Kitabı oku: «นภาแห่งเวทมนตร์ หนังสือเล่มที่ 9 ในชุดวงแหวนของผู้วิเศษ», sayfa 3

Yazı tipi:

บทที่ สี่

อลิสแตร์เร่งฝ่าไปตามหนทางแห่งสมรภูมิอันยุ่งเหยิง ตัดผ่านเข้าและออกผ่านหมู่ทหารที่กำลังต่อสู้ด้วยชีวิตกับกองทัพซากศพที่ผุดขึ้นมาอยู่รายรอบตัวพวกเขา เสียงร้องครวญและเสียงกรีดร้องเติมเต็มไปทั่วบรรยากาศ ในขณะที่เหล่าทหารสังหารพวกอสูรกาย และในทางกลับกัน ก็ถูกพวกอสูรกายสังหารไปด้วย ทั้งกองรบเงิน ทหารแม็คกิลและทหารซิเลเซียก็ต่อสู้อย่างหาญกล้า แต่พวกเขามีจำนวนน้อยกว่าพวกอสูรมาก สำหรับอสูรกายแต่ละตัวที่พวกเขาสังหารไปได้ก็จะมีอสูรอีกสามตัวโผล่ขึ้นมา อลิสแตร์มองออกว่ามันขึ้นอยู่กับเวลาว่าเมื่อใดฝ่ายของนางจะถูกกวาดล้างไปจนหมด

อลิสแตร์เร่งความเร็วขึ้นไปสองเท่าตัว วิ่งออกไปอย่างเต็มกำลัง ปอดของนางแทบจะระเบิดออก นางก้มตัวผลุบๆ โผล่ๆ ในขณะที่อสูรกายตนหนึ่งกำลังฟาดมือลงมาที่ใบหน้าของนาง และนางกรีดร้องขึ้น เมื่ออสูรอีกตนข่วนเข้าที่แขน ทำให้มีเลือดไหลออกมา นางไม่ได้หยุดเพื่อต่อสู้กับพวกมัน มันไม่มีเวลาอีกแล้ว นางจะต้องตามหาอาร์กอน

นางวิ่งไปในทิศทางที่นางเห็นเขาเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อตอนที่เขากำลังต่อสู้กับราฟี่และล้มลงไปจากการตัดขานางภาวนาว่านั่นจะไม่ทำให้เขาถูกฆ่าตาย นางหวังว่านางจะสามารถปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาได้และหวังว่านางจะทำมันได้ทัน ก่อนที่ผู้คนทั้งหมดในฝ่ายของนางจะถูกสังหารจนหมดสิ้น

อสุรกายต้นหนึ่งโผล่ขึ้นมาอยู่ด้านหน้าของนาง มันขวางทางนางเอาไว้ นางจึงยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา มันเป็นลูกบอลแห่งแสงสีขาวที่พุ่งเข้าชนยังส่วนอกของอสูร มันกระแทกเข้ากับอสูร จนมันล้มหงายหลังไป

อสูรกายอีกห้าตัวโผล่ขึ้นมาและเมื่อนาง ยืนฝ่ามือออกไปนั้น ครั้งนี้มันมีเพียงแค่มวลแห่งแสงออกมาเพียงแค่ลูกเดียว อสูรอีกสี่ตนกำลังเข้ามาใกล้ตัวนาง พลังของนางเริ่มถูกจำกัดและนางก็ตกตะลึงที่ได้รู้

อลิสแตร์ทำใจกล้าสำหรับการประทะเมื่อพวกมันกำลังเข้ามาใกล้ขึ้น จนเมื่อนางได้ยินเสียงคำรามดังขึ้นมา นางจึงเห็นว่าโครห์นได้กระโดดเข้ามาอยู่ข้างตัวนางและฝังเขี้ยวของมันจมลงยังคอหอยของพวกอสุรกาย อสูรตนหนึ่งหันไปหาโครห์นและอลิสแตร์จึงฉวยโอกาสนี้ นางใช้ศอกฟาดลงที่คอหอยของอสูรตนนั้น ส่งผลให้มันล้มลงไป นางจึงวิ่งออกมาได้

อลิสแตร์พาตัวเองออกมาจากความวุ่นวายและสถานการณ์ที่สิ้นหวังได้ เมื่อพวกอสูรกายได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คนในฝ่ายของนางกำลังร่นถอยไปข้างหลัง ขณะที่นางเบี่ยงตัวออกมา เลี้ยวลดไปมาตามทางนั้น นางก็มาถึงทุ่งลงเล็กๆได้ในที่สุด สถานที่แห่งนี้คือที่สุดท้ายที่นางจำได้ว่าเคยเห็นอาร์กอน

อลิสแตร์กวาดสายตาไปบนพื้นดินอย่างไม่ลดละ จนในที่สุดท่ามกลางซากศพทั้งหมดนั่น นางก็หาเขาจนเจอ เขานอนอยู่ตรงนั้น ขดตัวอยู่บนพื้น ตัวงอเหมือนกับลูกบอล เขานอนอยู่บริเวณที่โล่งเล็กๆ เห็นได้ชัดว่าเขาได้ใช้เวทมนต์บางอย่างทำให้คนอื่นอยู่ห่างออกไปจากตัวของเขา เขาหมดสติไปและเมื่ออลิสแตร์เร่งเข้ามาอยู่ข้างตัวเขานั้น นางได้แต่วาดหวังและภาวนาให้เขายังคงมีชีวิตอยู่

เมื่อนางเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นางรู้สึกถึงการห้อมล้อมที่มันปกป้องตัวเขาไว้จากการใช้เวทมนตร์สร้างฟองอากาศรอบตัว นางคุกเข่าอยู่ข้างตัวเขาหายใจเขายังหรือในที่สุดนางก็ปลอดภัยจากสมรภูมิที่อยู่รายรอบตัว นางได้ค้นพบช่วงเวลาของการพักชั่วคราวท่ามกลางการโจมตีที่โหมกระหน่ำ

แต่กระนั้นอลิสแตร์ก็รู้สึกหวาดกลัว เมื่อนางมองลงไปยังอาร์กอน เขานอนอยู่ตรงนั้น ดวงตาปิดลง และไม่ได้หายใจนางรู้สึกท่วมท้นไปด้วยความหวั่นวิตก

"อาร์กอน!" นางร้องเรียก พร้อมกับเขย่าไหล่ของเขาด้วยมือทั้งสองจนสุดตัว จนตัวเขาสั่นไหว "อาร์กอน นี่ข้าเอง! อลิสแตร์! ตื่นเถิด! ท่านต้องตื่นขึ้นมา!"

อาร์กอนนอนอยู่ตรงนั้นอย่างไร้การตอบสนอง ในขณะที่รายรอบตัวนั้นสมรภูมิก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

"อาร์กอน ได้โปรดเถิด! พวกเราต้องการท่าน เราสู้รบกับเวทมนตร์ของราฟี่ไม่ได้ เราไม่มีทักษะเหมือนที่ท่านมี ได้โปรดกลับมาหาพวกเรา เพื่ออาณาจักรวงแหวน เพื่อราชินีเกว็นโดลีน เพื่อธอร์กริน"

อลิสแตร์สั่นตัวเขา แต่เขาก็ไม่ตอบสนองใดๆ กลับมา

ความคิดอย่างแรงกล้าก็ผุดขึ้นมานาง นางวางฝ่ามือทั้งสองบนทรวงอก หลับตาลงและพยายามเพ่งทำสมาธิ นางรวบรวมพลังที่อยู่ภายในทั้งหมดของนาง พลังอะไรก็ตามที่ยังคงเหลืออยู่ และนางก็รู้สึกว่ามือของนางเริ่มอุ่นขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อนางเปิดตาขึ้นมา นางก็เห็นว่ามีแสงสีฟ้าเปล่งออกมาจากฝ่ามือ แล้วแพร่กระจายไปทั่วทรวงอกและบริเวณบ่า ในไม่ช้า มันก็ครอบคลุมไปทั่วร่างของนาง  อลิสแตร์กำลังใช้เวทมนต์โบราณที่นางเคยเรียนรู้มา เพื่อจะฟื้นคืนชีวิตให้กับผู้ป่วย มันถ่ายเทพลังของนางออกไปจนนางรู้สึกว่า พลังงานที่มีทั้งหมดของนางได้หลุดออกไปจากร่าง นางรู้สึกอ่อนล้า นางตั้งใจให้อาร์กอนหวนคืนกลับมา

