Kitabı oku: «ความรัก», sayfa 2

Yazı tipi:

เคทลินวางมือของเธอไปที่แขนของคาเลป และพาเขามุ่งสู่ประตูหน้าโรงเรียน เธอรู้ดีว่าเขาที่ยังคงอยู่ที่นี่ และนั่นดูสมเหตุสมผล แซมอยู่กับพวกโคลแมน ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในโรงเรียน ตอนนี้เขาน่าจะอยู่ที่นั่น

เมื่อทั้งคู่เดินออกไปยังประตูหน้า เคทลินสัมผัสกับบรรยากาศที่สดชื่น เธอประหลาดใจที่พบว่าเธอรู้สึกดีกับการเดินออกจากโรงเรียนมัธยมแห่งนี้อีกครั้ง…และครั้งนี้เธอจากไปด้วยดี

*

เคทลินและคาเลปเดินเข้าไปในพื้นที่ของครอบครัวโคลแมน หิมะบนหญ้าแตกละเอียดอยู่ใต้ฝ่าเท้า ตัวบ้านไม่มีอะไรมากนัก ไร่ปศุสัตว์ที่ค่อนข้างเล็กตั้งอยู่ริมถนนของชนบท แต่ด้านหลังเป็นที่ตั้งของโรงนา รถบรรทุกจอดกระจัดกระจายอยู่บนสนามหญ้า เคทลินมองดูรอยเท้าบนน้ำแข็งและหิมะ เธอรู้ได้ว่าต้องมีคนมากมายเดินเข้าออกโรงนาแห่งนี้

นั่นคือกิจกรรมของเด็ก ๆ ในโอ๊กวิลล์ พวกเขามักจะมาพบปะกันในโรงนา โอ๊กวิลล์เป็นพื้นที่ชนบทของชานเมือง ทำให้พวกเขามีโอกาสรวมตัวกันในสถานที่ที่ห่างไกลจากบ้านเพียงพอ ดังนั้นพ่อแม่จึงไม่รู้และไม่สนใจว่าลูกของพวกเขากำลังทำอะไร มันดีกว่าการไปสุมหัวกันในชั้นใต้ดิน ที่นี่พ่อแม่ของคุณจะไม่ได้ยินอะไร และคุณจะมีทางเข้าออกเป็นของตัวเอง

เคทลินสูดหายใจลึก เธอเดินขึ้นไปยังโรงนาและเลื่อนบานประตูไม้ออก

สิ่งแรกที่เธอพบคือกลิ่นกัญชา และกลุ่มควันที่ลอยอยู่ในอากาศ

ผสมกับกลิ่นของเบียร์เก่าที่รุนแรงมาก

จากนั้นสิ่งที่เธอรับรู้มากกว่าทุกสิ่ง มันคือกลิ่นของสัตว์ เธอไม่เคยมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมเช่นนี้มาก่อน เธอตกใจที่สามารถรับรู้ได้ว่ามีสัตว์อยู่ที่นี่เพียงแค่ได้กลิ่น ราวกับว่าเธอกำลังดมแอมโมเนีย

เธอหันไปทางขวาและมองเข้าไป ตรงมุมห้องมีร็อตไวเลอร์ตัวใหญ่ มันลุกขึ้นอย่างช้า ๆ มองมาที่เธอและเริ่มส่งเสียงขู่คำรามอยู่ในลำคอ เธอจำมันได้แล้ว มันคือบุช ร็อตไวเลอร์ที่ดุร้ายของพวกโคลแมน ราวกับว่าโคลแมนต้องการเพิ่มสัตว์ที่ดุร้ายให้กับภาพลักษณ์ของพวกเขา

พวกโคลแมนมักจะมีแต่เรื่องแย่ ๆ พี่น้องผู้ชายสามคนอายุ 17 15 และ 13 ปี อะไรบางอย่างทำให้แซมกลายเป็นเพื่อนกับเด็กคนกลาง เขาชื่อเกบ นิสัยแย่ที่สุดในบรรดาพี่น้อง พ่อของพวกเขาจากไปนานแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน และแม่ของพวกเขาไม่เคยเหลียวดู อันที่จริงพวกเขาเติบโตขึ้นมาด้วยตัวของพวกเขาเอง แม้ว่าพวกเขาจะมีอายุเพียงแค่นี้ พวกเขามักจะเมา และอยู่นอกโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่

เคทลินรู้สึกหัวเสียที่แซมมาสุงสิงกับพวกเขา มันไม่เคยมีเรื่องอะไรดี ๆ เลย

ในโรงนากำลังเปิดเพลงของ พิงก์ พลอยด์ เสียงเพลงดังลอยมา Wish You Were Here

การค้นหา เคทลินคิด

ที่นี่มืดมาก เมื่อเทียบกับความสว่างภายนอก เธอต้องใช้เวลาหลายวินาทีเพื่อให้ดวงตาของเธอปรับภาพได้อย่างชัดเจน

เขาอยู่ที่นั่นเอง แซมกำลังนั่งอยู่ตรงกลางบนโซฟาตัวเก่า ล้อมรอบด้วยเด็กผู้ชายนับสิบคน เกบนั่งอยู่ข้างหนึ่งและบร็อคนั่งอยู่อีกข้าง

แซมก้มตัวดูดบ้องกัญชา เขาเพิ่งสูดมันเข้าไป เขาวางลงและเอนหลังพิง ดูดอากาศเข้าไปและกลั้นเอาไว้นานมาก จนในที่สุดเขาก็พ่นควันออกมา

เกบสะกิดเขา แซมเงยหน้าขึ้นมอง เขาจ้องมองมาที่เคทลินท่ามกลางหมอกควันสีขาว ดวงตาของเขาแดงก่ำ

เคทลินรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ในท้อง ความรู้สึกของเธอตอนนี้เกินกว่าความผิดหวัง เธอรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของเธอ เธอนึกถึงครั้งสุดท้ายที่อยู่กับแซมในนิวยอร์ก การทะเลาะกัน เธอทำร้ายจิตใจของแซม คำพูดที่เธอตะโกนออกไป “ก็ไปสิ!” ทำไมเธอถึงเกรี้ยวกราดกับเขา? ทำไมเธอไม่มีโอกาสที่จะแก้ตัว?

