Kitabı oku: «ธรรมเนียมแห่งดาบ », sayfa 2

Yazı tipi:

ด้วยเสียงร้องตะโกนที่ดังยิ่งกว่าเดิม เจ้าชายเคนดริคและทหารของเขาก็เร่งรุดตามพวกเขาไป ไล่ล่าจนพวกเขาออกไปจากเมืองลูเซีย ตามพวกเขาจนออกไปจากนอกประตูเมือง

พวกที่ยังหลงเหลืออยู่ในกองทัพของจักรวรรดิยังมีจำนวนอยู่หลายร้อยคน พวกเขาขี่ม้าออกไปอย่างไม่คิดชีวิต ในช่วงชุลมุนนี้ พวกเขาแย่งกันออกไป ไปยังเส้นขอบฟ้า มีเสียงดังมาจากชาวลูเซียที่ได้รับการปลดปล่อย เจ้าชายเคนดริคได้ฟันเชือกของเขาและปลดปล่อย พวกเขาไปและพวกนักโทษไม่ยอมสูญเสียเวลา พวกเขาขี่ม้าไล่ตามทหารจักรวรรดิ โดยเลือกม้าและไปดึงอาวุธมาจากซากศพและเข้าร่วมกับกองทหารของเจ้าชายเคนดริค

กองทัพเจ้าชายเคนดริคได้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า มีจำนวนหลายพันคน พวกเขาไล่ล่าทหารของจักรวรรดิที่วิ่งขึ้นและลงภูเขา เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ โอคอนเนอร์และคนอื่นๆ ที่เป็นมือธนูก็จัดการสังหารพวกเขา โดยมีร่างของพวกเขาตกลงมาจากหลายทิศทาง

การไล่ล่ายังคงมีต่อไป เจ้าชายเคนดริคทรงสงสัยว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ใด เมื่อพระองค์และทหารได้ขึ้นไปยอดที่สูงที่สุดและทรงทอดพระเนตรลงมา เห็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแม็คกิลทางฝั่งตะวันออกของลูซี่ ที่ทำมาจาก ติดกำแพงหินหนาและมีประตูเหล็กกั้นเอาไว้ที่นั่นที่เจ้าชายเคนดริคทรงตระหนักได้ว่า ทหารที่เหลือของจักรวรรดิได้หนีเขาไปและในเมืองนั้นก็ยังมีทหารของจักรวรรดิอยู่อีกหลายหมื่นนาย

เจ้าชายเคนดริคทรงหยุดทหารของพระองค์อยู่ด้านบนสุดของเนินเขาและทรงทอดพระเนตรลงไปในเหตุการณ์นั้นเมืองวีนีเซียเป็นเมืองหลักและพวกเขาก็มีจำนวนมากกว่าพระองค์ พระองค์ทรงทราบว่ามันเป็นเรื่องที่บ้าระห่ำที่จะลองทำเช่นนั้น แต่ว่า เรื่องที่ปลอดภัยตอนนี้ น่าจะเป็นการกลับไปยังเมืองซิเลเซีย และรู้สึกซาบซึ้งสำหรับชัยชนะที่นี่ในวันนี้

แต่เจ้าชายเคนดริคไม่ได้อยู่ในพระอารมณ์ที่จะเลือกความปลอดภัยให้ตัวเองหรือให้พลทหารของพระองค์ พวกเขาต้องการเลือด พวกเขาต้องการแก้แค้นและในวันแบบวันนี้มันไม่มีอะไรสำคัญอีกแล้ว มันเป็นเวลาที่จะให้พวกทหารจักรวรรดิได้รู้ว่าพวกแม็คกิลทำมาจากอะไร

“เข้าจู่โจม!” เจ้าชายเคนดริคร้องตะโกน

เมื่อพระเสียงสุรเสียงดังขึ้น ทหารหลายพันนายก็เร่งรุดเข้ามาเข้าโจมตีอย่างบ้าระห่ำอยู่ที่เนินเขาด้านล่าง มุ่งหน้าไปยังเมืองใหญ่ที่มีจำนวนศัตรูมากกว่าเตรียมตัวที่จะเสียสละชีพและเสี่ยงอันตรายเพื่อเกียรติยศและความกล้าหาญ

บทที่ สี่

เจ้าชายกาเร็ธทรงพระกาสะและลมหายใจมีเสียงดังฮืดฮาด พระองค์เสด็จไปในภูมิประเทศที่รกร้างว่างเปล่า พระโอษฐ์ของพระองค์แห้งและแตกจากการขาดน้ำ และดวงพระเนตรลึกเป็นโพรงและมีสีดำโดยรอบ มันเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากที่ในหลายๆ ครั้ง พระองค์ทรงคาดการณ์ว่าอาจจะต้องสวรรคต

เจ้าชายกาเร็ธทรงหลบหนีจากกองทหารของแอนโดรนิคัสในเมืองซิเลเซียมาได้ จากการหลบซ่อนอยู่ในช่องที่อยู่ลึกเข้าไปในกำแพงและทรงรอคอยช่วงเวลาเพื่อหลบหนี ในระหว่างที่ทรงรอนั้น ทรงขดงอพระวรกายเหมือนกับหนูที่อยู่ในความมืดมิด รอคอยโอกาสที่เหมาะสม พระองค์ทรงประทับอยู่ในนั้นหลายวันและทอดพระเนตรเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ไม่อยากจะเชื่อ เมื่อทรงเห็นว่าธอร์มาถึงโดยการขี่หลังของมังกรนั่นและได้ฆ่าฟันทหารจักรวรรดิโดยหมดสิ้น ในช่วงแห่งความสับสนวุ่นวายนั้นทำให้พระองค์ทรงเล็งเห็นโอกาสแห่งการหลบหนี

เจ้าชายกาเร็ธทรงดำเนินหลบเลี่ยง ทรงผ่านไปทางประตูด้านหลังของเมืองซิเลเซียในขณะที่ไม่มีใครมองเห็น และทรงดำเนินไปตามถนนที่มุ่งหน้าลงใต้ เสด็จผ่านริมขอบของหุบเขาลึก ทรงพยายามที่จะดำเนินในป่าเพื่อจะได้ไม่เป็นที่สังเกต มันไม่มีความสำคัญที่ถนนจะถูกทิ้งให้รกร้างว่างเปล่าเพราะทุกคนมุ่งหน้าไปทางตะวันออก เพื่อไปสู้รบกับกองทัพของอาณาจักรวงแหวนเมื่อ มีทรงดำเนินไปในทางนั้น พระองค์ทอดพระเนตรเห็นซากศพของหมู่ทหารจากแอนโดรนิคัส นอนเรียงรายไปตามทาง และทรงรับทราบว่าการต่อสู้ที่ผ่านลงใต้นั้นได้เกิดการปะทะเสร็จสิ้นไปแล้ว

