Kitabı oku: «ประทานพรแห่งสรรพาวุธ เล่ม 8 ในชุด วงแหวนของผู้วิเศษ», sayfa 3
บทที่ ห้า
ธอร์กรินนั่งอยู่บนหลังม้า มีพ่อของเขาอยู่เคียงข้าง แม็คคลาวด์อยู่อีกฝั่งหนึ่ง และมีราฟี่อยู่ใกล้ๆ ด้านหลังพวกเขาไปมีทหารของจักรวรรดิหลายหมื่นนาย พวกเขาเป็นกองทหารหลักของแอนโดรนิคัสที่มีวินัยอย่างดีและรอคอยคำสั่งจากแอนโดรนิคัสอย่างอดทน พวกเขานั่งอยู่ด้านบนสุดของแนวสันเขามองลงไปยังที่ราบสูงที่ด้านบนยอดปกคลุมไปด้วยหิมะด้านบนที่ราบสูงมีเมืองของแม็คคลาวด์ตั้งอยู่ชื่อว่า เมืองไฮแลนด์เดีย ธอร์รู้สึกตึงเครียด เมื่อเขามองเห็นกองกำลังหลายพันนายออกจากเมือง แล้วขี่ม้ามามุ่งหน้ามาหาพวกเขาเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
พวกนี้ไม่ใช่ทหารของแม็คคลาวด์หรือทหารของจักรวรรดิพวกเขาใส่ชุดเกราะที่ธอร์แทบจำได้อย่างเลือนลาง แต่ เมื่อเขากำดาบอันใหม่ในมืออย่างแน่นหนา เขาไม่แน่ใจว่าคนพวกนี้จริงๆ แล้วคือใคร? หรือเหตุใดพวกเขาจึงต้องเข้ามาโจมตี?
"แม็คคลาวด์ พวกทหารเก่าของข้า" แม็คคลาวด์อธิบายใครแอนโดรนิคัสฟัง "เป็นทหารที่ดีของแม็คคลาวด์ทั้งหมด ทหารทุกนาย คือคนที่ข้าฝึกฝนให้และต่อสู้มาด้วยกัน"
" แต่ในบัดนี้ พวกเขาต่างเป็นปรปักษ์กับเจ้า" แอนโดรนิคัสออกความคิดเห็น "พวกเขามุ่งเข้ามาโจมตี มาเพื่อพบเจ้าในสนามรบ"
แม็คคลาวด์ทำหน้าบึ้งตึง ดวงตาของเขาหายไปข้างหนึ่ง ครึ่งหนึ่งบนใบหน้าถูกประทับตีตราสัญลักษณ์ของจักรวรรดิ มันดูแปลกประหลาด
"ข้าขออภัย นายท่าน" เขากล่าว "มันไม่ใช่ความผิดของข้า นี่มันคือผลงานของลูกชายข้า บรอนสัน เขาเปลี่ยนคนของข้าเป็นปรปักษ์ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเขาแล้ว พวกทหารก็จะเข้าร่วมกับข้าในเวลานี้ เข้ามาร่วมกับกองทัพของท่าน"
"มันไม่ใช่เพราะลูกชายของเจ้าหรอก" แอนโดรนิคัสแก้คำพูดให้ โดยน้ำเสียงที่แกร่งดังเหล็กกล้า หันหน้ามาหาเขา มันเป็นเพราะว่า เจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาที่อ่อนและเป็นพ่อที่อ่อนแอยิ่งกว่า ความล้มเหลวในตัวลูกก็คือ ความล้มเหลวในตัวของเจ้าเอง ข้าควรจะรู้ว่าเจ้าบังคับทหารของตัวเองยังไม่ได้เลย ข้าน่าจะฆ่าเจ้าไปเสียตั้งนานแล้ว"
แม็คคลาวด์กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่อย่างลนลาน
"นายท่าน ท่านควรจะไตร่ตรองว่าพวกเขาไม่ได้แค่ต่อสู้กับข้า แต่ต่อสู้กับท่าน พวกเขาต้องการกำจัดอาณาจักรจักรวรรดิ"
แอนโดรนิคัสส่ายหัวพร้อมวางนิ้วลงจับสร้อยคอที่ร้อยมาจากหัวกระโหลกที่หดตัว
" แต่เจ้าอยู่ข้างข้าแล้วในตอนนี้" เขากล่าว "ดังนั้น การต่อสู้ปะทะกับข้า ก็คือ การต่อต้านเจ้าด้วย"
แม็คคลาวด์ชักดาบของเขาออกมา ทำหน้าบึ้งตึงมองลงไปยังกองกำลังที่เข้ามาใกล้
"ข้าจะต่อสู้และฆ่าฟันทหารของข้าเอง ฆ่าพวกมัน แต่ละคน และทุกๆคน" เขาประกาศ
"ข้ารู้ว่า เจ้าจะทำ"แอนโดรนิคัสกล่าว "หากเจ้าไม่ทำแล้ว ข้าก็จะฆ่าเจ้าโดยตัวข้าเอง แล้วข้าก็จะไม่ต้องการความช่วยเหลือของเจ้าอีกทหารของข้าสร้างความพินาศได้มากกว่าที่เจ้าเคยจินตนาการไว้ โดยเฉพาะ เมื่อนำกองกำลังโดยลูกชายของข้า ธอร์นิคัส"
ธอร์นั่งอยู่บนหลังม้า เขาได้ยินบทสนทนาทั้งหมดอย่างลางเลือน และ ในขณะเดียวกัน เขาก็แทบไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เขาอยู่ในภาวะที่งงงวย จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความคิดแปลกไปที่เขาไม่เคยจดจำได้ ความคิดที่เต้นเป็นจังหวะผ่านหัวสมองที่ย้ำเตือนอย่างต่อเนื่องถึงความจงรักภักดีกับพ่อของตัวเอง ถึงหน้าที่ที่ต้องต่อสู้เพื่อจักรวรรดิ และชะตากรรมของเขาในฐานะลูกชายของแอนโดรนิคัส ความคิดที่หมุนวนอยู่ในจิตใจอย่างไม่ยอมหยุดหย่อน ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถจัดการกับจิตใจให้มีความชัดเจน ให้สามารถคิดอะไรได้ด้วยตัวเอง มันเหมือนกับว่าร่างของเขาได้ถูกจับเป็นตัวประกัน
ขณะที่แอนโดรนิคัสกำลังพูดเสียงของเขาได้กลายมาเป็นข้อเสนอในจิตใจของธอร์ แล้วจึงกลายมาเป็นคำสั่ง จากนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็กลายมาเป็นความคิดของตัวเขาเอง ธอร์พยายามดิ้นรน ส่วนเล็กๆ ในตัวของเขาพยายามที่จะกำจัดความคิดที่ แพร่ตัวเข้ามาเหล่านี้ เพื่อไปให้ถึงจุดที่มีความชัดเจน แต่ยิ่งเขาดิ้นรนมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น
ขณะที่เขานั่งอยู่บนหลังม้า มองออกไปยังกองทัพที่ควบม้าเข้ามายังที่ราบ เขารู้สึกถึงเลือดในตัวที่วิ่งผ่านในตัว แล้วสิ่งที่เขาคิดได้ทั้งหมด ก็คือความจงรักภักดีกับพ่อ เขาต้องการจะบดขยี้ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาขวางทางพ่อ มันเป็นโชคชะตาของเขาที่จะปกครองจักรวรรดิ
"ธอร์นิคัส เจ้าได้ยินข้าไหม?" แอนโดรนิคัสกระตุ้น "เจ้าได้เตรียมตัวพิสูจน์ตัวเองในการต่อสู้ เพื่อพ่อของเจ้าหรือเปล่า?"
