Kitabı oku: «ธรรมเนียมแห่งดาบ »
ธรรมเนียมแห่งดาบ
(เล่ม 7 ในชุดวงแหวนของผู้วิเศษ)
มอร์แกน ไรซ์
แปลโดย
ธนปัญญา
ประวัติ มอร์แกน ไรซ์
มอร์แกน ไรซ์ เป็นผู้แต่งหนังสือขายดีอันดับ 1 และเป็นผู้แต่งมหากาพย์แฟนตาซีที่ขายดีที่สุดใน USA Today นิยายชุดวงแหวนของผู้วิเศษ จำนวน 17 เล่ม นิยายชุดขายดีอันดับ 1 บันทึกของแวมไพร์ จำนวน 11 เล่ม (และยังมีเล่มต่อไป) นิยายชุดขายดีอันดับ 1 เรื่อง THE SURVIVAL TRILOGY เรื่องราวระทึกขวัญหลังวันโลกาวินาศ (และยังมีเล่มต่อไป) และนิยายชุดเรื่องราวแฟนตาซีใหม่ล่าสุด กษัตริย์และผู้วิเศษ จำนวน 6 เล่มหนังสือของมอร์แกนมีทั้งรูปแบบเสียงและสิ่งพิมพ์ และได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 25 ภาษา
มอร์แกน ยินดีรับฟังความคิดเห็นของคุณ โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.morganricebooks.com เพื่อสมัครรับข่าวสารทางอีเมล พร้อมรับหนังสือฟรีและของรางวัลมากมาย สามารถดาวน์โหลดแอปฟรี เพื่อรับข่าวสารล่าสุด หรือเชื่อมต่อกับ Facebook และ Twitter โปรดติดตาม!
คำนิยมสำหรับ มอร์แกน ไรซ์
“วงแหวนของผู้วิเศษ มีส่วนผสมทุกอย่างของการประสบความสำเร็จทันที ไม่ว่าจะเป็นโครงเรื่องหลัก โครงเรื่องย่อย ความลึกลับ อัศวินผู้กล้าหาญ ความสัมพันธ์ที่เบ่งบานพร้อมกับการอกหัก การหลอกหลวงและการทรยศ มันจะทำให้คุณเพลิดเพลินได้หลายชั่วโมง และเป็นที่ชื่นชอบของทุกวัย แนะนำให้มีประจำไว้ในห้องสมุดสำหรับคอนักอ่านเรื่องแฟนตาซี”
--Books and Movie Reviews, Roberto Mattos
“นิยายมหากาพย์แฟนตาซีที่น่าสนุกสนาน”
--Kirkus Reviews
“จุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่น่าดึงดูดใจ”
-- San Francisco Book Review
“อัดแน่นไปด้วยการผจญภัย...งานเขียนของไรซ์ช่างเข้มข้นและวางโครงเรื่องอย่างมีเหตุมีผล”
-- Publishers Weekly
“นิยายแฟนตาซีที่สร้างแรงบันดาลใจ เป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์นิยายสำหรับวัยรุ่นที่เหมาะสม”
-- Midwest Book Review
หนังสือของ มอร์แกน ไรซ์
กษัตริย์และผู้วิเศษ
กำเนิดราชันย์มังกร (เล่ม 1)
กำเนิดความกล้าหาญ (เล่ม 2)
เกียรติยศอันยิ่งใหญ่ (เล่ม 3)
ชุด วงแหวนของผู้วิเศษ
เส้นทางแห่งวีรบุรุษ (เล่ม 1)
การเดินทางแห่งราชา (เล่ม 2)
ชะตาแห่งมังกร (เล่ม 3)
เสียงร่ำร้องแห่งเกียรติยศ (เล่ม 4)
คำปฏิญาณแห่งศักดิ์ศรี (เล่ม 5)
หน้าที่ของผู้กล้า (เล่ม 6)
อำนาจแห่งดาบ (เล่ม 7)
ประทานพรแห่งสรรพาวุธ (เล่ม 8)
นภาแห่งเวทมนตร์ (เล่ม 9)
ท้องทะเลแห่งโล่ (เล่ม 10)
การครองราชย์แห่งเหล็กกล้า (เล่ม 11)
ดินแดนแห่งเปลวเพลิง (เล่ม 12)
บัญญัติแห่งราชินี (เล่ม 13)
คำสาบานของพี่น้อง (เล่ม 14)
ความฝันแห่งมรณะ (เล่ม 15)
การแข่งขันของอัศวิน (เล่ม 16)
ของขวัญจากการต่อสู้ (เล่ม 17)
ไตรภาคแห่งหนทางการอยู่รอด
สนามที่หนึ่ง ปลดปล่อยความเป็นทาส (เล่ม 1)
สนามที่สอง (เล่ม 2)
บันทึกของแวมไพร์
กลายร่าง (เล่ม 1)
ความรัก (เล่ม 2)
การทรยศ (เล่ม 3)
พรหมลิขิต (เล่ม 4)
ความปรารถนา (เล่ม 5)
การหมั้นหมาย (เล่ม 6)
คำสาบาน (เล่ม 7)
การค้นหา (เล่ม 8)
ฟื้นคืนชีพ (เล่ม 9)
การโหยหา (เล่ม 10)
โชคชะตา (เล่ม 11)
ฟัง นิยายชุด วงแหวนของผู้วิเศษ ในรูปแบบหนังสือเสียง!
ลิขสิทธิ์ © 2013 โดย มอร์แกน ไรซ์
สงวนลิขสิทธิ์ ยกเว้นที่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ของสหรัฐฯ พ.ศ. 2519 ห้ามนำส่วนใดของการเผยแพร่นี้ไปทำซ้ำ แจกจ่ายหรือถ่ายทอดในรูปแบบใด ๆ หรือโดยความหมายใด ๆ หรือเก็บบันทึกเป็นข้อมูล หรือระบบสืบค้น โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เขียน
หนังสือ ebook นี้ อนุญาตเพื่อความบันเทิงส่วนตัวของคุณเท่านั้น และ ebook เล่มนี้ไม่อาจนำไปขายซ้ำ หรือยกให้ผู้อื่น หากคุณต้องการแบ่งปันหนังสือเล่มนี้กับผู้อื่น ขอความกรุณาซื้อเพิ่มใหม่เป็นส่วนตัว หากคุณกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้ และไม่ได้ซื้อ หรือไม่ได้ซื้อในนามของคุณ ขอความกรุณาส่งคืนและดำเนินการซื้อในนามของคุณ ขอบคุณที่ให้ความเคารพในการทำงานอย่างหนักของผู้เขียน
หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ชื่อ ตัวละคร ธุรกิจ องค์กร สถานที่ สถานการณ์ และเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน หรือเป็นการแต่งขึ้น ความคล้ายคลึงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลจริง ทั้งที่ยังมีชีวิตหรือเสียชีวิตไปแล้ว เป็นความบังเอิญทั้งสิ้น
Jacket image Copyright RazoomGame, used under license from Shutterstock.com.