มันสายไปแล้ว ถ้าเธอเลือกใช้คำพูดอื่น บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นอาจแตกต่างจากตอนนี้

เธอรู้สึกโกรธ โกรธพวกโคลแมน โกรธเด็กผู้ชายทั้งหมดในโรงนาแห่งนี้ที่กำลังนั่งอยู่รอบ ๆ โซฟาตัวเก่า บนเก้าอี้ และกองฟาง พวกเขาตั้งวงดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ไม่ทำอะไรเลยกับชีวิต พวกเขามีอิสระที่จะทำแบบนี้กับชีวิตของพวกเขา แต่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะลากแซมเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย แซมดีกว่าเด็กพวกนี้ เขาเพียงแค่ไม่มีคนชี้แนะ ไม่เคยเห็นหน้าพ่อ ไม่เคยได้รับความเมตตาจากแม่ เขาเคยเป็นเด็กที่ดีมากคนหนึ่ง และเธอรู้ว่าเขาสามารถเป็นที่หนึ่งของชั้นเรียนได้ ถ้าเขาไม่ต้องเจอกับการย้ายบ้าน แต่บางทีมันก็สายเกินไป เขาเพียงแค่เลิกที่จะสนใจ

เธอเดินเข้าไปใกล้ “แซม?” เธอถาม

เขาเพียงแค่จ้องกลับมา โดยไม่พูดอะไร

มันยากที่จะบอกได้ว่าอะไรอยู่ในสายตาของเขา ยาเสพติด? หรือเขาเพียงแค่แกล้งทำเป็นไม่สนใจ? หรือจริง ๆ แล้วเขาไม่สนใจเลย?

ท่าทางเฉยเมยของเขาทำให้เธอเจ็บปวดมากกว่าสิ่งใด เธอคิดว่าเขาจะมีความสุขที่พบเธอ ลุกขึ้นมาและกอดเธอ ไม่ใช่แบบนี้ ดูเหมือนเขาไม่สนใจเลย ราวกับว่าเธอคือคนแปลกหน้า หรือเขาเพียงแค่เก๊กท่าต่อหน้าเพื่อน? หรือครั้งนี้เธอทำให้ทุกอย่างพังลง?

หลายวินาทีผ่านไป ในที่สุดเขาก็มองไปทางอื่น เขายื่นบ้องกัญชาให้เพื่อนอีกคน มองไปที่เพื่อนของเขา และไม่สนใจเธอ

“แซม!” เธอพูด เสียงดังมากขึ้น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ “ฉันกำลังพูดกับนายอยู่นะ!”

เคทลินได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากเพื่อนของแซม คลื่นความโกรธกำลังก่อตัวขึ้นภายในตัวของเธอ เธอรับรู้ได้ถึงบางอย่าง สัญชาตญาณของสัตว์ ความโกรธของเธอเริ่มเอ่อล้นขึ้นมาจนแทบจะไม่สามารถควบคุมได้ เธอกลัวว่าในไม่ช้ามันจะล้ำเส้น ความรู้สึกที่ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป และการกลายเป็นสัตว์

เด็กผู้ชายเหล่านี้ตัวใหญ่ แต่พลังที่ไหลเวียนอยู่ในเส้นประสาทบอกว่าเธอสามารถจัดการพวกเขาได้ภายในพริบตา เธอกักเก็บความโกรธของเธอได้อย่างยากลำบาก และเธอหวังว่าเธอจะเข้มแข็งกว่านี้เพื่อทำให้ได้

ในขณะเดียวกัน ร็อตไวเลอร์ส่งเสียงขู่ดังขึ้น มันค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเธออย่างช้า ๆ ราวกับมันสามารถรับรู้ได้ว่าบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น

มืออันอ่อนโยนวางลงบนไหล่ของเธอ คาเลปคงสัมผัสได้ถึงความโกรธของเธอที่กำลังก่อตัวขึ้น สัญชาตญาณของสัตว์ เขาพยายามทำให้เธอสงบลง เพื่อบอกให้เธอควบคุมตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวของเธอถูกครอบงำ เขาทำให้เธอรู้สึกมั่นใจ แต่มันไม่ง่ายเลย

ในที่สุดแซมก็หันมา เขามองดูเธอด้วยแววตาที่แข็งขืน เห็นได้ชัดว่าเขายังคงโกรธ

“เธอต้องการอะไร?” เขาตะคอก

“ทำไมเธอไม่ไปโรงเรียน?” เป็นสิ่งแรกที่เธอได้ยินตัวเองพูด เธอไม่แน่ใจนักว่าทำไมเธอถึงพูดเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอมีเรื่องราวมากมายต้องการถามเขา แต่คำพูดของเธอคือสัญชาตญาณความเป็นแม่ มันคือความห่วงใยที่แสดงออกมา

เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้น ความโกรธของเธอเพิ่มมากขึ้น

“แล้วเธอจะมาสนใจทำไม?” เขาพูด “เธอเป็นคนบอกให้ฉันไป”

“ฉันขอโทษ” เธอพูด “ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

เธอดีใจที่มีโอกาสได้พูดออกไป

แต่ดูเหมือนคำพูดนั้นไม่ได้มีอิทธิพลต่อเขา เขาเพียงแค่จ้องกลับมา

“แซม ฉันต้องการคุยกับเธอ แบบส่วนตัว” เธอพูด

เธอต้องการพาเขาออกจากสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ออกไปสู่อากาศบริสุทธิ์ เพื่อให้เธอและแซมสามารถพูดกันอย่างจริงจังตามลำพัง เธอไม่เพียงแค่ต้องการรู้เรื่องของพ่อ แต่เธออยากคุยกับเขา การคุยกันแบบพี่น้อง และเธอต้องการแจ้งข่าวเกี่ยวกับแม่

แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางเกิดขึ้น ตอนนี้เธอสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเรื่องราวกำลังเลวร้ายมากขึ้น พลังงานในโรงนาที่เนืองแน่นนี้มืดมนและรุนแรงเกินไป เธอรับรู้ได้ว่าตัวของเธอกำลังสูญเสียการควบคุม แม้ว่าจะมีมือของคาเลปอยู่ เธอเพียงแค่ไม่สามารถหยุดยั้งอะไรก็ตามที่กำลังจะครอบงำเธอ

“ฉันมาตั้งต้นที่นี่” แซมพูด

เธอได้ยินเสียงหัวเราะในหมู่เพื่อนของแซมดังมากขึ้น

“ทำไมเธอไม่ผ่อนคลายหน่อยล่ะ?” หนึ่งในเด็กผู้ชายพูดกับเธอ “เธอดูหงุดหงิดมากเกินไป นั่งลงก่อน ลองดูซะหน่อย”

เขาถือบ้องกัญชายื่นให้เธอ

เธอหันหน้ามาและจ้องไปที่เขา

“ทำไมแกไม่ยัดบ้องนั่นเข้ารูตูดของแกล่ะ?” เธอได้ยินตัวเองกัดฟันพูด

เสียงแทรกดังออกมาจากกลุ่มของเด็กผู้ชาย “อ้าว วอนซะแล้ว” หนึ่งในพวกเขาตะโกน

เด็กผู้ชายที่ยื่นบ้องกัญชาให้เธอ ร่างกายกำยำ ตัวโต เขาเป็นคนที่เคยอยู่ในทีมฟุตบอล หน้าของเขาแดงก่ำ

“พูดว่าไงนะ นังตัวดี” เขาพูดพร้อมยืนขึ้น

เธอมองขึ้นไป เขาสูงกว่าเธออย่างน้อย 6 ฟุต 6 นิ้ว เธอรับรู้ได้ว่าคาเลปจับไหล่ของเธอแน่นขึ้น เธอไม่รู้ว่าเขาต้องการให้เธอสงบ หรือว่าเขากำลังโกรธ

ความตึงเครียดในห้องมาคุขึ้นอย่างรวดเร็ว

ร็อตไวเลอร์เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น มันอยู่ห่างออกไปไม่กี่ฟุต และส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง

“จิมโบ้ ใจเย็น ๆ” แซมพูดกับเด็กตัวโต

นั่นคือแซมที่มีใจปกป้อง ไม่ว่าจะอย่างไร เขาปกป้องเธอ “เธอก็แค่ตัวปัญหา แต่เธอไม่ได้ตั้งใจ เธอยังเป็นพี่ของฉัน ดังนั้นใจเย็นหน่อย”

“ฉันตั้งใจ” เคทลินตะโกน ความโกรธทวีเพิ่มขึ้น “พวกนายคิดว่าพวกนายเท่นักเหรอ? พาน้องของฉันมาเมายา พวกนายมันก็แค่พวกไม่ได้เรื่อง พวกนายมันไม่มีที่ไป ถ้าพวกนายต้องการละเลงชีวิตของพวกนายก็ไปเลย แต่อย่าลากแซมเข้ามาเกี่ยว!”

จิมโบ้ดูโกรธมากขึ้น เขาก้าวเข้ามาด้วยท่าทีข่มขู่

“เอ้า ดูสิว่าใครมา คุณครูสาว คุณแม่คร้าบบ มาที่นี่เพื่อสั่งสอนเราว่าต้องทำอะไร!”

เสียงหัวเราะครืนดังกึกก้อง

“ทำไมแกและแฟนกะเทยของแกในห้องนี้ไม่เข้ามาหยุดฉันล่ะ!”

จิมโบ้ก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้น เอื้อมมือออกไปด้วยฝ่ามือขนาดใหญ่ และผลักไหล่เคทลิน

เขาทำผิดพลาดอย่างมหันต์

ความโกรธของเคทลินระเบิดออกมา เกินกว่าที่เธอจะสามารถควบคุม เสี้ยววินาทีที่นิ้วของจิมโบ้สัมผัสเธอ เธอเอื้อมมือออกไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้า จับข้อมือของเขาและบิดกลับ เสียงกระดูกหักดังออกมา ข้อมือของเขาหัก

เคทลินยกข้อมือของเขาขึ้นสูงไปด้านหลัง และผลักเขา หน้าของเขาทิ่มลงกับพื้น

ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที เขาลงไปกองกับพื้นอย่างน่าเวทนา เธอก้าวเข้ามา และวางเท้าของเธอลงบนหลังคอของเขา ตรึงเขาไว้กับพื้น

จิมโบ้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“ช่วยด้วย ข้อมือฉัน ข้อมือฉัน! นังตัวดี! แกหักข้อมือของฉัน!”

