต่างยืนนิ่งและกระซิบกระซาบกัน
“ออกไป!” ราชากาเร็ธทรงตะโกน “พวกเจ้าทุกคน!”
คนที่เหลืออยู่ในท้องพระโรงต่างรีบออกไป รวมทั้งกองรบของพระองค์
เหลือเพียงคนเดียวที่อยู่รั้งท้าย
ลอร์ดคัลติน
มีเพียงเขาและราชากาเร็ธอยู่ตามลำพังในท้องพระโรง เขาเดินมาหาราชากาเร็ธ และหยุดยืนห่างไปราวสองสามฟุต พลางมองสำรวจพระองค์ ราวกับกำลังพิจารณาพระองค์ ใบหน้าของเขาปราศจากความรู้สึกใดเหมือนเช่นเคย เป็นใบหน้าของทหารรับจ้างอย่างแท้จริง
“ข้าไม่สนใจว่าพระองค์ทรงทำอะไรหรือทำไม” เขาทูลด้วยเสียงแหบพร่า “ข้าไม่สนใจเรื่องการเมือง ข้าเป็นนักรบ ข้าสนเพียงเงินที่พระองค์ทรงจ่ายให้ข้าและคนของข้า”
เขาหยุด
“แต่ข้าอยากรู้ เพื่อความพอใจของข้าเอง พระองค์ทรงสั่งให้คนพวกนั้นขโมยดาบไปจริงหรือไม่?”
ราชากาเร็ธทอดพระเนตรมองเขา มีบางอย่างในแววตาของเขาที่พระองค์ทรงรู้จักในตัวพระองค์เอง ความเย็นชา โหดเหี้ยม ทะเยอทะยาน
“แล้วถ้าข้าทำล่ะ?” ราชากาเร็ธตรัสถามกลับ
ลอร์ดคัลตินมองตอบมานิ่งนาน
“เพราะอะไร?” เขาทูลถาม
ราชากาเร็ธทรงมองตอบ พลางนิ่งเงียบ
ดวงตาของลอร์ดคัลตินเบิกกว้างอย่างเข้าใจ
“เมื่อท่านไม่สามารถครองมันได้ ก็ต้องไม่มีใครได้อย่างนั้นหรือ?” ลอร์ดคัลตินทูลถาม “เป็นเช่นนั้นหรือ?” เขาพิจารณาความเป็นไปได้ “แต่ถึงอย่างนั้น” ลอร์ดคัลตินทูลต่อ “พระองค์ก็ทรงทราบดีว่าการส่งดาบออกไปจะทำให้โล่พลังงานสลาย ทำให้พวกเราอ่อนแอต่อการโจมตี”
ดวงตาของลอร์ดคัลตินเบิกกว้างมากขึ้น
“พระองค์ทรงต้องการให้พวกเราถูกโจมตี ใช่หรือไม่? พระองค์ทรงต้องการให้ราชสำนักถูกทำลาย” เขาทูลอย่างเข้าใจในทันที
ราชากาเร็ธแย้มสรวลตอบ
“ไม่ใช่ทุกแห่งหรอก” ราชากาเร็ธตรัสบอกช้า ๆ “ที่ควรจะอยู่ไปตลอดกาล”