"ใช่ ท่านพ่อ" ธอร์ตอบกลับ มองตรงไปข้างหน้า "ข้าจะต่อสู้กับใครก็ตามที่เข้ามาสู้รบกับท่าน" แอนโดรนิคัสยิ้มกว้าง เขาหันไปหาทหารของเขา
"เหล่าทหาร!" เขาเปล่งเสียงดัง "เวลานี้เราต้องเผชิญหน้ากับศัตรู เพื่อขจัดการกบฏของอาณาจักรวงแหวน พวกเราควรจะเริ่มต้นจากพวกทหารของแม็คคลาวด์ที่กล้ามาต่อกรกับเรา ธอร์นิคัส ลูกชายข้าจะนำพวกเราไปรบ พวกเจ้าจะติดตามเขาไป อย่างที่ติดตามข้า พวกเจ้าจะสละชีพเพื่อเขา อย่างที่เจ้าจะสละให้ข้า การทรยศต่อเขา หมายถึงการทรยศต่อข้า"
"ธอร์นิคัส" แอนโดรนิคัสตะเบ็งเสียงร้อง
"ธอร์นิคัส" ทหารนับ หมื่น กล่าวขึ้นพร้อมกันเป็นเสียงสะท้อนกลับมา
ธอร์รู้สึกจะถูกกระตุ้นให้กล้าหาญ เขายกดาบอันใหม่ขึ้นสูง ดาบแห่งจักรวรรดิที่พ่อผู้เป็นที่รักได้ให้เขาไว้ เขารู้สึกถึงพลังที่วิ่งผ่านอยู่ในนี้ เป็นพลังที่อยู่ในสายโลหิตของเขา ของประชาชนของเขา ของทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสมควรจะเป็น ในที่สุด เขาก็ได้กลับมาบ้าน กลับมาอยู่กับพ่อของเขาอีกครั้งหนึ่ง สำหรับพ่อแล้วธอร์จะทำอะไรก็ได้ แม้ แต่กระโจนโผเข้าสู่ความตาย
ธอร์กู่ร้องเสียงแห่งการรบประจันบาน ขณะที่กำลังเตะม้า มุ่งจู่โจมลงไปยังหุบเขา มันเป็นสมรภูมิแรกของเขา ด้านหลัง เสียงกู่ร้องพร้อมรบดังสนั่นหวั่นไหวตามมา เมื่อทหารหลายหมื่นนายตามเขามา ทั้งหมดทุกคนเตรียมพร้อมที่จะติดตามธอร์นิคัส…เข้าสู่ความตาย
บทที่ หก
ไมโครเพิลนั่งขดตัว เธอถูกพันเข้ากับตาข่ายแอคดอนขนาดใหญ่ที่ยุ่งเหยิง เธอไม่สามารถจะเหยียดตัวหรือกระพือปีกของเธอได้ เธอนั่งอยู่ตรงพวงมาลัยด้านหัวเรือของจักรวรรดิ เธอพยายามดิ้นรน เธอไม่สามารถจะยกคาง ไม่สามารถขยับแขนหรือมากรงเล็บได้ เธอไม่เคยรู้สึกแย่อย่างนี้มาก่อนในชีวิต ไม่เคยรู้สึกถึงการขาดอิสรภาพ ขาดพละกำลังเช่นนี้ เธอม้วนตัวเหมือนกับลูกบอล กระพริบตาช้าๆ อย่างสิ้นหวัง มันเป็นความหวังเพื่อธอร์มากกว่าให้ตัวของเธอเอง
ไมโครเพิลสามารถรู้สึกถึงพลังงานของธอร์ได้ แม้ว่าอยู่ห่างไปเป็นระยะไกล แม้ว่าเรือของเธอจะแล่นออกไปสู่ท้องทะเล กระดอนขึ้นลงอยู่บนระลอกคลื่นอันโหดร้าย ร่างกายที่ลอยขึ้นและตกลง เมื่อคลื่นกระแทกเข้าสู่ดาดฟ้าเรือ ไมโครเพิลสามารถรับรู้ว่าธอร์เปลี่ยนแปลงไป เขากำลังกลายไปเป็นคนอื่น เขาไม่ใช่ผู้ชายที่เธอเคยรู้จัก หัวใจของเธอแตกสลาย เธอไม่สามารถช่วยอะไรได้ นอกจากรู้สึกราวกับว่าเธอได้ทำให้เขาผิดหวัง เธอพยายามต่อสู้ดิ้นรนอีกครั้ง เธอต้องการที่จะไปหาเขาอย่างยิ่ง เพื่อช่วยเหลือเขา แต่เธอไม่สามารถหลุดเป็นอิสระได้
คลื่นใหญ่อีกลูกเข้าปะทะบนดาดฟ้าเรือ ฟองน้ำจากทะเลทาร์ทูเวียนไหลเข้ามาใต้ตาข่ายของเธอ ทำให้เธอไถลไป หัวของเธอชนเข้ากับตัวเรือที่เป็นไม้ เธอหมอบตัวและคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เมื่อไร้จิตวิญญาณและความแข็งแกร่งที่เธอเคยมี เธอได้สละตัวเองไปกับโชคชะตาอันใหม่ ที่เธอรู้ว่าตัวเองกำลังถูกพาไปเพื่อปลิดชีวิต หรือแย่ไปกว่านั้นคือ ถูกจับขังทั้งเป็น เธอไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรกับเธอ เธอเพียงต้องการให้ธอร์เป็นสุข เธอต้องการโอกาสเดียว เพียงแค่โอกาสสุดท้าย ที่เธอจะแก้แค้นพวกที่เข้ามารุกรานเธอ
"เธออยู่นั่นไง! ไถลไปครึ่งทางบนดาดฟ้า" หนึ่งในทหารของจักรวรรดิตะโกนขึ้น
ทันใดนั้น ไมโครเพิลรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการกระทุ้งแทงเข้าที่เกล็ดบนใบหน้าที่มีความอ่อนไหวและเธอเห็นทหารจักรวรรดิสองนายที่ถือหอกยาวสามสิบฟุต ใช้หอกแยงผ่านตาข่าย กระตุ้นให้เธอไปอยู่ในระยะที่ปลอดภัย เธอพยายามที่จะพุ่งเข้าใส่พวกเขา แต่โซ่กักเธอเอาไว้ ทำให้เธอตกลงมา เธอคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ขณะที่พวกเขาแทงหอกใส่เธอ ครั้งแล้วครั้งเล่า ต่างพากันหัวเราะร่า เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังทำไปด้วยความครึกครื้น
"เธอไม่ได้กลัวเราแล้ว ใช่ไหมตอนนี้?" นายทหารคนหนึ่งถามทหารอีกนาย
ทหารอีกคนหนึ่งหัวเราะพร้อมกระทุ้งหอกเข้าไปที่ดวงตาของเธอ ไมโครเพิลขยับตัวหนีได้ในวินาทีสุดท้าย ที่มันช่วยเธอไว้จากอาการตาบอด
"เธอไม่มีพิษสงเหมือนตอนที่บินได้" นายทหารคนหนึ่งกล่าว
"ข้าได้ยินว่า พวกเขาจะเอาเธอแสดงโชว์ในเมืองหลวงของจักรวรรดิอันใหม่" "นั่นไม่ใช่ที่ข้าได้ยินมา" ทหารเองนายพูด "ข้าได้ยินมาว่า เขาจะเอาปีกของเธอออก และทรมานเธอจากความเสียหายทั้งหมดที่เธอทำไว้กับพวกเรา"
"ข้าอยากจะไปที่นั่นเพื่อเฝ้าดู"
"แล้วเราต้องเอาเธอไปส่งแบบไม่เสียหายด้วยหรือ" ทหารคนหนึ่งถาม
"มันเป็นคำสั่ง"
" แต่ข้าไม่เห็นว่า ทำไมเราจะทำอะไรไม่ได้ อย่างน้อยๆ ก็แค่ให้เธอบาดเจ็บนิดหน่อย อย่างไรเสีย เธอก็ไม่ได้ต้องการมีตาทั้งสองข้าง ใช่หรือเปล่า?"