เจ้าชายกาเร็ธทรงมุ่งหน้าลงทางใต้ให้ได้ระยะทางไกลกว่าเดิม สัญชาตญาณด้านในบอกให้พระองค์เสร็จไปจนถึงราชสำนัก เพื่อค้นพบว่ายังมีอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง ทรงรับทราบถึงการแก้แค้นของทหารจากแอนโดรนิคัส มันเหมือนเป็นซากแห่งความพินาศ แต่กระนั้น พระองค์ยังทรงต้องการจะเสด็จไปที่นั่น ทรงต้องการไปให้ไกลจากพวกซิและต้องการเสด็จไปในสถานที่ที่พระองค์รู้จักและจะประทับได้อย่างปลอดภัย มันเป็นสถานที่ที่ทุกคนละทิ้งไป เป็นสถานที่ที่ครั้งหนึ่งทรงขึ้นครองราชย์ และมีอำนาจสูงที่สุดเหนือผู้ใด

จากการเดินทางในป่าอยู่หลายวัน เจ้าชายกาเร็ธที่รู้สึกทั้งอ่อนเพลียและขาดสติจากความหิวโหย ในที่สุดพระองค์ก็เสด็จออกมาจากป่าและทอดพระเนตรเห็นราชสำนักในระยะไกล มันยังคงตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น กำแพงของมันยังดูแข็งแรง อย่างน้อยๆ ก็ยังคงมีบางส่วนที่เป็นเช่นนั้นอยู่ แม้ว่ามันจะถูกเผาและได้แตกเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อย รอบๆ บริเวณนั้นมีซากศพของทหารแอนโดรนิคัสเรียงรายอยู่ มันเป็นหลักฐานว่าธอร์ได้เคยมาที่นี่ มิเช่นนั้น มันก็จะตั้งอยู่อย่างว่างเปล่า ไม่มีอะไรเหลือ นอกจากเสียงเป่าหวิวของสายลมที่พัดมา

นั่นเป็นการทำให้เจ้าชายกาเร็ตสมพระประสงค์ พระองค์มิได้ทรงวางแผนที่จะเข้าไปในเมือง ทรงเสด็จมายังสิ่งก่อสร้างที่ยากแก่การพบเห็น มันมีขนาดเล็กและอยู่ด้านนอกของกำแพงเมือง มันเป็นสถานที่ที่พระองค์เสด็จมาบ่อยๆ เมื่อครั้งยังเยาว์วัย มันเป็นโครงสร้างทำจากหินอ่อนและมีทรงกลม มันยกตัวเหลือพื้นดินเพียงไม่กี่ฟุตประดับประดาไปด้วยรูปปั้นแกะสลักอย่างปราณีด้านบนหลังคา มันดูเหมือนกับเป็นสิ่งเก่าแก่ที่อยู่ต่ำๆ ที่โผล่ตัวขึ้นมาเหนือพื้นผิวโลก มันเป็นห้องใต้ดินของพวกราชวงศ์แม็คกิล สถานที่ที่พระราชบิดาเคยถูกฝังและพระราชบิดาองค์ก่อนหน้า

ห้องใต้ดินเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงทราบว่าจะไม่ได้รับความเสียหาย จากเหตุการณ์ทั้งหมดนั่น ใครจะมาสนใจเข้าโจมตีสุสานพระราชวงศ์กันเล่า? มันเป็นสถานที่เดียวที่พระองค์ทรงทราบว่าจะไม่มีใครมาตามหาพระองค์ เป็นสถานที่พระองค์สามารถใช้หลบซ่อนและจะถูกทิ้งไว้อย่างลำพังอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เป็นสถานที่ที่พระองค์ประทับอยู่กับบรรพบุรุษ ยิ่งพระองค์ทรงเกลียดพระบิดามากเท่าไหร่ มันน่าแปลกมากที่พระองค์ทรงพบว่า ทรงมีความต้องการอยู่ใกล้กับพระบิดามากเหลือเกินในช่วงนี้

เจ้าชายกาเร็ธทรงเร่งเสด็จไปในทุ่งที่เปิดโล่ง ท่ามกลางสายลมพัดแรงและหนาวเหน็บ มันทำให้พระองค์ตัวสั่นและทรงดึงฉลองพระองค์คลุมที่ขาดรุ่งริ่งพันรอบพระอังสา รอบวรกายอย่างแน่นหนาพระองค์ทรงได้ยิน เสียงของนกแห่งฤดูหนาวกรีดร้องโหยหวน ทรงทอดพระเนตรเห็นเจ้าสัตว์น่าเกลียดน่ากลัว ลำตัวสีดำ มันบินวนไปมาอยู่เหนือพระเกศา มันร้องเรียกและรอคอยช่วงเวลาที่พระองค์ล้มพระวรกายลงเป็นอาหารมื้อต่อไปของมัน เจ้าชายกาเร็ธมิได้ทรงตำหนิมัน พระองค์ทรงรู้สึกว่าพระชงฆ์ของพระองค์ ท้ายที่สุดแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นอาหารลำดับต้นๆ สำหรับเจ้านกนั่น

ในที่สุดเจ้าชายกาเร็ธก็ส่งมาถึงที่นั่น พระองค์ทรงคว้าที่จะของประตูเหล็กขนาดใหญ่ด้วยพระหัตถ์ทั้งสองข้าง และส่งกระชากมันอย่างสุดแรง โลกทั้งใบหมุนวน ทรงรู้สึกคลั่งควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จากความเหนื่อยอ่อนสิ้นสภาพ ประตูส่งเสียงดังเอี๊ยดและพระองค์ทรงใช้กำลังทั้งหมดที่มีเพื่องัดมันให้เปิดกว้าง

เจ้าชายกาเร็ธส่งรีบเข้าไปในความมืดมิดปิดกระแทกประตูเหล็กเสียงดัง มันส่งเสียงสะท้อนอยู่ด้านหลังพระองค์

พระองค์ทรงคว้าคบเพลิงที่ยังไม่ได้จุดบนกำแพงที่ทรงทราบตำแหน่งของมัน ทรงใช้หินไฟขึ้นบนจุดผ้าของคบ ทรงพยายามจุดไฟขึ้นเพื่อจะทอดพระเนตรทางเดินที่ลึกเข้าไปในความมืดมิด ยิ่งเสด็จเข้าไปลึกมากขึ้นเท่าใด มันก็เยือกเย็นขึ้นเท่านั้น สายลมพัดผ่านมาตามช่องรอยแต่ส่งเสียงหวีดหวิว พระองค์ทรงคิดอะไรไม่ได้นอกจาก ทรงรู้สึกว่าเราบรรพบุรุษของพระองค์กำลังส่งเสียงโหยหวนร้องเรียกพระองค์อยู่ กำลังประณามพระองค์อยู่

"ปล่อยข้าไป" พระองค์ทรงตะโกนร้องกลับไป

พระสุรเสียงดังก้องอีกหลายครากระทบกับกำแพงของสุสานหลวง

"พวกท่านต้องได้รับตอบแทนอย่างสาสม!"

