Kitabı oku: «กลายร่าง », sayfa 7
บทที่สิบสาม
เคทลินและคาเลปยืนอยู่ด้วยกันบนเฉลียงที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ด้านนอกคลอยสเตอร์ กำลังทอดสายตาออกไปในค่ำคืนอันมืดมิด มองไกลออกไป เธอสามารถมองเห็นแม่น้ำฮัดสัน ลอดผ่านต้นไม้ในระยะไกล เธอสามารถมองเห็นได้แม้แต่แสงของรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนสะพาน มันเป็นค่ำคืนที่เงียบสงบ
“คาเลป ฉันต้องการให้คุณตอบคำถามบางอย่าง” เธอพูดอย่างนุ่มนวล หลังจากเงียบไปหลายวินาที
“ข้ารู้” คาเลปตอบ
“ฉันมาทำอะไรที่นี่? คุณคิดว่าฉันเป็นใคร?” เคทลินถาม และใช้เวลาครู่หนึ่งในการรวบรวมความกล้าเพื่อถามคำถามสุดท้ายออกไป “และทำไมคุณถึงช่วยฉัน?”
คาเลปจ้องมองออกไปยังขอบฟ้าครู่หนึ่ง เธอไม่สามารถบอกได้เขากำลังคิดอะไร หรือเขาจะตอบหรือไม่
ในที่สุด เขาหันกลับมาที่เธอ เขามองเข้าไปในดวงตาของเธอ พลังจากสายตาของเขากำลังเอ่อล้นเข้ามา เธอไม่สามารถละสายตาหนีไปได้ แม้ว่าจะพยายามแล้วก็ตาม
“ข้าคือแวมไพร์” เขาพูดอย่างเรียบง่าย “แห่งกลุ่ม ไวท์ โคเว่น ข้ามีชีวิตยาวนานกว่า 3,000 ปี และข้าอยู่ในกลุ่มนี้มา 800 ปีแล้ว”
“ฉันมาที่นี่ทำไม?”
“กลุ่มแวมไพร์และเผ่าพันธุ์มักจะทำสงครามกัน มันคือการล่าดินแดน โชคไม่ดีที่เธอก้าวเข้ามาอยู่กึ่งกลางระหว่างมัน”
“คุณหมายถึงอะไร?” เธอถาม “ยังไง?”
เขามองมาที่เธอแบบงง ๆ “เจ้าจำไม่ได้หรอ?”
เธอมองกลับไปด้วยสายตาว่างเปล่า
“การฆ่าของเจ้า จุดชวนเรื่องราวทั้งหมดนี้”
“ฆ่า?”
เขาส่ายหัวช้า ๆ “ถ้างั้น เธอคงจำไม่ได้ โดยทั่วไป การฆ่าครั้งแรกมักจะเป็นแบบนั้น” เขามองเข้าไปในตาของเธอ ”เจ้าฆ่าใครบางคนเมื่อคืน มนุษย์ เจ้าดื่มเลือดของเขา ในหอประชุมคาร์เนกี้”
เคทลินรู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุน เธอแทบจะไม่เชื่อว่าเธอสามารถทำอันตรายคนอื่นได้ และยังมีบางอย่างที่ลึกลงไป เธอรู้สึกว่ามันคือเรื่องจริง เธอรู้สึกกลัวที่จะถามว่าเขาคือใคร หรือว่าเขาจะเป็น โจนาห์
ราวกับว่าเขาอ่านใจเธอออก คาเลปพูดขึ้น “นักร้องนำ”
เคทลินแทบรับไม่ได้ มันฟังดูเหนือความจริงเกินไป เธอรู้สึกเหมือนเธอถูกตราหน้าด้วยเครื่องหมายสีดำที่เธอไม่อาจลบได้ เธอรู้สึกแย่มาก และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
“ฉันจะทำอย่างนั้นทำไม?” เธอถาม
“เจ้าจำเป็นต้องดื่มเลือด” เขาตอบ “ทำไมเจ้าถึงเลือกทำที่นั่น และจากนั้น มันคือสิ่งที่ไม่มีใครคาดหวัง นั่นคือสิ่งที่ทำให้สงครามต้นเริ่มขึ้น เจ้าอยู่ในอาณาเขตของกลุ่มอื่น กลุ่มที่มีพลังอำนาจมาก”
“ถ้างั้น ฉันก็แค่ไปอยู่ผิดที่และผิดเวลาใช่มั้ย?”
เขาถอนหายใจ “ข้าไม่รู้ มันอาจจะมีอะไรมากกว่านั้น”
เธอมองเขา “คุณหมายความว่ายังไง?”
“บางทีเจ้าอาจจะต้องอยู่ที่นั่น มันอาจเป็นโชคชะตาของเธอ”
เธอคิดทบทวน คิดอย่างหนัก กลัวที่จะถามคำถามต่อไป ในที่สุดเธอก็รวบรวมความกล้า “ถ้างั้น มันหมายความว่า ... ฉันเป็นแวมไพร์หรอ?”
เขาหันกลับไป แล้วก็พูดออกมา “ข้าไม่รู้”
เขาหันกลับมาและมองเธอ
“เจ้าไม่ใช่แวมไพร์ที่แท้จริง และไม่ใช่มนุษย์เช่นกัน เจ้าคือบางอย่างระหว่างมัน”
“พันธุ์ผสมหรอ?” เธอถาม
“นั่นคือสิ่งที่พวกเขาเรียก ข้าก็ไม่แน่ใจ”
“จริง ๆ แล้วมันคืออะไร?”