ทหารอีกคนหนึ่งหัวเรา
"งั้นตอนนี้ อย่างที่เจ้าว่ามา ข้าเดาว่าไม่ควร" เขาตอบ
"ทำเลย เอามันให้สนุก"
หนึ่งในทหารเข้ามาใกล้พร้อมกับยกหอกของเขาขึ้น “อยู่เฉยๆ แม่สาวน้อย” ทหารคนนั้นกล่าว
ไมโครเพิลผงะถอยหนี รู้สึกหมดหนทาง ในขณะที่นายทหารพุ่งเข้ามาข้างหน้า เตรียมตัวที่จะพุ่งหอกยาวลงมายังดวงตาของเธอ ทันใดนั้น คลื่นอีกระลอกก็เข้าปะทะใส่น้ำสาดเข้ามายังขาของนายทหารและเขาก็ไถลมาตรงหน้าของเธอ ดวงตาเปิดขึ้นอย่างหวาดกลัว ในความพยายามอันยิ่งยวดของเธอไมโครเพิลพยายามยกกรงเล็บขึ้นข้างหนึ่งที่มันสูงพอที่จะจัดการนายทหารที่ไถลมาอยู่ใต้เธอได้ เธอฟาดกรงเล็บลงมาใส่เขาและทิ่มมันลงไปยังลำคอของเขา เขากรีดร้องและมีเลือดไหลทะลักอยู่ทั่วไปหมด มันผสมไปกับน้ำ ขณะที่เขานอนตายอยู่ข้างใต้เธอ ไมโครเพิลจึงรู้สึกถึงความพอใจได้เล็กน้อย
ทหารจักรวรรดิที่เหลือหันหนีแล้ววิ่งไปกรีดร้องขอความช่วยเหลือ เพียงอีกไม่นานทหารจักรวรรดินับโหลก็โผล่เข้ามาใกล้และมาพร้อมกับหอกยาวมากมายข้าเจ้าสัตว์ร้ายหนึ่งในพวกเขาแผดเสียง
พวกเขาทั้งหมดกรูเข้ามาเพื่อจะฆ่าเธอและไมโครเพิลรู้สึกแน่ใจว่าพวกเขาจะต้องทำแน่นอน
ไมโครเพิลรู้สึกถึงอาการแผดเผาของความเดือดดาลไปทั่วร่าง มันไม่เหมือนอะไรที่เธอเคยรู้สึกมาก่อน เธอปิดตาลงและอธิฐานถึงพระเจ้า เพื่อทรงมอบพละกำลังเฮือกสุดท้ายแก่เธอ
ไมโครเพิลรู้สึกถึงความร้อนที่มาจากช่องท้องอย่างช้าๆ และวิ่งผ่านมาถึงบริเวณลำคอเธออ้าปากขึ้น แล้วปล่อยเสียงร้องลั่นออกมา เธอต้องความประหลาดใจที่เปลวเพลิงแห่งการสังหารถูกปลดปล่อยออกมา
เปลวไฟลามไปทั่วตาข่าย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ทำลายตาข่ายแอคดอน แต่กำแพงไฟที่ปกคลุมอยู่นั้น ก็ดูดกลืนทหารนับโหลที่กำลังเข้ามาใกล้เธอ ทุกคนต่างกรีดร้อง เมื่อร่างถูกเผาในกองไฟ ส่วนใหญ่ล้มลงกองอยู่บนพื้น และพวกที่ไม่ได้ตายในทันทีก็วิ่งหนีและกระโดดออกไปนอกเรือไปสู่มหาสมุทร ไมโครเพิลยิ้มร่า
ทหารอีกหลายโหลโผล่ขึ้นมา มาพร้อมกับไม้กระบอง ไมโครเพิลก็พยายามที่จะรวบรวมเปลวเพลิงอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้มันใช้งานไม่ได้ พระเจ้าได้สนองคำอธิษฐานของเธอไปแล้ว แล้วทรงให้เธอได้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่ตอนนี้ มันไม่มีอะไรอีกที่เธอจะทำได้ อย่างน้อยๆเธอก็รู้สึกสำนึกในบุญคุณกับสิ่งที่เธอมี
ทหารหลายสิบที่เข้ามาใกล้เธอ เข้ามาตีเธอด้วยไม้กระบอง ไมโครเพิลรู้สึกว่าตัวเองกำลังดิ่งจมลงอย่างช้าๆ ดิ่งลงไปๆ ดวงตากำลังปิด เธอหดตัวแน่น รู้สึกยอมจำนน สงสัยว่าเวลาของเธอในโลกนี้กำลังมาถึงจุดจบ
ในไม่ช้า โลกของเธอก็เต็มไปด้วยความมืดมิด
บทที่ เจ็ด
โรมิวลัสยืนอยู่ตรงบริเวณพวงมาลัยของเรือขนาดมหึมา ตัวลำเรือเป็นสีดำกับทองที่ประดับด้วยธงของจักรวรรดิที่เป็นรูปสิงโตคาบนกอินทรีย์ ผืนธงปลิวไสวอย่างเด่นชัดท่ามกลางกระแสลม เขายืนอยู่ตรงนั้นโดยวางมือไว้บนสะโพก ร่างกายของเขามีลำตัวที่กว้างผ่าผายและเต็มไปด้วยมัดกล้าม และมันยิ่งดูกว้างไปกว่าเดิมเหมือนกับว่ามันถูกฝังเอาไว้กับดาดฟ้าเรือ เขากำลังมองออกไปยังคลื่นที่สะท้อนแสงและกระเพื่อมขึ้นลงของทะเลอัมเบรค ภาพในระยะไกลที่มองเห็นจากตรงนี้คือ ชายฝั่งของอาณาจักรวงแหวนในที่สุด
หัวใจของโรมิวลัสก็ทะยานลิ่วไปด้วยความคาดหวัง เมื่อเขาสามารถมองเห็นอาณาจักรวงแหวนเป็นครั้งแรก บนเรือที่เขากำลังแล่นอยู่นี้มีนายทหารที่เลือกสรรมาแล้วว่ามีฝีมือดีที่สุดจำนวนหลายสิบนาย และห่างออกไปทางด้านหลังก็มีเรือที่เยี่ยมยอดที่สุดของจักรวรรดิที่แล่นตามมานับพันๆ ลำ มันเป็นกองเรือรบที่ยิ่งใหญ่ที่เติมเต็มน่านน้ำทะเลนี้ เรือทุกลำแล่นมาพร้อมผืนธงของอาณาจักรจักรวรรดิ พวกเขาแล่นเรือมาเป็นระยะทางแสนไกล เดินทางวนรอบอาณาจักรวงแหวนด้วยความมุ่งมั่นที่จะขึ้นบกบริเวณฝั่งของแม็คคลาวด์ โรมิวลัสวางแผนที่จะเข้ามาในอาณาจักรวงแหวนด้วยตัวของเขาเอง โดยหลบๆ ซ่อนๆ จากเจ้านายเก่าของเขา ซึ่งก็คือแอนโดรนิคัส และจะทำการลอบสังหารเขา โดยที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน
เขายิ้มให้กับตัวเองในความคิดนั้น แอนโดรนิคัสไม่มีทางรู้ถึงอำนาจหรือความเจ้าเล่ห์ของผู้คุมอำนาจเป็นลำดับที่สอง เขากำลังจะเรียนรู้มันในวิธีที่รุนแรง เขาไม่สมควรจะประเมินตัวของโรมิวลัสต่ำเกินไป
คลื่นขนาดใหญ่ซัดผ่านเข้ามา โรมิวลัสรู้สึกครื้นเครงสนุกไปกับละอองน้ำเย็นๆบนใบหน้า เขายึดเสื้อคลุมวิเศษเอาไว้ในลำแขนที่เขาได้มันมาจากป่าลึก และเขารู้สึกว่ามันจะใช้การได้ มันจะทำให้เขาข้ามหุบเขาใหญ่ไปได้ เขารู้ว่า เมื่อเขาสวมมันแล้ว เขาจะสามารถล่องหนได้ และจะแทรกตัวผ่านโล่พลังไปได้ ข้ามไปยังฝั่งอาณาจักรวงแหวนเพียงลำพัง ภารกิจของเขาต้องกระทำการแบบลับๆ มาพร้อมกับเล่ห์เหลี่ยมและความประหลาดใจ เหล่าทหารของเขาไม่สามารถตามมาได้ มากกว่านั้นเขาก็ไม่ได้ต้องการทหารใดๆ เมื่อเขาหลุดเข้าไปได้ เขาจะตามหาทหารของแอนโดรนิคัส พวกทหารจักรวรรดิและชุมนุมให้พวกเขามาเป็นพวกเดียวกัน เขาจะแยกพวกทหารออกมาและสร้างกองทัพของตัวเอง จัดสร้างเป็นสงครามกลางเมือง อย่างไรเสีย ทหารจักรวรรดิก็มีความรักกับโรมิวลัสเท่าๆกับแอนโดรนิคัส เขาจะใช้ทหารของแอนโดรนิคัสเข้ามาสู้กับทัพของเขาเอง
จากนั้น โรมิวลัสก็จะตามหาพวกแม็คกิล เพื่อนำพาเขาข้ามหุบเขาใหญ่ไป ซึ่งนี่เป็นเงื่อนไขของการใช้เสื้อคลุมวิเศษ ถ้าหากว่าตำนานเป็นเรื่องจริงแล้ว โล่พลังก็จะถูกทำลายลงได้ เมื่อโล่พลังถูกปรับลงแล้ว เขาก็จะรวบรวมกองกำลังทหาร และทหารทั้งหมดจากกองเรือรบก็จะกรูกันเข้ามาข้างในได้ พวกเขาทั้งหมดก็จะบดขยี้อาณาจักรวงแหวนได้อย่างสำเร็จ จากนั้น ในที่สุดโรมิวลัสก็จะเป็นผู้นำแห่งจักรวาล แต่เพียงผู้เดียว
เขาสูดหายใจลึก ในขณะนี้เขาเกือบจะได้ลิ้มรสมันแล้ว เขาได้ต่อสู้มาตลอดทั้งชีวิตก็เพื่อโอกาสนี้เสมอมา
โรมิวลัสจ้องมองไปบนท้องฟ้าสีแดงปนะดุจดั่งโลหิต ดวงอาทิตย์ดวงที่สองกำลังจะลาลับ มันเป็นเหมือนลูกบอลขนาดใหญ่ของเส้นขอบฟ้าที่ ส่องแสงสีฟ้าเรืองรองในช่วงเวลากลางวัน มันเป็นช่วงเวลาที่โรมิวลัสจะภาวนาถึงเหล่าเทพเจ้า มีเทพเจ้าแห่งพื้นพิภพธรณี เทพเจ้าแห่งมหาสมุทร เทพเจ้าแห่งนภากาศ เทพเจ้าแห่งวายุและเหนือสิ่งอื่นใด คือ เทพเจ้าแห่งสงคราม เขารู้ว่าเขาจะต้องเอาใจเทพเจ้าทั้งหมดนั้น เขากำลังเตรียมตัวที่จะนำพวกทาสทั้งหลายมาบูชายันต์ และหลั่งเลือดของพวกเขาเพื่อเติมพลังให้กับตนเอง
คลื่นพากันซัดสาดอยู่รอบตัวของเขา ขณะที่พวกเขาเข้ามาใกล้ชายฝั่งโรมิวลัสไม่รอคอยผู้ใดให้รถเชือกลงเขากระโดด ออกจากลำเรืออย่างรวดเร็ว เมื่อหัวเรือได้เข้าเทียบกับพื้นทรายกระโดดลงมาราวยี่สิบฟุตและลงสู่ภาคพื้นด้วยเท้าทั้งสองตรงนั้นมีระดับน้ำสูงขึ้นมาจนถึงช่วงเอวของเขา แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกผงะไปกับมัน
โรมิวลัสเดินเตร็ดเตร่ไปสู่ชายฝั่งราวกับว่าเขาเป็นผู้ครอบครองมัน รอยเท้าของเขาหนักอึ้งอยู่บนผืนทราย ทางด้านหลังของเขานั้น เหล่าทหารก็กำลังลดเชือกเพื่อที่จะลงมา โดยมีเรือลำอื่นๆเข้ามาเทียบท่าตามมา
โรมิวลัสได้สำรวจผลงานของเขาทั้งหมดและยิ้มออกมา ท้องฟ้าเริ่มจะมืดแล้ว และเขาก็มาถึงชายฝั่งในช่วงเวลาที่เหมาะสม มันเหมาะที่จะเริ่มการบวงสรวงบูชายันต์ เขารู้ว่าเหล่าเทพเจ้าจะต้องรู้สึกขอบคุณเขาสำหรับสิ่งนี้ เขาหันไปหาเหล่าทหาร
"จุดไฟ!" โรมิวลัสตะโกนลั่น
พวกทหารพากันลนลานเร่งเข้ามาก่อกองไฟขนาดใหญ่ที่มีความสูงราวสิบห้าฟุต โดยมีกองฟืนขนาดใหญ่สุมอยู่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจุดไฟ มันกระจายกันอยู่โดยรอบเป็นรูปร่างดาวสามแฉก
โรมิวลัสพยักหน้ากับนายทหาร จากนั้นพวกทหารจึงลากพวกทาสเขามานับสิบๆ คนที่ผูกรวมกันไว้ พวกเขาถูกมัดอยู่กับกองฟืน โดยมีเชือกผูกเอาไว้แน่น พวกนักโทษจ้องมองกลับมาด้วยดวงตาเบิกโพรงไปด้วยความหวาดกลัว พวกเขากรีดร้อง ดิ้นรน ด้วยความรู้สึกสะพรึงกลัวที่เห็นว่า กองไฟได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว และรับรู้ว่าพวกเขากำลังจะถูกเผาทั้งเป็น
"อย่าทำข้าเลย!" หนึ่งในบรรดานักโทษกรีดร้อง "ได้โปรดเถิด! ข้าขอร้อง! ต้องไม่ใช่แบบนี้ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่แบบนี้!"