แต่แล้วเสียงลมก็ยังคงโหยหวนอยู่อย่างนั้น

เจ้าชายกาเร็ธทรงรู้สึกโมโหเดือดดาลและเคลื่อนพระวรกายเข้าไปลึกขึ้น จนพระองค์เสด็จมาถึงยังห้องโถงใหญ่ที่ทำจากหินอ่อนที่มีการเพดานมีการจุดขึ้นสูงราวสิบฟุต มันเป็นสถานที่ซึ่งโลงหินอ่อนของบรรพบุรุษเรียงรายกันอยู่ เจ้าชายกาเร็ธทรงดำเนินไปในห้องโถงอย่างเคร่งขรึม ฝีพระบาทดังก้องในห้องหินอ่อน มีพระดำเนินไปจนสุดทางจนถึงบริเวณโลงหินที่ประทับของพระบิดา

หากเป็นเจ้าชายกาเร็ธพระองค์ก่อนก็คงจะทรงทำลายโลงพระศพของพระบิดาเป็นแน่ แต่ในขณะนี้ มีเหตุผลบางอย่างที่พระองค์เริ่มรู้สึกใกล้ชิดกับพระบิดา พระองค์มิอาจทรงเข้าพระทัยมันได้ บางทีมันอาจจะเป็นฤทธิ์ของฝิ่นที่เริ่มคลายตัวออก หรือบางทีเป็นเพราะพระองค์ทรงทราบว่า พระองค์ก็คงจะสิ้นพระชนม์เร็วๆนี้

เจ้าชายกาเร็ธทรงเสด็จมาถึงที่บริเวณของโลงหินโบราณที่สง่างามและทรงลดพระเศียร ทรงโค้งคำนับให้พระองค์ และทรงประหลาดพระทัยที่พบว่าตัวเองเริ่มจะกรรแสง

"ข้าคิดถึงท่าน พระบิดา" เจ้าชายกาเร็ธทรงคร่ำครวญกรรแสงออกมา พระสุรเสียงดังก้องกังวานไปกับความว่างเปล่า

พระองค์มีพระกรรแสง น้ำพระเนตรหลั่งไหลพรั่งพรูเต็มพระพักตร์ จนในที่สุด พระชานุของพระองค์ก็อ่อนแรง และทรงล้มพระวรกายลงด้วยความเหนื่อยอ่อนอยู่ด้านข้างหินอ่อน ทรงนั่งลงกับพื้นและพิงพระวรกายกับโลงหิน เสียงลมโหยหวนมาราวกับเป็นการตอบรับ เจ้าชายกาเร็ธก็ลดระดับคบเพลิงลง เมื่อพระองค์วางมันลง แสงไฟเริ่มลดลงและเข้าสู่ความมืด พระองค์ทรงทราบว่า ในไม่ช้า มันก็จะเข้าสู่ความมืดมิด และนั่นเอง ในไม่ช้า พระองค์ก็จะทรงเข้าร่วมกับบรรดาบรรพชนที่พระองค์ทรงรักมากที่สุด

บทที่ ห้า

สเตฟเฟนเดินช้าๆ อย่างเศร้าสร้อยไปตามทางเดินในป่าอย่างลำพัง เขาเดินอย่างช้าๆ จากหอคอยหลีกลี้ หัวใจของเขาแตกสลายที่ต้องทิ้งพระนางเกว็นอยู่ที่นั่นแบบนั้น พระนางคือผู้หญิงที่ตัวเขาปฏิญาณตนเพื่อปกป้อง เมื่อไม่มีพระองค์แล้ว เขาก็เหมือนสิ่งไร้ค่านับตั้งแต่ได้พบเจอกับพระองค์เขารู้สึกว่า ในที่สุดเขาก็ค้นพบความหมายของการมีชีวิต เพื่อที่จะเฝ้าระวังพระองค์ เพื่ออุทิศชีวิตของเขา เพื่อชดใช้ให้กับพระองค์ที่ทรงอนุญาตให้เขาที่เป็นคนใช้ระดับต่ำได้เลื่อนขั้นขึ้นมา และเหนือสิ่งอื่นใดคือการที่พระองค์เป็นบุคคลแรกในชีวิตของเขา ที่ไม่รังเกียจและดูถูกเหยียดหยามเขาจากรูปร่างหน้าตา

สเตฟเฟนรู้สึกถึงความภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือพระองค์ให้มาถึงยังหอคอยอย่างปลอดภัย การที่ทิ้งพระองค์ไว้ที่นั่นทำให้เขารู้สึกกลวงอยู่ด้านใน เขาจะไปที่ไหนในตอนนี้? แล้วเขาจะทำอะไร?

เมื่อไม่มีพระองค์ให้ปกป้องชีวิตของเขาก็เหมือนไร้จุดหมายอีกครั้ง เขาไม่สามารถกลับไปที่ราชสำนักหรือที่เมืองซิเลเซียแอนโดรนิคัสได้พ่ายแพ้ไปทั้งสองเมือง เขาหวนนึกถึงการทำลายล้างในขณะที่เขาหนีออกมาจากเมืองซิเลเซียครั้งสุดท้ายที่เขาจำได้คือผู้คนของเขาถูกจับและกลายไปเป็นทาส มันไม่มี ข้อดีอะไรให้กลับไป นอกจากนี้สเตฟเฟน ไม่ต้องการจากข้ามเขตของอาณาจักรวงแหวนอีกครั้ง และออกไปไกลจากพระนางเกว็น

สเตฟเฟนเดินอย่างไร้จุดหมายเป็นเวลาหลายชั่วโมงผ่านไปตามทางของป่าดง พยายามรวบรวมปัญญาที่มี จนกระทั่ง มันบอกเขาว่าจะไปที่ไหนดี เขาไปตามถนนชนบทที่มุ่งหน้าสู่ทางเหนือ เขาเดินไป จนถึงจุดที่สูงที่สุดและมองออกไปยังเมืองเล็กๆ ที่อยู่บนเนินเขาอีกด้านในระยะไกล เขามุ่งหน้าไปทางนั้น และเมื่อเขาพยายามไปให้ถึงจุดหมาย เมื่อหันหลังกลับไปดู เขาก็สามารถมองเห็นสิ่งที่เขาต้องการได้ นั่นคือ ทัศนียภาพอันสมบูรณ์ของหอคอยหลีกลี้ หากพระนางเกว็นพยายามที่จะออกจากที่นั่น เขาต้องการอยู่ใกล้ๆ เพื่อจะมั่นใจว่าเขาจะได้ติดตามพระองค์ไป เพื่อปกป้องพระนาง ความจงรักภักดีที่เขามีเขามอบให้แต่พระนางในขณะนี้ ไม่ใช่เพื่อกองทัพ หรือเพื่อเมือง แต่เป็นพระองค์ พระองค์เปรียบดั่งประเทศของเขา