อลิสแตร์ทรุดตัวลง นางอ่อนเปลี้ยจากความพยายามครั้งก่อน นางล้มตัวนอนอยู่เคียงข้างกับอาร์กอน นางรู้สึกอ่อนแอเกินกว่าที่จะขยับเขยื้อนได้ นางรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหว และนางถึงกับต้องประหลาดใจ เมื่อนางเห็นว่าอาร์กอนเริ่มจะขยับเขยื้อน

เขานั่งลงและหันมาหานาง ดวงตาของเขาเปล่งปลั่งเต็มไปด้วยความเข้มข้นอย่างรุนแรงที่มันทำให้นางรู้สึกกลัว เขาจ้องมาที่นางอย่างไร้ความรู้สึก จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือมาจับเข้ากับไม้เท้าและลุกขึ้นยืน เขาส่งมือมาข้างหนึ่งเพื่อจับนางและกระชากนางขึ้นมายืนบนขาทั้งสองได้อย่างไร้ความพยายาม

ในขณะที่เขาจับมือของนาง นางรู้สึกว่าพลังของนางทั้งหมดได้ฟื้นคืนขึ้นมาแล้ว

"เขาอยู่ที่ไหน?" อาร์กอนถาม อาร์กอนไม่ได้รอคอยคำตอบ มันดูเหมือนราวกับว่า เขารู้ว่าเขาจะต้องไปที่ไหน เมื่อเขาหันไปพร้อมกับไม้เท้าข้างกาย เขาก็เดินกลับไปยังสมรภูมิรบที่หนาตา

อลิสแตร์ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาร์กอนจึงไม่ลังเลใจเลยที่จะเดินตรงเข้าไปในหมู่ทหาร จากนั้นนางจึงเข้าใจว่าเพราะเหตุใด เมื่อเขาสามารถสร้างฟองอากาศขึ้นจากเวทมนตร์ที่ล้อมตัวของเขาได้ ในขณะที่เขาเดินไปนั้นและมีพวกอสุรกายรี่เข้ามาจู่โจมจากทุกทิศทาง แต่ไม่มีอสูรตนใดเลยที่ผ่านเข้ามาได้ อลิสแตร์พยายามเดินอยู่ใกล้เขาให้มากที่สุด ในขณะที่เขาเดินไปอย่างไร้ความกลัว ไปอย่างปลอดภัย ผ่านลงไปในสนามรบที่หนาตาและเดินตรงไปยังทุ่งหญ้าในวันที่อากาศแจ่มใส

พวกเขาทั้งสองคนสามารถเดินผ่านทั้งสมรภูมิรบไปได้ อาร์กอนยังคงอยู่ในความเงียบในขณะที่เดินไป เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวพร้อมหมวก เขาเดินไปอย่างรวดเร็วที่ทำให้อลิสแตร์เกือบจะตามเขาไม่ทัน

จนในที่สุด เขาก็มาหยุดยืนอยู่ ณ ใจกลางของสนามรบ ในทุ่งโล่ง เขายืนอยู่ตรงข้ามกับราฟี่ ราฟี่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ยกแขนทั้งสองข้างออกมาอยู่ข้างกายดวงตาของเขากลิ้งกลอกตาไปด้านหลังศีรษะ ในขณะที่เขากำลังรวบรวมพวกอสูรกายนับพันๆ ตนให้ผุดขึ้นมาจากรอยแยกของเปลือกโลก

อาร์กอนยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นสูงเหนือหัว ชี้ฝ่ามือขึ้นไปยังท้องฟ้าและเปิดตาออกกว้าง

"ราฟี่!" เขาตะโกนเรียกอย่างท้าทาย

ท่ามกลางเสียงดังอึกกระทึกมากมาย แต่เสียงตะโกนของอาร์กอนนั้นดังตัดผ่านไปทั่วทั้งสนามรบ และดังกังวานออกไปถึงเนินเขา

ขณะที่อาร์กอนกำลังร้องขึ้นเสียงแหลม ทันใดนั้น ก้อนเมฆที่อยู่สูงด้านบนก็แยกตัวออก มีลำแสงสีขาวจากท้องฟ้าส่องทะลุลงมาถึงข้างล่าง ลงมาถึงฝ่ามือของอาร์กอน มันดูราวกับว่าเขากำลังเชื่อมต่อกับสรวงสวรรค์ ลำแสงขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับพายุหมุน มันห่อหุ้มทั้งสมรภูมิรบเอาไว้ มันห่อหุ้มทุกอย่างที่อยู่รอบตัวของเขา

ต่อมาก็มีลมขนาดใหญ่พร้อมกับเสียงกระพือลมอย่างแรง อลิสแตร์มองดูอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อพื้นดินด้านล่างเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง และรอยแยกขนาดใหญ่ของเปลือกโลกเริ่มเคลื่อนไปยังทิศทางตรงกันข้ามและค่อยๆ ปิดตัวเองลง

ในขณะที่มันกำลังปิดตัวมันเองนั้น พวกอสูรหลายสิบตัวก็พากันกรีดร้องและถูกบีบอัด ในขณะที่พวกมันกำลังเคลือบคลานออกมา

อีกเพียงไม่นาน พวกอสูรหลายร้อยตัวก็พากันไถล ลื่นไหลลงกลับสู่ใต้โลกในขณะที่รอยแยกเริ่มจะแคบลงเรื่อยๆ

โลกเกิดสั่นไหวขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงเงียบสงัดลง เมื่อรอยแยกถูกปิดอย่างสนิท ในที่สุดพื้นดินกลับกลายเป็นผืนเดียวกันอีกครั้ง มันดูราวกับว่าไม่เคยมีรอยแตกเกิดขึ้นมาก่อน เสียงกรีดร้องแหลมอันน่าสยดสยองของพวกอสูรที่เคยดังทั่วบรรยากาศนั้นได้เงียบลงแล้วอยู่ภายใต้โลก

จากนั้นความเงียบงันก็ตามมา มันเป็นช่วงเวลาที่อากาศดูเงียบสงบ ในขณะที่ทุกคนต่างหยุดยืนและเฝ้ามอง

ราฟีกรีดร้องลั่น เมื่อเขาหันมาเห็นอาร์กอน

"อาร์กอน!" ราฟีร้องเสียงแหลม

ช่วงเวลาของการประทะกันครั้งสุดท้ายของสองผู้ยิ่งใหญ่กำลังมาถึงแล้ว

ราฟี่วิ่งเข้าไปอย่างที่โล่ง พร้อมชูไม้เท้าสีแดงขึ้นสูง อาร์กอนก็ไม่ได้ลังเลที่จะเร่งเข้าไปเพื่อจะต้อนรับราฟี่

เขาทั้งสองเจอกันตรงจุดกึ่งกลาง แต่ละคนก็ถือไม้เท้าขึ้นเหนือหัว ราฟี่ฟาดไม้เท้าของเขาลงมายังอาร์กอน และอาร์กอนก็ยกไม้เท้าขึ้นมาป้องกันไว้ได้ แสงสีขาวขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาเหมือนกับประกายไฟ เมื่อเขาทั้งคู่พบกัน อาร์กอนเหวี่ยงไม้เท้าออกไปและราฟี่ก็ป้องกันเอาไว้ได้

พวกเขาสู้กันกลับไปมา ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ผลัดกันรุกและรับ แสงสีขาวลอยละลิ่วไปทั่วบริเวณ พื้นดินมีการสั่นไหวในการเข้าตีแต่ละครั้ง ส่วนอลิสแตร์ก็สามารถรู้สึกถึงพลังงานอันมหาศาลที่ล่องลอยอยู่ในอากาศได้