โรมิวลัสไม่แยแสพวกเขา เขาหันหลังให้ทุกคน เดินไปข้างหน้าหลายก้าว เขาอ้าวงแขนกว้างแล้วเงยหน้าขึ้นมองยังท้องฟ้า
"โอมารัส!" เขาจะตะโกนร้อง "ได้โปรดส่องแสงมาให้พวกข้าได้เห็น ได้โปรดรับการสังเวยในคืนนี้ โปรดมาอยู่กับข้าในการเดินทางสู่อาณาจักรวงแหวน ได้โปรดส่งสัญญาณให้ข้า ให้ข้าได้รู้ว่าข้าจะกระทำการสำเร็จ!"
โรมิวลัสลดมือของเขาลง และ เมื่อนั้นเอง พวกทหารก็เร่งรุดไปข้างหน้า พร้อมกับจุดคบเพลิงลงบนกองไฟ
เสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสะพรึงกลัวก็ดังขึ้นมา เมื่อบรรดาทายาททุกคนถูกเผาทั้งเป็นประกายไฟปะทุลอยออกไปทั่วทุกหนแห่ง ขณะที่โรมิวลัสยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของเขาก็ดูสว่างขึ้นมา ราวกับว่าเขากำลังมองดูภาพที่น่าตื่นเต้น
โรมิวลัสพยักหน้า จากนั้น ทหารของเขาก็นำตัวหญิงชรามาข้างหน้า ดวงตาข้างหนึ่งของเธอหายไป ใบหน้าของเธอเหี่ยวย่น ร่างกายของเธององุ้ม ทหารหลายนายพาตัวเธอเข้ามากับรถเทียมม้า หญิงชราชะโงกหน้าเข้าหากองไฟ โรมิวลัสเฝ้ามองดูเธออย่างอดทน เขารอคอยที่จะฟังคำพยากรณ์จากนาง
"เจ้าจะทำการสำเร็จ" นางกล่าว "เว้น แต่ว่า เจ้าจะเห็นพระอาทิตย์ทั้งสองกลายเป็นหนึ่ง"
โรมิวลัสปล่อยรอยยิ้มกว้าง ดวงอาทิตย์รวมเป็นหนึ่งงั้นหรือ? มันไม่เคยเกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว
เขารู้สึกปิติยินดี มีความอบอุ่นไหลบ่าเข้ามาในทรวงอก นั่นคือทุกสิ่งที่เขาปรารถนาจะได้ยิน เหล่าทวยเทพเจ้าได้มาอยู่กับเขาแล้ว
โรมิวลัสคว้าเสื้อคลุมวิเศษของเขา พร้อมกับขึ้นขี่ม้า เขาเตะมันอย่างแรง เริ่มที่จะควบม้าออกไปเพียงลำพังผ่านไปตามผืนทราย ไปตามถนนที่จะนำพาเขาไปสู่ทางข้ามฝั่งตะวันออก ข้ามผ่านหุบเขาใหญ่ และในไม่ช้าก็จะเข้าไปถึงใจกลางของอาณาจักรวงแหวน
บทที่ แปด
เซลีสเดินผ่านไปตามส่วนที่เหลือของสนามรบ โดยมีอิลเลพราอยู่เคียงข้างเธอ แต่ละคนสำรวจศพแล้วศพเล่า พยายามตรวจสอบดูอาการที่บ่งบอกว่ายังมีชีวิตอยู่ มันเป็นการเดินทางอันแสนยาวนานและหนักหน่วงจากเมืองซิเลเซีย ที่พวกเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมา พวกเขาติดตามกลุ่มคนหลักๆของกองทัพที่ได้รับบาดเจ็บและล้มตาย พวกเขาแยกออกมาจากผู้ที่รักษาคนเจ็บท่านอื่นๆและได้กลายมาเป็น เพื่อนสนิทกันที่ผูกพันกันจากการผ่านร้อนผ่านหนาวร่วมกัน พวกเขาดึงดูดเข้าหากันได้อย่างเป็นธรรมชาติ พวกเขามีอายุใกล้เคียงกัน มีรูปร่างลักษณะคล้ายกัน บางทีที่สำคัญกว่านั้น คือ พวกเขาแต่ละคนต่างก็หลงรักผู้ชายจากราชวงศ์แม็คกิล เซลีสพบรักกับเจ้าชายรีส และสำหรับอิลเลพรา แม้นางลังเลที่จะยอมรับมัน แต่อิลเลพราก็พบรักกับเจ้าชายก็อดฟรีย์
สิ่งที่พวกเขาทำได้ดีที่สุดก็คือ พยายามติดตามกองทัพหลักให้ทัน พยายามเดินทางเข้าแล้วออกสนามรบ บุกป่าฝ่าดง เดินย่ำถนนโคลนและรักษาบาดแผลให้พวกทหารแม็คกิล การตามหาพวกเขาไม่ได้เป็นเรื่องยาก เพราะร่างพวกเขาเติมเต็มภูมิประเทศไปทั่ว ในบางคราเซลีสมีความสามารถพอที่จะรักษาพวกเขาได้ แต่สำหรับหลายๆครั้งสิ่งที่นางและอิลเลพราสามารถทำได้ ก็คือ พันแผลให้พวกเขาและให้ยาอายุวัฒนะไป แล้วส่งให้พวกเขาจบชีวิตลงอย่างสงบ
มันเป็นเรื่องเศร้าสำหรับเซลีส การที่นางเป็นผู้รักษาที่มาจากเมืองเล็กๆ ในชั่วชีวิตนี้ นางไม่เคยต้องทำงานที่พบความรุนแรงเท่านี้และในสงครามที่มีขนาดใหญ่โตขนาดนี้ นางเคยทำ แต่จัดการรักษาบาดแผลจากรอยถลอก รอยตัดและบาดแผลเล็กๆน้อยๆ บางครั้งก็มีการรอยกัดจากตัวฟอว์สิธ แต่นางไม่เคยชินกับการนองเลือดขนาดใหญ่และความตายขนาดนี้ ต้องพบเจอบาดแผลที่มีความรุนแรงและผู้คนบาดเจ็บอย่างมาก มันทำให้นางรู้สึกเศร้าโศกอย่างสุดซึ้ง
ในอาชีพของนางแล้ว เซลีสปรารถนาที่จะรักษาผู้คนและเห็นเขามีสุขภาพดี แต่ เมื่อนางเริ่มต้นภารกิจนี้จากเมืองซิเลเซีย นางไม่เคยเห็นสิ่งใดอื่นเลย นอกไปจากการนองเลือดที่ไม่สิ้นสุด เหตุใดมนุษย์เราสามารถเรื่องนี้กับคนอื่นได้? ผู้บาดเจ็บพวกนี้อาจจะเป็นลูกชายของใคร เป็นพ่อ เป็นสามีของใครก็ได้ ทำไมมนุษยชาติถึงได้โหดร้ายเพียงนี้?