แซมลุกขึ้นพร้อมกับเด็กผู้ชายทั้งหมด ต่างจ้องมองมาด้วยสายตาที่ตกตะลึง ดูเหมือนเขาจะรู้สึกตกใจจริง ๆ ที่เห็นพี่สาวตัวเล็กของเขาสามารถล้มผู้ชายตัวโตได้อย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้ว่าเธอทำได้อย่างไร

“ขอโทษซะ” เคทลินข่มขู่จิมโบ้ เธอรู้สึกตกใจกับน้ำเสียงของเธอ เสียงจากในลำคอราวกับเสียงของสัตว์

“ขอโทษ ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ!” จิมโบ้ร้องตะโกนอย่างครวญคราง

เคทลินต้องการปล่อยเขาไปเพื่อให้ทุกอย่างจบลง แต่บางส่วนในจิตใจของเธอไม่สามารถทำได้ ความโกรธได้ครอบงำเธออย่างรวดเร็วและรุนแรง เธอเพียงแค่ไม่สามารถปล่อยไปได้ ความโกรธยังคงไหลเวียนอยู่ เธอต้องการฆ่าเด็กผู้ชายคนนี้โดยหาเหตุผลไม่ได้ เธอต้องการทำเช่นนั้นจริง ๆ

“เคทลิน!?” แซมร้องตะโกน เธอรับรู้ได้ถึงหวาดหวั่นในน้ำเสียงของเขา “ฉันขอร้อง!”

แต่เคทลินไม่สามารถทำได้ เธอต้องการฆ่าเด็กผู้ชายคนนี้

ทันใดนั้น เสียงคำรามดังขึ้น เธอมองเห็นสุนัขจากหางตา มันกำลังกระโจนอยู่กลางอากาศ ฟันของมันเล็งมาที่คอของเธอ

เคทลินไหวตัวทันที เธอผละออกจากจิมโบ้ ภายในการเคลื่อนไหวเดียวกัน เธอจับสุนัขเอาไว้กลางอากาศ คว้าท้องของมันทางด้านล่าง และโยนออกไป

สุนัขกระเด็นลอยไปในอากาศ ไกลออกไปเรื่อย ๆ สิบฟุต ยี่สิบฟุต แรงเหวี่ยงนั้นทำให้สุนัขลอยข้ามห้อง ทะลุกำแพงไม้ของโรงนา กำแพงแตกออกส่งเสียงดัง สุนัขร้องครางและบินลอยไป

ทุกคนในห้องจ้องมาที่เคทลิน พวกเขาตามไม่ทันกับสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำที่ทรงพลังและความเร็วเหนือมนุษย์ ไม่สามารถอธิบายได้ พวกเขาทั้งหมดยืนตะลึงนิ่งเงียบ อ้าปากค้าง และจ้องมอง

เคทลินท่วมท้นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ความโกรธ ความเศร้า เธอไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร เธอไม่ไว้ใจตัวเองอีกต่อไป เธอไม่สามารถพูดได้ เธอต้องออกมาจากที่นั่น เธอรู้ว่าแซมจะไม่ตามมา ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว

และเธอก็เช่นกัน

บทที่สาม

เคทลินและคาเลปเดินไปตามริมฝั่งของแม่น้ำอย่างช้า ๆ แม่น้ำฮัดสันฝั่งนี้ถูกปล่อยปละละเลย กระจัดกระจายไปด้วยโรงงานร้างและสถานีน้ำมันที่ไม่ได้ใช้งานอีกต่อไป ที่นี่ช่างอ้างว้าง แต่เงียบสงบ วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันในเดือนมีนาคม เคทลินทอดสายตาออกไป มองดูก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ในแม่น้ำ ก้อนน้ำแข็งค่อย ๆ แยกออกจากกัน เสียงแตกเปราะอันบอบบางดังไปทั่วบรรยากาศ เหมือนกำลังอยู่บนอีกโลกหนึ่ง ประกายแสงสะท้อนที่ดูแปลกตา ควันจาง ๆ ลอยขึ้นมา เธอปรารถนาที่จะเดินไปยังก้อนน้ำแข็งนั้นแล้วนั่งลง ปล่อยให้มันพาเธอไปที่ไหนก็ได้

ทั้งคู่เดินต่อไปท่ามกลางความเงียบ ต่างคนต่างอยู่ในโลกของตัวเอง เคทลินรู้สึกละอายใจที่เธอแสดงความโกรธออกมาต่อหน้าคาเลป เธอละอายที่ถูกมองว่าเป็นพวกชอบความรุนแรง ซึ่งเธอไม่สามารถควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอได้

เธอรู้สึกขายหน้าเกี่ยวกับน้องชายของเธอ การกระทำที่เขาแสดงออกมา กาสุงสิงกับพวกไม่เอาไหน เธอไม่เคยเห็นเขาทำตัวแบบนั้นมาก่อน เธอรู้สึกอายที่คาเลปต้องมาเห็น เหมือนการพาเขามาพบกับครอบครัวของเธอ เขาต้องคิดเรื่องแย่ ๆ เกี่ยวกับเธอเป็นแน่ นั่นทำให้เธอเจ็บปวดมากกว่าสิ่งใด

สิ่งที่แย่ที่สุด เธอกลัวว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป แซมคือความหวังเดียวของเธอในการค้นหาพ่อ เธอนึกวิธีอื่นไม่ออกอีกแล้ว ถ้าทำได้เธอก็คงจะไปพบเขาด้วยตัวของเธอเองตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมา เธอไม่รู้ว่าจะบอกคาเลปอย่างไร เขาจะจากไปตอนนี้เลยหรือเปล่า? แน่นอนว่าเขาควรไป เธอไม่มีประโยชน์ต่อเขาแล้ว และเขามีดาบที่ต้องค้นหา ทำไมเขาจะต้องอยู่กับเธอด้วยล่ะ?