จนในที่สุด อาร์กอนก็พบช่องเปิด เขาเหวี่ยงไม้เท้าจากด้านล่างตรงขึ้นด้านบน และทำให้ไม้เท้าของราฟี่แตกออกเป็นชิ้นๆ

พื้นดินเกิดการสั่นไหวขึ้นอย่างรุนแรง อาร์กอนก้าวไปข้างหน้า เขาใช้มือทั้งสองชูไม้เท้าขึ้นสูงเหนือหัวและแทงลงตรงลงยังทรวงอกของราฟี

ราฟี่กรีดร้องด้วยเสียงอันน่าสยดสยอง ฝูงค้างคาวหลายพันตัวพากันบินออกมาจากปากของเขาในขณะที่ขากรรไกรออกกว้าง ทั้งท้องฟ้าเปลี่ยนไปเป็นสีดำในชั่วขณะ เมื่อกลุ่มก้อนเมฆสีดำจากสรวงสวรรค์ได้รวมตัวกันขึ้น จนมาอยู่เหนือหัวของราฟี่แล้วมันจึงหมุนวนลงมาสู่พื้นโลก มันดูดกลืนเขาเข้าไปทั้งตัว ราฟี่ร้องคำรามอย่างโหยหวน เมื่อตัวของเขาหมุนไปในอากาศ ถูกกระชากตัวขึ้น ไปในท้องฟ้า ถูกดึงขึ้นไปพร้อมกับโชคชะตาที่น่าสะพรึงกลัวที่อลิสแตร์ไม่ปรารถนาจะคาดคิดถึงมัน

อาร์กอนยืนอยู่ตรงนั้นหายใจอย่างหอบเหนื่อย ในที่สุด ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นเงียบสงบ เมื่อราฟีถึงกับความตาย

กองทัพอสุรกายพากันกรีดร้อง ทีละตัวๆ จนพวกมันทั้งหมดสูญสลายไปต่อหน้าต่อตาของอาร์กอน แต่ละตัวกลายไปเป็นกองเถ้าถ่าน ในไม่ช้า ทั้งสมรภูมิก็เต็มไปด้วยกองพะเนินนับพันๆกอง นั่นคือทั้งหมดที่เหลืออยู่ของเวทมนตร์อันชั่วร้ายของราฟี่

อลิสแตร์กวาดตาสำรวจไปยังสมรภูมิและพบว่ายังมี อีกหนึ่งสมรภูมิที่ยังเหลืออยู่ เมื่อมองผ่านทุ่งโล่งไปนั้น พี่ชายของนาง คือธอร์กริน ก็เตรียมพร้อมแล้วที่จะเข้าเผชิญหน้ากับพ่อของพวกเขาเอง คือแอนโดรนิคัส นางรู้ว่าในการรบที่กำลังจะเริ่มขึ้นนี้ หนึ่งในนั้นจะต้องจบชีวิตลง ไม่ว่าจะเป็นพี่ชายหรือพ่อของนางก็ตาม นางภาวนาว่าให้มันเป็นพี่ชายที่จะสามารถรอดชีวิตออกมาได้

บทที่ ห้า

พระนางลูอันดาทรงนอนราบอยู่ที่พื้นดินแทบเท้าของโรมิวลัสทรงเฝ้ามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างหวาดกลัว ทหารของจักรวรรดิหลายพันนายไหลทะลักเข้ามาบนสะพาน พวกเขาต่างกรีดร้องด้วยเสียงแห่งชัยชนะ เมื่อพวกเขาสามารถข้ามมายังอาณาจักรวงแหวนได้ พวกเขากำลังเข้ามารุกล้ำดินแดนบ้านเกิดของพระนาง แล้วพระองค์ทรงไม่สามารถทำสิ่งใดได้  นอกจากทรงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างหมดหนทาง และทรงเฝ้ามองพร้อมกับทรงสงสัยว่านี่เป็นความผิดของพระนางเองทั้งหมดหรือไม่ พระนางทรงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า พระนางควรจะรับผิดชอบที่โล่พลังถูกลดระดับลงมา

พระนางลูอันดาทรงหันไปและทอดพระเนตรมองยังท้องฟ้า พระองค์ทอดพระเนตรเห็นกองทัพเรือของพวกจักรวรรดิเป็นแถวยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และพระนางทรงรู้ดีว่า อีกไม่นานก็จะมีกองกำลังทหารจักรวรรดินับล้านไหลทะลักเข้ามาในนี้ ประชาชนของพระนางก็จะถูกกำจัดจนหมดสิ้น อาณาจักรวงแหวนก็จะสิ้นสุดลง ทุกอย่างจะจบสิ้นลงในเวลานี้

พระนางลูอันดาทรงหลับพระเนตรและส่ายพระเกศาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งหนึ่งพระนางทรงกริ้วพระนางเกว็นโดลีนกับพระบิดาและทรงรู้สึกดีพระทัยที่จะได้เห็นอาณาจักรวงแหวนถูกทำลาย แต่พระพระทัยได้เปลี่ยนไปแล้ว ตั้งแต่แอนโดรนิคัสได้ทรยศและกระทำชำเราพระนาง ตั้งแต่เวลาที่เขาโกนเส้นพระเกศาและทำร้ายฟาดตีพระองค์ต่อหน้าประชาชนของเขานั้น มันทำให้พระนางทรงตระหนักว่า พระนางทรงทำผิดพลาด พระนางทรงไร้เดียงสาและพระนางเพียงแค่ต้องการหาทางได้มาซึ่งอำนาจ ในตอนนี้พระนางจะทรงแลกกับสิ่งใดก็ได้ เพื่อให้มีชีวิตอย่างเก่าคืนกลับมา สิ่งที่พระนางทรงต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือ ชีวิตที่มีความผาสุขและมีความพึงพอใจ พระนางทรงไม่ปรารถนาทะเยอทะยานในการมีอำนาจอีกแล้ว ในขณะนี้พระนางทรงต้องการแค่มีชีวิตอยู่รอดและได้ทำสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูก

แต่ขณะที่พระนางทรงเฝ้าดู พระนางลูอันดาก็ทรงระลึกได้ว่า มันสายเกินไปแล้ว ตอนนี้บ้านเกิดอันเป็นที่รักอยู่ระหว่างหนทางสู่การทำลายล้าง มันไม่มีอะไรที่พระนางจะทรงทำได้เลย

พระนางทรงได้ยินเสียงอันน่าสะพรึงกลัว เป็นเสียงหัวเราะผสมกับเสียงคำราม เมื่อพระนางทอดพระเนตรขึ้นทรงพบว่า โรมิวลัสได้ยืนอยู่ตรงนั้น เขาวางมือเท้าสะเอวและมองดูไปรอบๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่พึงพอใจขนาดใหญ่อยู่บนใบหน้า มันเผยให้เห็นถึงซี่ฟันยาวหยักอย่างฟันปลาของเขา  เขาหัวเราะร่าออกมาพร้อมชะเง้อคอไปด้านหลังและหัวเราะด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ

พระนางลูอันดาทรงปรารถนาที่จะฆ่าเขาเสีย หากพระนางมีดาบสั้นในมือแล้วพระนางจะทรงวิ่งไปอย่างหัวใจของเขา แต่ทรงรู้ว่าเขาเป็นชายร่างหนาและยากที่จะเข้าถึงตัวได้ อาวุธแค่ดาบสั้นนั้นอาจจะผ่านร่างเข้าไปไม่ได้

โรมิวลัสมองลงมาที่พระนางพร้อมกับรอยยิ้มที่เปลี่ยนกลายเป็นใบหน้าอันบึ้งตึง

"ตอนนี้" เขากล่าว "ถึงเวลาที่ต้องฆ่าเจ้าอย่างช้าๆแล้ว"

เจ้าหญิงลูอันดาทรงได้ยินเสียงแคร๊ง เป็นเสียงกระทบกันที่มีลักษณะเด่นและทรงเฝ้ามองโรมิวลัสดึงดาบออกมาจากเอว มันดูเหมือนเป็นดาบขนาดสั้น ยกเว้นแต่ว่า มันมีปลายยาวแคบเรียวลงมา มันดูเหมือนเป็นอาวุธปีศาจที่ออกแบบมาสำหรับการทรมาน

