Kitabı oku: «ชะตาแห่งมังกร», sayfa 3
บทที่ เจ็ด
อีเร็คเดินไปพร้อมท่านดยุค แบรนด์ทและคณะผู้ติดตามของท่านดยุคอีกหลายสิบคน ทั้งหมดเดินไปตามถนนคดเคี้ยวในเมืองซาวาเรีย ผู้คนเริ่มรวมตัวกันเมื่อทั้งขบวนมุ่งหน้าไปยังบ้านที่สาวรับใช้นางนั้นอาศัยอยู่ อีเร็คยืนกรานที่จะไปพบนางโดยไม่รอช้า และท่านดยุคต้องการที่จะนำทางไปด้วยตัวเอง และเมื่อท่านดยุคไปที่ใด ทุกคนก็จะตามไปด้วย อีเร็คมองไปรอบ ๆ เห็นคณะผู้ติดตามที่ใหญ่ขึ้นทุกทีแล้วรู้สึกอาย เมื่อรู้ว่าเขาจะไปถึงบ้านนางโดยมีขบวนผู้คนติดสอบห้อยตามไปด้วย
นับตั้งแต่เขาได้พบนางครั้งแรก อีเร็คก็ไม่สามารถคิดถึงสิ่งอื่นได้อีกแม้เพียงเล็กน้อย เขาสงสัยว่านางเป็นใคร นางดูสูงศักดิ์แต่กลับทำงานเป็นสาวรับใช้ในราชสำนักของท่านดยุค? ทำไมนางจึงรีบหลบเขามา? ทำไมตลอดชีวิตของเขาที่ได้พบกับสตรีสูงศักดิ์มากมาย มีเพียงนางเท่านั้นที่จับหัวใจของเขา?
เขาถูกห้อมล้อมด้วยราชนิกูลมาตลอดชีวิต ทั้งในฐานะที่เป็นโอรสของราชาเอง อีเร็คสามารถบอกได้ทันทีว่าใครเป็นราชนิกูล และเขารู้สึกได้นับตั้งแต่ที่ได้พบนางว่านางสูงศักดิ์กว่าที่เป็นอยู่มากมายนัก เขารุ่มร้อนด้วยความใคร่รู้ว่านางคือใคร มาจากที่ใด และมาทำอะไรที่นี่ เขาอยากจะเห็นนางอีกครั้ง อยากจะรู้ว่าเขาเพียงแต่คิดไปเองหรือว่าเขายังรู้สึกเช่นเดิม
“คนรับใช้ของข้าบอกว่านางอาศัยอยู่ที่ชานเมือง” ท่านดยุคอธิบายให้ฟังขณะที่เดินไป ผู้คนทั้งสองข้างทางต่างเปิดหน้าต่างและมองดูขบวนที่ผ่านมาอย่างประหลาดใจที่ได้เห็นท่านดยุคและผู้ติดตามในย่านถนนธรรมดาเช่นนี้
“รู้กันว่านางเป็นสาวรับใช้ให้กับเจ้าของโรงแรม ไม่มีใครรู้จักเทือกเถาเหล่ากอของนาง ไม่รู้ว่านางมาจากไหน ที่พวกเขารู้กันคือนางมาที่เมืองของเราในวันหนึ่ง และมาทำสัญญาเป็นคนรับใช้ให้กับเจ้าของโรงแรมนี้ อดีตของนางดูจะเป็นปริศนา”
ทั้งหมดเลี้ยวไปยังถนนอีกด้าน ถนนหินกรวดใต้เท้าเริ่มขรุขระมากขึ้น เมื่อพวกเขาเดินไป บ้านเรือนหลังเล็กยิ่งตั้งอยู่ชิดกันและทรุดโทรมมากขึ้น ท่านดยุคกระแอม
“ข้าให้นางมาทำงานรับใช้ในราชสำนักในโอกาสพิเศษต่าง ๆ นางเป็นคนเงียบ ๆ เก็บตัว ไม่มีใครรู้เรื่องนางมากนักหรอก อีเร็ค” ท่านดยุคบอก และหันมาหาอีเร็คในที่สุด พลางจับข้อมือเขาไว้ “ท่านแน่ใจเรื่องนี้หรือ? สตรีนางนี้ ไม่ว่านางจะเป็นใครก็ตาม ก็เป็นเพียงสามัญชนคนหนึ่ง ท่านสามารถเลือกสตรีนางใดก็ได้ในอาณาจักร”
อีเร็คมองตอบท่านดยุคด้วยความจริงจังเท่าเทียมกัน
“ข้าต้องพบนางอีกครั้ง ข้าไม่สนใจว่านางจะเป็นใคร”
ท่านดยุคส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย ขบวนของพวกเขาเดินต่อไป แล้วเลี้ยวไปตามถนนสายต่าง ๆ ผ่านตรอกซอกซอยคดเคี้ยวและแคบ ขณะที่พวกเขาผ่านไปนั้น บ้านเรือนเริ่มทรุดโทรมมากยิ่งขึ้น ถนนหนทางมีแต่พวกขี้เมา เต็มไปด้วยสิ่งสกปรก มีไก่และสุนัขเดินหากินไปทั่ว ขบวนของพวกเขาผ่านร้านเหล้าหลายแห่ง เสียงลูกค้าร้องตะโกนดังออกมาที่ถนน ขี้เมาหลายคนเดินโซเซอยู่ด้านหน้า ขณะที่ยามราตรีเริ่มมาเยือน ถนนทุกสายเริ่มมีแสงคบไฟที่ถูกจุดขึ้น
“เปิดทางให้ท่านดยุค!” พ่อบ้านของท่านดยุคตะโกน รีบวิ่งนำหน้าไปและผลักพวกขี้เมาออกไปพ้นทาง คนขี้เมาตัวเหม็นที่เดินไปมาบนถนนเปิดทางให้และมองดูด้วยความประหลาดใจ ที่เห็นท่านดยุคผ่านไป พร้อมด้วยอีเร็ค
ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงโรงแรมเล็ก ๆ และเรียบง่าย สร้างจากปูน มุงหลังคาด้วยหินชนวนลาดเอียง ดูเหมือนมันจะสามารถจุลูกค้าได้ราวห้าสิบคนในร้านเหล้าชั้นล่าง และมีห้องพักสำหรับแขกที่ชั้นบนอีกไม่กี่ห้อง ประตูด้านหน้าบิดเบี้ยว หน้าต่างบานหนึ่งพัง โคมที่แขวนอยู่ตรงทางเข้าเอียงกะเท่เร่ แสงไฟวูบไหว ขี้ผึ้งเหลือน้อยมาก เสียงคนเมาดังลอดออกมาทางหน้าต่าง ขณะที่ทุกคนหยุดอยู่ที่หน้าประตู
สตรีที่บอบบางเช่นนั้นทำงานในสถานที่แบบนี้ได้อย่างไร? อีเร็คทั้งสงสัยและตกใจ เมื่อได้ยินเสียงตะโกนและคำพูดเหยียดหยันดังมาจากด้านใน หัวใจของเขาร้าวรานเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ คิดถึงความอดสูที่นางต้องเผชิญในสถานที่เช่นนี้ เขาคิดว่า มันช่างไม่ยุติธรรม อีเร็คตั้งใจที่จะช่วยพานางไปจากที่นี่
“ทำไมท่านถึงมาหาเจ้าสาวในที่ที่แย่ที่สุดเช่นนี้?” ดยุคถาม พลางหันมาหาอีเร็ค
แบรนด์ทก็หันมาหาเขาด้วย
“โอกาสสุดท้ายแล้ว สหายข้า” แบรนด์ทกล่าว “ที่ปราสาทมีสตรีสูงศักดิ์มากมายกำลังรอเจ้าอยู่”
แต่อีเร็คกลับส่ายหน้าอย่างมุ่งมั่น
“เปิดประตู” เขาสั่ง
คนของดยุคคนหนึ่งรีบก้าวออกไปและกระชากประตูเปิดออก กลิ่นเหล้าเอลคละคลุ้งโชยออกมา ทำให้เขาผงะ
ด้านในมีพวกขี้เมาที่บ้างก็ซบอยู่ที่โต๊ะขายเครื่องดื่ม บ้างก็นั่งเรียงรายอยู่ตามโต๊ะไม้ ส่งเสียงตะโกนโหวกเหวก หัวเราะ ด่าทอและชกต่อยกัน อีเร็คมองออกทันทีว่าคนพวกนี้เป็นพวกดิบเถื่อน มีพุงใหญ่ หนวดเคราไม่โกน เสื้อผ้าไม่ได้ซัก ไม่มีใครเป็นนักรบเลยสักคน
อีเร็คเดินเข้าไปหลายก้าว พลางมองหานาง เขาคิดไม่ออกเลยว่าสตรีเช่นนางจะสามารถทำงานในสถานที่เช่นนี้ได้ เขาสงสัยว่าพวกเขาอาจจะมาผิดที่
“ขอโทษที ท่าน ข้ากำลังตามหาสตรีนางหนึ่ง” อีเร็คบอกกับชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเขา เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่ มีพุงใหญ่และไม่โกนหนวดเครา
“อย่างนั้นหรือ?” ชายคนนี้ตะโกนอย่างล้อเลียน “แหม ท่านคงมาผิดที่แล้วล่ะ! ที่นี่ไม่ใช่ร้านนางโลม แต่มีอยู่ร้านหนึ่งที่อีกฟากของถนน ข้าได้ยินว่านางโลมที่นั่นทั้งขาวทั้งอวบ!”