“มันคือแวมไพร์ที่เกิดเป็นพันธุ์ผสม ขัดกับกฎและคำสอนของเราที่ห้ามการแพร่พันธุ์กับมนุษย์ บางครั้งพวกแวมไพร์เร่ร่อนจะทำเช่นนั้น ถ้าหากมนุษย์ให้กำเนิด ผลลัพธ์จะเป็นพันธุ์ผสม ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่แวมไพร์ มันเป็นสิ่งที่ถูกรังเกียจในเผ่าพันธุ์ของเรา โทษของการผสมข้ามพันธุ์กับมนุษย์คือความตาย ไม่มีข้อยกเว้น และเด็กคนนั้นจะถูกเนรเทศ”
“แต่ได้ยินคุณพูดว่าพระเมสสิยาห์ของคุณจะเป็นพันธุ์ผสม? พวกเขาจะรังเกียจพันธุ์ผสมได้ยังไง ถ้านั่นคือผู้ที่จะมาช่วยพวกเขา?”
“มันเหมือนกับกล่องต้องห้ามของศาสนาพวกเรา” เขาตอบ
“บอกฉันอีกหน่อยว่า” เธอเซ้าซี้ “พันธุ์ผสมแตกต่างจากแวมไพร์ยังไง?”
“แวมไพร์ที่แท้จริงจะดื่มเลือดทันทีที่กลายร่าง แต่พันธุ์ผสมจะไม่ดื่มเลือดจนกว่าอายุจะถึงเกณฑ์”
เธอกลัวที่จะถามคำถามถัดไป
“แล้วเมื่อไหร่?”
“18 ปี”
เคทลินครุ่นคิด มันดูมีเหตุผล เธอเพิ่งจะอายุ 18 และความกระหายของเธอเพิ่งเริ่มต้นขึ้น
“นอกจากนี้ พันธุ์ผสมไม่ได้เป็นอมตะ” เขาพูดต่อ “พันธุ์ผสมจะตายเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป ซึ่งแตกต่างจากพวกเรา”
“การกลายเป็นแวมไพร์ที่แท้จริง ผู้นั้นจะต้องถูกเปลี่ยนร่างโดยแวมไพร์ ผู้นั้นต้องมุ่งหมายที่จะได้รับการดื่มเลือด แต่แวมไพร์ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอย่างนั้นกับใคร --- เพราะมันจะทำให้เผ่าของเราขยายพันธุ์มากเกินไป พวกเขาต้องได้รับอนุญาตจากหัวหน้าสภาก่อน”
เคทลินคิ้วขมวด พยายามทำความเข้าใจเรื่องทั้งหมด
“เจ้ามีคุณสมบัติบางอย่างของพวกเรา แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และเนื่องจากเจ้าไม่ใช่พันธุ์แท้ เผ่าพันธุ์แวมไพร์จะไม่ยอมรับเจ้า แวมไพร์ทุกตนเป็นสมาชิกของกลุ่ม ถ้าไม่ทำเช่นนั้นจะเป็นอันตราย โดยปกติฉันสามารถขอให้พวกเขายอมรับเจ้าเข้ามาในกลุ่มของพวกเราได้ แต่การที่เจ้าเป็นพันธุ์ลูกผสม...พวกเขาจะไม่ยอมรับ ไม่มีกลุ่มไหนที่จะทำเช่นนั้น”
เคทลินครุ่นคิดอย่างหนัก ถ้าจะมีสิ่งที่เลวร้ายกว่าการพบว่าเธอไม่ใช่มนุษย์ มันคือการค้นพบว่าแท้จริงแล้วเธอไม่ได้เป็นอะไรเลย เธอไม่สามารถเป็นสมาชิกของที่ใด เธอไม่ได้เป็นคนของที่นี่หรือที่นั่น เธอติดอยู่ระหว่างสองโลก
“แล้วเรื่องที่พูดกันเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์คืออะไร? มันเกี่ยวกับการฉันที่เป็น...ผู้ถูกเลือก หรอ?”
“คำสอนตามกฎหมายโบราณของเรา ระบุไว้ว่าวันหนึ่งจะมีผู้ส่งสาร พระเมสสิยาห์จะมาถึงและพาเราไปยังดาบที่สาบสูญ มันบอกเราว่าในวันนั้น สงครามจะเกิดขึ้น สงครามครั้งสุดท้ายระหว่างเผ่าพันธุ์แวมไพร์ สงครามที่จะดึงมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง มันคือวันโลกาวินาศของเรา สิ่งเดียวที่สามารถหยุดและช่วยเหลือพวกเราทั้งหมด คือดาบที่หายสาบสูญ และคนเดียวที่สามารถพาเราไปหาดาบได้คือพระเมสสิยาห์”
“เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าคืนนี้ ข้ารับรู้ได้ว่าเป็นเจ้าแน่นอน ข้าไม่เคยเห็นแวมไพร์ตนไหนหลีกพ้นอำนาจของน้ำศักดิ์สิทธิ์”
เธอมองมาที่เขา
“และตอนนี้ล่ะ?” เธอถาม
เขามองออกไปยังขอบฟ้า
“ข้าไม่แน่ใจนัก”
เคทลินมองไปที่เขา เธอรู้สึกหมดหวังขึ้นมา
“ถ้างั้น” เธอถาม รู้สึกกลัวกับคำตอบ “นั่นคือเหตุผลเดียวที่คุณช่วยฉันหรอ? เพราะคุณคิดว่าฉันจะพาคุณไปหาดาบที่หายไปหรอ?”