ในขณะที่เดินไปท่ามกลางความเงียบ เคทลินรู้สึกกังวลใจ เธอเดาว่าคาเลปกำลังรอเวลาที่เหมาะสมในการเลือกคำพูดของเขาอย่างระมัดระวัง เพื่อบอกเธอว่าเขาต้องไป เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ผ่านมาในชีวิตของเธอ

“ฉันขอโทษจริง ๆ” ในที่สุดเธอก็พูดออกมาอย่างนุ่มนวล “สำหรับสิ่งที่ทำลงไป ฉันเสียใจ ฉันสูญเสียการควบคุม”

“ไม่ต้องคิดมากหรอก เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เจ้ากำลังเรียนรู้ และเจ้าแข็งแกร่งมาก”

“ฉันขอโทษที่น้องชายของฉันทำตัวแบบนั้น”

เขายิ้ม “ถ้าจะมีสิ่งใดที่ข้าได้เรียนรู้ในหลายศตวรรษมานี้ นั่นคือการที่เจ้าไม่สามารถควบคุมครอบครัวของเจ้าได้”

ทั้งคู่เดินต่อไปในความเงียบ เขามองออกยังที่แม่น้ำ

“แล้ว?” ในที่สุดเธอถาม “จะทำยังไงต่อไป?”

เขาหยุดและมองมาที่เธอ

“คุณจะไปเหรอ?” เธอถามอย่างลังเล

เขาดูเหมือนกับกำลังคิด

“เจ้าคิดว่ามีที่ใดที่พ่อของเจ้าอาจจะอยู่หรือไม่?” มีใครที่รู้จักเขาอีกบ้าง? อะไรก็ได้?”

เธอพยายามแล้ว ไม่มีสิ่งใดเลย ไม่มีเลยจริง ๆ เธอส่ายหัวออกมา

“มันต้องมีอะไรสักอย่าง” เขาพูดอย่างเน้นย้ำ “คิดดูให้ดี ความทรงจำของเจ้า เจ้าไม่มีความทรงจำเลยหรือ?”

เคทลินคิดทบทวนอย่างหนัก เธอหลับตาลง พยายามนึกถึงความทรงจำในอดีต เธอถามตัวของเธอเองด้วยคำถามเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอเคยเห็นพ่อของเธอหลายครั้งในความฝัน ซึ่งเธอไม่รู้อีกต่อไปแล้วว่าสิ่งไหนคือความฝันและสิ่งไหนคือความจริง เธอสามารถบรรยายความฝันนั้นได้ ความฝันครั้งแล้วครั้งเล่าที่เธอมองเห็นพ่อ มันมักจะเป็นความฝันเดียวกันเสมอ เธอวิ่งออกไปในทุ่งหญ้า มองเห็นพ่ออยู่ในระยะไกล เมื่อเธอเข้าไปใกล้มากยิ่งขึ้น แต่นั่นกลับไม่ใช่พ่อ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน

ภาพบางอย่างผ่านเข้ามา ความทรงจำในวัยเด็ก เธอไปกับพ่อที่ไหนสักแห่ง สถานที่แห่งหนึ่งในช่วงฤดูร้อน เธอจำได้ว่าเป็นมหาสมุทร บรรยากาศที่อบอุ่น อบอุ่นมาก แต่อีกครั้งที่เธอไม่แน่ใจว่ามันคือความจริงหรือไม่ เรื่องราวดูไม่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเธอไม่สามารถจำได้ว่าชายหาดแห่งนี้อยู่ที่ไหน

“ฉันขอโทษ” เธอพูด “ฉันหวังว่าจะนึกอะไรออกบ้างที่พอจะเป็นประโยชน์กับคุณ แต่ไม่มีเลย ฉันไม่รู้ว่าพ่ออยู่ที่ไหน และฉันไม่รู้ว่าจะหาพ่อพบได้อย่างไร”

คาเลปหันกลับไป เขาถอนหายใจออกมา จ้องมองออกไปยังน้ำแข็งที่อยู่ในแม่น้ำ ดวงตาของเขาเปลี่ยนสีอีกครั้ง ลัครั้งนี้เป็นสีเทา

เคทลินรู้สึกว่าเวลานั้นได้มาถึงแล้ว เขาจะหันกลับมาและบอกเธอว่าเขากำลังจะจากไป เธอไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาอีกต่อไปแล้ว

เธอเกือบจะบางอย่างลงอไป การโกหกเกี่ยวกับพ่อของเธอ เบาะแสบางอย่าง เพียงเพื่อให้เขาอยู่กับเธอ แต่เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถทำอย่างนั้นได้

เธอรู้สึกเหมือนจะร้องไห้

“ข้าไม่เข้าใจ” คาเลปพูดอย่างนุ่มนวล สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่แม่น้ำ “ข้ามั่นใจว่าเจ้าคือผู้ถูกเลือก”