เซลีสยิ่งรู้สึกหัวใจแหลกสลาย เมื่อนางไม่มีสามารถที่จะช่วยเหลือผู้คนที่นางพบปะ แต่ละคนได้ เสบียงสำหรับดูแลมีจำนวนจำกัดและมันก็เป็นระยะทางไกลซึ่งนาง มีอุปกรณ์ไม่มากสำหรับผู้รักษาคนอื่นๆที่มาจากอาณาจักรวงแหวนก็แยกตัวกระจายตัวออกไปทั่วอาณาจักร พวกเขาเหมือนเป็นกองกำลังกองหนึ่งที่แผ่ขยายไปอย่างบางตาพร้อมกับอุปกรณ์ที่มีน้อยนิด หากไม่มีรถลาก ม้าหรือกลุ่มบุคคลผู้ช่วยที่เพียงพอแล้ว เสบียงกับอุปกรณ์พวกนี้คือสิ่งที่นางสามารถขนเอามาด้วยได้
เซลีสหลับตาของนางลงและหายใจเข้าลึก ในขณะที่เดินไป มองเห็นใบหน้าของผู้บาดเจ็บที่อยู่ตรงหน้า หลากหลายครั้งที่เธอรักษาทหารผู้บาดเจ็บจากแผลฉกรรจ์ซึ่งนอนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด นางมองเห็นดวงตาของเขาชำเลืองมองมา แล้วรักษาเขาด้วยการให้ยาบลาท็อกซ์ มันเป็นยาระงับความเจ็บปวดที่ได้ผลดีและเป็นยากล่อมประสาทที่มีประสิทธิภาพ แต่มันจะไม่รักษาแผลที่เป็นหนองหรือหยุดยั้งการติดเชื้อ หากไม่มีเสบียงที่เพียงพอแล้ว นี่คือสิ่งที่นางทำได้ มันทำให้นางอยากจะร้องไห้และกรีดร้องออกมาในเวลาเดียวกัน
เซลีสและอิลเลพราคุกเข่าอยู่เหนือกับทหารผู้บาดเจ็บ พวกนางอยู่ห่างกันราวสองสามฟุต แต่ละคนก็กำลังวุ่นวายกับการเย็บแผลด้วยเข็มและด้าย เซลีสจำใจต้องใช้เข็มนี้มาหลายครั้งแล้ว เธอปรารถนาจะได้เข็มที่สะอาดอีกสักอันหนึ่ง แต่เธอก็ไม่มีทางเลือก ทหารอีกคนร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด ขณะที่เธอกำลังเย็บรอยแผลยาวที่บริเวณน่องของเขา ซึ่งมันดูเหมือนจะไม่ต้องการที่จะปิดลงมาและก็ยังคงมีของเหลวซึมไหลออกมาอีก เซลีสกดฝ่ามือของเธอลงไปพยายามช่วยห้ามเลือดไม่ให้ไหลออกมา
แต่มันความพ่ายแพ้อย่างกับสงคราม หากนางมาถึงทหารผู้นี้หนึ่งวันก่อนหน้านี้ ทุกอย่างก็จะอยู่ในสภาพดี แต่ตอนนี้แขนของเขากลายเป็นสีเขียว แล้วมันก็เริ่มจะเหมือนมีรอยแตกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"เดี๋ยวเจ้าก็จะเป็นปกติแล้ว" เซลีสกล่าวกับเขาลงไป
"ไม่ ไม่มีทางหรอก" เขากล่าวพร้อมกับมองกลับขึ้นมายังเธอด้วยสายตาแห่งความตาย เซลีสมองเห็นสายตาแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว "บอกข้ามาเถิด ข้าจะตายหรือไม่?"
เซลีสหายใจเข้าลึกและกลั้นมันเอาไว้ เธอไม่รู้ว่าจะตอบไปอย่างไรดี เธอเกลียดการที่ไม่ซื่อสัตย์ แต่เธอก็ทนไม่ได้ที่จะบอกเขาไป
"ชะตาชีวิตของพวกเราอยู่ในมือของผู้สร้าง" เธอกล่าว "มันไม่สายไปหรอกสำหรับพวกเรา ดื่มนี้เถิด" นางกล่าวพร้อมกับหยิบขวดแก้วที่บรรจุยาบลาท็อกซ์ออกมาจากย่ามที่อยู่ตรงบริเวณเอว เธอกรอกยาลงตรงริมฝีปากพร้อมกับลูบเข้าที่หน้าผากของเขา
เขากลอกตาของไปด้านหลังพร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความสงบเย็นเป็นครั้งแรก
"ข้ารู้สึกดี" เขากล่าว
อีกเพียงชั่วขณะ ดวงตาของเขาก็ปิดลง
เซลีสรู้สึกถึงน้ำตาที่หลั่งรินอยู่ข้างแก้มและมันถูกเช็ดออกไปอย่างรวดเร็ว
อิลเลพราจัดการบาดแผลของเธอเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาจึงลุกขึ้นมายังเหนื่อยอ่อน แล้วพากันเดินไปตามทางที่ไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาไปด้วยกัน เดินผ่านซากศพแล้วซากศพเล่า พวกเขาผ่านกลุ่มทหารหลักของกองทัพไป ทางตะวันออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"เราจะทำอะไรอยู่ตรงนี้หรือไม่? ในที่สุด เซลีสก็ถามขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน
"ทำซิ" อิลเลพราตอบ
" แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น" เซลีสตอบ "เราช่วยเหลือคนได้เพียงน้อยนิด แล้วก็สูญเสียคนไปมากมาย"
"แล้วพวกที่มีน้อยนิด คืออะไร?" อิลเลพราโตแย้งกลับมา "พวกเขาไม่มีคุณค่าเลย งั้นหรือ?"