สารบัญ
บทที่ หนึ่ง
บทที่สอง
บทที่ สาม
บทที่ สี่
บทที่ ห้า
บทที่ หก
บทที่ เจ็ด
บทที่ แปด
บทที่ เก้า
บทที่ สิบ
บทที่ สิบเอ็ด
บทที่ สิบสอง
บทที่ สิบสาม
บทที่ สิบสี่
บทที่ สิบห้า
บทที่ สิบหก
บทที่ สิบเจ็ด
บทที่ สิบแปด
บทที่ สิบเก้า
บทที่ ยี่สิบ
บทที่ ยี่สิบเอ็ด
บทที่ ยี่สิบสอง
บทที่ ยี่สิบสาม
บทที่ ยี่สิบสี่
บทที่ ยี่สิบห้า
บทที่ ยี่สิบหก
บทที่ ยี่สิบเจ็ด
บทที่ ยี่สิบแปด
บทที่ ยี่สิบเก้า
บทที่ สามสิบ
บทที่ สามสิบเอ็ด
บทที่ สามสิบสอง
บทที่ สามสิบสาม
บทที่ สามสิบสี่
บทที่ สามสิบห้า
บทที่ สามสิบหก
บทที่ สามสิบเจ็ด
บทที่ สามสิบแปด
บทที่ สามสิบเก้า
บทที่ สี่สิบ
“หรือนั่นคือสิ่งท่านสื่อ มายังข้า?
หากมันเป็นสิ่งดี แท้ทั่วหน้า
ใส่เกียรติในดวงตา อีกข้างใส่ความตาย
แล้วข้าจะเป็นกลาง เมื่อมองมาทั้งสองตา
หากพระเจ้าทรงเร่งรัดในข้า ตัวข้ารัก
ชื่อในเกียรติมากกว่ากลัวเรื่องตัวตาย”
--วิลเลียม เชคสเปียร์
จูเลียส ซีซาร์
บทที่ หนึ่ง
ธอร์ขี่หลังของไมโคเพิล ขณะที่เธอโบยบินข้ามเขตชนบทในอาณาจักรวงแหวนที่ขยายยาวออกไป เขากำลังมุ่งหน้าลงใต้ เพื่อตามหาราชินีเกว็นโดลีน ธอร์กำดาบแห่งโชคชะตาในมือแน่น เมื่อเขามองลงไป ณ เบื้องล่าง เขาได้เห็นกองทัพแอนโดรนิคัสที่มีกำลังพลนับล้าน มันเป็นภาพของกองกำลังที่แพร่ออกไปอย่างไม่มีประมาณ มันปกคลุมอาณาจักรวงแหวนราวกับการชุมนุมของกลุ่มตั๊กแตนจำนวนมาก เขารับรู้ถึงการเต้นตุ่บๆ ของดาบที่อยู่ในอุ้งมือและรู้สึกว่ามันกำลังกระตุ้นให้เขาทำอะไรบางอย่าง เพื่อปกป้องอาณาจักร เพื่อกวาดล้างผู้รุกราน มันเหมือนกับว่าดาบเป็นผู้สั่งการเขาและธอร์ก็มีความสุขเหลือเกินที่จะกระทำตาม
ภายในไม่ช้า ธอร์ก็จะคืนกลับไปและทำให้พวกรุกรานทุกคนต้องชดใช้ ในขณะนี้ โล่พลังฟื้นคืนขึ้นแล้ว พวกแอนโดรนิคัสและกำลังพลของเขาจะเข้ามาติดกับ และจะไม่มีกองสนับสนุนของจักรวรรดิผ่านเข้ามาได้อีกต่อไป และธอร์ก็จะไม่หยุดพัก จนกว่าเขาจะได้ฆ่าพวกนั้นทุกคน
แต่ในขณะนี้ มันยังไม่ถึงเวลาสำหรับการฆ่าฟัน งานที่สำคัญอันดับแรกของเขาคือ รักแท้หนึ่งเดียวของเขา ราชินีเกว็นโดลีนผู้หญิงที่เขาปรารถนามาโดยตลอด ตั้งแต่จากเขตพรมแดนมา ธอร์ปรารถนาจะได้สบพระเนตรกับพระองค์อีกสักครั้ง ที่จะได้สวมกอดพระนาง และเขาอยากรู้ว่าพระนางยังมีชีวิตอยู่ แหวนของแม่ที่อยู่ข้างในเสื้อเชิ้ตของเขาร้อนดั่งไฟแผดเผา เขาอดใจรอแทบไม่ไหว รอวันที่จะมอบมันกับพระนางเกว็นโดลีนเพื่อเป็นการปฏิญาณความรักของเขา เพื่อขอพระองค์แต่งงาน เขาต้องการให้พระองค์รู้ว่า ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไประหว่างเขาทั้งคู่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพระนาง เขาก็ยังจะรักพระองค์มากและมากยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ และเขาต้องการให้พระนางรับรู้มันไว้
ไมโคเพิลส่งเสียงครางอย่างแผ่วเบา ธอร์สามารถสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากเกล็ดของมัน เขารับรู้ว่าไมโคเพิลก็กระตือรือร้นอยากไปหาพระนางเกว็นโดลีนเช่นเดียวกัน ไปให้ทันก่อนที่จะมีอะไรจะเกิดขึ้นกับพระองค์ ไมโคเพิลก้มหัวต่ำลงและโซเซ บินเข้าออกไปในหมู่เมฆ มันกระพือปีกอันมโหฬาร และดูเหมือนพอใจที่ได้หยุดที่นี่ข้างในวงแหวน โดยมีธอร์ขี่หลังอยู่ ความผูกพันระหว่างกันเพิ่มพูนมากขึ้น ธอร์รู้สึกว่าไมโคเพิลได้แบ่งปันความนึกคิดและความปรารถนาของเขาในทุกเรื่อง มันเหมือนกับว่าเขาได้ขี่ร่างอันใหญ่โตของตัวเขาเอง
ความคิดของธอร์ผละจากเรื่องของพระนางเกว็นโดลีนเมื่อเขาบินผ่านเข้าออกหมู่เมฆ คำพูดของราชินีองค์ก่อนยังคงครอบงำความคิดของเขา ยิ่งเขาปรารถนาจะลบมันออกไปจากใจมากเท่าใด มันก็ยิ่งหวนคืนกลับมาให้คิดมากขึ้นเท่านั้น เรื่องที่พระองค์เปิดเผยกับเขา มันทำให้เขาเจ็บปวดเกินกว่าที่เขาคาดคิด แอนโดรนิคัสอัน นั้นหรือ? คือบิดาของเขา?