เมื่อสเตฟเฟนมาถึงหมู่บ้านที่มีขนาดเล็กและเรียบง่าย เขาตัดสินใจว่าเขาจะพำนักอยู่ที่นี่ ในสถานที่นี้ เขาสามารถมองเห็นหอคอยได้ เพื่อเฝ้ามองสอดส่องไปยังพระนาง เมื่อเขากำลังเดินผ่านประตูเมือง เขาได้มองเห็นลักษณะที่ไม่น่าสนใจของเมืองนี้ ที่ดูยากจน หมู่บ้านมีขนาดเล็กและอยู่ไกลออกไปรอบนอกของอาณาจักรวงแหวน มันซ่อนตัวอยู่ในผืนป่าทางใต้ ที่พวกกำลังพลของแอนโดรนิคัส ก็ไม่ได้สนใจจะมาทางนี้เลย

สเตฟเฟนมาถึงพร้อมกับการจ้องมองจากชาวบ้านหลายสิบคน พวกเขามีหน้าตาที่ดูขาดเขลาและไร้ซึ่งความเห็นใจ ต่างคนอ้าปากค้าง พร้อมสบถคำเหยียดหยามหัวเราะเย้ยเขา เขาได้รับสิ่งนี้เสมอๆ นับตั้งแต่เกิดมา พวกเขาทั้งหมดพากันตรวจสอบพินิจใบตาของเขา และเขาก็รับรู้ถึงสายตาที่เยาะเย้ยของพวกเขาได้

สเตฟเฟนต้องการหันกลับและวิ่งหนีไป แต่เขาก็บังคับตัวเองไม่ให้ทำอย่างนั้น เขาต้องการอยู่ใกล้กลับหอคอย และเพื่อพระนางเกว็นเขาต้องอดทนให้ได้ทุกสิ่ง

ชาวบ้านผู้หนึ่งที่เป็นผู้ชายร่างใหญ่อายุราว สี่สิบกว่า เขาแต่งตัวในชุดที่ขาดรุ่งริ่ง ซึ่งเหมือนกับชาวบ้านคนอื่นๆ ชายนั่นหันมาหาเขาและตรงรี่เข้ามาหา

"เรามีตัวอะไรนี่? เป็นมนุษย์น่าเกลียดพิกลพิการหรืออย่างไร?"

ชาวบ้านคนอื่นหัวเราะตาม พวกเขาหันมาดูและเข้ามาใกล้

สเตฟเฟนพยายามอยู่นิ่งเฉย เขาคาดการณ์ไปถึงการทักทายในแบบนี้ แบบที่เขาได้รับมาตลอดทั้งชีวิต เขาพบว่า ยิ่งผู้คนท้องถิ่นนี้เข้ามามากเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกครื้นเครงกับการเย้ยหยันเขามากขึ้นเท่านั้น

สเตฟเฟนเอนตัวไปข้างหลัง เพื่อให้แน่ใจว่าหากมีการตบตีเขาขึ้นมา มันจะโดนเพียงแค่บริเวณหัวไหล่ ในกรณีที่พวกชาวบ้านที่ไม่ใช่แค่โหดร้าย แต่กระทำการรุนแรงสาหัส เขารู้ว่า หารเขามีความจำเป็นต้องทำ เขาก็สามารถล้มพวกนี้หลายๆ คนได้ในชั่วพริบตาเดียว แต่เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำการรุนแรง เขาต้องการหาที่พักสักที่

"เขาอาจจะเป็นเพียงพวกตัวประหลาดสักตัว ว่างั้นมั้ย?" ชาวบ้านอีกคนหนึ่งถามขึ้น กลุ่มผู้คนที่เข้ามาคุกคามเขามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและขยายวงใหญ่ขึ้นอยู่รายรอบตัวของเขา

"จากตราสัญลักษณ์ประจำตัว ข้าอยากจะบอกว่าเขาเป็น" ชาวบ้านอีกคนหนึ่งกล่าว "นั่นดูเหมือนจะเป็นโล่ของทางราชวงศ์นะ"

"ส่วนคันธนูนั่น เหมือนทำมาจากหนังสัตว์ชั้นดี"

"ถ้าไม่ดูตัวลูกธนูนะ หัวของมันทำจากทองคำด้วยใช่หรือเปล่า? "

พวกเขาหยุดห่างไปเพียงไม่กี่ฟุต ทำหน้าบึ้งตึงอย่างขู่เข็ญ พวกเขาทำให้เขาหวนนึกไปถึงพวกอันธพาลที่ชอบทรมานเขา ตอนที่เขาเป็นเด็ก

"แล้วเจ้าเป็นใครกัน? เจ้าตัวประหลาด" หนึ่งในฝูงชนพูดใส่เขา

สเตฟเฟนหายใจเข้าลึกๆ เขาตัดสินใจที่จะอยู่อย่างสงบ

"ข้าจะไม่ทำอันตรายพวกเจ้า" เขาเริ่มกล่าวขึ้น

"ทำอันตราย? เจ้านั่นหรือ? เจ้าจะมาทำร้ายอะไรพวกเราได้?"

"เจ้าไม่ควรมาทำอันตรายกับไก่ของพวกเรา”ชาวบ้านอีกคนหัวเราะเยาะ

สเตฟเฟน หน้าแดงขึ้น เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกยั่วยุ

"ข้าต้องการเพียงที่หลับนอนและอาหารประทังชีพ ข้ามีมือหยาบกร้านและหลังที่แข็งแรงที่ทำงานได้สารพัด ลองหางานมาให้ข้าซักอย่าง ข้าจะตั้งใจและก็จะไม่ได้เรียกร้องอะไรมาก แค่เท่ากับคนอื่นๆ

สเตฟเฟนต้องการจะลืมตัวตนของเขาไปกับงานที่ต่ำต้อยอีกครั้ง เขาทำงานต่ำๆ พวกนั้นในยามที่รับใช้พระราชาแม็คกิลอยู่ในห้องใต้ดิน มันเป็นเวลายาวนานที่ทำให้ใจของเขาไม่ต้องคิดถึงสิ่งใด เขาสามารถทำงานที่ใช้แรงงานหนักๆ และใช้ชีวิตอย่างไร้ตัวตน มันเป็นสิ่งที่เขาเคยเตรียมพร้อมที่จะทำ ก่อนที่จะพบกับพระนางเกว็น

"เจ้าเรียกตัวเองว่าเป็นคน งั้นหรือ?" หนึ่งในชาวบ้านตะโกนออกมาและหัวเราะเยาะ "บางทีพวกเราหางานอะไร เพื่อใช้เขากันเถอะ" อีกคนหนึ่งตะโกนขึ้น

สเตฟเฟนมองพวกเขาอย่างมีความหวัง

"มันมีงานนึงนะ คือต่อสู้กับหมาและไก่ของพวกเราไงล่ะ" พวกเขาทั้งหมดหัวเราะเยาะ

"ข้าจะจ่ายเงินให้อย่างงาม เพื่อจะรอดู!"

