Kitabı oku: «ชะตาแห่งมังกร», sayfa 2
บทที่ ห้า
ราชากาเร็ธประทับบนบัลลังก์ของพระบิดาในท้องพระโรงใหญ่ ถูพระหัตถ์ไปตามเท้าพระกรเรียบลื่น ขณะที่ทอดพระเนตรภาพตรงหน้า ประชาชนหลายพันคนแออัดกันอยู่ในห้อง ผู้คนหลั่งไหลมาจากทุกมุมของอาณาจักรวงแหวน เพื่อร่วมชมเหตุการณ์ครั้งสำคัญในชีวิต เพื่อดูว่าราชากาเร็ธจะสามารถยกดาบประจำราชวงศ์ได้หรือไม่ เพื่อดูว่าพระองค์คือผู้ที่ถูกเลือกใช่หรือไม่ นับตั้งแต่พระบิดาของพระองค์ยังทรงเยาว์ชันษาที่ประชาชนได้มีโอกาสดูพิธียกดาบ และไม่มีใครอยากจะพลาดพิธีนี้ ความตื่นเต้นอวลอยู่ในอากาศเหมือนเมฆ
ราชากาเร็ธทรงตัวแข็งด้วยความคาดหวัง พระองค์ทอดพระเนตรผู้คนทะยอยเข้ามาในห้องมากขึ้นเรื่อย ๆ ทรงเริ่มสงสัยว่าบรรดาที่ปรึกษาของพระบิดาพูดถูกหรือไม่ และมันไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จัดพิธียกดาบในท้องพระโรงใหญ่ และเปิดให้ประชาชนเข้ามาร่วมด้วยใช่หรือไม่ พวกที่ปรึกษาขอให้พระองค์จัดพิธีในห้องดาบเล็กส่วนพระองค์ พวกเขามีเหตุผลว่าหากพระองค์ทรงทำไม่สำเร็จ ก็จะมีผู้รู้เห็นเพียงไม่กี่คน แต่ราชากาเร็ธไม่ไว้วางพระทัยคนของพระบิดา ทรงรู้สึกเชื่อมั่นในชะตาของพระองค์เองมากกว่าบรรดาผู้อาวุโสของพระบิดา พระองค์ทรงต้องการให้ทั้งอาณาจักรเป็นสักขีพยานความสำเร็จของพระองค์ เป็นสักขีพยานว่าพระองค์คือผู้ที่ถูกเลือกตอนที่มันเกิดขึ้น ทรงอยากให้ช่วงนี้เวลานั้นถูกบันทึกไว้ ช่วงเวลาที่โชคชะตะของพระองค์เดินทางมาถึง
ราชากาเร็ธเสด็จเยื้องย่างเข้าไปในท้องพระโรง พร้อมด้วยบรรดาที่ปรึกษาของพระองค์ ทรงมงกุฏและฉลองพระองค์คลุมไร้แขน พร้อมคทาในพระหัตถ์ พระองค์ทรงอยากให้พวกเขารู้ว่าพระองค์คือราชาที่แท้จริง ไม่ใช่พระบิดาของพระองค์ และทรงเป็นแม็คกิลที่แท้จริง เป็นอย่างที่พระองค์ทรงคาดไว้ มันใช้เวลาไม่นานเลยที่พระองค์จะทรงรู้สึกว่านี่คือปราสาทของพระองค์ ประชาชนของพระองค์ และทรงต้องการให้พวกเขารู้สึกในตอนนี้ นี่คือการแสดงพระราชอำนาจให้เป็นที่ประจักษ์ทั่วไป หลังจากวันนี้ไปพวกเขาจะได้รู้อย่างแน่ชัดว่าพระองค์ทรงเป็นราชาที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา
แต่ขณะที่ราชากาเร็ธประทับอยู่เพียงลำพังบนบัลลังก์ พลางทอดพระเนตรขาตั้งเหล็กที่ยังว่างเปล่า ซึ่งวางอยู่กลางห้อง สำหรับรองรับดาบประจำราชวงศ์ โลหะเป็นประกายสะท้อนแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาจากเพดาน พระองค์กลับไม่แน่พระทัยนัก น้ำหนักของสิ่งที่พระองค์กำลังจะทรงทำกดทับพระองค์ไว้ มันคงจะเป็นก้าวที่ไม่สามารถถอยหลังกลับได้อีก ไม่สามารถหันหลังกลับได้อีกแล้ว ที่จริงหากพระองค์ทำไม่สำเร็จล่ะ? ราชากาเร็ธทรงผลักความคิดนั้นออกไปจากพระทัย
ประตูบานใหญ่ที่อีกฟากหนึ่งของท้องพระโรงเปิดออกพร้อมเสียงลั่นเอี้ยดอ้าด มีเสียงสัญญาณให้อยู่ในความสงบ ทั้งท้องพระโรงจึงตกอยู่ในความเงียบอย่างรอคอย เจ้าพนักงานที่แข็งแรงที่สุดในราชสำนักจำนวนสิบสองคนเชิญดาบเดินเป็นขบวนเข้ามาอย่างทุลักทุเลด้วยน้ำหนักของดาบ โดยแบ่งเป็นด้านละหกคน เดินเข้ามาช้า ๆ ทีละก้าว เพื่อเชิญดาบตรงไปยังแท่นวาง