มันไม่มีทางเป็นไปได้ ส่วนหนึ่งของธอร์คาดหวังไว้ว่ามันคงเป็นการเล่นเกมทางจิตวิทยาอันโหดร้ายของราชินีองค์ก่อน ผู้ซึ่งเกลียดเขามาตั้งแต่ต้นและเสมอมา บางทีราชินีอาจจะต้องการที่จะปลูกฝังความเชื่อความคิดผิดๆ ในจิตใจเขา เพื่อทำให้เขาปั่นป่วน เพื่อกันตัวเขาออกจากพระธิดาของพระองค์ หรือไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม ธอร์อยากที่จะเชื่อมันในแบบนั้นอย่างที่สุด
แต่ส่วนลึกในจิตใจของเขา เขารับรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง พระสุรเสียงของพระราชินีขณะมีพระกระแสดำรัสนั้นดังก้องกังวานอยู่ในกายและอยู่ในจิตวิญญาณของธอร์ แม้เขาจะปรารถนาอยากจะคิดเป็นอื่นมากเพียงไหน เมื่อพระองค์ตรัสออกมาในครั้งที่สอง เขารับรู้ได้ว่าแอนโดรนิคัสคือพ่อของเขาโดยแท้จริง
ความคิดพวกนี้ยังสถิตย์อยู่ในใจเขาราวกับฝันร้าย เขายังคงหวังและภาวนาว่า ในเบื้องลึกลงไปในใจของเขานั้น พระราชาแม็คกิลคือพระบิดาของเขา และบางทีพระนางเกว็นโดลีนเองก็ไม่ใช่พระธิดาของพระองค์อย่างแท้จริง นั่นจะทำให้พวกเขาทั้งคู่ได้ครองคู่กัน ธอร์เคยมีความหวังอยู่เสมอกับการรับรู้ความจริงเกี่ยวกับบิดาว่ามันจะสมเหตุสมผล และรู้เรื่องชะตาชีวิตของเขาที่จะออกมาอย่างชัดแจ้ง
การได้รับรู้ว่าพ่อของเขาไม่ใช่วีรบุรุษก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เขาพอทำใจยอมรับได้ แต่การได้รับรู้ว่าพ่อของเขาเป็นอสูรกายที่ป่าเถื่อนที่สุดในบรรดาอมนุษย์และมนุษย์ทั้งหลาย มันแย่ยิ่งกว่าอะไรทั้งมวล ธอร์ต้องการให้เขาจบชีวิต เขาต้องการมันมากพอๆกับวิธีที่จะส่งเขาเข้าสู่ความตาย ธอร์มีสายเลือดของแอนโดรนิคัสอยู่ในตัว มันมีความหมายอะไรกับธอร์หรือ? หรือมันหมายถึงว่าธอร์ถูกกำหนดให้เป็นอสุรกายไปด้วย? มันหมายถึงว่าเขามีกระแสเลือดแห่งปีศาจวิ่งพล่านอยู่ในเส้นเลือดของเขางั้นหรือ? เขาได้ถูกกำหนดให้กลายเป็นเหมือนกับบิดาของเขางั้นหรือ? หรือมันเป็นไปได้ไหมที่เขาจะแตกต่างไปจากบิดา แม้ว่าจะร่วมสายเลือดเดียวกัน? ชะตากรรมจะถูกส่งผ่านมายังสายเลือดหรือไม่? คนในแต่ละรุ่นต่างกันมีชะตากรรมของตัวเองใช่หรือไม่?
ธอร์ดิ้นรนที่จะเข้าใจ ว่าทั้งหมดนี่มีความหมายต่อดาบแห่งโชคชะตาอย่างไร ถ้าตำนานเป็นจริงอย่างที่ว่า พวกแม็คกิลเท่านั้นถึงจะยกดาบขึ้นได้ นั่นก็หมายถึงว่าธอร์เป็นหนึ่งในพวกแม็คกิลด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้นแอนโดรนิคัส จะเป็นพ่อของเขาได้อย่างไร ไม่เช่นนั้น บางทีแอนโดรนิคัสอาจจะเป็นพวกแม็คกิลหรือ?
ทั้งหมดทั้งมวลที่แย่ที่สุดก็คือ ธอร์จะบอกเรื่องนี้กับเกว็นโดลีนได้อย่างไร? เขาจะบอกกับเธอว่าเขาเป็นลูกชายของศัตรูที่เธอเกลียดมากที่สุดได้อย่างไร? ผู้ชายคนที่เคยเข้าโจมตีเธอ เธอคงจะเกลียดธอร์อย่างแน่นอน และในทุกครั้งที่เธอเห็นธอร์ เธอก็จะเห็นหน้าของแอนโดรนิคัสปรากฏอยู่ด้วย อย่างไรก็ดีธอร์จะต้องบอกเธอ เพราะเขาไม่สามารถเก็บความลับนี้จากเธอได้ มันจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองหรือไม่?
เลือดในตัวธอร์เดือดพล่านไปด้วยความโกรธ เขาต้องการที่จะฟาดฟันแอนโดรนิคัสที่บังอาจมาเป็นพ่อของเขา ที่มาทำเรื่องอย่างนี้กับเขา ขณะที่เขาบินอยู่ ธอร์มองลงมาเบื้องล่างและกวาดสายตาไปทั่วพื้นดิน เขารู้ว่าแอนโดรนิคัสยู่ด้านล่างนั่น สักที่แห่งใดแห่งหนึ่ง อีกไม่ช้าไม่นานเขาก็จะได้พบกันตัวต่อตัว เขาจะได้เจอกัน เผชิญหน้ากันและก็จะฆ่าเขาทิ้งซะ
แต่อย่างแรก เขาจะต้องตามหาพระนางเกว็นโดลีนขณะที่พวกเขาข้ามผ่านเขตป่าทางใต้ ธอร์รับรู้ได้ว่าเธออยู่ใกล้เขาแล้ว เขา มีความรู้สึก ว่าจะมีสิ่งเลวร้ายบางอย่างกำลังเกิดขึ้นกับเธอ เขาเร่งไมโคเพิล ให้เร็วขึ้นและเร็วขึ้นอีก เพราะรับรู้ได้ว่า ขณะนี้ ชั่วเวลาใดเวลาหนึ่ง มันอาจจะเป็นวินาทีสุดท้ายในชีวิตของเธอก็ได้
บทที่สอง
ราชินีเกว็นโดลีนทรงยืนอยู่เพียงลำพังตรงกำแพงอิฐด้านบนของหอคอยหลีกลี้ พระนางทรงเครื่องเป็นชุดคลุมสีดำยาว ที่แม่ชีได้ให้กับพระนางไว้แล้วทรงมีความรู้สึกราวกับว่า พระนางได้เคยประทับที่นี่มาแล้วชั่วกาลนาน พระนางทรงได้รับการต้อนรับในความเงียบจากแม่ชีเพียงคนเดียวเธอให้คำแนะนำและพูดเพียงครั้งเดียว เธอสอนพระนางเกี่ยวกับกฎระเบียบของที่นี่ มันจะไม่มีการพูด ไม่มีการสื่อสารกับใครใดๆ ทั้งนั้น ผู้หญิงแต่ละคนอยู่ที่นี่ด้วยตัวเอง แยกออกไปจากจักรวาลทั้งมวล ผู้หญิงแต่ละคนต้องการอยู่ตามลำพัง นี่คือหอคอยหลีกลี้ สถานที่ที่พวกเขามา เพื่อแสวงหาการเยียวยารักษาใจ พระนางเกว็นโดลีนจะทรงปลอดภัยจากอันตรายทั้งหมดในโลก เมื่อพระนางอยู่ที่นี่ พร้อมกับความรู้สึกโดดเดี่ยว ช่างโดดเดี่ยวอย่างถึงที่สุด
ราชินีเกว็นโดลีนทรงเข้าใจทุกอย่างอย่างดี พระนางทรงต้องการถูกทิ้งเพียงลำพังด้วยเช่นกัน