"มันมีสงครามอยู่ข้างนอกนั่น ถ้าพวกเจ้าไม่ได้สังเกตสเตฟเฟน พูดออกมาอย่างเยือกเย็น ข้าแน่ใจว่า ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเมืองชนบทที่ยังไม่เจริญอย่างนี้ พวกเจ้าก็ต้องการมีมือมีเท้าที่จะดูแลจัดหาเสบียงอาหาร"

พวกชาวบ้านพากันมองหน้ากันและกันอย่างสับสน

"ใช่ พวกเรารู้ว่ามีสงคราม" ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวขึ้น "แต่หมู่บ้านเราเล็กเกินกว่าที่พวกกองกำลังจะสนใจที่เข้ามาในนี้"

"ข้าไม่ชอบวิธีการพูดจาของเจ้า" คนหนึ่งกล่าว "มันดูไม่ธรรมดา?" น้ำเสียงเหมือนกับเจ้ามีการศึกษามาบ้าง เจ้าคิดว่าเจ้าดีกว่าพวกเรางั้นหรือ?"

"ข้าไม่ได้ดีกว่าใครเลย" สเตฟเฟนกล่าว

"เรื่องนั้น มันชัดเจนอยู่แล้ว" เสียงหัวเราะดังมาจากคนหนึ่ง

"หยอกเย้ากันพอได้แล้ว!" หนึ่งในชาวบ้านร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง

เขาก้าวขึ้นมาด้านหน้า และผลักคนอื่นออกไปด้านข้างด้วยฝ่ามืออันแข็งแรง เขาดูมีอายุกว่าคนอื่น และดูท่าทางจะเป็นคนจริงจัง ฝูงชนพากันเงียบกริบ เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น

"หากเจ้าหมายความตามที่พูดชายผู้นั้นกล่าวอย่างห้วนๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "

ข้าจะใช้ให้เจ้ามาที่โรงโม่ของข้า จ่ายค่าแรงเป็นเมล็ดข้าวหนึ่งกระสอบและน้ำหนึ่งเหยือก เจ้านอนในโรงนาร่วมกับเด็กชายคนอื่นๆ ของหมู่บ้าน ถ้าเจ้าตกลง ข้าก็จะให้เจ้าทำงานนี้

แต่แอบพยักหน้ากลับไปดีใจ ที่สุดท้ายก็มีคนที่รู้จักเอาจริงเอาจัง ข้าไม่ขออะไรมากกว่านี้เขากล่าว

"มาทางนี้" ชายผู้นั้นกล่าว และแยกออกมาจากฝูงชนสเตฟเฟน ตามเขาไปและถูกนำไปยังโรงโม่แป้งขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเด็กวัยรุ่นและผู้ชายอื่นๆ แต่ละคนมีเหงื่อออกและเนื้อตัวเต็มไปด้วยดิน พวกเขายืนอยู่ตรงทางที่เป็นโคลนและผลักล้อขนาดใหญ่ที่ทำด้วยไม้ แต่ละคนจับขอบซี่ล้อหมุน และเดินไปด้านหน้าพร้อมกับหมุนล้อ สเตฟเฟน ยืนอยู่ที่นั่นสังเกตุดูการทำงาน และพบว่ามันเป็นงานที่หนักหนาสากรรจ์ทีเดียว

สเตฟเฟนหันไปบอกกับผู้ชายคนนั้นว่า เขาตกลงจะ แต่เขาหายไปแล้วเพราะเข้าใจว่าเขารับงานนี้ ชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างกลับไปทำเรื่องของตัวเอง มีเพียงไม่กี่คนที่ยังตะโกนด่ากลับมา ขณะที่สเตฟเฟน มองไปด้านหน้ายังกงล้อ มันเป็นชีวิตใหม่ที่แขวนอยู่ ณ เบื้องหน้าของเขาแล้ว

ในช่วงเวลาที่แสงเริ่มสลัว เขารู้สึกอ่อนล้าแล้วปล่อยให้ตัวเองเข้าสู่ความฝันเขาได้จินตนาการถึงชีวิตข้างในปราสาทกับเหล่าราชวงศ์และยศที่ได้มา เขาได้มองเห็นตัวเองเป็นบุคคลสำคัญในเบื้องพระหัตถ์ของราชินี เขาน่าจะรู้ดีกว่าเขาคงวาดฝันสูงเกินไป จริงอยู่ เขาไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้นไม่เคยมีเลย เกิดอะไรขึ้นกับเขา เมื่อเขาได้เจอกับพระนางเกว็นมันเป็นแค่ความโชคดีอย่างบังเอิญ ณ บัดนี้ ชีวิตของเขาถูกลดค่าเข้ามาสู่สิ่งนี้ แต่นี่เอง อย่างน้อย ก็เป็นชีวิตเขารู้ดี ชีวิตที่เขาเข้าใจ ชีวิตแห่งความทุกข์ยาก และเมื่อปราศจากพระนางเกว็นชีวิตนี้มันก็คงดีแล้วสำหรับเขา

บทที่ หก

ธอร์เร่งไมโคเพิล ให้ไปเร็วขึ้น เมื่อเขาผ่านเข้าไปในกลุ่มหมู่เมฆ และเข้าใกล้กับหอคอยหลีกลี้มากขึ้น ธอร์รู้สึกถึงอันตรายทั่วทุกอณูที่อาจเกิดขึ้นกับพระนางเกว็นเขารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนผ่านไปทั่วปลายนิ้วมือ ผ่านไปทั่วทั้งร่างกายของตน มันบอกเขา มันเตือนเขาให้เร่งไปให้เร็วกว่านี้ มันกระซิบบอกเขาอย่างนั้น

เร็วกว่านี้

"เร็วกว่านี้"! ธอร์เร่งไมโคเพิล ไมโคเพิลส่งเสียงคำรามอย่างแผ่วเบาเป็นการตอบรับ เธอกระพือปีกอันใหญ่โตของเธอแรงขึ้น ธอร์ไม่ต้องออกเสียงคำพูดทุกคำให้กับไมโคเพิล เพราะไมโคเพิล เข้าใจในทุกๆ อย่าง ก่อนที่เขาจะพูดออกไปด้วยซ้ำ แต่อย่างไรเสีย เขาก็พูดมันออกไป มันทำให้เขารู้สึกดีขึ้น เขาเคยรู้สึกหมดหนทาง และเขารับรู้ว่า อาจมีบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับพระนางเกว็นและทุกวินาทีตอนนี้มีความสำคัญยิ่ง

ในที่สุดพวกเขาก็ผ่านกลุ่มเมฆ และธอร์ก็รู้สึกผ่อนคลาย เมื่อเขามองเห็นทัศนียภาพของหอคอยหลีกลี้ได้ในระยะไกล มันเป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่และดูน่ากลัว มันเป็นมีความโค้งมนอย่างสมบูรณ์ เป็นหอคอยที่เล็กเรียวพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า มันสูงขึ้นเกือบจะเท่ากับกลุ่มหมู่เมฆ มันทำมาจากหินโบราณสีดำที่เปล่งประกาย จากตรงนี้ ธอร์สามารถรับรู้ถึงอำนาจของมันที่แผ่ขยายออกมา แม้ว่าเขาอยู่ในระยะไกล