เขาจ้องมองออกไปในความเงียบ เวลายาวนานราวกับหลายชั่วโมงผ่านพ้นไป

“และยังมีอะไรบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ” เขาพูดออกมา และหันมามองที่เธอ ดวงตากลมโตของเขาเหมือนกำลังสะกดจิตเธอ

“ข้ารู้สึกบางอย่างเมื่ออยู่ใกล้เจ้า ข้ารู้สึกเหมือนถูกบดบัง กับผู้อื่นข้าสามารถมองเห็นชีวิตที่เคยใช้ร่วมกันเสมอ ทุกครั้งที่เส้นทางของพวกเราบรรจบกัน ในภพชาติหนึ่ง แต่กับเจ้า…มันมัวหมอง ข้ามองไม่เห็นสิ่งใดเลย ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นกับข้ามาก่อน เหมือนกับ…ข้ากำลังถูกกีดกันจากการมองเห็นอะไรบางอย่าง”

“บางทีพวกเราอาจไม่เคยพบกัน” เคทลินตอบ

เขาส่ายหัว

“ข้าจะต้องเห็นสิ่งนั้น กับเจ้าทำไมข้าถึงมองไม่เห็นเส้นทาง หรือสามารถมองเห็นอนาคตของเราร่วมกัน และนั่นไม่เคยเกิดขึ้นกับข้ามาก่อน ไม่เคยเลย ในระยะเวลา 3,000 ปี ข้ารู้สึกเหมือน…ข้าจดจำเจ้าได้ด้วยเหตุผลบางประการ ข้ารู้สึกเหมือนเกือบจะเห็นทุกอย่าง มันอยู่ที่ปลายจิตของข้า แต่มันไม่ปรากฏออกมา และมันทำให้ข้าว้าวุ่นใจ”

“ถ้าเช่นนั้น” เธอพูด “บางทีมันอาจไม่มีอะไรเลยก็ได้ บางทีมันก็แค่ที่นี่ในตอนนี้ มันอาจไม่เคยมีอะไรมากไปกว่านี้ และบางทีมันก็แค่ไม่เคยมีอะไรเลย”

ทันใดนั้นเธอรู้สึกเสียใจกับคำพูดของเธอ เธอทำลงไปอีกแล้ว การเผลอปากพูดเรื่องโง่ ๆ ที่เธอไม่ได้ตั้งใจ ทำไมเธอต้องพูดแบบนั้น? มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอกำลังคิด กำลังรู้สึก เธอต้องการพูดออกไปว่า ใช่ ฉันก็รู้สึกแบบนั้น ฉันรู้สึกเหมือนเคยอยู่กับคุณมาตลอดกาล และฉันจะอยู่กับคุณตลอดไป แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น มันกลับผิดพลาดไปหมด อาจเป็นเพราะเธอกังวลใจเกินไป และตอนนี้เธอไม่สามารถกลับคำพูดของเธอได้

แต่คาเลปไม่ได้รู้สึกสั่นคลอน เขากลับก้าวเข้ามาใกล้ ยกมือข้างหนึ่งขึ้น และบรรจงวางลงบนแก้มของเธออย่างช้า ๆ ปัดเส้นผมของเธอไปข้างหลัง เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเคทลินอย่างลึกซึ้ง เธอมองเห็นดวงตาของเขาเปลี่ยนสีอีกครั้ง ครั้งนี้จากสีเทาเป็นสีน้ำเงิน สายตาคู่นั้นจับจ้องมองมาที่เธออย่างมีความหมาย ความสัมพันธ์ที่กำลังเอ่อล้นา

หัวใจของเธอเต้นรัว ความร้อนมหาศาลสูบฉีดไปทั่วร่างกาย เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะละลาย

เขากำลังพยายามเก็บเธอไว้ในความทรงจำเหรอ? หรือเขากำลังจะบอกลา?

หรือว่าเขากำลังจะจูบเธอ?

บทที่สี่

สิ่งที่ไคล์เกลียดมากกว่ามนุษย์ คือนักการเมือง เขาไม่สามารถทนต่อท่าทางของพวกนักการเมือง การเสแสร้ง ความคิดที่ว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก เขาไม่สามารถทนต่อความดื้อรั้น และการอ้างอิงจากความว่างเปล่า พวกนักการเมืองส่วนใหญ่มีอายุแค่เกือบ 100 ปี ในขณะที่เขามีชีวิตอยู่มานานกว่า 5,000 ปีแล้ว เมื่อนักการเมืองพูดคำว่า “ประสบการณ์ในอดีต” ของพวกเขา มันทำให้ไคล์ทนไม่ได้

โชคชะตาทำให้ไคล์ต้องมาเดินชนไหล่กับพวกเขา เขาต้องเดินผ่านพวกนักการเมืองเหล่านี้ทุกคืน เมื่อเขาลุกขึ้นมาจากการหลับใหลและออกไปสู่พื้นดิน เขาต้องผ่านที่ชุมนุมของศาลากลาง กลุ่มแบล็กไทด์ได้ตั้งมั่นที่อยู่อาศัยลึกลงไปใต้ศาลากลางของเมืองนิวยอร์กมานานหลายศตวรรษ และมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนักการเมืองเสมอมา อันที่จริงกลุ่มนักการเมืองที่อยู่ในห้องนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสมาชิกลับของกลุ่มแบล็กไทด์ ไคล์ดำเนินแผนการของเขาแผ่ขยายออกไปทั่วเมืองและทั่วทั้งรัฐ การคลุกคลี และการทำธุรกิจกับมนุษย์ มันคือปีศาจในคราบนักการเมือง