"เจ้ากำลังจะได้รับความทรมานอย่างสาสม"เขากล่าว

ขณะที่เขาค่อยๆลดอาวุธลงนั้น พระนางลูอันดาทรงชูพระหัตถ์ขึ้นป้องพระพักตร์ ราวกับว่าพระองค์จะทรงขวางมันเอาไว้ได้ พระนางทรงปิดดวงพระเนตรและกรีดร้อง

จากนั้น สิ่งแปลกประหลาดที่สุดก็เกิดขึ้น ในขณะที่พระนางลูอันดาทรงกรีดร้อง เสียงกรีดร้องของพระองค์ถูกกลบไปด้วยเสียงที่สะท้อนก้องกว่าเสียงของพระองค์ มันเป็นเสียงกรีดร้องของสัตว์ สัตว์ประหลาด มันเป็นเสียงกรีดร้องของสัตว์ดึกดำบรรพ์ เสียงที่ดังอึกทึกกึกก้องมากกว่าเสียงใดใดที่พระองค์เคยทรงได้สดับมาชั่วทั้งชีวิต มันดังเหมือนกับฟ้าร้องที่ฉีกฟ้าทั้งฟ้าออกเป็นเสี่ยงๆ

พระนางลูอันดาทรงเปิดพระเนตรขึ้นและทอดพระเนตรขึ้นไปยังสรวงสวรรค์ พระองค์กำลังสงสัยว่าพระองค์กำลังจินตนาการเรื่องนี้ขึ้นมาหรือไม่ เสียงของมันดังราวกับว่าเป็นเสียงกรีดร้องของพระเจ้าที่ส่งลงมา

โรมิวลัสก็มีท่าทางตกตะลึง เขามองขึ้นไปยังท้องฟ้าอย่างสับสน จากสีหน้าของเขาแล้ว พระนางลูอันดาทรงสามารถบอกได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นจริงๆและพระนางทรงไม่ได้จินตนาการมันขึ้นมา

เสียงนั่นกลับมาอีกครั้ง เสียงกรีดร้องเป็นครั้งที่สอง ซึ่งมันดังแย่ไปกว่าครั้งแรก ที่เป็นเสียงแห่งความดุร้าย เสียงแห่งอำนาจ เจ้าหญิงลูอันดาทรงตระหนักดีว่า นั่นเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว คือ

มังกร

เมื่อท้องฟ้าเปิดออก เจ้าหญิงลูอันดาทรงรู้สึกตกตะลึงที่ได้เห็นมังกรขนาดใหญ่สองตัวบินทะยานอยู่เหนือพระเศียร มันเป็นสัตว์ประหลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและน่ากลัวที่สุดเท่าที่พระนางเคยทอดพระเนตรเห็น ที่มันบดบังดวงอาทิตย์ เปลี่ยนกลางวันให้กลายเป็นกลางคืน ในขณะที่เงาของมัน บดบังพวกเขาทั้งหมด

อาวุธของโรมิวลัสตกลงจากมือ เขาอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เขาไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน โดยเฉพาะมังกรสองตัวที่บินลงมาต่ำเกือบจะถึงพื้นดิน ที่มันห่างจากระดับศรีษะไปเพียงยี่สิบฟุตจนเกือบจะโฉบหัวของพวกเขา พวกมังกรกรีดร้องอีกครั้ง มังกรโก่งคอไปด้านหลังพร้อมกับสยายปีกอันกว้างออก

ในคราแรก พระนางลูอันดาทรงทำพระทัยกล้าและพระองค์ทรงทึกทักเอาว่า พวกเขามาเพื่อจะสังหารพระนาง แต่ขณะที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพวกเขาบินไปอย่างเร็วเหนือพระเศียรแล้ว พระนางทรงรู้สึกได้ถึงกระแสลมที่พวกเขาทิ้งเอาไว้อันทำให้พระนางล้มลงนั้น พระนางทรงระลึกได้ว่า พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปทางอื่น ไปทางหุบเขาใหญ่ เข้าไปยังอาณาจักรวงแหวน

พวกมังกรคงกำลังเห็นทหารข้ามเข้าไปในอาณาจักรวงแหวนและคงจะระลึกได้ว่าโล่แห่งพลังถูกลดระดับลงแล้ว พวกเขาก็คงจะรู้ว่านี่คือโอกาสเดียวที่จะเข้าไปยังอาณาจักรวงแหวนได้เช่นกัน

พระนางลูอันดาทรงเฝ้ามองอย่างตราตรึงกับภาพเบื้องหน้า ขณะที่มังกรตัวหนึ่งกำลังเปิดปากของมันอย่างเร็วพลัน มันโฉบลงมาอย่างรวดเร็วและพ่นไฟลงยังเหล่าทหารที่อยู่บนสะพาน

เสียงกรีดร้องของทหารจักรวรรดิหลายพันนายดังขึ้นมา เสียงร้องแหลมดังขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ เมื่อกำแพงแห่งไฟได้กลืนพวกเขาหายเข้าไปในนั้น

พวกมังกรยังคงบินต่อไป พ่นไฟขณะที่พวกมันผ่านสะพานไปใเผาผลาญทหารของโรมิวลัสทั้งหมด พวกเขายังคงบินต่อไปเข้าไปยังอาณาจักรวงแหวน และก็ยังคงปลดปล่อยเปลวเพลิง เพื่อทำลายทหารจักรวรรดิผู้ที่เข้ามา ส่งระลอกคลื่นแห่งเปลวเพลิงเพื่อเป็นการทำลายล้าง

อีกเพียงชั่วขณะ ก็ไม่มีทหารจักรวรรดิหลงเหลืออยู่บนสะพานอีกเลยหรือไม่มีใครกล้าก้าวผ่านเข้าไปยังแผ่นดินของอาณาจักรวงแหวน

ทหารจักรวรรดิพูดซึ่งมุ่งหน้าเข้าไปยังสะพาน ผู้ที่กำลังจากข้ามผ่านไปนั้น ก็หยุดเดินและไม่กล้าที่จะเข้าไป พวกเขาต่างพากันหันตัว แล้ววิ่งหนีกลับลงไปอยู่ในเรือ

โรมิวลัสหันไปเฝ้ามองทหารของตนที่กำลังจากไปอย่างเดือดดาล

เจ้าหญิงลูอันดาทรงนั่งอยู่ตรงนั้นและทรงตกตกตะลึงที่ทรงระลึกได้ว่า นี่คือโอกาสของพระนาง โรมิวลัสได้เสียสมาธิ ในขณะที่เขากำลังหันไปและวิ่งไล่ตามให้ทหารกลับมายังสะพานอยู่นั้น พระนางทรงรู้ดีนี่คือโอกาสของพระนาง

พระนางลูอันดาทรงกระโดดขึ้นมาอยู่บนพระบาท พระหทัยเต้นระรัวและพระองค์ทรงหันไป พร้อมกับทรงเร่งกลับไปยังสะพาน พระนางทรงรู้ดีว่า นี่คือโอกาสอันมีค่าเพียงแค่โอกาสเดียว หากพระนางโชคดี บางที แค่เป็นบางที พระนางอาจจะวิ่งไปได้ไกลเพียงพอ ก่อนที่โรมิวลัสจะสังเกต พระนางอาจจะกลับไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้ และหากพระนางสามารถไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้ บางทีการกลับไปยังแผ่นดินนั้น พระนางอาจจะช่วยให้โล่แห่งพลังฟื้นขึ้นมาได้

พระนางจะต้องทรงลองดู พระนางทรงรู้ดีว่าจะต้องทำมันเดี๋ยวนี้หรือจะเสียโอกาสนั้นไปตลอดกาล