เมื่อเขาบินเข้าไปใกล้ขึ้น ขณะนั้นเอง เขาก็มองเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่บนยอดของหอคอย นั่นคือ คนๆ หนึ่ง เธอยืนอยู่ตรงเชิงแนวหินที่ยื่นออกมา เธอกางแขนออกโดย ฝ่ามืออยู่ข้างตัว ดวงตาของเธอปิดอยู่ และเธอก็โอนเอนไปกับสายลม

ธอร์รับรู้อย่างทันทีว่า นั่นคือใคร

พระนางเกว็น

หัวใจของเขาเต้นระรัว เมื่อเห็นพระนางทรงยืนอยู่ที่นั่น เขารับรู้ว่าพระองค์กำลังคิดอะไร และเขารู้ว่าทำไมพระองค์ทรงคิดว่าตัวเขาได้ละทิ้งพระองค์ไปแล้ว และเขาก็โทษตัวเองในความผิดครั้งนี้อย่างเสียไม่ได้

"เร็วกว่านี้"! ธอร์แผดเสียง

ไมโคเพิล กระพือปีกของเธอหนักหน่วงขึ้น

พวกเขาบินไปอย่างเร็วมาก มันเร็วมากจนเหมือนกับว่ามันกระชากลมหายใจธอร์ไปด้วย

เมื่อเขาพวกเขาเข้ามาใกล้ ธอร์ได้มองไปที่พระนางเกว็นที่ทรงก้าวพระบาทกลับออกจากเชิงหินผา ทรงก้าวมาสู่จุดที่ปลอดภัยของหลังคา หัวใจของเขาเหมือนถูกปลดเปลื้องลง เมื่อพระนางได้ทรงเปลี่ยนพระทัยได้ด้วยพระองค์เอง แม้จะไม่ทรงเห็นเขา และทรงตัดสินใจไม่กระโดดลงมา

ไมโคเพิลส่งเสียงคำรามและพระนางเกว็นทอดพระเนตรมองขึ้นมาและทรงเห็นธอร์เป็นครั้งแรกสายตาของเขาประสานเข้าด้วยกันแม้ในระยะห่างไกลเช่นนี้และเขา มองเห็นพระอาการตกใจอย่างสุดขีดบนพระพักตร์ของพระองค์

ไมโคเพิลร่อนตัวลงสู่หลังคา และในเวลานั้น ธอร์กระโดดลงมา โดยไม่ได้รอให้เธอลงจอดลงสำเร็จ แล้ววิ่งไปหาพระนางเกว็นโดลีน

พระนางเกว็นโดลีนทรงหันไปและทรงจ้องมองมาที่เขา สายพระเนตรเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจอย่างสุดขีด พระองค์ทอดพระเนตรราวกับว่า พระองค์กำลังทอดพระเนตรเห็นภูตผี

ธอร์วิ่งมาหาพระองค์ด้วยหัวใจที่รุมตีกระหน่ำ ในใจเอ่อล้นไปด้วยความตื่นเต้นเขาอ้าแขนทั้งสองข้างออก แล้วพวกเขาก็สวมกอดกันและกันแน่น ธอร์อุ้มพระนางขึ้นมาแล้วบีบรัดพระนาง เขาหมุนพระองค์ไปรอบๆ หลายครั้งหลายครา

ธอร์ได้ยินเสียงของพระนางกรรแสงอยู่ในโสตประสาท เขารับรู้ถึงความร้อนของน้ำพระเนตรที่หลั่งรินมายังต้นคอเขา และเขาแทบไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่าเขากำลังยืนอยู่ที่นี่ตรงนี้ กำลังสวมกอดพระนางไว้ ผิวกายแนบชิดกัน นี่เป็นความจริง มันเป็นความฝันที่เขาเคยเห็นมันในดวงจิต วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่าที่เขาต้องจากจรอยู่ห่างไกลในดินแดนจักรวรรดิ ณ ช่วงเวลานั้น เขาแน่ใจว่า เขาจะไม่หวนกลับมา จะไม่กลับมามองยังพระนางเกว็นโดลีนอีก ณบัดนี้ เขามายืนอยู่ตรงนี้แล้ว กำลังกอดพระนางไว้ในอ้อมแขนของเขาเอง

การที่ต้องห่างพระนางไปเป็นเวลานาน ทุกอย่างเกี่ยวกับพระองค์เหมือนเป็นสิ่งใหม่ มันรู้สึกสมบูรณ์แบบ และเขาก็ปฏิญาณว่าเขาจะไม่ให้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับพระนางอีก

"เกว็นโดลีน" เขากระซิบในหูของพระนาง

"ธอร์กริน พระนางทรงกระซิบกลับมา

พวกเขาต่างสวมกอดกันและกัน โดยที่ตัวเขาเองไม่รู้ว่าเป็นนานเท่าใด พวกเขาผละตัวออกอย่างช้าๆ และจุมพิตกันและกัน มันเป็นรอยจูบแห่งความรักที่ลึกซึ้งและไม่มีใครยอมที่จะผละตัวออกไป

“เจ้ายังมีชีวิตอยู่ นี่ ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่า เจ้าอยู่ที่นี่” พระนางตรัส

ไมโคเพิลส่งเสียงออกทางจมูกและพระนางเกว็นโดลีนทอดพระเนตรข้ามไหล่ของธอร์ไปทางนั้น เมื่อไมโคเพิล กระพือปีกของเธออีกครั้ง พระพักตร์ของพระองค์ก็เต็มไปด้วยความหวาดเกรง

"อย่ากลัวไปเลย ธอร์กล่าว “นี่คือไมโคเพิล เธอเป็นเพื่อนของข้าและของพระองค์ด้วย ให้ข้าได้แสดงให้พระองค์ดู"

ธอร์จับพระหัตถ์พระนางเกว็นโดลีนและพาเธอข้ามผ่านกำแพงที่กั้นไปอย่างช้าๆ เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ เขารับรู้ได้ถึงความกลัวของพระนาง ธอร์เข้าใจมันดี อย่างไรก็ดี นี่คือมังกรตัวเป็นๆ ของจริง และนี่เป็นการเข้าใกล้มังกรมากกว่าที่พระนางเคยได้ทรงสัมผัสมาในชีวิตของพระองค์

ไมโคเพิลจ้องมองกลับมาที่พระนางเกว็นด้วยดวงตาเปล่งปลั่งสีแดงที่มีขนาดใหญ่โต เปล่งเสียงทางจมูกอย่างเบาๆ ขยับปีกของเธอและโค้งคอของเธอลงมา ธอร์สัมผัสได้ถึงบางสิ่งเหมือนกับความหึงหวงหรืออาจจะเป็นความอยากรู้อยากเห็น