แต่นักการเมืองที่เป็นมนุษย์จริง ๆ ก็มีจำนวนมากเพียงพอที่จะทำให้ผิวของไคล์รู้สึกขยะแขยง เขาทนไม่ได้ที่ปล่อยให้พวกมนุษย์เข้ามาเพ่นพ่านในอาคารแห่งนี้ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้เกินไป ในขณะที่ไคล์เดินไป เขาตะแคงไหล่เพื่อแทรกตัวและกระแทกเข้าอย่างแรง “เฮ้ย!” ผู้ชายตะโกนขึ้น แต่ไคล์เดินต่อไป เขาขบกรามและมุ่งหน้าไปยังประตูบานคู่ขนาดใหญ่ที่จุดสิ้นสุดของทางเดิน

ไคล์จะฆ่าพวกเขาให้หมดถ้าเขาสามารถทำได้ แต่เขาไม่ได้รับอนุญาต กลุ่มของเขายังคงต้องทำงานภายใต้สภาสูงสุด และด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พวกเขายังคงยับยั้งเอาไว้ กำลังรอเวลาที่จะกำจัดเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้นซาก ไคล์เฝ้ารอมานานนับพันปีแล้ว และเขาไม่รู้ว่าจะทนรอได้อีกนานแค่ไหน เมื่อไหร่เขาจะได้รับไฟเขียว ในปี 1350 ตอนที่กลุ่มของเขาได้รับฉันทามติ และทำการแพร่กระจายเชื้อกาฬโรคในยุโรปด้วยกัน นั่นเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุด ไคล์อดยิ้มไม่ได้เมื่อเขานึกถึงเรื่องนั้น

นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นที่เป็นช่วงเวลาดี ๆ อยู่บ้าง – เช่นในยุคมืด เมื่อพวกเขาได้รับอนุญาตให้ทำสงครามเต็มรูปแบบทั่วยุโรป การเข่นฆ่าและการทำลายผู้คนนับล้าน ไคล์ยิ้มกว้าง สิ่งเหล่านั้นคือศตวรรษแห่งชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา

แต่ในช่วงหลายร้อยปีให้หลังมานี้ สภาสูงสุดเริ่มอ่อนแอลงมาก น่าสมเพชที่สุด ราวกับว่าพวกเขากำลังเกรงกลัวมนุษย์ สงครามโลกครั้งที่สองก็ดีเหมือนกัน แต่ถูกจำกัดขอบเขต และสั้นเกินไป เขาต้องการมากกว่านั้น นับตั้งแต่นั้นมาไม่มีโรคระบาด ไม่มีสงครามที่แท้จริงเลย เหมือนกับเผ่าพันธุ์แวมไพร์ทั้งหมดกลายเป็นอัมพาต หวาดกลัวต่อจำนวนและพลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่กำลังเติบโตขึ้น

ในที่สุด เวลาที่เหมาะสมก็ใกล้เข้ามา ไคล์ก้าวย่างไปยังประตูเบื้องหน้า ลงบันไดและออกจากศาลากลาง เขาสาวเท้าก้าวยาวขึ้นเพื่อเพิ่มความเร็ว เขาเฝ้ารอการเดินทางไปยังท่าเรือเซาท์สตรีท สิ่งของขนาดใหญ่รอเขาอยู่ ลังนับหมื่นที่บรรจุเชื้อกาฬโรคที่ได้รับการเปลี่ยนพันธุกรรมอย่างดี พวกเขาเก็บเอาไว้ในยุโรปมาเป็นเวลาหลายร้อยปี มันได้รับการรักษาไว้อย่างดีนับตั้งแต่การแพร่ระบาดครั้งสุดท้าย ตอนนี้พวกเขาได้ดัดแปลงให้เชื้อโรคสามารถต้านทานยาปฏิชีวนะได้อย่างสมบูรณ์แบบ และทั้งหมดจะเป็นของไคล์ เพื่อทำในสิ่งที่เขาต้องการ เพื่อปลดปล่อยสงครามครั้งใหม่ในทวีปอเมริกา และในอาณาเขตของเขา

เขาจดจ่อกับช่วงเวลานี้มานานหลายศตวรรษแล้ว

ความคิดนี้ทำให้ไคล์หัวเราะออกมาเสียงดัง แม้ว่าการแสดงสีหน้าและเสียงหัวเราะของเขาจะดูเหมือนขู่คำรามซะมากกว่า

เขาต้องไปรายงานเรื่องนี้กับ เร็กเซียส ผู้นำกลุ่มของเขา แน่นอนว่ามันก็แค่พิธีการ ในความเป็นจริง เขาจะเป็นคนนำ แวมไพร์นับพันในกลุ่มของเขา…และกลุ่มในละแวกใกล้เคียงทั้งหมด…จะต้องยอมรับเขา เขาจะมีพลังอำนาจมากกว่าที่เคยมีมา

ไคล์คิดไว้แล้วว่าเขาจะปล่อยเชื้อโรคร้ายนี้อย่างไร เขาจะทำการแพร่กระจายในสถานีเพนน์ แกรนด์เซ็นทรัล และไทม์สแควร์ ทั้งหมดจะดำเนินการในเวลาที่เหมาะสมอย่างเร่งด่วน นั่นจะทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เขาคาดการณ์ว่าภายในไม่กี่วัน ผู้คนครึ่งหนึ่งของแมนฮัตตันจะต้องติดเชื้อ และภายในหนึ่งสัปดาห์ทุกคนจะได้รับเชื้อ โรคระบาดนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และด้วยวิธีการเพาะสายพันธุ์ มันจะกระจายไปตามอากาศ