พระนางทรงยืนอยู่ที่นั่นแล้วตรงด้านบนสุดของหอคอย พระนางทรงกวาดสายพระเนตรมองทิวทัศน์ยอดไม้ของป่าทางใต้ในอาณาจักรวงแหวนและพระนางทรงรู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าที่เคยเป็น พระนางทรงทราบว่า พระนางควรจะต้องเข้มแข็ง พระนางต้องเป็นนักสู้เป็นพระธิดาของพระราชาและภรรยาหรือเกือบจะเป็นภรรยาของนักรบผู้ยิ่งใหญ่
แต่พระนางเกว็นโดลีนก็ต้องทรงยอมรับว่ายิ่งพระนางทรงปรารถนาจะเข้มแข็งมากเท่าไหร่พระหฤทัยและจิตวิญญาณของพระองค์ก็ยังคงได้รับบาดเจ็บมากเท่านั้น พระนางทรงคิดถึงธอร์อย่างสุดซึ้ง อีกทั้งยังทรงกลัวว่า เขาจะไม่มีวันหวนกลับมาหาพระองค์ และแม้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อเขาค้นพบว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระนางบ้างแล้ว พระนางทรงกลัวว่า เขาจะไม่ต้องการที่จะอยู่กับพระองค์อีกต่อไป
ราชินีเกว็นโดลีนรู้สึกโหวงเหวงที่รู้ว่าเมืองซิเลเซีย ได้ถูกทำลายลงและแอนโดรนิคัสโดรได้รับชัยชนะ และการที่ได้รู้ว่า ทุกคนที่พระนางห่วงใยถูกจับกุมและฆ่าตาย มีทหารของแอนโดรนิคัสอยู่ไปทั่วทุกซอกมุมแล้วขณะนี้ พวกเขาเข้าได้เข้าครอบครองอาณาจักรวงแหวนและไม่มีที่ไหนหลงเหลือไว้ให้กลับไปได้เลย พระนางเกว็นโดลีนทรงรู้สึกสิ้นหวังและท้อแท้ ซึ่งมันมากเกินกว่าคนอื่นๆที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่แย่ที่สุด คือพระนางรู้สึกเหมือนกับว่า พระนางทำให้ทุกคนผิดหวัง พระนางรู้สึกราวกับว่าพระองค์ทรงมีช่วงชีวิตอยู่มาเป็นเวลายาวนานหลายชั่วคนแล้ว พระนางไม่ต้องการจะเห็นอะไรไปมากกว่านี้
ราชินีเกว็นโดลีนทรงก้าวมาข้างหน้า เพื่อขึ้นไปยังแนวหินที่ยื่นออกจากผนัง ตรงริมขอบของกำแพง ที่มันอยู่ไกลออกไป ไกลเกินกว่าที่ใครสมควรจะมายืนอยู่ได้ พระนางทรงยกแขนของพระองค์ขึ้นอย่างช้าๆ และทรงเปิดพระกรออกมาด้านข้างตัว พระนางทรงรู้สึกถึงความแรงของกระแสลมเย็นที่พัดเข้ามาหา มันเป็นสายลมเย็นยะเยือกแห่งเหมันตฤดู มันทำให้พระนางสูญเสียการทรงตัวและพระวรกายก็ทรงโคลงเคลงอยู่ตรงขอบผาของกำแพงนั่น พระนางทอดพระเนตรลงไปและเห็นถึงการตกดิ่งลงสู่เบื้องล่าง
ราชินีเกว็นโดลีนทอดพระเนตรขึ้นไปยังท้องฟ้าและคิดถึงอาร์กอน พระนางสงสัยว่าเขาไปอยู่ที่ไหนหรือติดกับดักอยู่ในจักรวาลของตัวเขาเองหรือกำลังรับโทษทัณฑ์ของเขาอยู่แทนตัวของพระองค์เอง พระนางประสงค์ยอมสละได้ทุกอย่าง เพื่อที่จะพบเขาเดี๋ยวนี้ เพื่อที่จะได้ยินการตัดสินใจอย่างฉลาดเป็นครั้งสุดท้าย บางทีนั่นจะช่วยทำให้พระนางพลิกสถานการณ์ขึ้นมาได้
แต่เขาไม่อยู่แล้ว เขาก็ต้องชดใช้กับเรื่องนี้ แล้วก็จะไม่สามารถจะกลับมาได้อีก
ราชินีเกว็นโดลีนทรงหลับพระเนตรลงและทรงนึกถึงธอร์เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าเขาอยู่ที่นี่มันก็จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้ ถ้า มีเพียงแค่ใครสักคนที่เหลืออยู่ในโลกนี้ที่เป็นคนที่รักเธออย่างแท้จริง นั่นคงทำให้พระนางมีเหตุผลสำหรับการมีชีวิตอยู่ต่อไป พระนางทอดพระเนตรขึ้นไปยังขอบฟ้า เหนือสิ่งอื่นใดแล้วนั้น พระองค์ทรงคาดหวังจะได้พบกับธอร์ เมื่อพระนางทอดพระเนตรไปยังหมู่เมฆที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว พระนางทรงคิดไปว่าได้ยินเสียงดังลางๆ มาจากขอบฟ้าที่ไหนซักแห่ง มันเหมือนกับเสียงคำรามของมังกร มันห่างออกไปมาก เสียงช่างแผ่วเบามาก พระนางน่าจะจินตนาการมันขึ้นมาเอง มันดูราวกับว่าใจของพระนางกำลังเล่นตลกกับตัวเองอยู่ พระนางทรงรู้ว่าไม่มีมังกรไม่อยู่แถวนี้ในอาณาจักรวงแหวนซึ่งเหมือนกับที่พระนาทรงทราบว่าธอร์อยู่ไกลแสน ไกลและหายไปตลอดกาล ในจักรวรรดิ ในสถานที่บางแห่งที่เขาไม่สามารถจะย้อนคืนกลับมา
น้ำพระเนตรหลั่งไหลอยู่บนพระปราง เมื่อราชินีเกว็นโดลีนทรงคิดถึงธอร์ ทรงคิดถึงชีวิตที่ควรจะมีอยู่ด้วยกันและความใกล้ชิดที่พวกเขาเคยมี พระนางคิดไปถึงภาพใบหน้าของเขา น้ำเสียงของเขา และเสียงหัวเราะ พระนางแน่ใจว่าพวกเขาไม่มีทางแยกจากกันได้ ว่าพวกเขาจะไม่มีทางถูกแบ่งแยกไม่ว่าด้วยอะไรก็ตาม
"ธอร์!" พระนางเกว็นโดลีนก้มพระพักตร์กรรแสงและพระวรกายโซเซอยู่ที่ขอบผาของกำแพง พระองค์ทรงปรารถนาให้เขากลับมาหา
แต่เสียงของพระนางดังก้องกังวานอยู่ในลมและจางหายไป ธอร์อยู่ห่างไปอีกโลกหนึ่ง
ราชินีเกว็นโดลีนทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปจับเครื่องรางที่ธอร์เคยให้ไว้กับพระนาง มันเป็นสิ่งที่เคยช่วยชีวิตพระองค์ไว้ครั้งหนึ่ง พระนางรู้ว่าเมื่อพระนางเคยใช้มันไปแล้วหนึ่งครั้ง มันก็คือของใช้แล้ว จากนี้ไป จะไม่เหลือโอกาสอะไรอีกแล้ว
ราชินีเกว็นโดลีนทอดพระเนตรลงไปด้านล่างเลยผ่านแนวหินที่ยื่นจากกำแพงและพระนางทอดพระเนตรเห็นพระพักตร์ของพระบิดา พระองค์ถูกห้อมล้อมรอบไปด้วยแสงสีขาวและกำลังทรงส่งยิ้มมาทางพระนาง
พระนางทรงเอนตัวมาด้านหน้าและทรงวางพระบาทข้างหนึ่งตรงริมขอบกำแพง พระองค์ทรงปิดพระเนตรลง ทรงสัมผัสถึงสายลมเบาๆ พระนางทรงรู้สึกเหมือนกับกำลังบินอยู่ตรงนั้น อยู่ระหว่างสองโลก อยู่ระหว่างโลกแห่งความเป็นและโลกแห่งความตาย พระนางทรงรักษาสมดุลอย่างดีเยี่ยม และพระนางรู้ว่า เมื่อมีสายลมที่พัดแรงพัดมาอีกระลอกหนึ่ง นั่นจะเป็นการตัดสินว่าพระนางจะไปในทิศทางไหน