ชายคนดังกล่าวหัวเราะเสียงดังใส่หน้าอีเร็ค โดยมีเพื่อนอีกหลายคนผสมโรงด้วย
“ข้าไม่ได้ตามหาร้านนางโลม” อีเร็คตอบ ไม่ตลกด้วย “แต่ข้าตามหาสตรีนางหนึ่ง ที่ทำงานที่นี่”
“งั้นเจ้าคงหมายถึงคนรับใช้ของเจ้าของโรงแรม” มีเสียงอีกคนร้องบอก เขาเป็นขี้เมาร่างใหญ่อีกคนหนึ่ง “นางอาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งด้านหลัง อาจจะกำลังขัดพื้น น่าเสียดาย…ข้าอยากให้นางอยู่ที่นี่ บนตักข้าเนี่ย!”
บรรดาขี้เมาต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ขำขันกับมุขตลกของพวกเขา ขณะที่อีเร็คหน้าแดงเมื่อคิดถึงมัน เขารู้สึกอายแทนนาง ที่ต้องมารับใช้คนประเภทนี้ มันช่างเสียศักดิ์ศรีเกินกว่าที่เขาจะคิดถึง
“แล้วเจ้าเป็นใครกัน?” มีเสียงถามขึ้น
ชายคนหนึ่งก้าวออกมา เขาตัวใหญ่กว่าคนอื่น ๆ มีเคราและดวงตาดำ หน้าบึ้งตึง กับขากรรไกรกว้าง มีชายท่าทางซอมซ่อหลายคนตามมาด้วย ร่างกายเขามีกล้ามเนื้อมากกว่าไขมัน เขาก้าวมาหาอีเร็คด้วยท่าทีคุกคาม แสดงตัวเป็นเจ้าของอย่างเห็นได้ชัด
“นี่เจ้าพยายามจะขโมยสาวใช้ของข้าอย่างนั้นหรือ?” เขาถาม “ออกไปจากที่นี่เลย!”
เขาก้าวมาข้างหน้าแล้วเอื้อมมือหมายจะคว้าตัวอีเร็คไว้
แต่อีเร็คซึ่งแข็งแกร่งจากการฝึกฝนมาหลายปี และเป็นอัศวินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักร ตอบโต้อย่างที่ชายคนนี้ไม่คิดฝัน ทันทีที่มือของเขาสัมผัสตัวอีเร็ค อีเร็คเด้งตัวลงมือโดยคว้าข้อมือเขาไว้ แล้วหมุนชายร่างใหญ่ด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ จับคอเสื้อเขาไว้แล้วผลักข้ามห้องไป
ชายร่างใหญ่ลอยคว้างไปเหมือนลูกปืนใหญ่ กวาดเอาชายหลายคนล้มระเนระนาดไปบนพื้นด้วยเหมือนพินโบว์ลิ่ง
ทั้งห้องเงียบสนิท เมื่อทุกคนหยุดนิ่งและมองดู
“ตีกัน! ตีกัน!” พวกผู้ชายส่งเสียงเป็นจังหวะ
เจ้าของโรงแรมที่ยังมึนงง ตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนได้ ก็พุ่งเข้าใส่อีเร็คพลางส่งเสียงตะโกน
ครั้งนี้อีเร็คไม่รอ เขาก้าวเข้าหาผู้โจมตี ยกแขนขึ้นแล้วฟันศอกใส่ใบหน้าของชายคนนั้น ทำให้จมูกเขาหัก
เจ้าของโรงแรมเซถอยหลังไปแล้วล้มหงายหลังลงบนพื้น
อีเร็คก้าวเข้าหา ดึงเขาลุกขึ้นแม้จะตัวใหญ่กว่า โดยยกเขาขึ้นสูงเหนือศีรษะ ก่อนจะก้าวไปแล้วเหวี่ยงชายคนนี้ลอยไปในอากาศ กวาดเอาคนครึ่งห้องล้มไปกับเขาด้วย
ทุกคนในห้องหยุดชะงัก เสียงตะโกนเป็นจังหวะเงียบลง พวกเขาเริ่มตะหนักว่ามีคนพิเศษมาอยู่ในหมู่พวกเขาแล้ว ทันใดนั้นคนขายเหล้าพุ่งตัวออกมา พร้อมเงื้อขวดแก้วขึ้นเหนือหัว หมายจะฟาดใส่อีเร็ค
อีเร็คเห็นเหตุการณ์และยื่นมือไปจับดาบ แต่ก่อนที่อีเร็คจะชักดาบออกมา แบรนด์ทสหายของเขาก็ก้าวออกมายืนข้างเขา พลางชักมีดสั้นออกมาจากเข็มขัด แล้วจ่อปลายมีดเข้ากับลำคอของคนขายเหล้า
คนขายเหล้าวิ่งเข้าใส่แล้วต้องหยุดชะงัก คมมีดเกือบจะแทงเข้าเนื้อของเขา เขาได้แต่ยืนนิ่ง ตาเบิกกว้างด้วยความกลัว เหงื่อแตก ขวดชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ทั้งห้องเงียบสนิทจนสามารถได้ยินเสียงเข็มหล่น
“วางขวดลง” แบรนด์ทสั่ง
คนขายเหล้าทำตาม ทิ้งขวดลงกระแทกพื้น
อีเร็คชักดาบออกมา เสียงโลหะดังก้อง และเดินเข้าหาเจ้าของโรงแรมที่นอนโอดโอยอยู่บนพื้น จ่อปลายดาบเข้าที่คอหอยของเขา
“ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” อีเร็คประกาศ “ออกไปจากห้องนี้ให้หมดทุกคน ตอนนี้ข้าขอพบนางผู้นั้นเพียงลำพัง”
“ท่านดยุค!” ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น
ทั้งห้องต่างหันมาและจำท่านดยุคซึ่งยืนอยู่ตรงทางเข้าพร้อมด้วยผู้ติดตามได้ ทั้งหมดรีบถอดหมวกออกและโค้งคำนับ
“หากข้าพูดจบแล้วยังมีใครอยู่ในห้องนี้” ท่านดยุคประกาศ “พวกเจ้าแต่ละคนจะต้องถูกจับไปขังทันที”
เกิดความโกลาหลขึ้นในห้องเมื่อทุกคนต่างรีบร้อนที่จะออกไป พากันกรูผ่านท่านดยุคและออกไปทางประตูหน้า ทิ้งขวดเหล้าเอลที่ยังดื่มไม่เสร็จไว้อย่างนั้น
“เจ้าก็ออกไปด้วย” แบรนด์ทบอกกับคนขายเหล้า ลดมีดสั้นลง จิกผมเขาไว้แล้วผลักออกประตูไป
ห้องที่อึกทึกอยู่เมื่อครู่ก่อน ตอนนี้กลับว่างเปล่าและเงียบลง เหลือเพียงอีเร็ค แบรนด์ท ท่านอยุคและคนสนิทอีกสิบกว่าคน พวกเขากระแทกประตูปิดตามหลังเสียงดังก้อง
อีเร็คหันมาหาเจ้าของโรงแรม ที่ยังนั่งมึนงงอยู่บนพื้น พลางเช็ดเลือดจากจมูก อีเร็คดึงเสื้อเชิ้ตของเขาไว้แล้วดึงให้ยืนขึ้นด้วยสองมือ ก่อนจะปล่อยให้นั่งลงบนม้านั่งว่างตัวหนึ่ง
“เจ้าทำให้ธุรกิจของข้าในคืนนี้เสียหายหมด” เจ้าของโรงแรมโอดครวญ “เจ้าต้องชดใช้”
ท่านดยุคก้าวมาข้างหน้าแล้วตบเข้าด้วยหลังมือ