พระนางลูอันดาทรงวิ่งไปอย่างต่อเนื่อง ทรงหายใจหอบเหนื่อย พระนางทรงแทบไม่สามารถจะคิดสิ่งใดได้ พระเพลาสั่นไปหมด พระนางทรงสะดุดกับพระบาท พระเพลาหนักเกินไป พระศอข้างในแห้งผาก พระกรทั้งสองข้างหวดตีกับลำตัวขณะที่พระองค์ทรงวิ่งไป ขณะที่สายลมอันหนาวเย็นพัดผ่านพระเศียรที่โล้นที่ไร้พระเกศา

พระนางทรงวิ่งไปให้เร็วขึ้นและเร็วขึ้น พระหทัยตีระรัวอยู่ในพระกรรณ เสียงของการหอบเหนื่อยดังสนั่นไปทั้งโลก และทุกอย่างก็เริ่มกลายไปเป็นพร่ามัว พระนางได้ทรงวิ่งผ่านมาถึงห้าสิบหลาบนสะพานนี้ พระนางทรงได้ยินเสียงกรีดร้องขึ้นมาเป็นครั้งแรก

โรมิวลัสในตอนนี้ได้สังเกตุเห็นพระนางเข้า ด้านหลังพระนางจู่ๆ ก็มีเสียงของพวกผู้ชายที่เร่งเข้ามาด้วยม้า วิ่งข้ามผ่านสะพานมา เพื่อมาจับตัวพระนาง

พระนางลูอันดาทรงเร่งฝีเท้าอย่างเร็ว ทรงเพิ่มความเร็วของพระองค์ขึ้น ขณะที่พระองค์ทรงรู้สึกว่ามีกลุ่มคนตามพระองค์มาด้านหลัง พระนางทรงวิ่งผ่านศพของทหารจักรวรรดิทั้งหมดที่ถูกเผาจากมังกร บางศพยังคงมีไฟไหม้อยู่ พระนางพยายามอย่างดีที่สุดที่จะหลีกออกมาให้พ้น ด้านหลังของพระองค์มีเสียงมาตามมาดังขึ้นเรื่อยๆ พระองค์ทรงชำเลืองกลับไปผ่านพระอังศา ทรงเห็นพวกเขายกหอกขึ้นมาและทรงรู้ดีว่า นี่คือเวลาที่โรมิวลัสกำลังเล็งหอกเข้าที่จะสังหารพระนาง พระนางทรงรู้ดีว่า ในชั่วขณะนี้ หอกนั้นก็จะลอยผ่านตรงมายังหลังของพระองค์เมื่อใดก็ได้

พระนางลูอันดาทรงมองไปด้านหน้าและเห็นอาณาจักรวงแหวนซึ่งเป็นดินแดนบ้านเกิดอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ฟุต หากพระนางสามารถไปถึงมันได้อีกเพียงแค่สิบฟุตด้านหน้า หากพระนางสามารถข้ามผ่านเขตแดนไปได้ บางที อาจจะเป็นบางทีที่โล่แห่งพลังจะฟื้นคืนและช่วยชีวิตพระนางไว้

กลุ่มทหารยังตามพระนางมา ขณะที่พระนางกำลังจะก้าวข้ามไปในช่วงสุดท้าย เสียงม้าได้ดังกึกก้องอยู่ในพระโสตประสาท พระนางทรงได้กลิ่นเหงื่อจากมัาและจากทหาร พระนางทรงทำพระทัยกล้าและทรงคาดว่าหอกจะทิ่มแทงผ่านหลังพระองค์มาในวินาทีใดก็ได้ พวกเขาอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ฟุตและพระนางเองก็เช่นกัน

ในการกระทำภารกิจอันสิ้นหวังขั้นสุดท้าย พระนางลูอันดาทรงถลาตัวเข้าไป ขณะที่พระนางทอดพระเนตรเห็นทหารคนหนึ่งยกมือถือหอกขึ้นมาอยู่ด้านหลัง พระนางก็ทรงตกลงอยู่บนพื้น พร้อมกับกลิ้งตีลังกา จากปลายสายพระเนตรของพระนางนั้น พระนางทอดพระเนตรเห็นหอกลอยผ่านมาในอากาศและพุ่งตรงลงมาที่พระนาง

แต่กระนั้น ในขณะที่พระนางลูอันดาได้ข้ามเส้นแบ่งเขตมาและตกลงยังแผ่นดินของอาณาจักรวงแหวน ทันใดนั้น ด้านหลังพระนาง โล่แห่งพลังก็ฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้ง หอกที่อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่นิ้วก็ถูกสลายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลางอากาศอยู่ด้านหลัง ทหารทุกคนที่อยู่บนสะพานต่างกรีดร้องชูมือขึ้นบังใบหน้าของตัวเอง และทุกคนก็กลายไปเป็นเปลวเพลิง ถูกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

อีกชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาทั้งหมดก็กลายเป็นกองเถ้าถ่าน

อีกฝั่งหนึ่งของสะพานที่อยู่ไกลออกไปนั้น โรมิวลัสยืนอยู่ตรงนั้นเฝ้ามองดูทุกอย่าง เขากรีดร้องและตีเข้ากับหน้าอก มันเป็นเสียงร้องแห่งความทุกข์ทรมาน เสียงร้องของบางคนที่ถึงกับความปราชัย และพ่ายแพ้ด้วยสติปัญญา

พระนางลูอันดาทรงนอนอยู่ตรงนั้น ทรงหายใจหอบเหนื่อยและอยู่ในอาการตกตลึงอย่างสุดขีด พระนางทรงชะโงกตัวลงมาและจุมพิตกับพื้นดินที่พระนางทรงอิงพระวรกายอยู่ จากนั้นพระนางจึงวาง พระเศียรลงและหัวเราะไปด้วยความยินดี

พระนางทรงทำมันสำเร็จ พระนางทรงปลอดภัยแล้ว

บทที่ หก

ธอร์ยืนอยู่ในทุ่งโล่ง กำลังเผชิญหน้ากับแอนโดรนิคัส พวกเขาต่างล้อมรอบไปด้วยกองทัพจากทั้งสองฝ่าย พวกเขายืนหยุดนิ่งต่างจ้องมองกันและกัน เมื่อพ่อกับลูกต้องมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง  แอนโดรนิคัสยืนอยู่เหนือธอร์ด้วยความรุ่งโรจน์ทั้งหมดที่มีของเขา มือหนึ่งถือขวานศึกขนาดใหญ่ ส่วนอีกมือหนึ่งกำดาบเอาไว้ ในขณะที่ธอร์หันหน้าไปปะทะกับเขานั้น เขาพยายามบังคับตัวเองให้หายใจอย่างช้าๆและลึกๆ  เพื่อที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ธอร์มีจิตใจที่กระจ่างชัดและมีสมาธิขณะต่อสู้กับชายคนนี้ ซึ่งมันก็เหมือนกับทุกๆ ครั้งที่เขาต่อสู้กับศัตรูคนอื่นๆ เขาบอกตัวเองว่าไม่ได้กำลังเผชิญหน้ากับพ่อของตนเอง แต่เป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด ผู้ชายคนนี้ได้ทำร้ายราชินีเกว็นโดลีน ชายคนนี้เป็นคนที่ทำร้ายประชาชนของเขา เป็นคนที่ล้างสมองเขา และเป็นคนที่ควรค่าแก่ความตาย

เมื่อราฟี่ตายไปแล้วอาร์กอนก็กลับเข้ามาควบคุมสถานการณ์ พวกสัตว์ประหลาด ต่างกลับลงไปอยู่ภายใต้พื้นผิวโลกมันไม่มีอะไรมาถ่วงเวลาการเผชิญหน้ากันครั้งสุดท้าย ที่แอนโดรนิคัสจะต้องปะทะกับธอร์กรินอีกแล้ว มันเป็นการสู้รบที่จะส่งผลต่อชะตากรรมของสงคราม ธอร์จะไม่ปล่อยให้เขาไปไหน มันไม่ใช่เวลานี้ ส่วนแอนโดรนิคัสเองก็เต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับลูกชายของเขาเช่นกัน

"ธอร์นิคัส เจ้าคือลูกชายของข้า" เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำและดังกังวาน "ข้าไม่อยากจะทำร้ายเจ้า"