ธอร์ พระนางทรงครุ่นคิด ให้อภัยข้าด้วย
บทที่ สาม
เจ้าชายเคนดริคทรงอาชาอยู่เบื้องหน้ากองทัพแม็คกิลอันยิ่งใหญ่และทวีจำนวนขึ้นอย่างมากมาย โดยมีชาวเมืองซิเลเซียและเหล่าทหารจากชาวบ้าน จากอาณาจักรวงแหวน ที่ได้รับปลดปล่อยให้เป็นไท พวกเขาทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ด้านหน้าประตูหลักของเมืองซิเลเซียและออกเดินไปตามถนนอันกว้างใหญ่มุ่งหน้าไปทางตะวันออก เพื่อไปปะทะกับกองทัพของแอนโดรนิคัส ด้านข้างของเขามีสร็อก บรอม แอ็ทมีและเจ้าชายก็อดฟรีย์ ส่วนด้านหลังมีเจ้าชายรีส โอคอนเนอร์ คอนเว่น เอลเด็นและอินดรา อยู่ท่ามกลางนักรบหลายพันนาย พวกเขาได้ขี่ม้าผ่านซากศพนับพันๆ ของทหารแห่งกองทัพจักรวรรดิที่เนื้อตัวไหม้เกรียม ดูเป็นสีดำและแข็งทื่อจากเปลวไฟของมังกร ส่วนซากศพอื่นๆ ที่นอนตายเรียงรายนั้น มีรอยแผลจากดาบแห่งโชคชะตา ธอร์ได้ปลดปล่อยคลื่นแห่งการทำลายล้างนี้ จากการรบกับทั้งกองทัพลำพังเพียงคนเดียว เจ้าชายเคนดริคทอดพระเนตรดูมันรอบๆ และรู้สึกเกรงขามไปกับวิถีการทำลายล้างของธอร์ และพลังอำนาจของไมโคเพิล รวมถึงกับดาบแห่งโชคชะตา
เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกประหลาดพระทัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อหลายวันก่อนพวกเขาทั้งหมดถูกจับขังอยู่ในคุกภายใต้การกดขี่ของแอนโดรนิคัส ถูกบังคับให้ยอมรับกับความพ่ายแพ้ ธอร์ยังคงอยู่ในดินแดนจักรวรรดิ มีดาบแห่งโชคชะตาแต่อยู่ในความฝันที่ดับสูญ มันมีความหวังเพียงเล็กน้อยว่า พวกเขาจะกลับมา เจ้าชายเคนดริค และคนอื่นๆ ได้ถูกจับตรึงมัดกับไม้กางเขนและปล่อยทิ้งไว้ให้ตาย และนั่นดูเหมือนกับว่าพวกเขาได้พ่ายแพ้แล้ว
แต่ตอนนี้พวกเขาขี่ม้า เดินทางอย่างผู้มีอิสระเสรี ทั้งทหารและอัศวินรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง การมาของธอร์ทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก ตอนนี้ พวกเขาได้เปรียบ ไมโคเพิลเป็นสิ่งล้ำค่าจากสวรรค์ที่พระเจ้าประทานให้ มันนำมาซึ่งการทำลายล้างที่ตกมาอย่างห่าฝนจากฟากฟ้า เมืองซิเลเซียในตอนนี้เป็นเมืองที่ถูกปลดปล่อยแล้วรวมไปถึงชนบท ด้านนอกของอาณาจักรวงแหวน ณ ที่ตรงนั้นที่เคยเป็นที่ตั้งแห่งกองทัพนักรบจักรวรรดิ มาถึงตอนนี้ ถนนที่มุ่งหน้าสู่ตะวันออกนั้นได้กลายเป็นถนนแห่งซากศพของพวกมัน ที่เรียงรายออกไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา
แม้เจ้าชายเคนดริคจะทรงรู้สึกมีกำลังใจจากสิ่งที่เห็น แต่พระองค์ทรงรับรู้ว่า อีกฟากหนึ่งของที่ราบสูงไฮแลนด์นั้น ยังมีทหารของแอนโดรนิคัส ราวครึ่งล้านนาย ตั้งแถวเรียงรายรอต้อนรับพวกเขาอยู่ กองทัพของเขาโจมตีพวกมันได้เพียงชั่วคราว แต่มันก็ยากที่จะกวาดล้างพวกมันได้ทั้งหมด และเจ้าชายเคนดริคกับพรรคพวกก็ไม่ได้พอใจที่ จะคอยนั่งรอ ให้กองทัพของพวแอนโดรนิคัส ในเมืองซิเลเซียมารวมตัวและโจมตีเขาเข้าอีกครั้ง หรืออีกอย่าง เขาก็ไม่ต้องการจะให้พวกนั้นมีโอกาสหลบหนีและล่าถอยกลับไปยังจักรวรรดิของมัน ในเมื่อโล่พลังได้กลับขึ้นมาอีกครั้งและตอนนี้กองทัพของเจ้าชายเคนดริค ก็มีจำนวนมากกว่าอีกด้วย อย่างน้อยๆ พระองค์ก็มีโอกาสที่จะต่อสู้มากกว่าเดิม ในตอนนี้กองทัพของแอนโดรนิคัสกำลังกระเจิดกระเจิงและเจ้าชายเคนดริคกับพรรคพวกก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้าสานต่องานที่ธอร์เป็นผู้เริ่มต้นนี้ให้ไปสู่ชัยชนะ
เจ้าชายเคนดริคทรงชำเลืองพระอังสาของพระองค์ ทอดพระเนตรไปด้านหลังยังกองพลทหารหลายพันนาย เหล่าทหารที่มีเสรีภาพร่วมขี่ม้าร่วมทัพกับพระองค์ ทรงเห็นความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าบนใบหน้าของพวกเขา พวกเขาทั้งหลายได้ลิ้มลองรสชาติของการเป็นทาส ได้ลิ้มรสของความปราชัย และตอนนี้พระองค์ทรงเห็นว่า พวกเขาเหล่านั้นได้รู้สึกถึงคุณค่าของการเป็นไทอีกครั้งหนึ่ง มันไม่ใช่การกระทำเพื่อตัวของพวกเขาเอง แต่เป็นการกระทำให้ภรรยาและครอบครัวของพวกเขาด้วย ทหารแต่ละนายและทุกๆนายรับรู้รสชาติแห่งความคมคืนถูกกระตุ้นให้กล้าหาญและพวกเขาจะทำให้พวกแอนโดรนิคัสต้องชดใช้และทำทุกวิธีทาง เพื่อให้แน่ใจว่าพวกนั้นจะไม่มาโจมตีเขาอีก นี่คือกองทัพของเหล่าทหารที่พร้อมจะสู้จนตัวตายและพวกเขาผงาดขึ้นมาได้อีกครั้ง ทุกที่ที่พวกเขาเดินทางผ่านไปจะมีการปลดปล่อยผู้คนให้เป็นไทมากขึ้น ปลดปล่อยพวกเขาจากพันธนาการและดึงดูดพวกเขาเข้ามาสู่กองทัพ ที่นับวันยิ่งเติบโตเพิ่มจำนวนทับทวี