“ข้าสั่งประหารเจ้าได้ด้วยซ้ำที่บังอาจแตะต้องชายผู้นี้” ท่านดยุคตวาด “เจ้าไม่รู้เลยใช่ไหมว่าเขาเป็นใคร? นี่คืออีเร็ค ยอดอัศวินของพระราชา แชมเปี้ยนแห่งกองรบเงิน เขาสามารถฆ่าเจ้าได้ตอนนี้เลยด้วยซ้ำหากเขาต้องการ”
เจ้าของโรงแรมเงยหน้ามองอีเร็ค และเป็นครั้งแรกที่ความกลัวปรากฏบนสีหน้าของเขา เขาแทบจะตัวสั่นอยู่บนเก้าอี้
“ข้าไม่รู้เลย ท่านไม่ได้ประกาศตัว”
“นางอยู่ที่ไหน?” อีเร็คสั่งอย่างหมดความอดทน
“นางอยู่ด้านหลัง กำลังขัดห้องครัว ท่านต้องการอะไรจากนางหรือ? นางขโมยอะไรมาจากท่านหรือเปล่า? นางเป็นเพียงแค่สาวใช้รับจ้างคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
อีเร็คชักมีดสั้นออกมาแล้วจ่อเข้าที่คอหอยของเจ้าของโรงแรม
“ถ้าเรียกนางว่า ‘สาวใช้’ อีกครั้ง” อีเร็คเตือน “ขอให้มั่นใจได้เลยว่าข้าจะปาดคอหอยเจ้าเสีย เจ้าเข้าใจไหม?” เขาถามอย่างหนักแน่นขณะที่กดคมมีดเข้าที่ผิวของเจ้าของโรงแรม
ดวงตาของชายร่างใหญ่คลอด้วยน้ำตา ขณะที่เขาพยักหน้าช้า ๆ
“พานางมาที่นี่ แล้วก็รีบด้วย” อีเร็คสั่ง กระชากเขายืนขึ้นแล้วผลักเขาถลาไปทางประตูหลัง
เมื่อเจ้าของโรงแรมออกไป มีเสียงหม้อกระทบกันดังมาจากด้านหลังประตู มีเสียงตะโกนดังแว่วมา แล้วครู่ต่อมาประตูก็เปิดออก มีสตรีหลายคนในชุดผ้าขี้ริ้ว สวมเสื้อคลุมและหมวกคลุมผมตัวเปื้อนคราบมันจากในครัวเดินเข้ามา สามนางนั้นอายุมากกว่าอยู่ในวัยหกสิบ อีเร็คสงสัยขึ้นมาแวบหนึ่งว่าเจ้าของโรงแรมรู้หรือไม่ว่าเขาพูดถึงใคร
แล้วตอนนั้นนางก็เดินออกมา และทำให้หัวใจของอีเร็คหยุดเต้นอยู่ในอกเขา
เขาแทบหายใจไม่ออก นางนั่นเอง
นางสวมผ้ากันเปื้อนที่เลอะไปด้วยคราบมัน ก้มหน้าต่ำ ดูอายที่จะเงยหน้าขึ้น ผมของนางถูกมัดไว้และคลุมไว้ด้วยผ้า แก้มทั้งสองข้างเลอะคราบเขม่า แต่ก็ยังทำให้อีเร็คใจสั่น ผิวพรรณของนางช่างอ่อนเยาว์และไร้ที่ติ นางมีโหนกแก้มสูงและขากรรไกรได้รูป จมูกเล็ก ๆ เต็มไปด้วยกระ ริมฝีปากอิ่มเต็ม หน้าผากกว้างดูสูงศักดิ์ และผมสีทองสวยงามหลุดลุ่ยออกมาจากผ้าคลุมผม
นางเหลือบมองเขาแวบหนึ่งด้วยดวงตายาวรีสีเขียวงดงาม ซึ่งสะท้อนแสงไฟแล้วเปลี่ยนเป็นสีฟ้าใสก่อนจะกลับเหมือนเดิม ทำให้เขาชะงักนิ่งอยู่กับที่ อีเร็คประหลาดใจที่รู้ว่าตอนนี้เขายิ่งหลงใหลนางมากกว่าเมื่อตอนได้พบกันครั้งแรกเสียอีก
เจ้าของโรงแรมเดินตามหลังนางออกมา หน้าตาบึ้งตึง ยังคงเช็ดเลือดจากจมูก สาวน้อยเดินมาข้างหน้าอย่างลังเล พร้อมด้วยสตรีสูงวัยคนอื่น ๆ ตรงมาหาอีเร็ค และถอนสายบัวเมื่อเข้ามาใกล้ อีเร็คยืดตัวยืนตรงต่อหน้านาง เช่นเดียวกับผู้ติดตามคนอื่น ๆ ของท่านดยุค
“ใต้เท้า” นางกล่าวเสียงนุ่มหวาน ทำให้หัวใจอีเร็คอิ่มเอม “โปรดบอกข้าทีว่าข้าทำสิ่งใดให้ท่านขุ่นเคือง ข้าไม่รู้ว่าได้ทำสิ่งใดลงไป แต่ข้าขออภัยในสิ่งที่ได้ทำจนเป็นเหตุทำให้ท่านดยุคต้องมาถึงที่นี่”
อีเร็คยิ้ม ทั้งคำพูด ภาษาและสำเนียงของนาง ทำให้เขาอารมณ์ดีอีกครั้ง เขาไม่อยากให้นางหยุดพูดเลย
อีเร็คเอื้อมมือไปแตะปลายคางของนางแล้วดันให้เงยหน้าขึ้นจนดวงตาอ่อนโยนของนางสบกับเขา หัวใจของเขาเต้นรัวเร็วเมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง มันเหมือนกับหลงเข้าไปในห้วงทะเลสีฟ้า
“แม่หญิง เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดให้ขุ่นเคือง ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะสามารถทำให้รำคาญใจได้หรอก ข้ามาที่นี่ไม่ใช่ด้วยความโกรธ แต่ด้วยความรักต่างหาก นับตั้งแต่ได้พบเจ้า ข้าก็ไม่อาจคิดถึงสิ่งอื่นได้อีก”
นางดูประหม่า และหลบตาลงมองพื้นทันทีพลางกระพริบตาหลายครั้ง นางบิดมือดูกังวลอย่างมาก เห็นได้ชัดว่านางไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้
“ได้โปรดเถิด แม่หญิง บอกข้าที เจ้าชื่ออะไร?”
“อลิสแตร์” นางตอบอย่างอ่อนน้อม
“อลิสแตร์” อีเร็คทวนคำอย่างปลื้มปริ่ม มันเป็นชื่อที่ไพเราะที่สุดที่เขาเคยได้ยิน
“แต่ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดชื่อของข้าจึงควรเป็นที่รู้จักของท่าน” นางบอกต่ออย่างนุ่มนวล ยังคงก้มมองพื้น “ท่านเป็นขุนนาง และข้าเป็นเพียงสาวใช้”
“นางเป็นคนรับใช้ของข้า ถ้าจะพูดให้ถูก” เจ้าของโรงแรมเอ่ยขึ้น พลางก้าวมาข้างหน้าอย่างไม่พอใจ “นางมีสัญญาอยู่กับข้า นางลงชื่อในสัญญาเมื่อหลายปีก่อน ที่นางสัญญาไว้คือเจ็ดปี โดยข้าให้อาหารและที่อยู่เป็นการตอบแทน นางทำมาสามปีแล้ว ท่านเห็นไหมล่ะ ว่านี่มันเสียเวลาเปล่า นางเป็นของข้า ข้าเป็นเจ้าของนาง ท่านจะเอาตัวนางไปไม่ได้ นางเป็นของข้า ท่านเข้าใจไหม?”