คาเลปจ้องกลับมา และเธอสามารถเห็นถึงความสับสนบนใบหน้าของเขา
“แล้วจะมีเหตุผลอะไรอีกหรอ?” เขาตอบ
เธอรู้สึกว่างเปล่า ราวกับว่าถูกฟาดด้วยไม้กระบอง ความรู้สึกดีที่เธอมีต่อเขา ความสัมพันธ์ที่เธอคิดว่าพวกเขามี หายไปในชั่วอึดใจเดียว เธอรู้สึกอยากจะร้องไห้ เธอต้องการหันหลังและวิ่งออกไป แต่ไม่รู้จะไปที่ไหนดี เธอรู้สึกอับอาย
“เอ่อ” เธอพูด พยายามกลั้นน้ำตา “อย่างน้อย ภรรยา ของคุณก็มีความสุขที่รู้ว่าคุณเพียงแค่ทำตามหน้าที่ คุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับใคร หรืออะไรก็ตาม นอกจากดาบโง่ ๆ นั่น”
เธอหันหลังและเดินหนี ไม่รู้ว่าจะที่ไปไหน แต่เธอต้องการไปให้พ้นจากเขา จากความรู้สึกที่มันเอ่อล้นออกมา เธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
เธอเดินออกห่างไปได้ไม่กี่ฟุต รู้สึกถึงมือที่อยู่บนแขนของเธอ เขาดึงเธอกลับมา เขายืนอยู่ที่นั่น มองเข้าไปในดวงตาของเธอ
“นั่นไม่ใช่ภรรยาของข้า” เขาพูดอย่างนุ่มนวล “พวกเราแต่งงานกันครั้งหนึ่ง แต่นั่นเมื่อ 700 ปีมาแล้ว เพียงแค่ปีเดียว โชคไม่ดีที่เผ่าพันธุ์แวมไพร์ไม่ค่อยลืมอะไรง่าย ๆ ไม่มีการประกาศเป็นโมฆะ”
เคทลินเบี่ยงมือของเขาออก “อะไรก็ตามที่เธอเป็น เธอมีความสุขที่ได้คุณกลับมา”
เคทลินเดินต่อ ตรงไปยังบันได
เขาหยุดเธออีกครั้ง ครั้งนี้เขาอ้อมมาและยืนขวางทางเธอไว้
“ข้าไม่รู้ว่าข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ” เขาพูด “แต่ถ้าข้าทำอะไรก็ตาม ข้าเสียใจ”
เคทลินต้องการจะพูดออกไปว่า มันคือสิ่งที่คุณไม่ได้ทำ มันคือการที่คุณไม่ได้สนใจ การที่คุณไม่ได้รู้สึกดีกับฉัน มันคือการปฏิเสธ มันหมายถึงตอนจบ เหมือนกับผู้ชายทุกคนที่เธอเคยรู้จัก ฉันคิดว่าครั้งนี้ มันอาจจะแตกต่าง
แต่เธอไม่ได้พูดออกไป เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย พยายามอย่างที่สุดเพื่อกลั้นน้ำตา แต่เธอไม่สามารถทำได้ หยดน้ำตาอุ่น ๆ กำลังไหลลงมาบนแก้มของเธอ เขาวางมือมาใต้คางของเธอ และค่อย ๆ ยกขึ้น เพื่อให้เธอมองหน้าเขา
“ข้าเสียใจ” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ “เจ้าพูดถูก มันไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ข้าช่วยเจ้าออกมา” เขาหายใจเข้าลึก ๆ “ข้ารู้สึกบางอย่างกับเจ้า”
เคทลินรู้สึกว่าหัวใจของเธอพองโต
“แต่เจ้าต้องเข้าใจ มันเป็นเรื่องต้องห้าม กฎของเราเข้มงวดกับเรื่องนี้มาก แวมไพร์ ไม่มีทาง ที่จะอยู่กับมนุษย์ หรือพันธุ์ผสม หรือใครก็ตามที่ไม่ใช่แวมไพร์ที่แท้จริง บทลงโทษเดียวคือความตาย มันจึงไม่มีทางเป็นไปได้เลย”
คาเลปมองลงมา
“ดังนั้น ลาก่อน” เขาพูด “ถ้าข้ารู้สึกบางอย่างกับเจ้า ถ้าข้ากระทำในสิ่งที่มีแรงจูงใจนอกเหนือจากเรื่องดี ๆ ทั่วไป มันจะหมายถึงความตายของข้า”
“หรอ แล้วฉันล่ะ?” เธอถาม เธอมองไปรอบ ๆ “เห็นได้ชัดว่าฉันไม่เป็นที่ยอมรับของที่นี่ แล้วฉันต้องไปอยู่ที่ไหน?”
คาเลปมองลงมา ส่ายหัวของเขา
“ฉันไม่สามารถกลับบ้านได้” เธอพูดต่อ “ฉันไม่มีบ้านเหลือแล้ว ตำรวจกำลังตามหาฉัน แล้วยังมีพวกแวมไพร์ชั่วร้ายนั่นอีก ฉันต้องทำยังไง? ออกไปข้างนอกตัวคนเดียวหรอ? ฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นตัวอะไรกันแน่”
“ข้าหวังว่ามันจะมีคำตอบ ข้าพยายามแล้ว พยายามแล้วจริง ๆ แต่มันไม่มีอะไรที่ข้าสามารถทำได้อีก ไม่มีใครสามารถเพิกเฉยต่อสภาได้ เพราะมันจะหมายถึงความตายของพวกเรา ข้าถูกตัดสินจองจำ 50 ปี ข้าไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ ถ้าข้าทำ ข้าจะถูกเนรเทศออกจากพรรคพวกของข้าไปตลอดกาล เจ้าต้องเข้าใจ”
เคทลินหันหลังเพื่อที่จะเดินไป แต่เขาดึงเธอกลับมาอีกครั้ง
“เจ้าต้องเข้าใจ! เจ้าเหมือนมนุษย์ ชีวิตของเจ้าจะจบลงภายใน 80 ปี แต่สำหรับข้า มันยาวนานนับพันปี ความทรมานของเจ้านั้นสั้นนัก ส่วนของข้าชั่วนิรันดร ข้าไม่สามารถถูกขับไล่ออกไปได้ตลอดกาล กลุ่มของข้าคือทุกอย่างที่ข้ามี ข้ารู้สึกดีกับเจ้า ข้ามีความรู้สึกบางอย่างกับเจ้า บางอย่างที่ข้าเองก็ไม่เข้าใจ บางอย่างที่ข้าไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อนในระยะเวลา 3,000 ปี แต่ข้าไม่สามารถเสี่ยงที่จะออกไปจากกำแพงนี้ได้”
“ถ้างั้น” เธอพูด “ฉันขอถามคุณอีกครั้ง แล้วฉันล่ะ?”