ราชากาเร็ธพระหทัยเต้นเร็วขณะทอดพระเนตรขวบนเคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ความมั่นใจของพระองค์วูบไหวไปชั่วแวบหนึ่ง หากชายทั้งสิบสองคนนี้ ซึ่งตัวใหญ่กว่าใครที่ทรงเคยพบยังแทบจะยกมันไม่ไหว แล้วพระองค์จะทรงมีโอกาสอะไรกัน? แต่ราชากาเร็ธทรงปัดมันออกไปจากความคิด นอกจากนี้ดาบเล่มนี้ยังเป็นเรื่องของโชคชะตา ไม่ใช่พละกำลัง พระองค์ทรงบังคับตัวเองให้จดจำว่าเป็นโชคชะตาของพระองค์ที่ได้มาที่นี่ ทรงเป็นโอรสองค์แรกของแม็คกิล และได้เป็นราชา ราชากาเร็ธทรงทองหาอาร์กอนในหมู่ชน ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้พระองค์ทรงปรารถนาจะได้คำแนะนำจากเขาอย่างแรงกล้าขึ้นมาในทันใด นี่เป็นเวลาที่ทรงต้องการเขามากที่สุด ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้พระองค์ไม่สามารถคิดถึงผู้อื่นได้ แต่แน่นอนว่าเขาไม่อยู่ให้พบ
ในที่สุดชายทั้งสิบสองคนก็เดินไปถึงกลางท้องพระโรง เชิญดาบเข้าไปสู่ลำแสงอาทิตย์ แล้ววางลงบนขาตั้งเหล็ก เกิดเสียงแคร้งดังก้อง เกิดคลื่นเสียงสะท้อนไปทั่ว แล้วทั้งท้องพระโรงก็ตกอยู่ในความเงียบสนิท
ฝูงชนแหวกเปิดทางอย่างรู้งาน ให้ราชากาเร็ธเสด็จลงมาเพื่อลองยกดาบ
ราชากาเร็ธประทับยืนขึ้นช้า ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจจากทุกคน พระองค์ทรงรู้สึกว่าสายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่พระองค์ ทรงรู้ว่าช่วงเวลาเช่นนี้คงจะไม่มีมาอีก ที่ทั้งอาณาจักรต่างเฝ้ามองดูพระองค์อย่างพร้อมเพรียง จริงจัง และวิเคราะห์ทุกย่างก้าวที่พระองค์เสด็จไป ราชากาเร็ธเคยคิดถึงช่วงเวลานี้มาแล้วหลายครั้งในความคิด นับตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และตอนนี้มันก็มาถึงแล้ว พระองค์ทรงอยากให้มันดำเนินไปช้า ๆ
ราชากาเร็ธเสด็จลงบันไดบัลลังก์ ค่อย ๆ ก้าวทีละก้าว ดื่มด่ำกับทุกย่างก้าว ทรงดำเนินไปตามพรมแดง รู้สึกถึงความนุ่มของพรมใต้พระบาท ใกล้ลำแสงดวงอาทิตย์เข้าไปเรื่อย ๆ มุ่งหน้าไปยังดาบ ขณะที่ทรงดำเนินไปนั้น พระองค์ทรงรู้สึกราวกับเป็นความฝัน ทรงรู้สึกเหมือนไม่ใช่พระองค์เอง ใจหนึ่งพระองค์ทรงรู้สึกเหมือนเดินบนพรมแดงนี้มาแล้วครั้งหลาย ได้ยกดาบเล่มนี้มาเป็นล้านครั้งในความฝัน ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกมากยิ่งขึ้นว่าโชคชะตากำหนดให้พระองค์ยกดาบเล่มนี้ และกำหนดให้พระองค์เสด็จสู่โชคชะตา
ราชากาเร็ธทรงวาดภาพในใจว่ามันจะเป็นเช่นไร พระองค์จะก้าวอย่างองอาจ ยื่นพระหัตถ์ข้างหนึ่งออกไป และขณะที่ประชาชนเอนกันเข้ามา ทันทีนั้นพระองค์จะทรงชูดาบขึ้นสูงเหนือพระเศียรอย่างรวดเร็ว ทุกคนจะต้องอ้าปากค้าง ก้มหน้าและประกาศว่าพระองค์คือผู้ถูกเลือก เป็นราชาแม็คกิลที่สำคัญที่สุดที่เคยครองราชย์มา เป็นราชาที่ชะตากำหนดมาให้ปกครองตลอดไป ประชาชนจะต้องร่ำไห้ด้วยความยินดีกับภาพนั้น ทุกคนจะต้องหมอบกราบพระองค์ด้วยความกลัว และขอบคุณพระเจ้าที่พวกเขาได้มีชีวิตอยู่เป็นสักขีพยานในเหตุการณ์นี้ ทุกคนจะต้องบูชาพระองค์ราวกับเป็นพระเจ้า
ตอนนี้ราชากาเร็ธเสด็จเข้าไปใกล้ดาบ ประทับยืนอยู่ห่างราวหนึ่งฟุต พระองค์รู้สึกพระหทัยสั่น ขณะที่ดำเนินเข้าสู่ลำแสงดวงอาทิตย์นั้น แม้จะทรงเคยเห็นดาบเล่มนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ความงามของมันก็ยังทำให้ทรงตกตะลึง ราชากาเร็ธไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ได้ขนาดนี้มาก่อน และมันทำให้พระองค์ทรงประหลาดพระทัย มันช่างตึงเครียด ดาบเล่มนี้ทำจากวัตถุที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นดาบเล่มยาวส่องประกาย มีด้ามดาบที่หรูหราที่สุดที่ทรงเคยทอดพระเนตร หุ้มด้วยผ้าคล้ายไหมเนื้อดี ประดับด้วยอัญมณีทุกชนิด และมีตราสัญลักษณ์นกเหยี่ยว ขณะที่พระองค์ทรงก้าวเข้าไปอีกก้าว ประทับชะโงกอยู่เหนือมัน ทรงรู้สึกถึงพลังแข็งแกร่งที่แผ่ออกมา จนทำให้พระหทัยสั่น ทรงแทบจะหายพระทัยไม่ออก อีกอึดใจเดียวมันก็จะอยู่ในพระหัตถ์ ชูอยู่สูงเหนือพระเศียร เปล่งประกายในแสงอาทิตย์ให้ทั้งโลกได้เห็น