ส่วนตัวเจ้าชายเคนดริคนั้น พระองค์ยังทรงค่อยๆฟื้นตัวจากการถูกจับตรึงกับไม้กางเขน พระวรกายของพระองค์ยังไม่ทรงแข็งแรงเหมือนดั่งที่เคย และมันยังคงมีความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณข้อพระกรและข้อพระบาทจากการที่ถูกมัดด้วยเชือกหยาบกร้านที่ฝังลงไปในพระฉวีของพระองค์ ส่ทรงหันไปทอดพระเนตรที่สร็อก บรอม และแอ็ทมีที่ถูกจับตรึงไว้เคียงข้างกัน พระองค์ทรงเห็นว่า พวกเขาก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนอย่างที่เคย การตรึงอยู่กับไม้กางเขนนั่นเป็นการ ทำร้ายพวกเขาอย่างสาหัส แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็เดินทางขี่ม้าอย่างภาคภูมิและกล้าหาญ มันไม่มีอะไรเทียบเท่ากับการมีโอกาสได้ต่อสู้เพื่อชีวิต การมีโอกาสได้แก้แค้น และมันทำให้สามารถลืมความเจ็บปวดทั้งหลายไปได้
เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกดีพระทัยที่พระอนุชาของพระองค์เจ้าชายรีสและกองทหารยุวชนได้กลับมาจากการฝึกฝน และได้ร่วมทางขี่ม้าร่วมทัพเคียงข้างกันอีกครั้ง พระองค์ทรงรู้สึกเหมือนถูกฉีกเป็นเสี่ยงๆ ที่ต้องเห็นพวกเขาถูกฆ่าฟันในเมืองซิเลเซีย การได้เห็นพวกเขาเหล่านั้นกลับมาบ้าน ถือเป็นการย้อนรำลึกถึงความอาลัยโศกศัลย์ของพระองค์ พระองค์และเจ้าชายรีสทรงมีความใกล้ชิดสนิทกัน พระองค์เติบโตขึ้นมาเพื่อปกป้องพระอนุชาและทำหน้าที่เสมือนเป็นพระบิดาองค์ที่สอง ในช่วงเวลาที่ราชาแมคกิลมีราชภาระมาก บางครั้งการเป็นพระเชษฐาที่ร่วมสายเลือดเพียงครึ่งหนึ่งทำให้เจ้าชายเคนดริค สามารถใกล้ชิดกับเจ้าชายรีสได้มากขึ้น เพราะมันไม่มีอะไรมากีดขวางความสนิทสนมของพวกเขา มันเหมือนไม่มีทางเลือก เจ้าชายเคนดริค ไม่เคยใกล้ชิดกับพระอนุชาอีกสองพระองค์ เจ้าชายก็อดฟรีย์ที่ทรงชอบใช้เวลาส่วนใหญ่กับพรรคพวก ได้ทรงแยกพระองค์ไปในโรงเหล้า และเจ้าชายกาเร็ธก็ยังคงเป็นเจ้าชายกาเร็ธ เจ้าชายรีสเป็นเพียงหนึ่งในพี่น้องร่วมสายโลหิตที่ได้เข้าร่วมในสมรภูมิด้วยกันพระองค์เป็นพระอนุชา ที่เจ้าชายเคนดริคได้ทรงเลือกแล้วที่จะอุทิศชีวิตให้และพระองค์ทรงภาคภูมิพระทัยในตัวน้องชายเป็นล้นพ้น
ในอดีตเมื่อเจ้าชายเคนดริคทรงเสด็จประพาสเดินทางกับเจ้าชายรีส พระองค์ทรงคอยห่วงใยปกป้องทรงทอดสายพระเนตรดูแลน้องมิห่างแต่เมื่อทรงเห็นการกลับมาของพระอนุชาว่า ทรงดำรงตนเป็นนักรบอย่างแท้จริง นักรบที่เข้มแข็งแล้ว พระองค์จึงไม่ต้องคอยระแวดระวังภัยให้พระอนุชาอีกต่อไป ทรงสงสัยเหลือเกินว่า เจ้าชายรีสจะต้องประสบกับความยากลำบากตรากตรำเพียงใด เมื่อครั้งทรงอยู่ในอาณาจักรจักรวรรดิ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำให้พระอนุชาเข้มแข็งและมีความชำนิชำนาญในการรบ พระองค์ทรงคาดหวังที่จะนั่งคุยกับพระอนุชาและฟังเรื่องราวต่างๆของเขา
เจ้าชายแคนรู้สึกดีพระทัยที่ธอร์กลับมาด้วยไม่ใช่เพียงเพราะว่า ธอร์ได้ปลดปล่อยพวกเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเขามีความชอบและเคารพในตัวธอร์อย่างมากมายและเป็นห่วงเขาราวกับว่าเขาเป็นน้องชายอีกคนหนึ่ง เจ้าชายเคนดริคย้อนรำลึกถึงภาพของธอร์ ถึงการกลับมาของธอร์และการถือดาบนั่น พระองค์ไม่สามารถลบเลือนมันไปได้ มันเป็นภาพจินตนาการที่พระองค์ไม่เคยคาดคิดที่จะประจักษ์เลยในชีวิตนี้ จริงๆแล้ว พระองค์ไม่เคยคาดหวังว่าจะเห็นใครในโลกสามารถใช้ดาบแห่งโชคชะตาได้แบบนี้ ไม่น่าจะเป็นธอร์คนที่เคยเป็นเด็กรับใช้ ผู้ที่ตัวเล็กและมีความถ่อมตน เด็กจากหมู่บ้านที่ทำไร่นาที่อยู่ริมขอบด้านนอกของอาณาจักรวงแหวน เขาเป็นบุคคลภายนอก ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์แมคกิลเลย
ทำไมถึงเป็นเขา?
เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกประหลาดพระทัย พระองค์ทรงมีความคิดวนเวียนเรื่องเกี่ยวกับตำนานที่ว่า สายเลือดแห่งราชวงศ์แมคกิลเท่านั้นที่สามารถยกดาบขึ้นได้ ลึกลงไปในพระหฤทัยแล้ว เจ้าชายเคนดริคต้องทำพระทัยยอมรับที่พระองค์ทรงหวังว่า พระองค์จะเป็นคนที่ยกดาบนั้นขึ้นเอง ทรงมีความหวังว่ามันจะเป็นตราประทับความชอบธรรมอันสูงสุดว่า พระองค์คือแม็คกิลที่แท้จริง เป็นพระราชาโอรสองค์โต พระองค์มีความฝันอย่างนั้นเสมอมา ว่าในวันหนึ่ง เหตุการณ์จะนำพาให้พระองค์ได้ลองยกมันขึ้น
แต่พระองค์ไม่เคยได้รับโอกาสนั้นเลย และก็ มิได้ทรงอิจฉาธอร์กับความสำเร็จของเขาเจ้าชายเคนดริค ไม่ได้มีความอยากได้ใคร่มี ในทางตรงกันข้าม พระองค์ทรงพิศวงกับโชคชะตาของธอร์ พระองค์ไม่เข้าใจมันเลย หรือตำนานจะเป็นเรื่องไม่จริง? หรือว่าธอร์เป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์แม็คกิล? มันจะเป็นไปได้อย่างไร? มิเช่นนั้น ธอร์ก็จะเป็นลูกชายของพระราชาแม็คกิลด้วย เจ้าชายเคนดริค ทรงสงสัยในข้อนี้ พระบิดาได้เคยหลับนอนกับผู้หญิงมากมายที่มิได้อภิเษกสมรสด้วย ซึ่งนั่นเองก็ทำให้ตัวของเขากลายเป็นหนึ่งในราชวงศ์
หรือว่านั่นคือเหตุผลที่ธอร์รีบออกจากเมืองซิเลเซีย? หลังจากที่สนทนากับพระมารดาของเขา เขาคุยอะไรกันบ้าง? พระมารดาของเขาจะไม่ตรัสอะไร มันเป็นครั้งแรกที่นางเก็บความลับกับเขาและเก็บมันไว้จากพวกเขาทั้งหมดทำไม รอจนถึงตอนนี้ความลับอะไรที่พระนางเก็บงำเอาไว้ อะไรหรือที่พระนางตรัสออกมา จนทำให้ธอร์ต้องเร่งรุด ออกไปแบบนั้น ทิ้งพวกเขาไว้โดยไม่กล่าวอะไรเลยสักคำ?