อีเร็ครู้สึกเกลียดชายเจ้าของโรงแรมยิ่งกว่าที่เคยรู้สึกกับใคร ใจหนึ่งเขาอยากจะชักดาบออกมาแทงที่หัวใจของชายคนนี้และจบเรื่องกับเขาเสีย แต่แม้เขาสมควรจะโดนเช่นนั้นเพียงใด อีเร็คก็ไม่อยากจะทำผิดกฎของพระราชา นอกจากนี้การกระทำใดของเขายังส่งผลไปถึงพระราชาด้วย
“กฎของราชาย่อมเป็นกฎของราชา” อีเร็คบอกเจ้าของโรงแรมอย่างหนักแน่น “ข้าไม่มีเจตนาจะละเมิด แต่พรุ่งนี้การแข่งขันจะเริ่มขึ้น และข้าได้รับสิทธิเช่นเดียวกับบุรุษทุกคนที่จะเลือกเจ้าสาวของข้าได้ ขอให้รู้กันในตอนนี้เลยว่าข้าเลือกอลิสแตร์”
ทุกคนในห้องอ้าปากค้าง แล้วหันมองหน้ากันอย่างตกใจ
“เป็นเช่นนั้น” อีเร็คกล่าวต่อ “หากนางยินยอม”
อีเร็คมองอลิสแตร์ด้วยใจเต้นรัว ขณะที่นางยังคงก้มหน้ามองพื้น เขาเห็นว่านางหน้าแดง
“เจ้ายินยอมหรือไม่ แม่หญิง?” เขาถาม
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
“ใต้เท้า” นางบอกเสียงเบา “ท่านไม่รู้เลยว่าข้าเป็นใคร มาจากที่ไหน หรือทำไมข้าจึงมาที่นี่ และข้าเกรงว่าข้าไม่อาจบอกเรื่องเหล่านั้นแก่ท่านได้”
อีเร็คจ้องมองนางอย่างพิศวง
“ทำไมเจ้าจึงบอกข้าไม่ได้?”
“ข้าไม่เคยบอกใครนับตั้งแต่มาถึงที่นี่ ข้าได้ตั้งปฏิญาณไว้”
“แต่ทำไมกันเล่า?” เขารุกถามด้วยความอยากรู้
แต่อลิสแตร์ไม่ตอบ ก้มหน้าอยู่เช่นนั้น
“เป็นความจริง” เสียงสาวใช้คนหนึ่งดังแทรกขึ้นมา “นางไม่เคยเล่าให้พวกเราฟังว่านางเป็นใคร หรือทำไมจึงมาที่นี่ นางปฏิเสธที่จะเล่า พวกเราพยายามมาหลายปีแล้ว”
อีเร็ครู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง แต่นั่นเพียงแค่ทำให้นางมีปริศนาเพิ่มขึ้น
“หากข้าไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าเป็นใคร เช่นนั้นข้าก็จะไม่รู้” อีเร็คบอก “ข้าเคารพคำปฏิญาณของเจ้า แต่นั่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรักของข้าที่มีต่อเจ้า แม่หญิง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร หากข้าชนะการแข่งขัน ข้าจะเลือกเจ้าเป็นรางวัล เจ้าเท่านั้น จากสตรีอื่น ๆ ในอาณาจักรนี้ ข้าขอถามอีกครั้ง เจ้าจะยินยอมหรือไม่?”
อลิสแตร์เอาแต่ก้มหน้ามองพื้น ขณะที่อีเร็คมองอยู่นั้น เขาเห็นน้ำตาไหลลงไปตามพวงแก้ม
ทันใดนั้น นางก็หันหลังแล้ววิ่งหนีออกไปจากห้อง โดยปิดประตูตามหลัง
อีเร็คยืนนิ่ง เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่ต่างตะลึงงัน เขาไม่รู้ว่าควรจะแปลท่าทีการตอบสนองของนางเช่นไร
“ท่านเห็นไหมล่ะ ท่านทำให้ตัวเองเสียเวลา เวลาของข้าด้วย” เจ้าของโรงแรมบอก “นางบอกว่าไม่ ท่านก็ออกไปได้แล้ว”
อีเร็คนิ่วหน้าตอบ
“นางไม่ได้บอกปฏิเสธ” แบรนด์ทแทรกขึ้น “นางยังไม่ได้ตอบ”
“นางมีสิทธิที่จะใช้เวลาคิด” อีเร็คตอบอย่างปกป้อง “ถึงอย่างไรก็มีหลายอย่างที่ต้องพิจารณา นางเองก็ไม่รู้จักข้าเหมือนกัน”
อีเร็คยืนอยู่เช่นนั้น ใคร่ครวญว่าจะทำอะไร
“ข้าจะพักที่นี่ในคืนนี้” อีเร็คบอกขึ้นในที่สุด “เจ้าต้องจัดห้องให้ข้าที่นี่ ฟากเดียวกับห้องนาง ในตอนเช้าก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้น ข้าจะถามนางอีกครั้ง หากนางยินยอมและหากข้าชนะ นางจะเป็นเจ้าสาวของข้า หากเป็นเช่นนั้นข้าจะไถ่ตัวนางจากการเป็นทาสรับใช้เจ้า และนางจะไปจากที่นี่พร้อมข้า”
เห็นได้ชัดว่าเจ้าของโรงแรมไม่ต้องการให้อีเร็คอยู่ใต้ชายคาของเขา แต่เขาไม่กล้าจะพูดอะไร ได้แต่หันหลังและกระทืบเท้าออกไปจากห้อง แล้วกระแทกประตูปิดตามหลัง
“ท่านแน่ใจหรือว่าอยากจะพักที่นี่?” ท่านดยุคถาม “กลับไปที่ปราสาทกับเราเถอะ”
อีเร็คพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ข้าไม่เคยมั่นใจเท่านี้มาก่อนในชีวิต”
บทที่ แปด
ธอร์พุ่งตัวผ่านอากาศดำดิ่งลงไป พุ่งศีรษะลงไปในท้องน้ำปั่นป่วนของทะเลแห่งไฟ เขาตกลงไปในน้ำและจมลงไป แล้วต้องตกใจเมื่อพบว่าน้ำนั้นร้อน
ธอร์ลืมตาขึ้นมาแวบหนึ่งใต้ผิวน้ำ และคิดว่าเขาไม่น่าทำเลย เขาได้เห็นสัตว์ทะเลหน้าตาประหลาดและน่าเกลียดหลายแบบ ทั้งเล็กและใหญ่ หน้าตาพิลึกผิดธรรมดา มีอยู่ในมหาสมุทรแห่งนี้เต็มไปหมด เขาได้แต่ภาวนาว่าพวกมันจะไม่โจมตีก่อนที่เขาจะไปถึงที่ปลอดภัยบนเรือพาย
ธอร์โผล่พ้นน้ำขึ้นมาอ้าปากหอบหายใจ และมองหาเด็กหนุ่มที่กำลังจมน้ำทันที เขามองเห็นเด็กหนุ่มได้ทันเวลา เขากำลังอ่อนแรงและเริ่มจะจมน้ำ ในอีกไม่กี่วินาทีนี้เขาคงจะจมน้ำลงไปอย่างแน่นอน
ธอร์เอื้อมมือไปคว้าตัวเขาไว้จากทางด้านหลัง จับกระดูกไหปลาร้าของเขาไว้แล้วเริ่มว่ายน้ำ โดยพยุงให้ศีรษะของพวกเขาอยู่พ้นน้ำ ธอร์ได้ยินเสียงร้อง เมื่อหันไปดูก็ต้องตกใจที่เห็นโครห์น มันคงจะกระโดดตามเขามา เจ้าเสือดาวว่ายน้ำอยู่ข้างเขา ตะกุยน้ำมาหาธอร์พลางร้องคราง ธอร์รู้สึกแย่ที่โครห์นต้องมาอยู่ในอันตรายเช่นนี้ แต่เขาไม่มีมือที่จะช่วยมันได้และทำอะไรไม่ได้มากนัก