พระองค์คือ ราชากาเร็ธมหาราช
ราชากาเร็ธทรงยื่นพระหัตถ์ข้างขวาออกไป ค่อย ๆ กำพระหัตถ์รอบด้ามดาบ ทรงรู้สึกถึงอัญมณีทุกเม็ด ทุกเส้นสายโครงร่างขณะที่กำด้ามดาบไว้ด้วยความตื่นเต้น พลังงานรุนแรงแผ่ผ่านมาสู่พระหัตถ์ ไล่ขึ้นมาตามพระพาหา และแผ่ไปทั่วพระวรกาย มันช่างไม่เหมือนสิ่งใดที่พระองค์ทรงเคยรู้สึก ตอนนี้คือเวลาของพระองค์ เป็นช่วงเวลาของพระองค์ตลอดกาล
ราชากาเร็ธจะไม่ทรงเสี่ยง พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์อีกข้างจับด้ามดาบไว้ด้วย แล้วทรงหลับพระเนตร หายพระทัยเข้าสั้น ๆ
หากพระเจ้าทรงยินดี โปรดให้ข้ายกมันได้ด้วยเถิด โปรดส่งสัญญาณบอกข้า แสดงให้ข้าเห็นว่าข้าคือราคา แสดงให้ข้าเห็นว่าข้าเกิดมาเพื่อครองบัลลังก์
ราชากาเร็ธทรงภาวนาเงียบ ๆ และรอคอยการตอบรับ รอดูสัญญาณสำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่วินาทีผ่านไป จนถึงสิบวินาที ทั้งอาณาจักรกำลังเฝ้ามองพระองค์ แต่พระองค์กลับไม่ได้ยินสิ่งใด
ทันใดนั้นเอง ราชากาเร็ธทรงเห็นพระพักตร์พระบิดา ทรงมองมาที่พระองค์อย่างบึ้งตึง
พระราชาทรงลืมพระเนตรขึ้นด้วยความหวาดกลัว ทรงต้องการลบภาพนั้นออกจากความคิด ราชากาเร็ธพระหทัยเต้นแรง ทรงรู้สึกว่านี่คือลางร้าย
แต่ถ้าไม่ทรงทำตอนนี้ก็ไม่ต้องทำอีกตลอดไป
ราชากาเร็ธเอนพระวรกายไปแล้วพยายามยกดาบขึ้นมาด้วยพละกำลังทั้งหมด พระองค์ทรงพยายามอย่างเต็มที่ จนสั่นกระตุกไปทั้งพระวรกาย
แต่ดาบกลับไม่ขยับเขยื้อน เหมือนกับการพยายามจะเคลื่อนย้ายรากฐานของโลก
ราชากาเร็ธยังทรงพยายามมากยิ่งขึ้น มากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดพระองค์ทรงเปล่งเสียงร้องและคำรามออกมา
ครู่ต่อมาก็ทรงล้มทรุดลง
ดาบไม่ขยับแม้เพียงสักนิ้ว
เสียงร้องอย่างตกตะลึงดังไปทั่วท้องพระโรงเมื่อพระองค์ทรงล้มลงกับพื้น ที่ปรึกษาหลายคนรีบเข้ามาถวายความช่วยเหลือ ตรวจดูว่าพระองค์ทรงสบายดีหรือไม่ ซึ่งพระองค์ผลักไสพวกเขาออกไปอย่างรุนแรง พระราชาทรงประทับยืนขึ้นด้วยพระบาททั้งสองข้างด้วยความอับอาย
ราชากาเร็ธทอดพระเนตรดูประชาชนของพระองค์ด้วยความเสียหน้า ทรงอยากรู้ว่าพวกเขามองพระองค์อย่างไรในตอนนี้
พวกเขาต่างหันหลังหนี พากันทยอยเดินออกจากท้องพระโรงไป ราชากาเร็ธทรงเห็นความผิดหวังบนใบหน้าของพวกเขา ทรงเห็นว่าพระองค์เป็นเพียงราชาอีกองค์หนึ่งซึ่งทำไม่สำเร็จในสายตาของพวกเขา ตอนนี้พวกเขาแต่ละคนได้รู้แล้วว่าพระองค์ไม่ใช่ราชาที่แท้จริง พระองค์ไม่ใช่แม็คกิลผู้ที่โชคชะตากำหนดมา และเป็นผู้ที่ถูกเลือก พระองค์ไม่มีสิ่งใดเลย เป็นเพียงเจ้าชายอีกองค์หนึ่งที่ช่วงชิงบัลลังก์มาได้
ราชากาเร็ธทรงรุ่มร้อนด้วยความอับอาย พระองค์ไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวเท่าช่วงเวลานี้ ทุกสิ่งที่ทรงคิดไว้นับตั้งแต่ทรงพระเยาว์เป็นเรื่องโกหก เป็นภาพหลอน พระองค์ทรงเชื่อในนิทานหลอกเด็กของพระองค์เอง
และมันทำให้พระองค์ต้องขายหน้า
บทที่ หก
ราชากาเร็ธทรงพระดำเนินไปมาอยู่ในห้องบรรทมด้วยความว้าวุ่น พระองค์ยังทรงตกพระทัยกับความล้มเหลวในการยกดาบ ทรงพยายามที่จะประมวลผลที่เกิดขึ้น ราชากาเร็ธทรงคิดอะไรไม่ออก พระองค์แทบไม่อยากเชื่อว่าตัวเองช่างเขลาที่พยายามจะยกดาบประจำราชวงศ์เล่มนั้น ซึ่งไม่เคยมีแม็คกิลคนใดยกได้มาเจ็ดชั่วอายุแล้ว ทำไมพระองค์จึงคิดว่าทรงมีดีกว่าบรรพบุรุษ? ทำไมพระองค์จึงทรงคิดว่าตัวเองน่าจะแตกต่าง?