"ไมโคเพิลมารู้จักกับพระนางเกว็นโดลีน"

ไมโคเพิลหันหัวของเธอไปอย่างทรนง

ทันใดนั้นเอง เธอก็หันกลับมาและจ้องมองไปยังดวงพระเนตรของพระนางเกว็นโดลีนราวกับว่ามันสามารถมองทะลุทะลวงพระวรกายไปได้ มันชะโงกหน้าเขามาเข้าใกล้พระนาง เข้ามาใกล้จนเกือบจะชนเข้ากับพระพักตร์ของพระองค์

พระนางเกว็นทรงแย้มพระโอษฐ์กว้างด้วยความประหลาดใจและทรงรู้สึกเกรงขาม หรืออาจจะเป็นความกลัว พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์ที่สั่นเทาออกไปด้วยความกลัว แล้วทรงวางพระหัตถ์ลงที่จมูกอันยาวของไมโคเพิลและทรงสัมผัสยังเกล็ดสีม่วงของมัน

หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดมาหลายวินาที ไมโคเพิลเริ่มกระพริบตาแล้วลดจมูกของเธอต่ำลง และถูมันเข้ากับท้องของพระนาง มันเป็นสัญลักษณ์แห่งการแสดงความรัก ไมโคเพิลยังคงถูจมูกของเธอกับท้องของพระนางต่อไป ราวกับว่าตัวเธอติดอยู่ตรงนั้นธอร์ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

จากนั้น ไมโคเพิลก็หันหัวของเธอออกไปอย่างเร็ว แล้วมองขึ้นไปยังขอบฟ้า

"เธอสวยเหลือเกิน" พระนางเกว็นทรงกระซิบ

พระองค์ทรงหันพระพักตร์ไป ทอดพระเนตรไปยังธอร์

"ข้าได้ล้มเลิกความหวังที่เจ้าจะกลับมา"พระนางตรัส "ข้าไม่ได้คาดคิดว่า เจ้าจะมา"

"ตัวข้าก็เหมือนกัน การคิดถึงพระองค์ มันยังคงอยู่ในใจของข้า มันเป็นเหตุผลที่มำให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อ อยู่เพื่อจะกลับมา"

พวกเขาเข้าสวมกอดกันอีกครั้ง กอดกันและกันอย่างแนบแน่นอย่างนั้น สัมผัสกันอย่ารักใคร่เอ็นดู จนท้ายที่สุด พวกเขาก็ผละตัวออกจากกัน

พระนางเกว็นโดลีนทอดพระเนตรลงต่ำและทรงสังเกตุเห็นดาบแห่งโชคชะตาอยู่ข้างลำตัวของธอร์ดวงพระเนตรเบิกกว้างและแย้มพระโอษฐ์เปิดกว้าง

"เจ้านำดาบกลับมาได้" พระองค์ตรัส พระองค์ทอดพระเนตรมองไปยังเขา ทรงยังไม่อยากเชื่อ "เจ้าเป็นคนนั้น หนึ่งเดียวที่สามารถยกดาบขึ้นได้"

ธอร์พยักหน้ารับ

"แต่ ทำได้อย่างไร" พระนางเริ่มตรัสขึ้น และทรงหยุดอย่างช้าๆ เห็นได้ชัดว่าพระนางทรงเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกมากมาย

"ข้าไม่รู้" ธอร์กล่าว "ข้าก็แค่ทำอย่างนั้นได้"

ดวงพระเนตรของนางเบิกขึ้นด้วยความหวัง ขณะที่พระองค์ตระหนักในบางอย่างขึ้นมาได้

"อย่างนั้น โล่พลังก็ใช้ได้อีกครั้ง" พระองค์ตรัสอย่างมีความหวัง

ธอร์พยักหน้ากลับไปยังเคร่งครึม

"แอนโดรนิคัสถูกกักตัวไว้" เขากล่าว "พวกเราปลดปล่อยราชสำนักและเมืองซิเลเซียได้แล้ว"

พระนางเกว็นโดลีนมีสีพระพักตร์ที่ผ่อนคลายและมีพระเกษมสำราญ

"มันคือเจ้า" พระองค์ตรัส เมื่อทรงระลึกขึ้นได้ "เจ้าปลดปล่อยเมืองของพวกเรา"

ธอร์ยักไหล่อย่างเป็นปกติ

"โดยมากแล้ว มันเป็นเพราะไมโคเพิลและดาบแห่งโชคชะตา ข้าแค่ติดตามไปด้วย"

พระนางเกว็นทรงยิ้มกว้าง

"แล้วชาวเมืองของเราล่ะ? พวกเขาปลอดภัยไหม? พวกเขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?"

ธอร์พยักหน้า

"พวกเขาทั้งหมด ส่วนมากยังมีชีวิตอยู่และสบายดี"

พระองค์ทรงยิ้มกว้าง ทรงดูอ่อนพระชันษาอีกครั้ง

"เจ้าชายเคนดริคกำลังทรงรอพระองค์อยู่ที่เมืองซิเลเซีย" ธอร์กล่าว "และเจ้าชายก็อดฟรีย์ เจ้าชายรีส สร็อก และคนอื่นๆพวกเขายังมีชีวิตอยู่ทั้งหมดและมีความเป็นอยู่ดี เมืองถูกปลดปล่อยแล้ว"

พระนางเกว็นโดลีนทรงเร่งเข้าไปและทรงสวมสวมกอดธอร์ ทรงกอดเขาอย่างแนบแน่น เขารู้สึกว่าพระองค์ทรงรู้สึกปลดเปลื้องและทรงมีผ่อนคลายลง

"ข้าคิดว่าพวกเขาทั้งหมดหายสาบสูญไปแล้ว" พระองค์ตรัส ทรงกรรแสงออกมาเบาๆ "ข้าคิดว่ามันคงสูญสิ้นไปชั่วกาลนาน"

ธอร์ส่ายหัว

"อาณาจักรวงแหวนยังคงอยู่" เขากล่าว "พวกแอนโดรนิคัสกำลังฆ่าพากันหนี พวกเราจะกลับไปกลับไปกวาดล้างพวกมัน และพวกเราก็จะเริ่มสร้างเมืองขึ้นมาใหม่"

พระนางเกว็นโดลีนทรงหันกลับไปหาเขา และทรงทอดพระเนตรไปยังท้องฟ้า ทรงเช็ดน้ำพระเนตรออก พระองค์ทรงดึงฉลองพระองค์คลุมพันรอบพระวรกายแน่นขึ้นและสรพระพักตร์เต็มไปด้วยความเข้าใจ

"ข้าไม่รู้ว่า ถ้าข้ากลับไปที่นั่น"พระองค์ตรัส อย่างลังเล "บางอย่างได้เกิดขึ้นกับตัวข้า ในขณะที่เจ้าไม่อยู่"