ธอร์พยายามไม่มองไปรอบตัว ไม่มองท้องน้ำสีแดงปั่นป่วน ไม่มองสัตว์ประหลาดที่ผลุบโผล่อยู่รอบ ๆ สัตว์หน้าตาน่าเกลียดสีม่วงมีสี่ขาและสองหัว โผล่ขึ้นมาใกล้ ๆ แล้วส่งเสียงขู่เขาก่อนจะผลุบหายไป ทำให้ธอร์ต้องผงะ
ธอร์หันไปเห็นเรือพายอยู่ห่างไปราวยี่สิบหลา เขาว่ายเข้าหาอย่างเร่งร้อน โดยใช้แขนข้างเดียวและขาสองข้าง ขณะที่ลากเด็กหนุ่มอีกคนไปด้วย เด็กหนุ่มคนนั้นตะเกียกตะกายและส่งเสียงร้องอย่างขัดขืน ทำให้ธอร์กลัวว่าเขาจะดึงจมลงไปด้วยกัน
“อยู่นิ่ง ๆ!” ธอร์ตะโกนบอกเสียงกระด้าง หวังว่าเขาจะฟัง
ในที่สุดเขาก็หยุด ธอร์โล่งใจได้ครู่เดียว เขาก็ได้ยินเสียงน้ำสาดกระจาย เมื่อหันไปอีกด้านที่ทางขวาของเขา ก็เห็นสัตว์ประหลาดอีกตัวโผล่ขึ้นมา มันตัวเล็กมีหัวสีเหลืองและมีหนวดเหมือนปลาหมึกสี่เส้น หัวของมันเป็นรูปเหลี่ยมกำลังว่ายน้ำตรงมาที่เขา พลางส่งเสียงขู่และทำตัวสั่น มันดูเหมือนงูหางกระดิ่งที่อยู่ในทะเล ยกเว้นหัวของมันเป็นเหลี่ยมเกินไป ธอร์เตรียมตัวเมื่อมันเข้ามาใกล้ เตรียมพร้อมที่จะถูกกัด แต่แล้วจู่ ๆ มันก็อ้าปากกว้างและพ่นน้ำทะเลใส่เขา ธอร์กระพริบตา พยายามไล่น้ำทะเลที่เข้าตา
เจ้าสัตว์ประหลาดว่ายวนอยู่รอบพวกเขาเป็นวงกลม ธอร์พยายามว่ายเร็วขึ้นเป็นสองเท่า พยายามที่จะหนี
เขาเข้าไปใกล้เรือมากขึ้นแล้ว แต่ทันใดนั้นสัตว์อีกตัวก็โผล่ขึ้นมาที่อีกด้าน มันมีลำตัวแคบและยาวสีส้ม มีก้ามสองข้างอยู่ที่ปากและมีขาเล็ก ๆ หลายสิบขา และมันยังมีหางยาวสะบัดไปทุกทิศทุกทาง มันดูคล้ายกุ้งมังกรที่ยืนตัวตรง เจ้าสัตว์ประหลาดว่ายอยู่ตามชายน้ำเหมือนแมงดา ส่งเสียงหึ่ง ๆ ขณะที่เข้ามาใกล้ธอร์ หันข้างให้แล้วสะบัดหาง ฟาดเข้าใส่แขนของธอร์ เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
เจ้าสัตว์ประหลาดพุ่งตัวไปมา ฟาดหางครั้งแล้วครั้งเล่า ธอร์อยากจะชักดาบออกมาสู้กับมัน แต่เขามีมือที่ว่างเพียงข้างเดียว และต้องใช้ว่ายน้ำ
โครห์นว่ายน้ำอยู่ข้างเขา มันหันไปขู่เจ้าสัตว์ประหลาด ด้วยเสียงน่ากลัว และขณะที่โครห์นว่ายเข้าไปหามันอย่างไม่กลัว ก็ทำให้เจ้าสัตว์ประหลาดตกใจกลัวและหายลงไปใต้ผิวน้ำ ธอร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก จนกระทั่งมันโผล่ขึ้นมาอีกครั้งที่อีกด้าน แล้วสะบัดหางใส่เขาอีก โครห์นหันไปและไล่มันไปรอบ ๆ พยายามจะจับมันให้ได้ โดยไล่งับมันแต่ก็พลาดเป้าทุกครั้ง
ธอร์ว่ายน้ำไปสุดชีวิต เขารู้ว่าทางเดียวที่จะพ้นจากความวุ่นวายนี้ได้คือต้องไปให้พ้นจากน้ำทะเล หลังจากที่เขาว่ายน้ำอย่างหนักจนเหมือนจะไม่สิ้นสุด เขาก็เข้าไปใกล้เรือที่กำลังโยกโยนไปตามคลื่นอย่างรุนแรง เมื่อเขาไปถึง เพื่อนกองทหารยุวชนสองคนที่แก่กว่าเขาและไม่เคยทักทายธอร์หรือเพื่อนของเขามาก่อน กำลังรออยู่ที่นั่นเพื่อช่วยเขา ทั้งสองคนก้มตัวลงมาและยื่นมือมาให้
ธอร์ช่วยเด็กหนุ่มอีกคนขึ้นไปก่อน โดยเอื้อมมือไปยกตัวเขาส่งขึ้นไปบนเรือ เด็กหนุ่มที่โตกว่าช่วยจับแขนเขาแล้วลากขึ้นไปบนเรือ
จากนั้นธอร์จึงหันมาคว้าโครห์น โดยจับท้องมันไว้แล้วเหวี่ยงให้พ้นน้ำขึ้นไปบนเรือ โครห์นหล่นโครมลงไปยืนสี่ขาขณะที่ลื่นไถลไปบนพื้นไม้ของเรือ ตัวเปียกโชกและสั่นเทา มันไถลไปบนท้องเรือที่เปียก ก่อนจะกระเด้งตัวลุกขึ้นแล้ววิ่งกลับมาที่กราบเรือ เพื่อมองหาธอร์ มันยืนอยู่ตรงนั้นแล้วมองลงมาในน้ำ พลางร้องเสียงแหลม
ธอร์เอื้อมมือขึ้นไปจับมือของเด็กหนุ่มคนหนึ่งไว้ และเตรียมจะดึงตัวเองขึ้นไปบนเรือ แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่แข็งแรงเป็นกล้ามเนื้อพันรอบข้อเท้าและต้นขาของเขา ธอร์หันไปดูแล้วต้องใจหายวาบ เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายปลาหมึกสีเขียวมะนาว พันหนวดของมันรอบขาของเขา
ธอร์ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อรู้สึกว่าหนามแหลมทิ่มเข้าไปในเนื้อ
ธอร์รู้ว่าหากเขาไม่ทำอะไรสักอย่างโดยเร็ว เขาคงจะต้องเสร็จมันแน่นอน ธอร์เอื้อมมือข้างที่ว่างลงไปที่เข็มขัดแล้วดึงมีดสั้นออกมา ก้มตัวลงไปแทงเจ้าสัตว์ประหลาด แต่หนวดของมันหนาเกินไป มีดสั้นของเขาแทงไม่เข้า
มันยิ่งทำให้เจ้าปลาหมึกโกรธ มันโผล่หัวขึ้นเหนือน้ำทันที ตัวสีเขียวไม่มีตา มีขากรรไกรสองอันบนคอยาวของมัน ปากเรียงซ้อนกันอยู่ มันอ้าปากเห็นฟันคมราวใบมีดเรียงเป็นแถว ใกล้เข้ามาหาธอร์ ธอร์รู้สึกว่ามีเลือดไหลจากแผลที่ขา เขารู้ว่าต้องรีบลงมือโดยเร็ว แม้เด็กหนุ่มที่โตกว่าบนเรือจะพยายามดึงเขาไว้ แต่มือของธอร์ก็ลื่นหลุด เขาจมกลับลงไปในน้ำ
โครห์นร้องครวญครางเสียงแหลม ขนบนหลังตั้งชันขึ้น มันชะโงกตัวเหมือนเตรียมพร้อมที่จะกระโจนลงมาในน้ำ แต่แม้แต่เจ้าโครห์นก็คงรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะโจมตีเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้
เด็กหนุ่มที่แก่กว่าคนหนึ่งก้าวออกมาและตะโกนบอก
“หลบ!”