พระองค์น่าจะทรงรู้ดี น่าจะทรงระวัง ไม่ควรจะประเมินพระองค์เองสูงเกินไปเลย น่าจะทรงพอใจกับราชบัลลังก์ของพระบิดา ทำไมพระองค์จึงต้องพยายามทำด้วย?
ตอนนี้บรรดาพสกนิกรต่างรู้ว่าพระองค์ไม่ใช่ผู้ที่ถูกเลือก ตอนนี้เรื่องนี้คงจะทำให้การครองราชย์ของพระองค์ต้องสั่นคลอน บางทีพวกนั้นอาจจะมีเหตุผลให้สงสัยพระองค์เกี่ยวกับการสวรรคตของพระบิดา พระองค์ทรงเห็นว่าทุกคนมองพระองค์อย่างแตกต่างไป เหมือนกับพระองค์ทรงเป็นผีดิบ เหมือนกับทุกคนเตรียมตัวรอราชาองค์ต่อไปกันแล้ว
ที่ร้ายไปกว่านั้นราชากาเร็ธทรงไม่แน่พระทัยในตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต ตลอดพระชนม์ชีพพระองค์ทรงมองเห็นชะตาของพระองค์อย่างชัดเจน ทรงมั่นใจว่าพระองค์ถูกกำหนดมาให้แทนที่พระบิดา เพื่อครองราชย์และยกดาบขึ้นมาได้ ความมั่นใจของพระองค์สั่นคลอนอย่างที่สุด ตอนนี้พระองค์ไม่แน่พระทัยในทุกสิ่ง
และที่แย่ที่สุดคือพระองค์ไม่สามารถหยุดการมองเห็นภาพพระพักตร์ของพระบิดา ที่ทรงเห็นก่อนจะยกดาบ นี่คือการแก้แค้นของพระบิดาอย่างนั้นหรือ?
“ไชโย” มีเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นช้า ๆ
ราชากาเร็ธทรงหันไปอย่างตกพระทัยที่มีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย พระองค์ทรงจำเสียงนี้ได้ทันที เป็นเสียงที่ทรงคุ้นเคยมากมาหลายปี เป็นเสียงที่พระองค์ทรงดูแคลน มันคือเสียงของพระชายา
เฮเลนา
นางยืนอยู่ที่มุมห้องอีกฟาก มองดูพระองค์พลางสูบกล้องยาฝิ่น นางหายใจเข้าลึกแล้วกลั้นไว้ จากนั้นจึงค่อยผ่อนออกช้า ๆ ดวงตานางแดงก่ำ ซึ่งพระองค์ทรงรู้ว่านางสูบฝิ่นมานานเกินไป
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ราชาตรัสถาม
“นี่มันก็ห้องหอของข้าเหมือนกัน” นางตอบ “ข้าอยากจะทำอะไรที่นี่ก็ได้ ข้าเป็นชายาท่านและเป็นราชินีของท่าน อย่าลืมสิ ข้าปกครองอาณาจักรนี้เท่ากับท่าน แต่หลังจากความล้มเหลวของท่านในวันนี้แล้ว ข้าคงจะใช้คำว่าปกครองได้ไม่เต็มปากนักหรอก”
ราชากาเร็ธพระพักตร์ร้อน เฮเลนามักจะมีวิธีโจมตีพระองค์ด้วยวิธีนอกกติกาที่สุดเสมอ ในจังหวะที่ไม่เหมาะสมที่สุดด้วย พระองค์ทรงดูแคลนนางยิ่งกว่าสตรีใดในชีวิต แทบไม่อยากเชื่อว่าทรงตอบตกลงแต่งงานกับนาง
“อย่างนั้นหรือ?” ราชากาเร็ธตะคอก ทรงหันหลังแล้วเสด็จไปหานางด้วยความกริ้ว “เจ้าลืมรึว่าข้าเป็นราชา นางโสเภณี ข้าสั่งขังเจ้าได้ เหมือนกับคนอื่น ๆ ในอาณาจักรของข้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นชายาของข้าหรือไม่ก็ตาม”
นางหัวเราะ พ่นลมหายใจทางจมูกอย่างเย้ยหยัน
“แล้วอย่างไรต่อเล่า?” นางกระชากเสียงถาม “ประชาชนของท่านสงสัยเรื่องรสนิยมทางเพศของท่านบ้างไหม? ไม่สิ ข้าล่ะสงสัยเรื่องนี้จริง คงไม่มีอยู่ในโลกแห่งแผนการของกาเร็ธสินะ คงไม่อยู่ในความคิดของชายผู้ที่กังวลมากกว่าใคร ว่าคนอื่นจะมองตัวเองอย่างไร”
ราชากาเร็ธประทับนิ่งตรงหน้านาง ทรงรู้ว่านางมีวิธีมองพระองค์ได้ทะลุปรุโปร่ง ซึ่งนั่นทำให้พระองค์ทรงหงุดหงิดไปถึงแก่น ทรงเข้าใจคำขู่ของนางและรู้ว่าการโต้เถียงด้วยจะไม่มีผลดี ดังนั้นจึงทรงประทับนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างเงียบ ๆ และรอคอย ทั้งที่ทรงกำหมัดแน่น
“เจ้าต้องการอะไร?” ราชากาเร็ธตรัสถามช้า ๆ พยายามควบคุมพระองค์เองจากความหุนหันพลันแล่น “เจ้าคงไม่มาหาข้าหรอก หากเจ้าไม่ต้องการอะไร”
นางหัวเราะแห้ง ๆ เป็นหัวเราะที่เสแสร้ง
“ถ้าข้าอยากได้อะไรข้าก็จะเอา ข้าไม่จำเป็นต้องมาขออะไรจากท่านหรอก แต่ข้าอยากจะบอกอะไรบางอย่างกับท่าน ทั้งอาณาจักรของท่านเพิ่งได้เป็นสักขีพยานความล้มเหลวในการยกดาบของท่าน เรามาถึงไหนกันแล้วล่ะ?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ที่ว่าเรา?” ราชาตรัสถาม พลางสงสัยว่านางจะมาไม้ไหนเรื่องนี้