มนุษย์ที่น่าสมเพชจะปิดกั้นเมือง ปิดสะพานและอุโมงค์ ปิดการจราจรทางอากาศและทางเรือ นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ พวกมนุษย์จะปิดกั้นตัวเองอยู่ท่ามกลางความน่าสะพรึงกลัวที่กำลังจะตามมา พวกเขาจะถูกขังอยู่ในการล้มตายจากโรคระบาด ไคล์และเหล่าสมุนนับพันของเขาจะปลดปล่อยสงครามแวมไพร์ที่ไม่มีเผ่าพันธุ์มนุษย์หน้าไหนเคยเห็นมาก่อน ภายในไม่กี่วัน พวกเขาจะกวาดล้างชาวนิวยอร์กให้ราบคาบ

หลังจากนั้นเมืองนี้จะตกเป็นของพวกเขา ไม่เพียงแค่ใต้ดิน แต่ยังรวมถึงบนดิน มันจะเป็นจุดเริ่มต้น สัญญาณนี้จะทำให้กลุ่มทั้งหมดที่อยู่ในทุกเมืองและทุกประเทศทำแบบเดียวกัน ภายในไม่กี่สัปดาห์ อเมริกาจะตกเป็นของพวกเขา และไคล์จะเป็นคนแรกที่ริเริ่ม เขาจะได้รับการจดจำในฐานะที่เป็นคนทำให้เผ่าพันธุ์แวมไพร์ขึ้นมาอยู่บนพื้นดิน

แน่นอนว่าเขาได้หาวิธีการใช้ประโยชน์จากมนุษย์ที่เหลืออยู่ เขาจะทำให้มนุษย์ที่มีชีวิตรอดกลายเป็นทาส กักขังเอาไว้ในฟาร์มเพาะเลี้ยงขนาดใหญ่ ไคล์จะต้องมีความสุขอย่างมาก เขาจะขุนให้พวกมนุษย์ตัวกลมและอ้วนท้วน หลังจากนั้นเมื่อไรก็ตามที่เผ่าพันธุ์ของเขาต้องการดื่มเลือด พวกเขาจะมีตัวเลือกมากมาย ทั้งหมดจะสุกงอมอย่างสมบูรณ์ มนุษย์จะเป็นทาสที่ดี และเป็นมื้ออาหารแสนอร่อยด้วยการเพาะพันธุ์อย่างเหมาะสม

ไคล์รู้สึกน้ำลายสอกับความคิดนั้น ช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหน้า และไม่มีสิ่งใดมาขวางทางของเขาได้

ไม่มีสิ่งใด ยกเว้นไอ้พวกกลุ่ม ไวท์ โคเว่น บ้านั่นที่อยู่ด้านล่างปราสาทคลอยสเตอร์ พวกมันคอยเป็นหอกข้างแคร่ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เมื่อเขาพบตัวเคทลิน เด็กผู้หญิงตัวแสบ และคาเลปคนทรยศ ทั้งคู่จะพาเขาไปหาดาบ หลังจากนั้นกลุ่ม ไวท์ โคเว่น จะไร้ทางป้องกันตัว ไม่มีอะไรมาขวางทางของเขาได้อีกต่อไป

ไคล์เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธเมื่อเขานึกถึงเด็กผู้หญิงบัดซบคนนั้น การที่เธอหนีพ้นเงื้อมมือของเขา มันทำให้เขาดูโง่

เขาเดินลงไปที่วอลล์สตรีท ผ่านผู้คนบนถนน ผู้ชายร่างใหญ่ โชคร้ายนักที่เขาเดินเข้ามาในเส้นทางของไคล์ เมื่อเดินสวนกัน ไคล์กระแทกไหล่ของเขาอย่างเต็มที่ ผู้ชายสะดุดถอยออกไปไกลหลายฟุต ชนเข้ากับกำแพง

ผู้ชายแต่งกายดูดีในชุดสูทตะโกนออกมา “เฮ้พวก แกมีปัญหาอะไรวะ!?”

แต่ไคล์กลับยิ้มเยาะ ท่าทีของชายคนนั้นเปลี่ยนไป ความสูงหกฟุตห้านิ้วพร้อมไหล่ที่กว้างและรูปร่างใหญ่โต ไคล์ไม่ใช่คนที่ควรจะหาเรื่องด้วย ชายคนนั้นหันกลับหลังและเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่าทำอย่างนั้นน่าจะดีกว่า

การกระแทกกับผู้ชายเมื่อสักครู่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่ความโกรธของไคล์ยังคงปะทุอยู่ เขาจะจับเด็กผู้หญิงคนนั้น และฆ่าเธออย่างช้า ๆ

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา เขาต้องทำสมองให้โล่ง เขามีสิ่งสำคัญที่ต้องทำ ของที่มาส่งอยู่ที่ท่าเรือแล้ว

เขาสูดหายใจลึก และค่อย ๆ ยิ้มออกมาอีกครั้ง สินค้าอยู่ห่างออกไปอีกไม่กี่ช่วงตึก

นี่จะเป็นวันคริสต์มาสของเขา

Ücretsiz ön izlemeyi tamamladınız.

Yaş sınırı:
12+
Litres'teki yayın tarihi:
11 nisan 2017
Yazıldığı tarih:
2011
Hacim:
164 s. 7 illüstrasyon
ISBN:
9781632913524
İndirme biçimi:
Serideki İkinci kitap "บันทึกของแวมไพร์"
Serinin tüm kitapları