ธอร์ก้มหัวลง ขณะที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งขว้างหอกลงมา มันพุ่งผ่านอากาศมาแต่พลาดเป้า ร่วงลงไปในน้ำอย่างไม่มีพิษสง เจ้าสัตว์ประหลาดตัวผอมเกินไปและเร็วเกินไป
ทันใดนั้น โครห์นก็กระโจนออกจากเรือกลับลงไปในน้ำ โดยอ้าปาก ฝังฟันคมของมันลงที่คอของเจ้าสัตว์ประหลาด โครห์นจับติดแน่น และสะบัดเหวี่ยงมันไปทางซ้ายทีขวาที ไม่ยอมปล่อย
แต่มันเป็นการต่อสู้ที่ไม่เห็นทางชนะ หนังของเจ้าปลาหมึกหนาเกินไปและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ มันเหวี่ยงโครห์นไปทางโน้นทีทางนี้ทีก่อนจะสะบัดมันลอยลงไปในน้ำ ระหว่างนั้นหนวดของเจ้าปลาหมึกพันรัดขาธอร์แน่นขึ้นราวกับคีบ ธอร์รู้สึกว่ากำลังขาดอากาศหายใจ หนวดของมันทำให้เจ็บปวดแสนสาหัส ธอร์รู้สึกเหมือนขาของเขากำลังจะถูกฉีกออกจากร่าง
เขาพยายามอย่างสิ้นหวังเป็นครั้งสุดท้าย ธอร์ปล่อยมือจากเด็กหนุ่มบนเรือแล้วในจังหวะเดียวกันก็เหวี่ยงตัวเอื้อมไปหยิบดาบสั้นที่เอวออกมา
แต่เขาไม่ทันคว้าดาบไว้ได้ หมุนคว้างหน้าทิ่มลงไปในน้ำ
ธอร์รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกลากห่างออกไปจากเรือ เจ้าปลาหมึกดึงเขาออกไปในทะเล เขาถูกลากถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว และขณะที่เขาไขว้คว้าอย่างหมดหนทาง ธอร์ก็เห็นเรือพายหายไปต่อหน้าต่อตา สิ่งต่อมาที่เขารู้คือเขากำลังถูกดึงจมลงไปใต้ผิวน้ำ ลึกลงไปในทะเลแห่งไฟ
บทที่ เก้า
เจ้าหญิงเกว็นโดลีนทรงวิ่งอยู่ในทุ่งหญ้า โดยมีราชาแม็คกิลผู้เป็นพระบิดาอยู่เคียงข้าง เจ้าหญิงยังทรงพระเยาว์ น่าจะชันษาราวสิบปี พระบิดาเองก็ยังทรงหนุ่มอยู่มาก เคราของพระองค์ยังสั้นและไม่มีสีดอกเลาเหมือนเช่นที่เป็นในช่วงท้ายของพระชนม์ชีพ พระฉวียังไม่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น ดูอ่อนเยาว์และเปล่งปลั่ง พระองค์ทรงพระสำราญ ปราศจากความกังวล ทรงพระสรวลอย่างเต็มที่ขณะจูงพระหัตถ์เจ้าหญิงและวิ่งไปด้วยกันในทุ่งหญ้า นี่คือพระบิดาที่เจ้าหญิงทรงจำได้ พระบิดาที่พระนางทรงรู้จัก
พระบิดาทรงอุ้มเจ้าหญิงขึ้นเหนือพระอังสา แล้วทรงเหวี่ยงเจ้าหญิงไปรอบ ๆ พลางทรงพระสรวลดังขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าหญิงเองก็ทรงพระสรวลคิกคักอย่างขบขัน พระนางทรงรู้สึกปลอดภัยในอ้อมพระกรของพระบิดา และทรงต้องการให้เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันเช่นนี้ไม่มีวันสิ้นสุด
แต่เมื่อพระบิดาทรงวางพระนางลง มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น จู่ ๆ เวลากลางวันก็เปลี่ยนจากยามบ่ายที่สดใสเป็นเวลาสนธยา เมื่อพระบาทของเจ้าหญิงเกว็นสัมผัสพื้น กลับไม่มีดอกไม้ในทุ่งหญ้า แต่พระบาทกลับจุ่มลงไปในโคลนลึกถึงข้อพระบาท พระบิดาทรงนอนอยู่ในโคลนห่างจากเจ้าหญิงไปไม่กี่ฟุต ทรงชราขึ้นมาก มากเกินไป พระองค์ทรงติดอยู่ในโคลน มงกุฎของพระองค์เป็นประกายอยู่ในโคลนห่างออกไปอีก
“เกว็นโดลีน” พระบิดาตรัส “ลูกสาวพ่อ ช่วยพ่อด้วย”
พระองค์ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นจากโคลน และยื่นมาหาเจ้าหญิงอย่างสิ้นหวัง
เจ้าหญิงทรงเร่งรีบที่จะช่วยพระบิดา ทรงพยายามที่จะไปให้ถึงพระองค์ เพื่อจับพระหัตถ์ไว้ แต่พระบาทของพระนางไม่ขยับเขยื้อน เมื่อทรงทอดพระเนตรดูกลับเห็นโคลนจับตัวแข็งอยู่โดยรอบ โคลนแห้งและแตก เจ้าหญิงทรงพยายามบิดองค์เพื่อให้เป็นอิสระ
เจ้าหญิงเกว็นทรงกระพริบพระเนตรและพบว่าพระนางกำลังประทับอยู่บนเชิงเทินในปราสาท ทอดพระเนตรลงไปยังเขตราชฐานเบื้องล่าง มีบางอย่างผิดปกติ ขณะที่พระนางทอดพระเนตรนั้น กลับไม่เห็นความรุ่งโรจน์และงานเฉลิมฉลองตามปกติ แต่ทรงเห็นสุสานทอดตัวเหยียดยาวแทน สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นราชสำนักอันรุ่งเรืองของพระราชา กลับกลายเป็นหลุมฝังศพเพิ่งกลบใหม่มากมายสุดสายตา
เจ้าหญิงทรงได้ยินเสียงฝีเท้า เมื่อทรงหันไปพบมือสังหาร พระหทัยแทบหยุดเต้น มันสวมเสื้อคลุมสีดำมีผ้าคลุมศีรษะกำลังเข้ามาใกล้พระนาง มันวิ่งรี่เข้ามาหา พลางเปิดผ้าคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ผิดปกติ ดวงตาหายไปข้างหนึ่ง มีแผลเป็นหนาและขรุขระพาดเบ้าตา มันส่งเสียงคำราม ยกมือข้างหนึ่งขึ้น เห็นมีดสั้นเป็นประกาย มีด้ามสีแดงแวววาว
มันเคลื่อนที่เร็วมากจนเจ้าหญิงไม่อาจตอบโต้ได้ทันกาล พระนางจึงเตรียมพร้อม ทรงรู้ว่ากำลังจะถูกสังหารเมื่อมันจ้วงแทงมีดสั้นลงมาเต็มแรง
จู่ ๆ มันก็หยุด ห่างจากพระพักตร์ไปเพียงไม่กี่นิ้ว เมื่อเจ้าหญิงลืมพระเนตรขึ้นก็เห็นพระบิดาทรงประทับอยู่ตรงนั้น ซากพระศพของพระองค์ทรงจับข้อมือของมือสังหารไว้ แล้วบีบจนมันทิ้งมีดในมือลง จากนั้นจึงทรงยกตัวมันขึ้นเหนือพระอังสาแล้วเหวี่ยงลงไปจากเชิงเทิน เจ้าหญิงเกว็นทรงได้ยินเสียงกรีดร้องของมันขณะที่ร่วงลงไป
พระบิดาทรงหันมาและทอดพระเนตรพระนาง พระองค์ทรงจับพระอังสาของเจ้าหญิงไว้แน่นด้วยพระหัตถ์ที่กำลังเน่าเปื่อย สีพระพักตร์จริงจัง