"แต่ข้าอยากจะทำร้ายเจ้า" ธอร์ตอบกลับมา เขาปฏิเสธที่จะเข้าไปพัวพันกับเกมทายใจของแอนโดรนิคัส

"ธอร์นิคัส ลูกข้า" แอนโดรนิคัสกล่าวซ้ำ ในขณะที่ธอร์ก้าวอย่างระมัดระวังเข้ามาใกล้ขึ้น "ข้าไม่อยากจะฆ่าเจ้า จงวางอาวุธลง แล้วมาเป็นพวกเดียวกับข้า มาเป็นพวกเดียวกัน เหมือนที่เจ้าเคยเป็นมาก่อน เจ้าคือลูกข้า เจ้าไม่ใช่ลูกของพวกนั้น เจ้ามีสายเลือดของข้า ไม่ใช่สายเลือดของพวกมัน บ้านเกิดของข้าคือบ้านเกิดของเจ้า อาณาจักรวงแหวนเป็นเพียง สถานที่ชุบเลี้ยงเจ้ามา เจ้าคือประชาชนของข้า ประชาชนพวกนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเจ้า จงกลับบ้าน จงกลับมาสู่จักรวรรดิ ให้โอกาสข้าเป็นพ่อเจ้า เหมือนที่เจ้าปรารถนามาโดยตลอด และจงมาเป็นลูกของข้าอย่างที่ข้าปรารถนาให้เจ้าเป็นเสมอมา"

"ข้าจะไม่สู้กับเจ้า" แอนโดรนิคัสกล่าวเป็นครั้งสุดท้าย ในขณะที่เขาลดขวานศึกลง

ธอร์รับฟังมามากพอแล้ว ในตอนนี้ เขาต้องการเคลื่อนตัว ก่อนที่จิตใจของเขาจะกวัดแกว่งไปตามคำพูดของสัตว์ประหลาดนี่

ธอร์กู่ร้องเสียงแห่งการประจัญบาน เขายกดาบขึ้นสูงและเข้าจู่โจม ฟาดดาบลงมาด้วยมือทั้งสองหมายลงยังหัวของแอนโดรนิคัส แอนโดรนิคัสจ้องมองกลับมาด้วยความตกตะลึง แล้วในวินาทีสุดท้ายนั้นเอง เขาก็เอื้อมไปจับเข้ากับขวานศึกและยกมันขึ้นป้องการหันของธอร์

ประกายไฟปะทุออกมาจากดาบของธอร์ เมื่ออาวุธทั้งสองชิ้นถูกตรึงแน่นไว้ด้วยกัน พวกเขาต่างร้องครวญครางในขณะที่แอนโดรนิคัสกำลังตั้งรับการจู่โจมของธอร์

"ธอร์นิคัส" แอนโดรนิคัสส่งเสียงคำราม "พละกำลังของเจ้ายิ่งใหญ่ แต่นั่นคือพละกำลังของข้า ข้าได้ให้สิ่งนี้กับเจ้า เลือดของข้าไหลวนอยู่ในเส้นโลหิตเจ้า จงหยุดเรื่องบ้าๆนี่ และเข้ามาเป็นพวกเดียวกับข้า"

แอนโดรนิคัสผลักธอร์ไปข้างหลังจนเขาสะดุดถอยหลังไป

"ไม่มีทาง" ธอร์กรีดร้องอย่างขัดขืน "ข้าจะไม่กลับไปหาเจ้าอีก เจ้าไม่ใช่พ่อของข้า เจ้ามันเป็นแค่คนแปลกหน้า เจ้าไม่สมควรจะได้เป็นพ่อข้า!"

ธอร์เข้าจู่โจมอีกครั้ง เขาตะเบ็งเสียงดังแล้วจึงฟาดดาบลงมา แอนโดรนิคัสป้องมันไว้ได้และธอร์ก็คาดการณ์ไว้ไม่ผิด เขาหมุนไปโดยรอบอย่างเร็ว แล้วใช้ดาบฟันเข้าที่แขนของแอนโดรนิคัส

แอนโดรนิคัสร้องออกมาลั่น เมื่อเลือดกระเซ็นออกจากบาดแผลเขาเดินโซเซไปด้านหลัง จ้องมาที่ธอร์อย่างไม่เชื่อสายตา เขาเอื้อมมือไปจับที่บาดแผลและสำรวจดูเลือดที่อยู่ในมือ

"เจ้าต้องการจะฆ่าข้า" แอนโดรนิคัสกล่าวและดูเหมือนว่าเขาจะเพิ่งรับรู้มันเป็นครั้งแรก "หลังจากที่ข้าทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เจ้า งั้นหรือ?"

"ข้าต้องการทำเช่นนั้นอย่างที่สุด" ธอร์กล่าว

แอนโดรนิคัสสำรวจดูเขาราวกับว่ากำลังสำรวจดูธอร์คนใหม่ และในไม่ช้า อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนจากความสงสัยและความผิดหวังไปเป็นความโกรธเคือง

"อย่างนั้น เจ้าก็ไม่ใช่ลูกชายของข้า!" เขาแผดเสียง "แอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่จะไม่ถามซ้ำสอง!"

แอนโดรนิคัสโยนดาบของเขาทิ้ง เขายกขวานศึกขึ้นสูงด้วยมือทั้งสองและกู่ร้องเสียงประจันบานดังสนั่น พร้อมกับรี่เข้ามาจู่โจมธอร์ ในที่สุดการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น

ธอร์ยกดาบขึ้นป้องกันการฟาดฟัน แต่ขวานนั้นฟาดลงมาอย่างแรง ธอร์ต้องตกใจสุดขีดเมื่อมันทำให้ดาบของเขาหัก แยกออกเป็นสองซีก

แม้ธอร์จะมิได้ทันตั้งตัว แต่เขาก็หลบเลี่ยงออกไปได้อย่างรวดเร็วในช่วงที่ขวานฟาดลงมา มันทำได้เพียงครูดไปเป็นรอยถลอก มันพลาดจากเขาไปเพียงแค่หนึ่งนิ้วซึ่งมันใกล้ตัวของเขามากจนเขาสัมผัสได้ถึงแรงลมที่ปัดผ่านตรงหัวไหล่ พ่อของเขามีพละกำลังอันมหาศาลซึ่งมันมากกว่านักรบคนใดที่เขาเคยปะทะมา ธอร์รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย พ่อของเขามีความรวดเร็วด้วยเช่นกัน นับเป็นส่วนผสมแห่งความตายที่สมบูรณ์แบบ และในตอนนี้ ธอร์ก็ไม่มีอาวุธในมือ

แอนโดรนิคัสเหวี่ยงขวานไปรอบๆอีกครั้ง เขาเหวี่ยงมันไปด้านข้างอย่างไม่ลังเล เล็งที่จะสับธอร์ออกเป็นสองส่วน ธอร์กระโจนขึ้นในอากาศสูงขึ้นไปเหนือหัวของแอนโดรนิคัสเขาตีลังกากับหลังโดยใช้พลังที่อยู่ภายในในการขับเคลื่อน มันทำให้เขาขึ้นไปสูงในอากาศและลงมาอยู่ด้านหลังของแอนโดรนิคัส เขาลงมาด้วยเท้าทั้งสอง จากนั้นจึงเอื้อมไปหยิบดาบของพ่อที่ตกอยู่บนพื้น เขาหมุนมันไปรอบๆ และเข้าจู่โจม กวัดแกว่งดาบเตรียมเข้ามาอย่างด้านหลังของแอนโดรนิคัส แต่ธอร์ถึงกับต้องตกตะลึงสุดขีด เมื่อแอนโดรนิคัสมีความเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แอนโดรนิคัสเตรียมพร้อมรับมือโดยการหมุนไปรอบๆ และป้องกันการจู่โจมได้ ธอร์รับรู้ถึงแรงจากการกระทบกันของโลหะที่มันสะท้านไปทั่วทั้งร่างของเขา ดาบของแอนโดรนิคัสมีความแข็งแรงมากกว่าดาบของเขา มันรู้สึกแปลกที่ต้องมาถือดาบของพ่อและใช้มันในการปะทะกับเขา