เขามองลงมา
“ฉันเข้าใจแล้ว” เธอตอบ “ฉันจะไม่เป็นปัญหาของคุณอีกต่อไป”
คาเลปกำลังอ้าปากพูด แต่ครั้งนี้เธอจากไปแล้ว เธอจากไปจริง ๆ
เธอวิ่งไปบนเฉลียงอย่างรวดเร็ว และลงไปตามบันไดหิน ครั้งนี้เธอจากไปจริง ๆ เธอมุ่งไปยังเมืองบร็องซ์ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดของมหานครนิวยอร์ก เธอไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวเท่านี้มาก่อน
บทที่สิบสี่
ไคล์เดินลงมาตามโถงทางเดินหิน ขนาบข้างด้วยแวมไพร์ติดตามจำนวนหนึ่ง พวกเขามุ่งหน้าอย่างรวดเร็วไปยังหอประชุม เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังสะท้อนกึกก้อง หนึ่งในพวกเขาถือคบไฟอยู่เบื้องหน้า
พวกเขามุ่งหน้าไปยังห้องบัญชาการที่อยู่ใต้ดิน ไม่เคยมีแวมไพร์ใดเข้ามา ยกเว้นแต่ได้รับอนุญาต ไคล์ไม่เคยลงมาลึกเช่นนี้มาก่อน แต่วันนั้น เขาถูกเรียกตัวโดยผู้นำสูงสุดของเขาเอง มันต้องเป็นเรื่องร้ายแรงในรอบ 4,000 ปี ไคล์ไม่เคยถูกเรียกตัวเลย แม้จะเคยได้มาบ้างเกี่ยวกับคนที่ได้รับการเรียกตัว พวกเขาลงไปที่นั่น และไม่เคยกลับขึ้นมาอีกเลย
ไคล์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ และเดินเร็วขึ้น เขามักเชื่ออยู่เสมอว่าการพบกับข่าวร้ายอย่างรวดเร็ว และผ่านพ้นมันไปจะเป็นการดีที่สุด
เขามาถึงประตูบานใหญ่ที่ถูกคุ้มกันโดยแวมไพร์หลายตน พวกมันจ้องกลับมาอย่างเยือกเย็น หลบออกไปด้านข้างและเปิดประตูออก แต่หลังจากไคล์เข้าไป พวกมันยื่นไม้เท้าออกมากั้นไม่ให้ผู้ติดตามของเขาเดินเข้าไป ไคล์ได้ยินเสียงปิดประตูดังขึ้นข้างหลังเขา
ไคล์เห็นแวมไพร์หลายสิบตนยืนตัวตรงเรียงแถวอยู่ตลอดแนวกำแพง ยืนอย่างสงบทั้งสองฝั่งของห้อง ที่ด้านหน้าตรงกลางห้องมีเก้าอี้โลหะขนาดใหญ่ตั้งอยู่ รีซัสนั่งอยู่ตรงนั้น เขาคือผู้นำสูงสุดของไคล์
ไคล์เดินออกไปข้างหน้าหลายก้าวและก้มหัวลง กำลังรอคำกล่าว
รีซัสมองมาด้วยดวงตาสีน้ำเงินอันเย็นชา
“บอกข้ามาทุกอย่างที่เจ้ารู้เกี่ยวกับมนุษย์ผู้นั้น หรือพันธุ์ผสม หรืออะไรก็ตามที่เธอเป็น” เขาเริ่มพูด “และเกี่ยวกับสายลับนั่น มันแทรกซึมเข้ามาปะปนกับพวกเราได้อย่างไร?”
ไคล์สูดหายใจลึก และเริ่มพูด
“ข้าไม่รู้อะไรมานักเกี่ยวกับเด็กผู้หญิง” เขาพูด “ข้าไม่รู้ว่าทำไมน้ำศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ส่งผลต่อเธอ แต่ข้ารู้ว่าเธอคือคนที่โจมตีนักร้อง เราได้ตัวเขามาแล้ว กำลังถูกคุมขังอยู่ และเมื่อไรก็ตามที่เขาฟื้นตัว เราจะให้เขาพาเราไปหาเธอ เขาถูกเปลี่ยนร่างโดยเธอ เขามีกลิ่นของเธออยู่ในเลือดของเขา”
“เธอเป็นของกลุ่มไหน?” รีซัสถาม
ไคล์ครุ่นคิดอยู่ในความมืดมิด เขากำลังเลือกคำตอบอย่างระมัดระวัง
“ข้าคิดว่าเธอเป็นเพียงแค่แวมไพร์เร่ร่อน”
“คิด!? มีอะไรที่เจ้ารู้บ้างมั้ย?”