มันทำให้เจ้าชายเคนดริค นึกถึงพระบิดาของพระองค์ และเชื้อสายของราชวงศ์ ยิ่งพระองค์ปรารถนามันมากเท่าไหร่ พระองค์ก็ยิ่งเหมือนถูกแผดเผากับความคิดที่ว่า ตนเองเป็นลูกนอกกฎหมายและทรงสงสัยเป็นครั้งที่ล้านแล้วว่า ใครคือแม่ของพระองค์ที่แท้จริง พระองค์เคยได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับชีวิตของตน หรือพวกผู้หญิงที่พระบิดาพระราชาแม็คกิลเคยร่วมหลับนอนด้วย แต่พระองค์มิทรงทราบอย่างแน่ชัด เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วเหมือนที่เคยเป็นมา เมื่ออาณาจักรวงแหวนกลับเข้าสู่ความปกติ เจ้าชายเคนดริค จะตัดสินใจที่จะตามหามารดาของพระองค์อย่างแน่นอน จะเข้าเผชิญหน้ากับเธอและตั้งคำถามเธอว่าทำไม เธอถึงปล่อยเขาไปทำไม เธอถึงไม่เคยมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา จะถามว่านางเจอพระบิดาได้อย่างไร พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะพบกับเธอเพื่อเห็นหน้าของเธอ เพื่อเห็นว่าเธอหน้าตาเหมือนพระองค์และอยากให้เธอบอกกับพระองค์ว่าจริงๆ แล้วพระองค์เป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฏหมาย ถูกต้องเหมือนกับคนอื่นๆ
เจ้าชายเคนดริคทรงพอพระทัยที่ธอร์ได้ออกไปตามราชินีเกว็นกลับมา ถึงกระนั้น อีกห้วงแห่งความนึกคิด พระองค์ยังทรงหวังพระทัยว่าธอร์จะเลือกที่จะอยู่ เพื่อเข้าต่อสู้ร่วมกัน เพื่อมีกองกำลังที่เหนือกว่ากองทัพของแอนโดรนิคัสเรือนหมื่นนาย เจ้าชายเคนดริคทรงหวังว่าจะเห็นธอร์และไมโครเพิลในตอนนี้มากกว่าที่เคยเป็นมา
แต่เจ้าชายเคนดริคทรงประสูติและเจริญพระชนม์มาอย่างชาตินักรบ พระองค์ไม่เคยทรงรีรอ มัวรอคอยคนอื่นที่จะมาต่อสู้ในสมรภูมิเพื่อพระองค์ หากแต่พระองค์ทรงปล่อยให้สัญชาตญาณนำทาง ทรงม้านำออกมาและทรงเอาชนะพวกจักรวรรดิให้มากที่สุดเท่าที่พระองค์จะทำได้ พร้อมกับกองกำลังที่พระองค์ทรงมี แม้พระองค์จะไม่มีอาวุธพิเศษอย่างไมโคเพิลหรือดาบแห่งโชคชะตา แต่พระองค์ทรงมีสองพระหัตถ์เหมือนกับที่เคยมีมาจากครั้นเยาว์วัย และนั่นมันก็เพียงพอแล้ว
พวกเขาขึ้นไปบนเนินและเมื่อขึ้นไปถึงยอดของมัน เจ้าชายเคนทอดพระเนตรออกไปยังขอบฟ้าและทรงเห็นเมืองลูเซียซึ่งเป็นของแม็คกิลที่มีขนาดเล็ก มันเป็นเมืองแรกที่อยู่ทางตะวันออกของเมืองซิเลเซีย ซากศพของพวกจักรวรรดิเรียงรายบนพื้นถนนแล้วเห็นได้ชัดว่าคลื่นแห่งการทำลายล้าง จบลงที่นี่ด้วยฝีมือของทงจากระยะไกลของขอบฟ้านั่น เจ้าชายเคนสามารถเห็นกองทหารของแอนโดรนิคัสล่าถอยออกไปทางตะวันออก พระองค์เชื่อว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้ากลับสู่ค่ายพักหลักของแอนโดรนิคัส เพื่อความปลอดภัยจากอีกฝั่งของที่ราบสูงไฮแลนด์ ส่วนหลักของกองทัพได้ล่าถอยลง แต่พวกเขาก็ยังทิ้งกองทหารเล็กๆ เอาไว้และยังสามารถมองเห็นประชาชนของที่นี่ที่ตกเป็นทาสของพวกทหาร
เจ้าชายเคนดริคทรงจดจำได้ว่าเกิดอะไรกับพวกเขาที่ในเมืองซิเลเซียได้ว่า พวกนั้นปฏิบัติค่อพวกเขาอย่างไร พระพักตร์ของพระองค์กลายเป็นสีแดงขึ้นด้วยความปรารถนาที่จะแก้แค้น
"จู่โจม!" เจ้าชายเคนดริคทรงตะโกนร้อง
พระองค์ยกดาบขึ้นสูงและด้านหลังก็ตามมาด้วยเหล่าทหารหลายพันชีวิตที่กู่ร้องออกมาอย่างเข้มแข็ง
เจ้าชายเคนดริคทรงเตะม้าของพระองค์ และพวกเขาก็เร่งลงไปยังเนินเขาที่มุ่งหน้าสู่เมืองลูเซีย กองทัพทั้งสองได้เตรียมตัวเข้าเผชิญหน้ากัน ถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะดูเหมาะสมในแง่ของจำนวนของนักรบ แต่มันเทียบกันไม่ได้ เจ้าชายเคนดริคทรงทราบดี เทียบไม่ได้ในเรื่องหัวใจ พวกกองกำลังของแอนโดรนิคัสที่เหลืออยู่เป็นพวกที่รุกรานซึ่งกำลังถอยหนี ขณะที่ทหารของเจ้าชายเคนดริคมีความพร้อมที่จะสู้เพื่อชีวิต เพื่อปกป้องดินแดนบ้านเกิด
เสียงร้องสัญญาณการรบดังขึ้นสู่สรวงสวรรค์ เมื่อพวกเขาจู่โจมเข้ามายังประตูเมืองของลูเซีย พวกเขาเข้ามาอย่างรวดเร็วมีทหารราวเจ็ดโหลของจักรวรรดิที่ยืนอารักษ์ขาอยู่ตรงนั้น พวกนั้นหันมามองกันและกันอย่างสับสน เห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่ได้คาดคิดถึงการจู่โจมแบบนี้ ทหารของจักรวรรดิหันมาแล้ววิ่งเข้าไปในประตูเมืองแล้ว เขาหมุนข้อเหวี่ยงของซุ้มประตูเหล็กลงอย่างแรง