ธอร์เหวี่ยงดาบไปรอบๆ และฟาดไปข้างยังไหล่ของแอนโดรนิคัส ส่วนแอนโดรนิคัสก็สามารถป้องกันการฟาดฟันจากธอร์ได้

พวกเขาผลัดกันรุกผลัดกันรับ ผลัดกันเข้าจู่โจมและปัดป้อง ธอร์ทำให้แอนโดรนิคัสล่าถอยไปด้านหลัง ส่วนแอนโดรนิคัสก็ผลักให้ธอร์ร่นไปด้านหลังบ้าง ประกายไฟปลิวว่อนไปทั่ว เมื่อสองอาวุธเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มันปล่อยแสงวูบวาบ ปล่อยเสียงปะทะดังก้องกังวานอย่างน่าประทับใจในสมรภูมิรบ พวกทหารจากสองฝ่ายต่างพากันเฝ้าดูอย่างตะลึงงัน เมื่อสองยอดนักรบผู้ยิ่งใหญ่ต่างผลัดกันรุก ผลัดกันรับไปทั่วบริเวณทุ่งโล่ง ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบไปกว่ากัน

ธอร์ยกดาบของเขาขึ้นฟาดฟันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แอนโดรนิคัสทำให้เขาประหลาดใจด้วยการก้าวมาข้างหน้าและเตะเขาเขาที่แผ่นอก ส่งผลให้ธอร์ลอยล่ะลิวไปทางด้านหลังแล้วล้มลงหงายหลังลงสู่พื้น

แอนโดรนิคัสเร่งมาข้างหน้าพร้อมกับฟาดขวานของเขาลง ธอร์กลิ้งตัวออกไปจากตรงนั้นได้ แต่มันก็ยังไม่เร็วพอ ขวานนั่นตัดผ่านลำแขนส่วนบนของเขาซึ่งมันเพียงพอให้เขาหลั่งเลือด ธอร์ร้องดังลั่น แต่กระนั้น เขาก็เหวี่ยงตัวไปรอบๆ และแกว่งดาบไปตัดเข้าที่น่องของแอนโดรนิคัส

แอนโดรนิคัสสะดุดล้มและส่งเสียงลั่น ขณะที่ธอร์กลิ้งตัวออกไป พร้อมกับลุกขึ้นยืนบนเท้าทั้งสอง ทั้งสองคนต่างประจัญหน้ากันและกัน และต่างได้รับบาดเจ็บทั้งคู่

"ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า ไอ้ลูกชาย" แอนโดรนิคัสกล่าว "และมีประสบการณ์ในสนามรบมากกว่า ยอมข้าซะตั้งแต่ตอนนี้ พลังดรูอิดของเจ้าใช้กับข้าไม่ได้ มันมีเพียงข้ากับเจ้า สู้ตัวต่อตัวอย่างลูกผู้ชาย ดาบต่อดาบ และในฐานะนักรบแล้ว ข้าเหนือกว่าเจ้า เจ้าก็รู้เรื่องนี้ดี ยอมข้าเสียและข้าจะไม่ฆ่าเจ้า"

ธอร์ทำหน้าบึ้งตึง

"ข้าไม่ยอมใครทั้งนั้น โดยเฉพาะพวกเจ้าทั้งหมด"

ธอร์บังคับตนให้คิดถึงราชินีเกว็นโดลีนในสิ่งที่แอนโดรนิคัสได้กระทำต่อพระนาง จากนั้นความเดือดดาลของเขาก็เพิ่มพูนทับทวี ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ธอร์ตัดสินใจที่จะกำจัดแอนโดรนิคัสให้สิ้นซาก เพื่อส่งสัตว์ประหลาดอันน่าสะพรึงกลัวนี้กลับไปสู่ขุมนรก

ธอร์เข้าจู่โจมด้วยการระเบิดพละกำลังขุมสุดท้าย เขาใส่กำลังทั้งหมดที่เขามีลงไปพร้อมกับกู่ร้องเสียงแห่งการประจันบาน เขาฟาดฟันดาบไปทั้งซ้ายและขวา เขากวัดแกว่งมันอย่างรวดเร็วอย่างที่เขายับยั้งมันไม่อยู่ แอนโดรนิคัสปัดป้องการตีแต่ละครั้ง แม้จะร่นถอยหลังไปทีละก้าวๆ การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป แอนโดรนิคัสก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นลูกชายแสดงพละกำลังขนาดนั้นและใช้มันอยู่เป็นเวลานาน

ธอร์หาจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมได้ เมื่อแขนของแอนโดรนิคัสมีท่าทีอ่อนแรง ธอร์เหวี่ยงดาบเข้าไปยังส่วนต่อของหัวขวานกับด้ามและจัดการกระแทกใบมีดของขวานให้หลุดออกจากมือของแอนโดรนิคัส แอนโดรนิคัสมองมันลอยผ่านไปในอากาศด้วยอาการตกตะลึง ธอร์เตะพ่อของเขาเข้ายังแผ่นอก ส่งให้เขาลอยไปด้านหลัง หงายหลังลงสู่พื้น

ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมาได้ ธอร์ก็ก้าวมาข้างหน้าแล้ววางฝ่าเท้าลงอยู่ที่ลำคอของเขา ทำให้เขาตรึงอยู่กับที่ ธอร์ยืนอยู่ตรงนั้นมองลงมาที่เขา

ทั่วทั้งสมรภูมิต่างตกตะลึงตัวแข็งค้าง เมื่อเห็นว่าธอร์ยืนอยู่เหนือแอนโดรนิคัส เขาถือดาบพร้อมกับชี้ปลายดาบไปยังลำคอของพ่อ

แอนโดรนิคัสที่มีเลือดซึมออกมาจากปากก็แสยะยิ้มแยกเขี้ยวออกมา

"เจ้าทำมันไม่ได้หรอก" เขากล่าว "นั่นคือความอ่อนแออันยิ่งใหญ่ของเจ้า เจ้ารักข้า มันก็เหมือนกับความอ่อนแอของข้าที่มีต่อเจ้า ข้าไม่อาจจะฆ่าเจ้าได้ ไม่ใช่ในตอนนี้และชั่วชีวิตของเจ้า การสู้กันมันช่างไร้ประโยชน์ เจ้าก็จะปล่อยข้าไปเพราะว่าเจ้ากับข้า เราเป็นหนึ่งเดียวกัน"

ธอร์ยังคงยืนอยู่เหนือร่างของเขา มือของเขาสั่นไหว เมื่อปลายดาบชี้ลงมายังลำคอของพ่อ เขายกมันขึ้นอย่างช้าๆ ส่วนหนึ่งของเขารู้ว่าคำพูดของพ่อเป็นความจริง เขาจะปล่อยให้ตัวเองฆ่าพ่อลงได้อย่างไร?

แต่เมื่อเขาจ้องมองลงไป เขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดทั้งหมด รู้สึกถึงความเสียหายทั้งหมด พ่อของเขาได้สร้างความเจ็บปวดให้กับทุกคนรอบตัวเขา เมื่อเขาคำนึงถึง ผลของการปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ มูลค่าที่มาจากความเห็นอกเห็นใจนี้ ตีค่าเป็นราคาที่ต้องชดใช้อย่างมโหฬาร ไม่ใช่เพียงแต่ธอร์ แต่เป็นทุกคนที่เขารักและห่วงใย ธอร์ชำเลืองไปที่เขาและเห็นทหารนับหมื่นๆ ของจักรวรรดิ ผู้ซึ่งเข้ามารุกรานบ้านเกิดของเขา ที่ยืนกันอยู่ตรงนั้น รอคอยที่จะโจมตีประชาชนของเขาอยู่ ชายคนนี้เป็นผู้นำกองทัพนั่น ธอร์เป็นหนี้ชีวิตแก่บ้านเกิดของเขา เป็นหนี้กับราชินีเกว็นโดลีน และที่มากที่สุดนั้นคือ หนี้แก่ตนเอง ชายคนนี้เป็นพ่อก็เพียงเพราะสายเลือด นั่นมันคือทั้งหมดที่เขามี เขาไม่ใช่พ่อไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เลือดเพียงอย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้เขาเป็นพ่อได้