เซลีสกำลังใช้ความคิด
"มีซิ แต่สำหรับคนอื่นๆล่ะ?" เซลีสปิดตาของนางลงพยายามจินตนาการถึงพวกเขา แต่ใบหน้าของพวกเขา ในตอนนี้เริ่มลางเลือนไปแล้ว
อิลเลพราส่ายหัวของนาง
"เจ้าคิดผิดเสียแล้ว เจ้าเป็นนักฝัน ช่างไร้เดียงสา เจ้าไม่สามารถช่วยชีวิตทุกคนไว้ได้ เราไม่ใช่คนก่อสงครามนี้ ขึ้นเราเพียงเป็นผู้เก็บกวาดหลังจากมันเกิดขึ้น"
พวกเขายังคงเดินต่อไปในความเงียบ พากันมุ่งหน้าไปทางตะวันออก ผ่านทุ่งที่เต็มไปด้วยซากศพ เซลีสรู้สึกเป็นสุขที่อย่างน้อยก็มีอิลเลพราเป็น เพื่อนร่วมทาง พวกเขาเป็น เพื่อนที่ช่วยกันปลอบโยนกันและกัน และแบ่งปันทักษะการรักษาไปตลอดเส้นทาง เซลีสรู้สึกประหลาดใจถึงความรู้กว้างขวางในด้านสมุนไพรของอิลเลพรา มีสมุนไพรหลายตัวที่เธอไม่เคยพบเห็นมาก่อน ส่วนอิลเลพราในทางกลับกันก็รู้สึกประหลาดใจถึงยาทาแผลที่มีความเป็นพิเศษ ซึ่งมาจากการค้นพบของเซลีสจากหมู่บ้านเล็กๆของนาง พวกเขาเติมเต็มกันและกันได้เป็นอย่างดี
ขณะที่พวกเขาเดินทางไป เมื่อมองผ่านไปยังศพอีกครั้ง เซลีสก็นึกถึงเจ้าชายรีสขึ้นมา แม้จากสภาวะกับทุกสิ่งที่อยู่รายรอบตัว นางก็มิอาจดึงพระองค์ออกจากใจได้ เหตุที่นางต้องเดินทางไกลถึงเพียงนี้จากเมืองซิเลเซีย ก็เพียงเพื่อจะตามหาพระองค์ เพื่อจะได้อยู่กับพระองค์ แต่โชคชะตาได้ทำให้พวกเขาต้องแยกจากกันเร็วเกินไป สงครามอันโง่เง่าอันนี้ได้แยกพวกเขาออกไปคนละทิศคนละทาง นางสงสัยว่าในช่วงเวลานี้เจ้าชายรีสยังคงปลอดภัยดีหรือไม่นางสงสัยว่าสถานที่ใดกันแน่ที่พระองค์กำลังทำศึกสงครามอยู่ ใน แต่ละซากศพที่นางเดินผ่านไป นางชำเลืองเมองอย่างรวดเร็วไปยังใบหน้าด้วยความหวาดกลัว และพยายามวาดหวัง สวดมนต์ภาวนาไม่ให้ใบหน้านั้นเป็นของพระองค์ แต่ละใบหน้าที่ผ่านเข้ามา นางถอนหายใจไปอย่างโล่งอก
อย่างไรก็ดี แต่ละก้าวที่ผ่านไปนั้น นางก็ยังคงระแวดระวังและมีความรู้สึกกลัวที่นางจะพบพระองค์ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือแย่กว่านั้นคือ ถึงกับความตาย นางไม่รู้ว่า นางจะอยู่ต่อไปได้หรือไม่หากเป็นเช่นนั้น
นางมีความตั้งใจที่จะตามหาพระองค์ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือจะสวรรคต นางได้เดินทางมาไกลถึงเพียงนี้ และนางจะไม่หันหลังกลับไป จนกว่าจะได้รู้ถึงโชคชะตาของพระองค์
"ข้ายังไม่เห็นวี่แววของเจ้าชายก็อดฟรีย์เลย" อิลเลพรากล่าว ขณะที่เตะก้อนหิน เมื่อเดินผ่านไป
อิลเลพราเคยพูดคุยกับเจ้าชายก็อดฟรีย์เป็นบางครั้ง ตั้ง แต่ที่พวกเขาแยกจากกันและเห็นได้ชัดว่า นางรู้สึกเจ็บปวดไปกับพระองค์เช่นเดียวกัน
"ข้าก็ไม่เห็น" เซลีสตอบ
มันเป็นบทสนทนาที่มีขึ้นอย่างต่อเนื่องระหว่างเขาทั้งสอง แต่ละคนก็รู้สึกเจ็บปวดไปกับเจ้าชายผู้พี่ผู้น้อง เจ้าชายรีสและเจ้าชายก็อดฟรีย์ พี่น้องที่มีความแตกต่างกันมากมาย เซลีสไม่เข้าใจว่า ส่วนตัวแล้วอิลเลพราเห็นอะไรในตัวเจ้าชายก็อดฟรีย์ พระองค์ดูเหมือนจะเป็นพวกขี้เมาสำหรับนาง เป็นผู้ชายที่ดูไร้สาระและไม่เคยทำอะไรจริงจัง พระองค์เป็นพวกรักสนุกและมีความตลกขบขัน แต่ก็มีไหวพริบอย่างไม่ต้องสงสัย พระองค์ไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่เซลีสต้องการ เซลีสต้องการผู้ชายที่มีความจริงใจ เอาจริงเอาจัง และมีความตั้งใจอย่างแรงกล้า นางปรารถนาผู้ชายที่มีคุณสมบัติแห่งอัศวินและมีเกียรติยศ เจ้าชายรีสคือชายผู้นั้นสำหรับนาง
"ข้าไม่เข้าใจว่า พระองค์รอดชีวิตจากทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?"อิลเลพรากล่าวยังเศร้าสร้อย
"เจ้ารักพระองค์ ใช่หรือไม่?" เซลีสถาม
อิลเลพราหน้าแดงขึ้นมาและหันหนีไป
"ข้าไม่เคยกล่าวเรื่องของความรัก" นางกล่าวอย่างแก้ตัว "ข้าแค่กังวลไปกับพระองค์ เหมือนกับ เพื่อนคนหนึ่ง"
เซลีสยิ้ม
"งั้นหรือ? แล้วทำไมเจ้าถึงไม่หยุดพูดเกี่ยวกับพระองค์?"