ธอร์หันไปมองพระองค์ เขากอดพระองค์รอบพระอังสา

"ข้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์" เขากล่าว "พระมารดาของพระองค์ได้ทรงตรัสบอกกับข้าแล้ว ไม่มีสิ่งใดน่าอับอายเลย" เขากล่าว

พระนางเกว็นโดลีนทอดพระเนตรไปยังเขา ดวงพระเนตรเต็มไปด้วยความประหลาดใจและทรงสงสัย

"เจ้ารู้ งั้นหรือ?" พระองค์ตรัสถามอย่างตกใจสุดขีด

ธอร์พยักหน้า

"มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย"เขากล่าว "ข้ารักพระองค์มากเท่ากับที่เคยเป็นมา ยิ่งมากกว่าด้วยซ้ำ ความรักของเราคือสิ่งที่สำคัญที่สุดและมันไม่มีทางจะถูกทำลายไปได้ ข้าว่าข้าจะต้องแก้แค้นให้กลับท่าน ข้าจะฆ่าพวกแอนโดรนิคัสด้วยตัวของข้าเอง และเพื่อความรักของเรา มันจะไม่มีวันตาย"

พระนางเกว็นทรงเร่งเข้าไปสวมกอดธอร์อย่างแนบแน่น น้ำพระเนตรหลั่งไหลลงมายังคอของเขา และเขารับรู้ความรู้สึกแห่งการปลดเปลื้องของพระองค์

"ข้ารักเจ้า" พระนางเกว็นตรัสในหูของเขา

"ข้าก็รักพระองค์เช่นกัน" เขาตอบกลับไป

ขณะที่ธอร์ยืนอยู่ตรงนั้น สวมกอดพระนางเอาไว้ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยอาการสั่นกลัว เขาต้องการทำมันเดี๋ยวนี้ ณ เวลานี้มากกว่าสิ่งใดทั้งมวลที่จะถามเธอ ที่จะขอเธอแต่งงาน แต่เขารู้สึกว่า เขาไม่ควรทำจนกว่าเขาจะบอกความลับของเขากับเธอเสียก่อน จนกว่าที่เขาจะบอกเธอว่าพ่อของเขาคือใคร

ความคิดนั้นทำให้เขารู้สึกเต็มไปด้วยความอับอายและอัปยศอดสู ตรงนี้เอง ที่เขายืนอยู่ และปฏิญาณตนว่า จะฆ่าพวกคนที่ พวกเขาเกลียดมากที่สุดทุกคน และนี่ก็คือ คำพูดต่อไปของเขา เขาจะพูดออกมาอย่างไร ว่าแอนโดรนิคัสคือพ่อของเขา?

ธอร์รู้สึกมั่นใจว่าถ้าเขาทำอย่างนั้น พระนางเกว็นโดลีนก็จะเกลียดเขาตลอดไป และเขาไม่สามารถเสี่ยงที่จะสูญเสียพระองค์ไปอีก ไม่ได้ หลังจากที่ทุกสิ่งทุกอย่างได้เกิดขึ้นมาแล้ว เขาก็รักพระองค์มากเหลือเกิน

แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มือของเขากับสั่นไหว ธอร์เอื้อมมือไปที่กระเป๋าเสื้อของเขาและดึงสร้อยคอชิ้นหนึ่งออกมา มันเป็นสร้อยที่เขาพบในระหว่างที่ตามหาสมบัติมีค่าของมังกร เชือกที่ทำมาจากทองคำและมีรูปหัวใจทองคำที่เปล่งประกาย รวมถึงมีเพชรและทับทิมอยู่ด้วย เขายกมันขึ้นมาอยู่ในแสงสว่าง ให้พระนางเกว็นทอดพระเนตรดู พระนางทรงอ้าพระโอษฐ์ เมื่อเห็นมันอยู่ตรงนั้น

ธอร์เดินมาด้านหลังของเธอ แล้วสวมใส่มันรอบพระศอของนาง

"มันคือสิ่งเล็กน้อยที่แสดงความรักใคร่ของข้าพระองค์" เขากล่าว

มันดูสวยงามเมื่อพระนางสวมใส่ ทองคำเปล่งประกายท่ามกลางแสงและสะท้อนทุกอย่างออกมา

แหวนที่อยู่ในกระเป๋าของเขาก็รู้สึกร้อนวาบขึ้นมา ธอร์ปฏิญาณว่า จะให้มันกับเธอเมื่อถึงเวลาอันสมควร เมื่อเขาสามารถรวบรวมความกล้าที่จะบอกความจริงกับพระองค์แต่ในตอนนี้ยังไม่ใช่เวลานั้น ทั้งๆ ที่เขาหวังว่ามันควรจะเป็น

"พระองค์เห็นไหมว่า ทรงกลับไปแล้ว" ธอร์กล่าวพร้อมจับแก้มของพระองค์อย่างแผ่วเบาจากหลังมือของเขา "พระองค์ต้องกลับไป ประชาชนกำลังต้องการพระองค์ พวกเขาต้องการผู้นำ อาณาจักรวงแหวนจะไม่เหลืออะไร หากปราศจากผู้นำ พวกเขาต้องการพระองค์เพื่อชี้แนวทาง พวกแอนโดรนิคัสยังคงอยู่อย่างเงียบๆในครึ่งหนึ่งของอาณาจักรเมืองหลายหลายเมืองกำลังต้องการการบูรณะ

เขามองไปที่ดวงพระเนตรของนางและสามารถเห็นว่าพระองค์กำลังรวบรวมความคิด

"ตอบว่า ตกลงเถิด"ธอร์เร่งเร้า "กลับไปกับเกล้ากระหม่อม หอคอยนี้ไม่ใช่สถานที่ สำหรับหญิงสาวที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต อาณาจักรวงแหวนต้องการพระองค์ ข้าต้องการพระองค์"

ธอร์ยื่นมือออกมาแล้วรอคอย พระนางเกว็นโดลีนทอดพระเนตรลงไปอย่างลังเล

ในที่สุด พระนางก็ทรงยื่นพระหัตถ์ออกมา และวางมันลงบนมือของเขา สายพระเนตรดูอ่อนลงเรื่อยๆและมีแววแห่งความรักและความอบอุ่นอยู่ในนั้น เขามองเห็นว่าพระองค์กลับมาเป็นพระนางเกว็นโดลีนคนเดิมของเขาอีกครั้ง รับรู้สึกถึงความรู้สึกของชีวิตความรักและความสุขใจ มันเหมือนราวกับว่าพระองค์เป็นดอกไม้ที่ฟื้นคืนขึ้นมาในดวงตาของเขา

"ข้าตกลง" พระองค์ตรัสอย่างแผ่วเบา และทรงแย้มพระโอษฐ์

พวกเขาสวมกอดกันและเขากอดพระองค์แนบแน่น และปฏิญาณว่าจะไม่ปล่อยพระองค์ไปไหนอีกแล้ว