ไคล์ถูกตำหนิ รู้สึกว่าแก้มของเขาแดงขึ้นมา
“เจ้าจึงพาเธอมาในหมู่พวกเราโดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย” รีซัสพูด “เจ้าทำให้กลุ่มของเราตกอยู่ในอันตราย”
“ข้านำเธอมาเพื่อสอบสวน ข้าไม่รู้ว่าเธอจะมีภูมิ---”
“แล้วเรื่องของสายลับล่ะ?” รีซัสถามตัดบท
ไคล์กลืนน้ำลาย
“คาเลป เราพาเขาเข้ามาเมื่อ 200 ปีก่อน เขาพิสูจน์ความภักดีของเขาหลายครั้ง เราไม่เคยมีเหตุผลใด ๆ ให้สงสัยเขา”
“ใครเป็นคนพามันเข้ามา?” รีซัสถาม
ไคล์หยุดชะงัก เขากลืนน้ำลายเฮือกใหญ่
“ข้าเอง”
“ถ้าอย่างนั้น” รีซัสพูด “เจ้าก็เป็นคนปล่อยให้ภัยคุกคามเข้ามาในระบบของเราอีกครั้ง”
รีซัสมองกลับไป มันไม่ใช่คำถาม มันคือคำแถลง และเต็มไปด้วยการกล่าวโทษ
“ข้าขอโทษนายท่าน” ไคล์พูดพร้อมก้มหัวของเขาลง “แต่ภายใต้การอารักขาของข้า ไม่มีแวมไพร์ตนใดเลยที่เคยสงสัยคาเลป ในหลาย ๆ เหตุผล ---”
รีซัสยกมือของเขาขึ้น
ไคล์หยุดพูด
“เจ้าบังคับให้ข้าต้องเริ่มสงคราม ตอนนี้ข้าจะจัดการกำลังพลของเราใหม่ทั้งหมด แผนสูงสุดของเราจะต้องถูกยุติไว้ก่อน”
“ข้าขอโทษนายท่าน ข้าจะทำทุกหนทางเพื่อหาตัวมัน และให้มันชดใช้”
“ข้าคิดว่ามันสายเกินไปแล้วสำหรับเรื่องนั้น”
ไคล์กลืนน้ำลาย เตรียมตัวรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ถ้ามันคือความตาย เขาพร้อมแล้ว
“ข้าไม่ใช่คนที่เจ้าต้องตอบคำถามอีกต่อไปแล้ว ข้าเองได้รับการเรียกตัวมาโดยสภาสูงสุด”
ดวงตาของไคล์เบิกกว้าง เขาเคยได้ยินข่าวลือมาตลอดชีวิตเกี่ยวกับสภาสูงสุด การปกครองทั้งมวลของแวมไพร์ ซึ่งแม้แต่ผู้นำสูงสุดยังต้องตอบรับ ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันคือเรื่องจริง สภากำลังเรียกตัวเขาไป
“พวกเขาไม่มีความสุขนักกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่วันนี้ พวกเขาต้องการคำตอบ เจ้าจะได้อธิบายถึงความผิดพลาดที่เจ้ากระทำ ทำไมเธอหลบหนีออกไป ทำไมสายลับแทรกซึมเข้ามาในระบบของเรา และแผนของเราเกี่ยวกับการกวาดล้างสายลับอื่น ๆ จากนั้นเจ้าจะต้องรับการตัดสินของพวกเขา”
ไคล์ก้มหน้ายอมรับ รู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะตามมา มันฟังดูไม่ดีเลยแม้แต่เรื่องเดียว
“เราจะพบกันอีกในคืนพระจันทร์เต็มดวงครั้งถัดไป นั่นคือเวลาที่ข้าให้แก่เจ้า ในระหว่างนี้ ข้าขอแนะนำให้เจ้าไปตามหาพันธุ์ผสม ถ้าเจ้าสามารถหามาได้ มันอาจจะช่วยชีวิตของเจ้าได้”
“ข้าขอสัญญานายท่าน ข้าจะรวบรวมแวมไพร์ของพวกเราทั้งหมด และข้าจะออกล่าด้วยตัวของข้าเอง พวกเราจะหามันให้เจอ และจะให้มันชดใช้”
บทที่สิบห้า
โจนาห์นั่งอยู่ในสถานีตำรวจอย่างหวาดกลัว คนที่นั่งอยู่ข้างเขาคือพ่อของเขาเอง เขาดูเครียดที่สุดตั้งแต่โจนาห์เคยเห็น และอีกข้างหนึ่งคือทนายของเขาที่เพิ่งจ้างมา ส่วนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับพวกเขาคือตำรวจนักสืบห้าคน ทั้งหมดกำลังนั่งอยู่ในห้องสอบสวนขนาดเล็กที่ส่องสว่าง ด้านหลังพวกเขายังมีตำรวจอีกห้านายกำลังเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ
มันคือข่าวที่ใหญ่ที่สุดของวัน ไม่เพียงแค่เรื่องนักร้องระดับนานาชาติถูกฆาตกรรมท่ามกลางการแสดงเปิดตัวในใจกลางหอประชุมคาร์เนกี้ --- ไม่เพียงแค่วิธีการฆาตกรรมที่แปลกประหลาด แต่ยังมีบางอย่างที่เลวร้ายยิ่งกว่า เมื่อตำรวจติดตามร่องรอยเดียวที่พวกเขามีอยู่ เมื่อพวกเขาไปยังอพาร์ทเมนท์ของเธอ ตำรวจสี่นายถูกฆ่า พูดได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เรื่องที่เหลือดูเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
ตอนนี้ พวกเขาไม่เพียงแต่ตามหา “นักเชือดเบโทเฟน” (หรือ “ฆาตกรหอประชุมคาร์เนกี้” ชื่อที่ตั้งโดยหนังสือพิมพ์บางฉบับ) แต่พวกเขายังตามหาฆาตกรที่ฆ่าตำรวจสี่นาย ตำรวจทั้งหมดในเมืองกำลังติดตามคดี และไม่มีใครพักจนกว่าเรื่องนี้จะได้รับการคลี่คลาย
เบาะแสเดียวที่พวกเขามี กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขา โจนาห์ผู้เป็นแขกของเธอในคืนนั้น
โจนาห์เบิกตากว้าง รู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้งบนหน้าผากของเขา นี่คือชั่วโมงที่เจ็ดของเขาในห้องนี้ เขาคอยปาดเหงื่ออย่างต่อเนื่องในสามชั่วโมงแรก ตอนนี้เขาปล่อยให้หยดเหงื่อไหลลงมาบนใบหน้าของเขา เขานั่งทรุดตัวอยู่ในเก้าอี้ อย่างพ่ายแพ้
เขาแค่ไม่รู้ว่าต้องบอกอะไรอีก ตำรวจคนแล้วคนเล่าเข้ามาในห้อง ทั้งหมดถามคำถามเดียวกัน เขาไม่มีคำตอบ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาต้องถามคำถามซ้ำ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า นายรู้จักเธอมานานแค่ไหน? ทำไมนายถึงพาเธอไปงานนี้? ทำไมเธอถึงออกไปตอนช่วงพัก? ทำไมนายไม่ตามเธอไป?