“ตอนนี้ประชาชนของท่านก็ได้รู้ในสิ่งที่ข้ารู้มานานแล้ว ว่าท่านผู้ล้มเหลว ท่านไม่ใช่ผู้ที่ถูกเลือก ขอแสดงความยินดีด้วย อย่างน้อยก็ได้รู้กันอย่างเป็นทางการแล้ว”
ราชากาเร็ธพระพักตร์บึ้งตึง
“พระบิดาก็ทรงยกดาบไม่สำเร็จ นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับการปกครองที่มีประสิทธิภาพในฐานะราชา”
“แต่มันมีผลกับการเป็นราชาของพระองค์” นางสะบัดเสียงตอบ “ทุกช่วงเวลาของการเป็นราชา”
“ถ้าเจ้าไม่มีความสุขกับการไร้ความสามารถของข้านัก” ราชากาเร็ธทรงกริ้ว “ทำไมเจ้าไม่ไปจากที่นี่เสียล่ะ? ทิ้งข้าไปสิ ทิ้งการแต่งงานจอมปลอมของเราเสีย ตอนนี้ข้าเป็นราชาแล้ว ข้าไม่ต้องการเจ้าอีกต่อไปแล้ว”
“ข้าดีใจที่ท่านพูดเรื่องนี้ขึ้นมา” นางบอก “เพราะนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ข้ามาที่นี่ ข้าอยากให้ท่านยุติการแต่งงานของเราอย่างเป็นทางการ ข้าต้องการหย่า มีชายคนหนึ่งที่ข้ารัก ชายที่แท้จริง ที่จริงเขาเป็นอัศวินคนหนึ่งของท่าน เขาเป็นนักรบ เรารักกัน เป็นรักแท้ ไม่เหมือนความรักที่ข้าเคยมี หย่ากับข้าเสีย ข้าจะได้ยุติความสัมพันธ์ลับ ๆ นี้ ข้าอยากให้ความรักของเราเปิดเผย และข้าอยากจะแต่งงานกับเขา”
ราชากาเร็ธทรงจ้องมองนางอย่างตกตะลึง รู้สึกใจหายราวกับถูกแทงด้วยมีดสั้นเข้าที่พระอุระ ทำไมเฮเลนาถึงต้องการเปิดเผย? ทำไมต้องเป็นตอนนี้ จากเวลาไหนก็ได้? มันมากเกินไปสำหรับพระองค์ ทรงรู้สึกเหมือนโลกกำลังซ้ำเติมตอนที่พระองค์ล้ม
ราชากาเร็ธเองก็ทรงประหลาดพระทัยที่รู้ว่าพระองค์มีความรู้สึกลึกซึ้งบางอย่างกับเฮเลนา เพราะเมื่อทรงได้ยินคำพูดของนางที่ขอหย่า มันทำให้พระองค์รู้สึกบางอย่าง และทำให้ไม่พอพระทัย มันทำให้พระองค์ทรงรู้ว่าไม่ต้องการหย่าขาดจากนาง หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์เองนั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่หากเป็นความต้องการของนางนั่นจึงเป็นอีกเรื่อง พระองค์ไม่ต้องการให้นางมีทางของตัวเอง มันไม่ง่ายเช่นนั้น
ที่สำคัญที่สุดราชากาเร็ธทรงสงสัยว่าการหย่าจะมีผลต่อความเป็นราชาของพระองค์อย่างไร ราชาที่ทรงหย่าคงจะทำให้เกิดคำถามมากมาย และพระองค์ทรงพบว่ารู้สึกหึงหวงอัศวินคนนี้ และไม่พอใจที่นางโยนการขาดความเป็นชายของพระองค์ใส่พระพักตร์ พระองค์ต้องการแก้แค้นคนทั้งคู่
“เจ้าจะไม่ได้อย่างที่ต้องการหรอก” ราชาตวาด “เจ้าผูกมัดอยู่กับข้า ต้องติดอยู่กับข้าในฐานะภรรยา ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระ และหากข้าได้เจอตัวอัศวินที่เจ้าลอบเป็นชู้ด้วย ข้าจะจับมันทรมานและประหารเสีย”
เฮเลนาร้องขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด
“ข้าไม่ใช่ภรรยาของท่าน! ท่านไม่ใช่สามีของข้า ท่านไม่ใช่ผู้ชาย การแต่งงานของเรามันไม่ศักดิ์สิทธิ์ นับตั้งแต่วันที่มันถูกกุขึ้นมา เป็นแค่การร่วมมือกันที่จัดขึ้นเพื่ออำนาจ เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้ข้าขยะแขยงมาตลอด และมันทำลายโอกาสเดียวของข้าที่จะได้แต่งงานอย่างแท้จริง”
นางหอบหายใจ เมื่อโทสะพลุ่งพล่านขึ้น
“ท่านจะต้องหย่าให้ข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะเปิดเผยให้ทั้งอาณาจักรได้รู้ว่าท่านเป็นผู้ชายแบบไหน ท่านเลือกเอา”
แล้วเฮเลนาก็หมุนตัวหันหลังให้พระองค์ แล้วเดินออกไปทางประตูที่เปิดอยู่ โดยไม่สนใจจะปิดประตูตามหลัง
ราชากาเร็ธประทับอยู่เพียงลำพังในห้องผนังหิน ฟังเสียงสะท้อนของเสียงฝีเท้านาง และทรงรู้สึกเย็นไปทั่วพระวรกายอย่างที่ไม่อาจจะสลัดทิ้งได้ ยังมีสิ่งใดมั่นคงพอจะให้พระองค์ยึดถือไว้ได้อยู่หรือไม่?