"ข้าหรือ?" อิลเลพราถามอย่างประหลาดใจ "ข้าไม่รู้ตัวเลย"
"ใช่ ตลอดเวลา"
อิลเลพรายักไหล่และกลับเข้าสู่ความเงียบ
"ข้าเดาว่า มีเจ้าชายคงแทรกอยู่ในรูผุมขนของข้า เพราะพระองค์ชอบทำให้ข้าโกรธ ข้าจะต้องลากพระองค์ออกจากโรงเหล้าเป็นประจำ พระองค์ทรงสัญญากับข้าทุกครั้งว่าจะไม่ทรงกลับไป แต่พระองค์ก็ทรงกลับไปทุกครั้ง มันทำให้ข้าเป็นบ้า จริงๆข้าอยากจะลากพระองค์ไปโบย ถ้าข้าทำได้"
" นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเจ้าถึงร้อนใจกังวลตามหาพระองค์?" เซลีสถาม " เพื่อจะได้โบยพระองค์เสีย?"
ตอนนี้เป็นทีของอิลเลพราที่ยิ้มขึ้นมา
"บางครั้งก็ไม่ใช่หรอก" นางกล่าว "บางทีข้าก็อยากโผเข้าไปกอดพระองค์เช่นกัน"
พวกเขาเดินวนไปรอบเนินเขา และเข้ามาพบกับทหารชาวซิคนหนึ่งที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ เขาร้องโอดโอย เห็นได้ชัดว่าขาของเขาหัก เซลีสสามารถมองเห็นมันจากตรงนี้ด้วยสายตาที่ฝึกฝนมาอย่างดี ห่างออกไปไม่ไกล ตรงต้นไม้นั้นมีม้าสองตัวผูกอยู่
พวกเขาเร่งเข้าไปหาชายผู้นั้น
ขณะที่เซลีสกำลังดูแลบาดแผลของเขานั้น ซึ่งมันเป็นรอยแผลที่แคบและลึกอยู่บริเวณต้นขา มันช่วยไม่ได้ที่นางจะสอบถามกับทหารทุกคนที่นางพบเจอ
"ท่านได้พบเห็นพวกราชวงศ์บ้างไหม?" นางถาม "ท่านเห็นเจ้าชายรีสไหม?"
ทหารคนอื่นๆทุกคนต่างหันนี้แล้วส่ายหัวของเขา และเซลีสก็ชาชินกับความผิดหวัง ตอนนี้นางก็คาดว่า จะได้คำตอบที่เป็นเชิงปฏิเสธ
แต่นางถึงกับต้องประหลาดใจที่ทหารผู้นี้พยักหน้าอย่างหนักแน่น
"ข้าไม่ได้ขี่ม้าร่วมกับพระองค์ แต่ข้าเห็นพระองค์ ใช่แล้ว แม่หญิง"
"พระองค์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? พระองค์บาดเจ็บหรือไม่?ท่านรู้หรือไม่ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน?" นางถามด้วยหัวใจเต้น นางยึดข้อมือของชายคนนั้นไว้แน่น
เขาพยักหน้า
"ข้ารู้ว่าพระองค์มีภารกิจพิเศษ เพื่อนำดาบกลับคืนมา"
"ดาบอะไรหรือ?"
"ดาบแห่งโชคชะตา"
นางจ้องมองอย่างเกรงขาม ดาบแห่งโชคชะตา ดาบแห่งตำนาน
"ที่ไหนหรือ?" นางถามอย่างสิ้นหวัง "พระองค์อยู่ที่ไหน?"
พระองค์ทรงเดินทางไปยังทางข้ามฝั่งตะวันออก
ทางข้ามฝั่งตะวันออก เซลีสกำลังใช้ความคิด นั่นมันอยู่ห่างออกไปไกล ไกลมากๆ มันไม่มีทางที่พวกเขาจะไปทางนั้นจากการเดินเท้า ไม่ใช่จากสถานที่แห่งนี้และถ้าหากเจ้าชายรีสอยู่ที่นั่น พระองค์คงต้องตกอยู่ในอันตราย พระองค์ทรงต้องการนางเป็นแน่แท้
ขณะที่นางดูแลทหารคนนี้เสร็จสิ้นแล้ว นางจึงมองออกไปและสังเกตเห็นว่า มีม้าสองตัวผูกเอาไว้ตรงต้นไม้ จาก อาการบาดเจ็บจากการขาหักของชายผู้นี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะขึ้นขี่ม้าได้ ม้าสองตัวนี้ก็จะไร้ประโยชน์สำหรับเขา และในไม่ช้า พวกม้าก็จะต้องตายหากไม่ได้รับการดูแล
นายทหารมองเห็นดวงตาของนางที่จ้องมองพวกมัน
"นำพวกมันไปเถิด แม่หญิง" เขาเสนอ "ข้าไม่ต้องการพวกมันหรอก"
" แต่ม้านี่เป็นของเจ้า" เธอกล่าว
"ข้าขี่มันไม่ได้ ไม่ใช่แบบนี้ ท่านควรจะเอามันไปใช้ประโยชน์ นำมันไปเถิด ออกตามหาเจ้าชายรีส มันเป็นหนทางอันยาวไกลจากตรงนี้ และท่านก็เดินเท้าไปไม่ได้ ท่าน ได้ช่วยเหลือข้าเอาไว้อย่างมาก ข้าจะไม่ตายอยู่ตรงนี้ ข้ามีอาหารและน้ำเพียงพอสำหรับสามวัน แล้วก็จะมีคนออกตามหาข้า มีพวกหน่วยสอดแนมมาแถวนี้ตลอดเวลา ได้โปรดนำพวกมันไปเถิด"
เซลีสจับเขาที่ข้อมือของเขาอย่างแน่นอน เพื่อส่งผ่านความรู้สึกซาบซึ้งใจกลับไปนางหันไปหายินดีด้วยความเด็ดเดี่ยว
"ข้าต้องไป ข้าจะต้องออกตามหาเจ้าชายรีส ข้าเสียใจ ที่นี่มีม้าเพียงสองตัว เจ้าจะเอาม้าอีกตัวหนึ่งไปที่ใดก็ได้ ถ้าเจ้าต้องการ ข้าจำเป็นต้องข้ามทั้งอาณาจักรวงแหวน ผ่านไปยังทางข้ามฝั่งตะวันออก ข้าขอโทษที่ข้าจะต้องจากเจ้าไป"
เซลีสขึ้นขี่ม้าของนางและนางก็ต้องประหลาดใจที่เห็นอิลเลพรา เร่งมาข้างหน้า นางขึ้นขี่ม้าอีกตัวข้างๆ อิลเลพราเอื้อมไปหยิบดาบสั้นแล้วตัดเชือกที่ผูกม้าทั้งสองออกจากต้นไม้
นางหันไปหาเซลีสและยิ้ม
"เจ้าคิดว่าจากเรื่องทั้งหมดที่เราผ่านมาด้วยกันนี่ ข้าจะปล่อยให้เจ้าไปเพียงลำพัง งั้นหรือ?" นางถาม
เซลีสยิ้มตอบ
"ข้าเดาว่า ไม่" นางตอบ
แล้วพวกเขาทั้งสองคนก็เตะม้า ออกไปเร่งรุดไปตามถนน มุ่งหน้าไกลออกไปทางตะวันออก ไปในสักที่หนึ่งที่เซลีสภาวนาว่า มันจะนำทางนางไปสู่เจ้าชายรีส
Ücretsiz ön izlemeyi tamamladınız.