ทำไมเรื่องทั้งหมดเข้ามาหาเขา? เธอปรากฏตัวอย่างสวยงาม เธออ่อนหวาน เขาชอบที่จะอยู่กับเธอ และพูดคุยกับเธอ เขามั่นใจว่ามันจะต้องเป็นการออกเดทในฝันอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นเธอเริ่มมีอาการแปลก ๆ หลังจากที่คอนเสิร์ตเริ่มได้ไม่นาน เขารู้สึกว่าเธอกระสับกระส่าย เธอดูเหมือน...ไม่สบาย ไม่ใช่คำนี้ เธอดูเหมือน...วิตกกังวล ยิ่งไปกว่านั้น ผิวหนังของเธอเหมือนกำลังจะปะทุออกมา ราวกับว่าเธอต้องไปที่ไหนสักแห่ง และต้องไปให้เร็วที่สุด
ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเพราะเธออาจจะไม่ชอบคอนเสิร์ต เขาสงสัยว่าชวนเธอคุยเรื่องแย่ ๆ บางทีเธออาจไม่ชอบเขา แต่แล้วมันก็ดูรุนแรงขึ้นมา เขาแทบจะสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวหนังของเธอ เขาเริ่มมองไปที่เธอเผื่อว่าเธออาจจะป่วย หรืออาหารเป็นพิษ
แล้วเธอก็วิ่งออกไป เขาคิดว่าเธอคงวิ่งไปที่ห้องน้ำ เขายืนรออย่างอดทนที่หน้าประตู คิดว่าเธอคงจะกลับมาหลังจากช่วงพัก แต่ผ่านไป 15 นาที หลังจากระฆังครั้งสุดท้ายดังขึ้น เขาเดินกลับไปยังที่นั่งของเขาเพียงลำพัง รู้สึกสับสนไปหมด
หลังจากนั้นอีก 15 นาที แสงไฟทั้งหมดในห้องสว่างขึ้น ผู้ชายขึ้นมาบนเวทีและประกาศว่าคอนเสิร์ตจะไม่ดำเนินต่อไป ทุกคนจะได้รับการคืนเงิน เขาไม่ได้บอกเหตุผลใด ๆ ผู้คนต่างพากันตะลึง รู้สึกหงุดหงิด แต่ส่วนใหญ่จะงุนงง โจนาห์เข้าร่วมคอนเสิร์ตมาตลอดชีวิตของเขา แต่ไม่มีเห็นครั้งไหนถูกยุติตอนช่วงพัก หรือว่านักร้องจะล้มป่วย?
“โจนาห์?” นักสืบตะโกนออกมา
โจนาห์สะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองเธอ
นักสืบมองลงมา อย่างโมโห เธอชื่อเกรซ เธอคือตำรวจสุดโหดที่เขาเคยเจอมา และเธอไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น
“นี่เธอไม่ได้ยินที่ฉันเพิ่งถามรึไง?”
โจนาห์ส่ายหัวของเขา
“ฉันต้องการให้เธอบอกทุกอย่างที่เธอรู้อีกครั้งเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนนั้น” เธอพูด “บอกฉันอีกครั้ง เธอพบกันได้ยังไง”
“ผมตอบคำถามนั้นมาล้านครั้งแล้ว” โจนาห์ตอบอย่างสิ้นหวัง
“ฉันต้องการได้ยินอีกครั้ง”
“ผมพบกับเธอในห้องเรียน เธอเป็นเด็กนักเรียนใหม่ ผมให้ที่นั่งกับเธอ”
“แล้วยังไงต่อ?”
“เราพูดคุยกันบ้างเป็นบางครั้ง เราเจอกันที่โรงอาหาร ผมชวนเธอมาเที่ยว เธอตอบตกลง”
“แค่นั้นหรอ?” นักสืบถาม “ไม่มีรายละเอียดอื่น ๆ ไม่มีอะไรเพิ่มเติมแล้วหรอ?”
โจนาห์กำลังชั่งใจว่าควรบอกพวกเขาอย่างไร แน่นอนว่ามันมีเรื่องอื่นอีก เรื่องที่เขาถูกพวกนักเลงรุมทำร้าย เรื่องสมุดบันทึกของเธอที่วางอย่างเป็นปริศนาอยู่ข้างเขา เขาสงสัยว่าเธออยู่ที่นั่น เธอช่วยเขาเอาไว้ เธอได้จัดการพวกนักเลงด้วยวิธีบางอย่าง แต่เธอทำอย่างไร เขาก็ไม่รู้
แล้วเขาต้องบอกตำรวจเหล่านี้อย่างไร? บอกว่าเขาถูกรุมทำร้ายหรอ? เขาคิดว่าเห็นเธอที่นั่น? เขาคิดว่าเห็นเธอจัดการกับผู้ชาย 4 คนที่ตัวใหญ่กว่าเธอสองเท่า? ทั้งหมดนี้มันดูไม่เข้าท่าเลย แม้แต่กับตัวเขาเอง และมันฟังดูไม่สมเหตุสมผล พวกตำรวจคงคิดว่าเขาโกหก กุเรื่องขึ้นมา พวกเขากำลังตามหาเธอ และเขาจะไม่ช่วยเด็ดขาด
เหนือสิ่งอื่นใด เขาอยากปกป้องเธอ เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ใจหนึ่งเขาไม่เชื่อ ไม่ต้องการที่จะเชื่อ เธอฆ่านักร้องคนนั้นจริง ๆ หรอ? ทำไม? บนคอของนักร้องมีรอยเล็ก ๆ สองรูจริงอย่างที่หนังสือพิมพ์พูดหรอ? หรือว่าเธอกัดเขา? เธอเป็นพวก...
“โจนาห์” เกรซตะคอกออกมา “ฉันพูดว่า มีเรื่องอะไรอีกมั้ย?”