ธอร์ยกดาบขึ้นสูงและปล่อยเสียงร้องประจัญบาน เขาเหวี่ยงดาบนั้นลง

ธอร์ปิดตาลง แล้วจึงเปิดดวงตาขึ้นมองดาบฝังตัวลึกลงไปในดิน มันอยู่ด้านข้างของศีรษะของแอนโดรนิคัส ธอร์ปล่อยมันทิ้งไว้ตรงนั้นและก้าวถอยหลังไป

พ่อของเขาพูดถูก เขาทำมันไม่ได้ ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม เขาปล่อยให้ตัวเองฆ่าคนที่ไร้ทางสู้ไม่ได้

ธอร์หันหลังให้กับพ่อมาเผชิญหน้ากับประชาชน เผชิญหน้ากับราชินีเกว็นโดลีน เห็นได้ชัดว่าเขาชนะในสงครามนี้ และเขา ได้แสดงจุดยืนแล้วในตอนนี้หากแอนโดรนิคัสยังคุมมีเกียรติอยู่บ้างเขาก็จะไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากนำทัพกลับไปบ้านเกิดของตน

"ธอร์กริน!" ราชินีเกว็นโดลีนกรีดร้อง

ธอร์หันไปด้วยความตกตะลึงอย่างสุดขีด เมื่อขวานของแอนโดรนิคัสเหวี่ยงตรงลงมายังหัวของเขา ธอร์ก้มหลบไปได้ในวินาทีสุดท้าย เมื่อขวานผ่านมันไปอย่างฉิวเฉียด

การเคลื่อนไหวของแอนโดรนิคัสมีความเร็วมาก ในการเคลื่อนไหวครั้งเดียวกันนั้นเอง เขาก็ใช้ถุงมือเหล็กยาวตีเข้ากับขากรรไกรของธอร์ ส่งผลให้เขาล้มลงและพยุงตัวอยู่บนเข่าและมือทั้งสอง

ธอร์รู้สึกได้ถึงอาการแตกร้าวบริเวณซี่โครงเมื่อแอนโดรนิคัสใช้รองเท้าบู้ทเตะเขาเข้าตรงช่องท้อง ส่งผลให้เขากลิ้งไปบนพื้น และอ้าปากหายใจหอบ

ธอร์ทรงตัวอยู่บนเขาและมือทั้งสองเขาหายใจหอบเหนื่อยพร้อมกับมีเลือดไหลออกมาจากปาก ความเจ็บปวดบริเวณซี่โครงกำลังจะฆ่าเขา ธอร์พยายามรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อลุกขึ้นยืน แต่ภาพที่ปรากฎที่ปลายหางตาของเขาคือ ภาพแอนโดรนิคัสที่ก้าวมาข้างหน้า พร้อมกับใช้มือมั้งสองยกขวานขึ้นสูง เล็งตรงมาเพื่อตัดหัวของเขาออก ธอร์เห็นมันกับตาอันแดงก่ำของตัวเองแล้วว่าแอนโดรนิคัสไร้ซึ่งความเมตตาซึ่งต่างจากที่เขามี

"ข้าน่าจะทำสิ่งนี้เมื่อสามสิบปีก่อน" แอนโดรนิคัสกล่าว

แอนโดรนิคัสปล่อยเสียงร้องแห่งการประจัญบาน เขาเหวี่ยงขวานลงมายังส่วนคอที่เปิดโล่งของธอร์

ส่วนธอร์ก็ยังคงไม่จบการต่อสู้ เขาใช้พลังงานที่มีในขุมสุดท้าย แม้จะมีอาการเจ็บปวด แต่เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน แล้วรี่เข้าไปจู่โจมพ่อของเขา โดยตะครุบเขาที่ซี่โครงและดันเขาไปด้านหลัง ผลักเขาลงล้มหลังกระแทกพื้น

ธอร์คร่อมตัวอยู่ด้านบน ปล้ำต่อสู้กันด้วยมือเปล่า มันกลายมาเป็นการต่อสู้ด้วยการปล้ำ แอนโดรนิคัสเอื้อมมือมาที่ลำคอของธอร์ ธอร์ต้องตกตะลึงถึงความแข็งแกร่งของเขา ธอร์รู้สึกขาดอากาศหายใจอย่างทันทีเมื่อเขาถูกบีบคอ

ธอร์จับเข้าที่เอวอย่างดิ้นรน เพื่อเสาะหามีดสั้น มันเป็นมีดสั้นของราชวงศ์แม็คกิลที่ราชาแม็คกิลทรงประทานมันให้กับเขา ก่อนที่พระองค์ จะสวรรคต ธอร์ขาดอากาศหายใจอย่างรวดเร็ว และเขารู้ว่าหากเขายังหามันไม่เจอ เขาจะต้องตายในทันที

ธอร์พบมันจนได้ในลมหายใจเฮือกสุดท้าย เขาใช้มือทั้งสองยกดาบสั้นขึ้นสูงและฝังมันลงไปในส่วนอกของแอนโดรนิคัส

แอนโดรนิคัสสะดุ้งอ้าปากค้างพร้อมกับดวงตาที่ปูดโปน จ้องมองมาด้วยสายตาแห่งความตาย เขายังนั่งอยู่ตรงนั้นและบีบคอลูกชายอย่างต่อเนื่อง

ธอร์กำลังขาดอากาศหายใจ เขามองเห็นดวงดาวพร่างพรูและร่างของเขาอ่อนปวกเปียก

ในที่สุด อุ้งมือของแอนโดรนิคัสก็ถูกปลดออก แขนของเขาตกอยู่ด้านข้างลำตัว ดวงตาเกลือกกลิ้งไปด้านข้างและหยุดการเคลื่อนไหวใดๆ เขาล้มตัวลงนอนอยู่ตรงนั้น ตัวแข็งค้าง สิ้นชีพ

ธอร์อ้าปากหายใจหอบ เมื่อเขาชำเลืองไปเห็นมือที่ไร้กำลังของพ่อหลุดออกจากลำคอของเขา เขาลากตัวออกมาพร้อมกับไอสำลักกับอากาศ ผลักร่างไร้วิญญาณของพ่อออกไปจากตัว

ตัวของธอร์สั่นไปทั้งตัว เมื่อรู้ว่าเขาเพิ่งจะฆ่าพ่อลงไป เขาคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ ธอร์ชำเลืองไปรอบๆ เห็นนักรบจากทั้งสองฝ่ายมองมาที่เขาอย่างตกตะลึง ธอร์รู้สึกถึงคลื่นความร้อนอย่างมหาศาลไหลเวียนอยู่ทั่วทั้งร่าง ราวกับว่ามันมีอะไรหมุนเวียนเปลี่ยนไปในตัวเขา ราวกับว่าเขาได้ชำระล้างปีศาจออกจากร่าง เขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงรู้สึกตัวเบาขึ้น

ธอร์ได้ยินเสียงดังสนั่นมาจากท้องฟ้าเสียงเหมือนกับเสียงฟ้าร้อง เมื่อเขามองขึ้นไปก็เห็นว่า มีก้อนเมฆขนาดเล็กสีดำทะมึนปกคลุมอยู่เหนือร่างของแอนโดรนิคัส และกลับกลายมาเป็นกรวยสีดำขนาดเล็กที่หมุนวนอยู่บนพื้นดิน มันดูเหมือนกับปีศาจร้าย มันหมุนวนอยู่รอบตัวของพ่อ ล้อมอยู่รอบตัวเขา มีเสียงโหยหวนดังขึ้น มันยกร่างของเขาขึ้นมาในอากาศ ยกสูงขึ้นและสูงขึ้นไป จนกระทั่งสูญหายลับตาไปในก้อนเมฆ ธอร์เฝ้ามองด้วยอาการช็อคและสงสัยว่า จิตวิญญาณของพ่อจะถูกลากไปยังนรกขุมไหน

Ücretsiz ön izlemeyi tamamladınız.