ราชากาเร็ธประทับอยู่เช่นนั้น พระวรกายสั่นสะท้าน ทอดพระเนตรประตูที่เปิดอยู่ ทรงประหลาดพระทัยที่เห็นใครคนอื่นกำลังเดินเข้ามา พระองค์ยังไม่ทันได้มีเวลาบันทึกการสนทนากับเฮเลนา ยังไม่ทันได้วิเคราะห์คำขู่ของนาง เมื่อใบหน้าที่คุ้นเคยกำลังเดินเข้ามา เฟิร์ธนั่นเอง การก้าวเดินอย่างร่าเริงของเขาหายไปขณะที่เดินเข้ามาอย่างลังเล สีหน้ามีความรู้สึกผิด
“กาเร็ธ?” เขาทูลถามน้ำเสียงไม่มั่นใจ
เฟิร์ธจ้องมองพระองค์ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ซึ่งราชากาเร็ธทรงเห็นว่าเขารู้สึกแย่เพียงใด พระองค์คิดว่าเขาควรจะรู้สึกแย่ อย่างไรก็ตามมันเป็นเพราะเฟิร์ธที่ผลักดันให้พระองค์ทรงยกดาบ เป็นคนที่โน้มน้าวพระองค์ในที่สุด เป็นคนที่ทำให้พระองค์ทรงคิดว่าพระองค์เป็นมากกว่าที่เป็นอยู่ หากไม่มีเสียงกระซิบของเฟิร์ธ ใครจะรู้? บางทีราชากาเร็ธอาจจะไม่ลองยกดาบนั่น
ราชากาเร็ธทรงหันไปหาเขาด้วยความกริ้ว ในที่สุดก็ทรงพบเหตุผลที่จะระบายโทสะทั้งหมดใส่เฟิร์ธ เขาเป็นคนปลงพระชนม์พระบิดา เป็นเฟิร์ธ เด็กเลี้ยงม้าโง่เง่าที่พาพระองค์มาสู่เรื่องวุ่นวายทั้งหลายนี้ ตอนนี้พระองค์ทรงเป็นเพียงผู้สืบราชบัลลังก์แม็คกิลที่ล้มเหลวอีกคนหนึ่งู
“ข้าเกลียดเจ้า” ราชากาเร็ธทรงกริ้ว “ตอนนี้จะสัญญาอะไรอีกเล่า? ไหนล่ะความมั่นใจของเจ้าว่าข้าจะสามารถยกดาบนั่นได้?”
เฟิร์ธกลืนน้ำลาย ดูเป็นกังวลอย่างมาก เขาพูดไม่ออก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีอะไรจะกล่าว
“ข้าขอโทษ ฝ่าบาท” เขาทูล “ข้าผิดไปแล้ว”
“เจ้าผิดหลายเรื่องเชียวล่ะ” ราชากาเร็ธตวาด
ที่จริงแล้วยิ่งราชากาเร็ธทรงคิดเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งรู้ว่าเฟิร์ธผิดอย่างไร หากไม่ใช่เพราะเฟิร์ธ พระบิดาก็คงยังมีพระชนม์ชีพอยู่ในวันนี้ และพระองค์จะไม่ต้องเจอเรื่องวุ่นวายพวกนี้ ภาระของการเป็นราชาก็จะไม่ตกใส่พระเศียร เรื่องทั้งหลายนี้จะไม่ผิดพลาด พระองค์ต้องการวันธรรมดา ๆ ที่พระองค์ไม่ได้เป็นราชา เมื่อตอนที่พระบิดายังอยู่ ทรงปรารถนาให้ทุกสิ่งกลับมาและเป็นเหมือนเช่นเดิมขึ้นมาทันใด แต่ก็ทรงทำไม่ได้ อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงโทษเฟิร์ธสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ราชากาเร็ธตรัสถาม
เฟิร์ธกระแอม ดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าได้ยิน…ข่าวลือ…เรื่องซุบซิบของพวกคนรับใช้คุยกัน มีข่าวมาถึงข้ามาอนุชาและขนิษฐาของพระองค์กำลังมีคำถาม มีคนเห็นทั้งสองพระองค์ในพื้นที่ของคนรับใช้ กำลังสำรวจปล่องทิ้งปฏิกูลเพื่อหาอาวุธสังหาร มีดสั้นที่ข้าใช้ปลงพระชนม์พระบิดาของพระองค์”
ราชากาเร็ธพระวรกายเย็นเฉียบเมื่อได้ยินคำพูดนั้น พระองค์ทรงตัวแข็งด้วยความตกพระทัยและความกลัว วันนี้จะมีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกหรือไม่?