นักสืบจ้องลงมาที่เขา
“ไม่มีแล้ว” เขาพูดออกมา เขาหวังว่าเธอจะไม่สามารถจับได้ว่าเขากำลังโกหก
นักสืบคนใหม่ก้าวออกมา เขาเท้าแขนบนโต๊ะ จ้องมาที่ดวงตาของโจนาห์ “คืนนั้นเธอได้พูดอะไรที่ชี้ให้เห็นว่าเธอมีสภาพจิตใจที่ไม่ปกติบ้างมั้ย?”
โจนาห์ขมวดคิ้วของเขา
“คุณหมายถึงบ้าหรอ? ทำไมผมต้องคิดอย่างนั้นล่ะ? เธอเป็นเพื่อนที่ดี ผมชอบเธอมาก เธอฉลาดและใจดี ผมชอบคุยกับเธอ”
“แล้วพวกเธอคุยอะไรกัน?” นักสืบหญิงถามอีกครั้ง
“เบโทเฟน” โจนาห์ตอบ
นักสืบมองหน้ากัน แสดงสีหน้าไม่ชอบใจ พวกเขาคงคิดว่าโจนาห์จะพูดว่า “หนังสือโป๊”
“เบโทเฟนหรอ?” หนึ่งในนักสืบถาม ผู้ชายร่างใหญ่ในวัย 50 ปี ถามออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูก
โจนาห์เหนื่อย และรู้สึกอยากกวนประสาทเขากลับ
“เขาเป็นนักประพันธ์เพลง” โจนาห์พูด
“ฉันรู้ว่าเบโทเฟนเป็นใคร ไอ้เด็กบ้า” นักสืบตะคอกออกมา
นักสืบอีกคน ผู้ชายตัวอ้วนวัย 60 ปี เขามีแก้มสีแดงระเรื่อเป็นวงกว้าง เขาก้าวมาข้างหน้าสามก้าว วางฝ่ามืออ้วน ๆ ของเขาลงบนโต๊ะ และยื่นตัวมาใกล้พอที่โจนาห์จะได้กลิ่นกาแฟจากลมหายใจเหม็น ๆ ของเขา “ฟังนะเพื่อนยาก นี่ไม่ใช่เวลาเล่นเกม ตำรวจสี่นายตายเพราะเพื่อนสาวตัวน้อยของเธอ” เขาพูด “ตอนนี้เรารู้ว่า นายรู้ว่าเธอซ่อนอยู่ที่ไหน” เขาพูด “นายน่าจะเริ่มเปิดปากและ----”
ทนายของโจนาห์ยกมือขึ้น “นั่นคือการคาดเดาคุณนักสืบ คุณไม่สามารถมากล่าวโทษลูกความของ----”
“ผมไม่สนเรื่องลูกความของคุณ!” นักสืบตะโกนกลับไป
ความเงียบอันอึมครึมปกคลุมไปทั่วห้อง
ทันใดนั้น ประตูเปิดออก นักสืบอีกคนเดินเข้ามา ใส่ถุงมือกาว เขาถือโทรศัพท์ของโจนาห์อยู่ในมือ และวางมันบนโต๊ะข้างเขา โจนาห์รู้สึกดีที่เห็นมันกลับมา
“ได้อะไรบางมั้ย?” หนึ่งในตำรวจถาม
ตำรวจดึงถุงมือออกและโยนลงถังขยะ เขาส่ายหัว
“ไม่มีอะไรเลย โทรศัพท์ของเขาไร้มลทิน เขาได้รับข้อความจากเธอนิดหน่อยก่อนการแสดง แต่มันก็แค่นั้น เราลองโทรเข้าเบอร์ของเธอ แต่ไม่มีสัญญาณ เรากำลังดึงบันทึกข้อมูลในโทรศัพท์ทั้งหมดของเธอ อย่างไรก็ตาม เขากำลังพูดความจริง วันก่อนเมื่อวาน เธอไม่เคยโทรหรือส่งข้อความถึงเขาเลยซักครั้ง”
“ผมบอกคุณแล้ว” โจนาห์ตะโกนกลับไปยังตำรวจ
“คุณนักสืบ พวกเราเสร็จเรื่องกันรึยัง?” ทนายของโจนาห์ถามขึ้น
นักสืบหันมองหน้ากัน
“ลูกความของผมไม่ได้ก่ออาชญากรรมใด ๆ และไม่ได้ทำอะไรผิด เขาได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการสอบสวนครั้งนี้ เขาตอบทุกคำถามของคุณ เขาไม่มีเจตนาที่จะออกจากประเทศ หรือแม้แต่เมืองนี้ เขาสามารถมาตอบคำถามได้ทุกเวลา ผมจึงขอให้เขากลับบ้าน เขาเป็นนักเรียน และเขาต้องไปโรงเรียนในตอนเช้า” ทนายมองไปที่นาฬิกาข้อมือของเขา “มันเกือบตี 1 แล้วคุณตำรวจ”
ทันใดนั้นเอง เสียงกริ่งดังขึ้นในห้อง ตามมาด้วยเสียงสั่น สายตาทั้งหมดจับจ้องที่โทรศัพท์ของโจนาห์ที่วางอยู่บนโต๊ะเหล็ก โทรศัพท์ยังคงสั่นและหน้าจอสว่าง ก่อนที่โจนาห์จะเอื้อมไปหยิบ เขาสามารถมองเห็นว่ามาจากใคร เช่นเดียวกับทุกคนที่อยู่ในห้อง
มันเป็นข้อความจากเคทลิน
เธอต้องการรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน
บทที่สิบหก
เคทลินมองดูโทรศัพท์ของเธออีกครั้ง ตี 1 แล้ว เธอเพิ่งส่งข้อความไปหาโจนาห์ แต่ไม่มีการตอบกลับ บางทีเขาอาจจะหลับอยู่ หรือถ้าเขายังไม่หลับ เขาอาจจะไม่ต้องการได้ยินเสียงเธอ มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เธอสามารถคิดออก
เมื่อเธอเดินออกจากคลอยสเตอร์ท่ามกลางอากาศยามราตรีที่สดชื่น สมองของเธอปลอดโปร่ง ยิ่งเธอออกมาไกลจากที่นั่นมากเท่าไร เธอยิ่งรู้สึกดี ตัวตนของคาเลป พลังของเขาค่อย ๆ หายไปจากเธอ และเธอสามารถคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ได้อีกครั้ง