“ที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับเจ้า” พระบิดาทรงเตือน “มันไม่ปลอดภัย!” พระองค์ทรงตะโกน พระหัตถ์จิกแน่นที่พระอังสาจนทำให้เจ้าหญิงทรงร้องออกมา
เจ้าหญิงเกว็นทรงตื่นบรรทมพลางส่งเสียงร้อง พระนางประทับนั่งบนพระแท่น และมองไปรอบ ๆ ห้องบรรทม หาผู้ที่จะมาทำร้าย
แต่พระนางกลับพบเพียงความเงียบ ความเงียบงันนิ่งสนิทในยามใกล้รุ่งสาง
เจ้าหญิงพระเสโทไหล และทรงหอบหายใจ พระนางลุกจากพระแท่น ทรงสวมฉลองพระองค์ชุดนอนลูกไม้ และรีบเสด็จไปยังอ่างหินใบเล็ก ทรงวักน้ำขึ้นลูบพระพักตร์ครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าหญิงทรงเอนพระวรกายพิงผนังห้อง ทรงรู้สึกถึงความเย็นจากพื้นหินบนพระบาทเปลือยเปล่าในยามเช้าของฤดูร้อน และทรงพยายามตั้งพระสติ
ความฝันนั้นช่างเหมือนจริง พระนางทรงรู้ว่านี่เป็นมากกว่าความฝัน เป็นคำเตือนจากพระบิดา เป็นข้อความ พระนางทรงรู้สึกว่าควรรีบไปจากราชสำนักในตอนนี้และไม่กลับมาอีก
เจ้าหญิงทรงรู้ว่ามีบางอย่างที่ไม่สามารถทำได้ พระนางต้องตั้งพระสติเพื่อให้เกิดปัญญา แต่ทุกครั้งที่ทรงกระพริบพระเนตร จะเห็นพระพักตร์ของพระบิดา ทรงรู้สึกถึงคำเตือนของพระองค์ เจ้าหญิงต้องทำบางอย่างเพื่อสลัดภาพฝันนั้นออกไป
เจ้าหญิงเกว็นทอดพระเนตรออกไปและทรงเห็นอาทิตย์ดวงแรกกำลังจะพ้นขอบฟ้า พระนางทรงคิดถึงสถานที่เดียวที่จะช่วยให้ทรงสงบพระทัย แม่น้ำแห่งราชา ใช่แล้ว พระนางจะต้องไปที่นั่น
*
เจ้าหญิงเกว็นโดลีนดำผุดดำว่ายอยู่ในสายน้ำเย็นเฉียบของแม่น้ำแห่งราชา ทรงกลั้นหายใจและมุดลงไปใต้น้ำ พระนางประทับอยู่ในสระว่ายน้ำธรรมชาติเล็ก ๆ สลักขึ้นจากหิน ซ่อนตัวอยู่ในน้ำพุด้านบนที่ทรงค้นพบและเสด็จมาเสมอนับตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เจ้าหญิงทรงดำอยู่ใต้น้ำและอ้อยอิ่งอยู่เช่นนั้น ทรงรู้สึกถึงสายน้ำเย็นที่ไหลผ่านพระเกศา และพระเศียร รู้สึกถึงสายน้ำที่ชำระล้างและทำความสะอาดพระวรกายเปลือยเปล่า
พระนางทรงค้นพบสถานที่ส่วนตัวนี้ในวันหนึ่ง มันซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ สูงขึ้นไปบนภูเขา เป็นที่ราบสูงเล็ก ๆ ที่สายน้ำในแม่น้ำไหลเอื่อยและทำให้เกิดสระที่ลึกและน้ำนิ่ง เหนือพระนางขึ้นไปสายน้ำไหลช้า ๆ ส่วนด้านล่างสายน้ำยังคงไหลลงมา แต่ที่นี่ บนที่ราบสูงแห่งนี้ กระแสน้ำไหลช้าที่สุด สระน้ำลึก หินก็เรียบลื่น สถานที่นี้หลบซ่อนอยู่อย่างดี จนพระนางทรงสามารถเปลือยพระวรกายสรงน้ำได้อย่างเพลิดเพลิน เจ้าหญิงเสด็จมาที่นี่เกือบจะทุกเช้าในฤดูร้อน เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มขึ้น เพื่อให้พระหทัยปลอดโปร่ง และโดยเฉพาะในวันเช่นวันนี้ ที่ความฝันนั้นตามหลอกหลอนพระนาง เช่นที่มักจะเกิดขึ้น ที่นี่เป็นที่หลบลี้เพียงแห่งเดียวของพระนาง
มันเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าหญิงเกว็นที่จะทรงรู้ว่านั่นเป็นเพียงความฝันหรือเป็นมากกว่านั้น พระนางจะทรงรู้ได้อย่างไรว่าความฝันนั้นเป็นสารบอกข่าว เป็นลางบอกเหตุ? จะทรงรู้หรือไม่ว่ามันเป็นเพียงการเล่นตลกของความคิดหรือว่าพระนางทรงได้รับโอกาสที่จะกระทำการบางอย่าง?
เจ้าหญิงเกว็นโดลีนทรงโผล่ขึ้นมาหายพระทัย ทรงสูดอากาศอุ่นยามเช้าในฤดูร้อน ฟังเสียงนกร้องเพลงอยู่ตามต้นไม้รอบ ๆ พระนางเอนองค์พิงก้อนหิน พระวรกายจมอยู่ในน้ำจนถึงพระศอ ทรงนั่งอยู่บนพระแท่นตามธรรมชาติใต้น้ำ พลางคิดทบทวน เจ้าหญิงทรงวักน้ำขึ้นใส่พระพักตร์แล้วลูบพระเกศายาวสีสตรอเบอรี พระนางทอดเนตรมองผิวน้ำใสที่สะท้อนเงาท้องฟ้า มองเห็นอาทิตย์ดวงที่สองที่กำลังขึ้น เห็นหมู่ไม้โค้งเป็นซุ้มอยู่เหนือสระน้ำ และเห็นพระพักตร์ของพระนางเอง พระเนตรรูปยาวรีสีฟ้าเป็นประกายกำลังมองตอบมาจากเงาสะท้อนที่ไหวเป็นระลอก เจ้าหญิงทรงเห็นพระบิดาในสิ่งเหล่านี้ พระนางทรงเมินกลับมาแล้วคิดถึงความฝันอีกครั้ง
เจ้าหญิงเกว็นทรงรู้ดีว่าการประทับอยู่ในราชสำนักทั้งที่ยังมีผู้ลอบปลงพระชนม์พระบิดาอยู่นั้นเป็นเรื่องอันตรายสำหรับพระนาง อีกทั้งยังมีบรรดาสายลับและแผนการต่าง ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีกาเร็ธเป็นราชา เชษฐาของพระนางนั้นคาดเดาไม่ได้ ผูกพยาบาท หวาดระแวง และขี้อิจฉา เขามองว่าทุกคนเป็นภัย โดยเฉพาะพระนาง อะไรก็เกิดขึ้นได้ เจ้าหญิงทรงรู้ว่าพระนางไม่ปลอดภัย ไม่มีใครปลอดภัย
แต่เจ้าหญิงเกว็นไม่ใช่คนที่วิ่งหนี พระนางทรงต้องการรู้ให้แน่ว่าใครคือฆาตกรที่สังหารพระบิดา และหากเป็นกาเร็ธ เจ้าหญิงจะไม่ทรงหนีจนกว่าจะนำตัวเขามาสู่กระบวนการยุติธรรม ทรงรู้ว่าดวงพระวิญญาณของพระบิดายังไม่สงบจนกว่าฆาตกรจะถูกจับ ความยุติธรรมเป็นสิ่งที่พระบิดาทรงเรียกร้องมาตลอดพระชนม์ชีพ ซึ่งพระองค์เองก็ควรจะได้รับความยุติธรรมเช่นเดียวกับคนทั่วไปแม้จะสวรรคตไปแล้ว
เจ้าหญิงเกว็นทรงคิดถึงตอนที่พระนางและเจ้าชายก็อดฟรีย์ได้พบกับสเตฟเฟนขึ้นมาอีก พระนางมั่นพระทัยว่าสเตฟเฟนปิดบังบางอย่างไว้ และทรงสงสัยว่ามันคืออะไร ใจหนึ่งทรงคิดว่าเขาอาจจะยอมเปิดปากเมื่อพร้อม แต่หากเขาไม่ทำเล่า? เจ้าหญิงทรงรู้สึกว่าต้องรีบหาตัวฆาตกร แต่ไม่รู้ว่าควรจะมองหาที่ไหน