แต่มันก็ยังไม่เร็วพอ พลธนูของเจ้าชายเคนดริคหลายคนได้มุ่งหน้าไปก่อน ยิงลูกธนูและสังหารพวกเขา หัวธนูได้ลงอย่างแม่นยำตรงกลางอกและด้านหลัง หาจุดลงตรงช่วงรอยต่อของเสื้อเกราะ เจ้าชายเคนดริคทรงขว้างหอกเช่นเดียวกันกับเจ้าชายรีซซึ่งอยู่เคียงข้างพระองค์ เจ้าชายเคนดริคทรงพบว่าเป้าหมายของพระองค์คือ นักรบร่างใหญ่ และทรงประทับใจที่เห็นหอกของเจ้าชายรีสที่ปล่อยออกไปอย่างไร้ความพยายามได้ลงสู่กลางหัวใจของนายทหาร ประตูเมืองยังคงเปิดอยู่และเจ้าชายเคนดริคกับทหารก็ไม่ลังเลที่จะตะโกนร้องสัญญาณการรบและเข้าโจมตี ตั้งเป้าเข้าไปให้ถึงกลางใจเมือง และไม่หยุดที่ต่อกรกับการเข้ามาปะทะ
เสียงกระทบของ โลหะดังแกร๊ง ขณะที่เจ้าชายเคนดริคและพรรคพวกได้ยกดาบ ขวาน หอกและง้าวขึ้น สู้กับทหารแห่งจักรวรรดิหลายพันนายผู้ที่เร่งเข้ามาทักทายพวกเขาบนหลังม้า ในตอนแรกของการปะทะ เจ้าชายเคนดริคได้ยกโล่ เพื่อป้องกันการถูกฟันตี ในขณะเดียวกันก็ทรงแกว่งไกวดาบ และฆ่าทหารได้สองนาย โดยไม่ต้องลังเล และพระองค์หมุนวนไปรอบๆ และป้องกันดาบที่ตีลงมา จากนั้นจึงผลักดาบออกไปเข้าสู่ใส้ในของทหารจักรวรรดิ เมื่อพวกทหารตายเจ้าชายเคนดริคทรงคิดถึงการแก้แค้นทรงคิดถึงพระนางเกว็นโดลีนและประชาชนที่ต้องทนทุกข์ทรมานของอาณาจักรวงแหวน
เจ้าชายรีสที่อยู่ด้านข้างของพระองค์ ก็ทรงเหวี่ยงคฑาออกไป แล้วอัดเข้าที่หัวของทหารนายหนึ่ง ทำให้เขาตกลงจากหลังม้า จากนั้นจึงยกโล่ขึ้นป้องกันการโจมตีจากด้านข้าง พระองค์ทรงเหวี่ยงคฑาออกไปรอบๆ แล้วจึงพุ่งเข้าโจมตี โดยมีเอลเด็นอยู่ข้างพระองค์ เขาเร่งไปข้างหน้าด้วยขวานอันใหญ่และจัดการทหารที่หมายจะปะทะกับเจ้าชายรีสคว่ำลงมาได้ เขาตัดผ่านโล่และเข้าไปยังหน้าอกของทหารนั่น
โอคอนเนอร์ยิงธนูได้แม่นยำถึงแก่ความตาย แม้ว่าระยะจะอยู่ใกล้มากก็ตามขณะที่คอนเวนก็โยนตัวเองลงไปในสมรภูมิและต่อสู้อย่างบ้าคลั่งกระโจนเข้าไปหาเหล่าทหารทั้งหลายซึ่งเขาไม่ได้ จะใส่ใจยกโล่ขึ้นป้องกันตัว เขาเหวี่ยงดาบสองด้ามออกไป หันตัวเองมุ่งสู่กลุ่มทหารจักรวรรดิที่หนาแน่นราวกับว่า เขาต้องการจะไปตาย แต่ด้วยความน่าประหลาดใจที่เขาไม่ตาย ตรงกันข้าม เขาจัดการสังหาร ทหารอีกฝ่ายทั้งด้านซ้ายและขวา
อินดราก็ตามมาอยู่ไม่ไกลนักเธอไม่มีความกลัวใดๆ มากไปกว่าผู้ชายส่วนมาก เธอใช้ดาบสั้นด้วยทักษะอันเชี่ยวชาญและฝีมืออันเยี่ยมยอด ตัดเข้าไปเหมือนแร่เนื้อปลา ผ่านเข้าไปยังแถวของทหาร แทงเข้ายังลำคอของพวกจักรวรรดิ ในขณะนั้นเอง เธอคิดถึงบ้านเกิดของตัวเองและประชาชนของเธอที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ภายใต้อำนาจพวกจักรวรรดิมากขนาดไหน
ทหารจักรวรรดิใช้ขวานของเขาใส่ลงมายังพระเศียรเจ้าชายเคนดริค ก่อนที่พระองค์จะหลบมันได้ พระองค์ทรงทำพระทัยกล้าเตรียมตัวรับการเข้าฟันนั้น แต่พระองค์ทรงได้ยิน เสียงกระแทกของโลหะดังสนั่นและทอดพระเนตรเห็นพระสหายของพระองค์ แอ็ทมีอยู่เคียงข้างพระองค์ เขาหยุดการเข้าฟันนั้นด้วยโล่ของเขา แอ็ทมีแทงหอกของเขาเข้าไปยังทหารที่เขาโจมตีในช่องท้อง เจ้าชายเคนดริครู้สึกเป็นหนี้ชีวิตของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่ทหารอีกคนนึงจู่โจมเข้ามาด้วยคันธนูและลูกศรที่ตั้งเป้าเอาไว้กับแอ็ทมี เจ้าชายเคนดริคทรงรี่เข้าไปด้านหน้าและฟันด้วยดาบของพระองค์ไปยังคันธนู ฟันมันขึ้นสูงสู่อากาศ ตัวลูกศรก็ถูกยิงไปอย่างไร้จุดหมายอยู่เหนือหัวของแอ็ทมี จากนั้น เจ้าชายเคนดริคก็ต่อสู้กับทหารอยู่บนสะพานด้วยการใช้ดาบ พระองค์ทรงล้มเขาลงจากม้า และเขากระทืบเขาจนถึงแก่ความตาย ตอนนี้พวกเขาเสมอกันแล้ว
และเมื่อสมรภูมิยังคงเดินหน้าต่อไป แต่ละกองทัพก็ยังคงสู้ฟันและนายทหารแต่ละฝ่ายก็ต่างสูญเสีย แต่การสูญเสียของจักรวรรดิมีมากกว่า เมื่อทหารของเจ้าชายเคนดริคต่อสู้ด้วยความเดือดดาล แล้วก็อัดตัวกันเข้าไปอย่างในเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด พวกเขาก็กวาดล้างพวกมันไปอย่างกับกระแสน้ำ ทหารจักรวรรดิเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง แต่พวกเขาเป็นพวกที่รู้จักแต่การเข้าจู่โจมและไม่รู้จักระมัดระวังตัวตั้งรับ เพียงไม่นาน พวกเขาก็ไม่สามารถจะป้องกันการโจมตีของเจ้าชายเคนดริคได้แล้ว มันก็ทำให้จำนวนของพวกเขาลดลงอย่างมาก
หลังจากการสู้รบอย่างดุเดือดร่วมชั่วโมง การสูญเสียของทหารจักรวรรดิก็เริ่มเข้าสู่การล่าถอย บางคนจากฝั่งนั้นได้เป่าสัญญาณแตรและพวกเขาก็เริ่มหันหนีและควบม้าออกไปออกไปจากเมืองนั้นทีละคนๆ