ตอนที่เธออยู่กับเขา มันมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอไม่สามารถคิดอะไรออก การอยู่ต่อหน้าเขาเหมือนถูกครอบงำจิตใจ เธอพบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคิดอะไรหรือคิดถึงใคร
ขณะนี้เธอกลับมาเป็นตัวของเธอเองอีกครั้ง และอยู่ไกลจากเขา ความคิดถึงที่ต่อโจนาห์กลับเข้ามาในใจ เธอรู้สึกผิดที่ไปชอบคาเลป ---- รู้สึกเหมือนกับเธอได้ทรยศโจนาห์ โจนาห์ใจดีกับเธอมากที่โรงเรียน ทำดีกับเธอมากในวันที่ออกเดท เธอสงสัยว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไรที่เธอวิ่งออกมาแบบนั้น บางทีเขาอาจจะเกลียดเธอแล้ว
เธอเดินผ่านสวนสาธารณะฟอร์ทไทรยอน และมองดูโทรศัพท์ของเธออีกครั้ง โชคดีที่โทรศัพท์มีขนาดเล็ก และเธอซ่อนมันไว้อย่างดีในกระเป๋าเสื้อของเธอ อย่างไรก็ตามมันสามารถรอดจากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้มาได้
แต่โทรศัพท์แบตอ่อน เธอไม่ได้ชาร์จมาเกือบสองวันแล้ว และตอนนี้ระดับแบตเตอรี่อยู่ที่ขีดสีแดง เหลือเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่มันจะดับสนิท เธอหวังว่าโจนาห์จะรับสายของเธอก่อน แต่ถ้าไม่ เธอจะไม่มีทางติดต่อเขาได้อีกเลย
หรือว่าเขาหลับอยู่? เขาไม่สนใจเธอหรือเปล่า? เธอไม่สามารถโทษเขาได้ เพราะถ้าเป็นเธอก็คงจะไม่สนใจเช่นกัน
เคทลินเดินผ่านสวนต่อไป เธอไม่รู้ว่ากำลังจะไปทางไหน ทั้งหมดที่เธอรู้คือเธอต้องไปจากที่นี่ให้ไกลที่สุด ไกลจากคาเลป จากแวมไพร์ จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ เธอเพียงต้องการชีวิตเดิม ๆ ของเธอกลับคืนมา ในใจของเธอคิดอย่างนั้น ถ้าเธอเดินไปไกลและนานพอ บางทีเรื่องทั้งหมดนี้อาจจะหายไป พระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นอาจจะนำวันใหม่ที่ดีกว่าและลบล้างเรื่องแย่ ๆ นี้ออกไป ความฝันอันเลวร้าย
เธอก้มหน้าดูโทรศัพท์ของเธอ มันกำลังกระพริบอยู่ แบตกำลังจะหมด เธอเหลือเวลาอีกแค่ 30 วินาที ก่อนที่มันจะดับลง เธอมองไปที่โทรศัพท์ตลอดเวลาในขณะที่มันกระพริบ เฝ้าหวังและภาวนา ขอให้โจนาห์โทรกลับมา แล้วเขาก็พูดว่า เธออยู่ที่ไหน? ฉันกำลังไปหาเธอเดี๋ยวนี้? เขาจะมาช่วยเธอออกไปจากเรื่องราวทั้งหมด
แต่ทันใดนั้น โทรศัพท์ก็ดับลงไป แบตหมดแล้ว แบตหมดแล้วจริง ๆ
เธอเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าของเธอ รู้สึกยอมแพ้ พ่ายแพ้กับชีวิตใหม่ของเธอ ยอมรับสภาพว่าไม่มีใครเหลืออีกแล้ว เธอคงต้องพึ่งตัวเอง อย่างที่เธอเคยทำมาตลอด
เธอเดินออกจากสวนฟอร์ทไทรยอน และกลับเข้าไปในบร็องซ์ กลับสู่ตัวเมือง เดินเรื่อย ๆ ไปตามทาง แต่เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าจะไปที่ไหน รู้เพียงแต่ว่าเธอกำลังมุ่งหน้าไปยังมิดทาวน์
ใช่แล้ว เธอควรจะไปที่นั่น สถานีเพ็นน์ เธอควรนั่งรถไฟไปให้ไกลจากเรื่องทั้งหมด บางทีอาจจะกลับไปที่เมืองก่อนหน้านี้ น้องชายของเธอน่าจะอยู่ที่นั่น เธอสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น
เธอมองไปรอบ ๆ กำแพงลวดลายกราฟฟิตี้มีอยู่ทั่วทุกที่ ผู้หญิงขายบริการยืนอยู่ทุกหัวมุม แต่ทว่าครั้งนี้ พวกเขาไม่เข้ามายุ่งกับเธอ บางทีพวกเขาคงรู้ว่าเธอไม่มีอะไรแล้ว ไม่มีอะไรเหลือที่สามารถเอาไปจากเธอได้อีกแล้ว
เธอมองเห็นป้ายถนน 186 ระยะทางยังอีกไกล เธอต้องเดินอีก 150 ช่วงตึก เพื่อไปยังสถานีเพ็นน์ มันอาจใช้เวลาทั้งคืน แต่นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการ เพื่อลบล้างความคิดในหัวของเธอให้หมดไป เกี่ยวกับคาเลป เกี่ยวโจนาห์ เกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อสองคืนก่อน
เธอเห็นอนาคตอีกอย่างอยู่ข้างหน้า และเธอพร้อมแล้วที่จะเดินทั้งคืน