พระองค์ทรงกระแอม
“แล้วพวกเขาพบอะไรไหม?” ราชาตรัสถาม พระศอแห้งผาก แทบจะเปล่งคำพูดออกมาไม่ได้
เฟิร์ธส่ายหน้า
“ข้าไม่รู้ ฝ่าบาท ที่ข้ารู้คือทั้งสองพระองค์กำลังสงสัยบางอย่าง”
ราชากาเร็ธทรงรู้สึกเกลียดเฟิร์ธขึ้นมาอีกอย่างที่ไม่ทรงรู้เลยว่าจะสามารถรู้สึกได้ หากไม่ใช่เพราะความผิดพลาดของเขา หากเขากำจัดอาวุธอย่างสมควรแล้ว พระองค์ก็คงไม่ต้องมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เฟิร์ธทำให้พระองค์ต้องเสี่ยง
“ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” ราชากาเร็ธตรัส พลางก้าวเข้าไปหาเฟิร์ธ แล้วยื่นพระพักตร์เข้าไปใกล้ ทอดพระเนตรเขาอย่างไม่พอพระทัยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่สุด “ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีกต่อไปแล้ว เจ้าเข้าใจไหม? ไปให้พ้นหน้าข้า และอย่ากลับมาอีก ข้าจะลดตำแหน่งเจ้าไปให้ไกลจากที่นี่ และหากเจ้าเหยียบย่างเข้ามาในกำแพงปราสาทนี้อีก ขอให้แน่ใจได้เลยว่าข้าจะสั่งขังเจ้า”
“ไปได้แล้ว!” ราชากาเร็ธทรงตวาด
เฟิร์ธน้ำตาคลอหน่วย หันหลังและวิ่งออกไปจากห้อง เสียงฝีเท้าของเขาดังก้องอยู่นานหลังจากที่เขาวิ่งไปตามทางเดิน
ราชากาเร็ธทรงหวนกลับไปคิดเรื่องดาบ คิดถึงความพยายามที่ล้มเหลวของพระองค์ ทรงอดคิดไม่ได้ว่าพระองค์ทรงหาเรื่องเดือดร้อนให้กับตัวเอง ทรงรู้สึกเหมือนผลักตัวเองตกจากหน้าผา และนับจากนี้เป็นต้นไปพระองค์จะทรงพบแต่ความเสื่อมเสีย
ราชาประทับนิ่งอยู่เช่นนั้น ราวกับหยั่งรากลงพื้นหินทามกลางความเงียบที่ก้องอยู่ ในห้องบรรทมของพระบิดา ทรงตัวสั่นและสงสัยว่าพระองค์ทรงจัดการให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง พระราชาไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มั่นใจในตัวเองเช่นนี้มาก่อน
นี่คือความหมายของการเป็นราชาอย่างนั้นหรือ?
*
ราชากาเร็ธรีบเสด็จขึ้นไปตามบันไดวน ทรงรีบขึ้นไปชั้นแล้วชั้นเล่า เพื่อไปยังเชิงเทินชั้นบนสุดของปราสาท พระองค์ทรงต้องการอากาศบริสุทธิ์ ทรงต้องการเวลาและพื้นที่เพื่อคิด ราชากาเร็ธทรงต้องการมองอาณาจักรของพระองค์ในมุมกว้าง ทรงต้องการโอกาสที่จะได้เห็นราชสำนักและประชาชนของพระองค์ เพื่อจดจำว่าทั้งหมดนี้เป็นของพระองค์ แม้จะมีเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนฝันร้ายมาตลอดทั้งวัน แต่พระองค์ก็ยังคงเป็นราชาอยู่นั่นเอง
ราชากาเร็ธทรงไม่สนพระทัยบรรดามหาดเล็กและวิ่งไปเพียงลำพัง ทรงก้าวขึ้นบันไดไปขั้นแล้วขั้นเล่า พลางหอบหายใจ พระองค์ทรงหยุดที่ชั้นหนึ่งระหว่างทาง ทรงก้มพระวรกายและหอบ น้ำพระเนตรไหลลงมาตามพระปราง ราชากาเร็ธยังคงทอดพระเนตรเห็นพระบิดาทำพระพักตร์ถมึงทึงใส่พระองค์อยู่ตลอดทาง
“ข้าเกลียดท่าน!” ทรงตะโกนกับอากาศที่ว่างเปล่า
ราชากาเร็ธทรงสาบานได้ว่าพระองค์ได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันตอบกลับบมา พระบิดาทรงพระสรวล
พระองค์ทรงต้องการไปจากที่นี่ พระราชาทรงหันหลังและวิ่งต่อไป พุ่งไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งในที่สุดพระองค์ก็ไปถึงชั้นบนสุด พระองค์กระโจนผ่านประตูออกไปสู่อากาศสดชื่นในฤดูร้อนที่ปะทะพระพักตร์
ราชากาเร็ธทรงสูดหายใจลึก พยายามหายใจให้ทัน ทรงพอพระทัยที่ได้อยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์และสายลมอันอบอุ่น ทรงถอดฉลองพระองค์ตัวนอกออก ซึ่งเป็นฉลองพระองค์ของพระบิดา แล้วโยนลงกับพื้น อากาศร้อนเกินไป และพระองค์ไม่ต้องการสวมมันอีกต่อไป
ราชากาเร็ธรุดไปยังริมเชิงเทินแล้วทรงยึดกำแพงหินไว้ พลางหอบหายใจ และทอดพระเนตรลงไปด้านล่างยังเขตราชฐาน พระองค์ทรงเห็นฝูงชนมากมายกำลังทยอยออกจากปราสาท พวกเขากำลังออกจากพิธี พิธีของพระองค์ ทรงแทบจะรู้สึกได้ถึงความผิดหวังของพวกเขาจากตรงนี้ พวกนั้นดูตัวเล็กมาก พระองค์ทรงประหลาดพระทัยที่พวกเขาทั้งหมดอยู่ใต้การควบคุมของพระองค์
แต่นานเท่าไรกันเล่า?