เจ้าหญิงเกว็นโดลีนลุกขึ้นจากพระแท่นใต้น้ำในที่สุด พระนางเดินขึ้นฝั่งด้วยพระวรกายเปลือยเปล่า สั่นสะท้านกับอากาศในยามเช้า ทรงแอบเข้าหลังพุ่มไม้หนา แล้วเอื้อมขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวจากกิ่งไม้เช่นที่ทรงทำเสมอ
แต่เมื่อทรงเอื้อมพระหัตถ์ขึ้นไป ก็ต้องตกพระทัยที่ไม่พบผ้าเช็ดตัวอยู่ที่เดิม พระนางประทับยืนอยู่ตรงนั้น เปลือยเปล่า เปียกโชกและไม่เข้าพระทัยสิ่งที่เกิดขึ้น พระนางแน่ใจว่าทรงแขวนผ้าไว้ที่นั่นเหมือนเช่นที่เคยทำเสมอ
ขณะที่เจ้าหญิงกำลังประหลาดพระทัย สั่นสะท้านและพยายามที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ทันใดนั้นพระนางทรงรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่ด้านหลัง มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทุกอย่างดูพร่าเลือน ทันใดนั้นเจ้าหญิงทรงรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นเมื่อรู้ว่ามีชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังพระนาง
มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป ในไม่กี่วินาทีนั้นชายสวมเสื้อคลุมสีดำมีผ้าคลุมหน้าเหมือนในความฝันก็มาอยู่ด้านหลังพระนาง มันคว้าเจ้าหญิงไว้จากทางด้านหลัง ใช้มือผอมเป็นกระดูกปิดพระโอษฐ์ไว้ ปิดกั้นเสียงกรีดร้องของพระนางขณะที่มันจับพระวรกายไว้แน่น โดยใช้มืออีกข้างรัดไว้ที่บั้นพระองค์ ดึงเจ้าหญิงเข้าชิดตัวแล้วยกขึ้นพ้นจากพื้น
เจ้าหญิงทรงถีบขาอยู่ในอากาศ พยายามกรีดร้องจนมันวางพระนางลง แต่ยังคงจับไว้แน่น เจ้าหญิงพยายามดิ้นให้พ้นจากการจับกุมแต่มันแข็งแรงมากเกินไป มันยื่นมือมาและเจ้าหญิงเกว็นทรงเห็นมันถือมีดสั้นที่มีด้ามสีแดงแวววาว เหมือนที่ทรงเห็นในความฝัน มันคือคำเตือนนั่นเอง
พระนางทรงรู้สึกถึงคมมีดแนบที่พระศอ มันถือมีดจ่อแน่นจนหากพระนางขยับไปทางใด มีดก็คงจะปาดพระศอ น้ำพระเนตรไหลลงมาตามพระปรางขณะที่ทรงพยายามหายพระทัย เจ้าหญิงทรงกริ้วพระองค์เองที่ช่างโง่เขลา พระนางควรจะรอบคอบมากกว่านี้
“ทรงจำข้าได้ไหม?” มันทูลถามขึ้น
มันชะโงกหน้ามา เจ้าหญิงทรงรู้สึกถึงลมหายใจร้อนเหม็นสาบที่พระปราง และเห็นใบหน้ามัน พระหทัยของพระนางแทบหยุดเต้น เมื่อทรงเห็นว่ามันเป็นใบหน้าจากความฝัน ชายคนที่ดวงตาหายไปข้างหนึ่งและแผลเป็น
“ได้” พระนางตรัสบอกเสียงสั่น
มันเป็นใบหน้าที่ทรงรู้จักดี เจ้าหญิงไม่ทรงรู้จักชื่อของมันแต่ทรงรู้ว่ามันเป็นองครักษ์ชั้นต่ำ ที่มักจะคอยอยู่รอบตัวกาเร็ธนับตั้งแต่ยังเด็ก มันคือผู้ส่งสารของกาเร็ธ เชษฐาของพระนางจะส่งมันไปหาใครก็ตามที่ต้องการขู่ให้กลัว ทรมาน หรือต้องการสังหาร
“เจ้าเป็นสุนัขรับใช้ของพี่ชายข้า” เจ้าหญิงตรัสตอบอย่างไม่เกรงกลัว
มันยิ้มเห็นฟันหลอ
“ข้าคือผู้ส่งสารของพระองค์” มันทูล “และสารของข้ามาพร้อมกับอาวุธพิเศษที่จะช่วยให้พระนางจดจำได้ ข้อความจากพระราชาถึงเจ้าหญิงในวันนี้คือ จงหยุดถามคำถาม เป็นสารที่พระนางจะทรงจำได้ดี เพราะเมื่อข้าเสร็จสิ้นภารกิจกับพระนางแล้ว รอยแผลที่ข้าจะทิ้งไว้บนพระพักตร์งดงามของเจ้าหญิงจะทำให้ทรงจำไปตลอดพระชนม์ชีพ”
มันพ่นลมหายใจผ่านจมูกแล้วเงื้อมีดขึ้นสูงก่อนจะจ่อลงมาที่พระพักตร์
“ไม่!” เจ้าหญิงเกว็นทรงกรีดร้อง
เจ้าหญิงทรงเตรียมรับรอยกรีดที่จะเปลี่ยนชีวิตของพระนาง
แต่ขณะที่คมกรีดเคลื่อนลงมานั้น มีบางอย่างเกิดขึ้น จู่ ๆ ก็มีนกร้องเสียงแหลม บินโฉบลงมาจากท้องฟ้า พุ่งเข้าใส่ชายชุดดำ เจ้าหญิงทรงเหลือบมองและจำได้ในวินาทีสุดท้าย
เอสโตฟิลีส
มันโฉบลงมา กางกรงเล็บออกและข่วนที่ใบหน้าของชายชุดดำขณะที่กำลังลดมีดสั้นลงมา
คมมีดเพิ่งบาดเข้าที่พระปรางและสร้างความเจ็บแปลบให้เจ้าหญิง เมื่อจู่ ๆ ก็เปลี่ยนทิศทาง ชายชุดดำส่งเสียงร้อง ทิ้งมีดลงแล้วยกมือขึ้น เจ้าหญิงเกว็นทรงเห็นแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ส่องแสงอยู่หลังกิ่งไม้ และเห็นเอสโตฟิลีสบินจากไป พระนางทรงรู้ว่าพระบิดาทรงส่งเหยี่ยวตัวนี้มา
เจ้าหญิงเกว็นไม่ทรงรอช้า พระนางหมุนองค์ เอนไปด้านหลังแล้วทำเหมือนที่ครูฝึกสอนมา ทรงเตะเข้าที่ช่องท้องของชายชุดดำอย่างแรงด้วยพระบาทเปล่า เข้าเป้าอย่างเหมาะเจาะ มันทรุดตัวลงรู้สึกถึงแรงเตะจากพระเพลาของเจ้าหญิงขณะที่ฟาดเข้าใส่มันเต็มแรง เจ้าหญิงเกว็นทรงจดจำได้นับตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ว่าพระนางไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งจึงจะตอบโต้ผู้ที่เข้ามาทำร้ายได้ เพียงแต่ต้องใช้กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุด ซึ่งคือพระเพลา และเล็งให้เข้าเป้า
ขณะที่ชายชุดดำทรุดอยู่ตรงนั้น เจ้าหญิงทรงก้าวไปข้างหน้า กระชากผมมันหงายหน้าแล้วยกพระชานุขึ้น เล็งเป้าให้แม่นยำอีกครั้ง แล้วกระแทกเข้าที่สันจมูกมันอย่างเหมาะเหม็ง
Ücretsiz ön izlemeyi tamamladınız.