“การเป็นราชานี่ช่างน่าขัน” มีเสียงดังขึ้น
ราชากาเร็ธทรงหันมาและต้องประหลาดพระทัยที่เห็นอาร์กอนยืนอยู่ตรงนั้น ห่างไปราวหนึ่งฟุต เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวมีผ้าคลุมศีรษะและถือไม้เท้า อาร์กอนมองพระองค์อยู่ มีรอยยิ้มที่มุมปาก แต่ดวงตาเขาไม่ได้ยิ้มด้วย มันเปล่งประกายจ้องตรงมาที่พระองค์อย่างทะลุปรุโปร่ง ซึ่งทำให้ราชากาเร็ธทรงระวังพระองค์ ดวงตาของเขามองเห็นมากเกินไป
มีหลายสิ่งที่ราชากาเร็ธทรงอยากบอกกับอาร์กอน ทรงอยากถามเขา แต่ตอนนี้หลังจากที่ทรงยกดาบไม่สำเร็จ พระองค์กลับนึกเรื่องที่ทรงต้องการถามไม่ออกสักข้อเดียว
“ทำไมท่านถึงไม่บอกข้า?” ราชากาเร็ธทรงโอดครวญ น้ำเสียงแฝงด้วยความสิ้นหวัง “ท่านน่าจะบอกข้าว่าข้าไม่ได้ถูกกำหนดมาให้ยกดาบเล่มนั้น ท่านควรจะช่วยไม่ให้ข้าต้องอับอาย”
“แล้วทำไมข้าต้องทำเช่นนั้น?” อาร์กอนถาม
ราชากาเร็ธทรงพระพักตร์บึ้งตึง
“ท่านไม่ใช่ที่ปรึกษาที่แท้จริงของราชา” ราชาทรงตรัส “ท่านอาจจะให้คำปรึกษาที่ถูกต้องแก่พระบิดาของข้า แต่ไม่ใช่กับข้า”
“อาจเป็นเพราะพระบิดาของท่านทรงสมควรได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง” อาร์กอนตอบ
ราชากาเร็ธทรงกริ้วอย่างยิ่ง พระองค์ทรงเกลียดชายผู้นี้ และทรงโทษเขา
“ข้าไม่ต้องการเห็นท่านแถวนี้อีก” ราชากาเร็ธตรัส “ข้าไม่รู้ว่าทำไมพระบิดาถึงทรงจ้างท่านไว้ แต่ข้าไม่ต้องการท่านในราชสำนักของข้า”
อาร์กอนหัวเราะ น้ำเสียงแหบต่ำน่ากลัว
“พระบิดาของท่านไม่ได้จ้างข้า เจ้าหนุ่มผู้โง่เขลา” เขาบอก “พระอัยกาของท่านด้วย ข้าถูกกำหนดให้มาที่นี่ ที่จริงจะบอกว่าข้าจ้างพวกเขาก็คงได้”
จู่ ๆ อาร์กอนก็ก้าวมาข้างหน้า และจ้องมองราวกับกำลังมองทะลุไปถึงวิญญาณของราชากาเร็ธ
“จะบอกเช่นนั้นกับท่านได้ไหม?” อาร์กอนถาม “ท่านถูกกำหนดให้มาที่นี่หรือเปล่า?”
คำพูดของเขากระทบใจราชากาเร็ธ ทำให้ทรงเย็นวาบไปทั่วพระวรกาย นั่นเป็นสิ่งที่ราชากาเร็ธเองทรงสงสัย พระองค์ทรงกังขาว่านี่คือคำขู่หรือไม่
“ผู้ที่ครองราชย์ด้วยโลหิตจะปกครองด้วยโลหิต” อาร์กอนประกาศ และเมื่อพูดจบเขาก็หันหลังและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวก่อน!” ราชากาเร็ธทรงตะโกน ไม่ต้องการให้เขาจากไป พระองค์ทรงต้องการคำตอบ “ท่านหมายความว่าอย่างไร”
ราชากาเร็ธทรงอดรู้สึกไม่ได้ว่าอาร์กอนกำลังส่งข้อความถึงพระองค์ ว่าพระองค์จะไม่ได้ปกครองอยู่นานนัก พระองค์ทรงต้องการรู้ว่านั่นคือสิ่งที่เขาบอกใช่หรือไม่
ราชากาเร็ธทรงวิ่งตามเขาไป แต่เมื่อเข้าไปใกล้ อาร์กอนกลับหายตัวไปต่อหน้าต่อตาพระองค์
ราชากาเร็ธทรงหันหาไปรอบ ๆ แต่ไม่พบอะไร พระองค์ทรงได้ยินเสียงหัวเราะแหบต่ำดังมาจากที่ไหนสักแห่งในอากาศ
“อาร์กอน!” ราชากาเร็ธทรงตะโกน
พระองค์ทรงหันหาอีกครั้ง แล้วเงยพระพักตร์ขึ้นไปสู่สวรรค์ คุกพระชานุลงข้างหนึ่ง และหงายพระพักตร์ขึ้น พลางตะโกนก้อง
“อาร์กอน!”