Kitabı oku: «หน้าที่ของผู้กล้า », sayfa 2
บทที่ สาม
อีเร็คนั่งอยู่ท่ามกลางอัศวินในหอแห่งอาวุธของท่านดยุคด้านในปราสาท ปลอดภัยอยู่ภายในกำแพงเมืองซาวาเรีย ทุกคนต่างมีบาดแผลและบอบช้ำจากการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดพวกนั้น แบรนด์ทเพื่อนของเขานั่งอยู่ด้านข้าง ยกมือกุมศีรษะเหมือนกับอีกหลายคน อารมณ์ภายในหอแห่งอาวุธเต็มไปด้วยความหม่นหมอง
อีเร็คเองก็รู้สึกเช่นนั้น กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายปวดร้าวจากการต่อสู้กับคนของลอร์ดคนนั้น และจากสัตว์ประหลาดพวกนั้นอีก เป็นช่วงเวลาที่สาหัสที่สุดช่วงหนึ่งที่เขาจำได้ ท่านดยุคสูญเสียทหารไปมากพอดู เมื่ออีเร็คใคร่ครวญดูเขาก็รู้ว่าหากไม่ใช่เพราะอลิสแตร์ เขา แบรนด์ทและคนอื่น ๆ ก็คงจะตายไปแล้ว
อีเร็ครู้สึกขอบใจนางอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้นยิ่งรักนางมากขึ้นอีก นางยังทำให้เขาลุ่มหลงมากขึ้นกว่าเดิม เขารู้มาตลอดว่านางเป็นคนพิเศษและมีอำนาจด้วยซ้ำ เหตุการณ์ในวันนี้ได้พิสูจน์ให้เขาเห็นแล้ว อีเร็ครุ่มร้อนด้วยความปรารถนาใคร่รู้มากขึ้นว่านางเป็นใคร มีความลับใดเกี่ยวกับเชื้อสายของนาง แต่เขาได้สัญญาแล้วว่าจะไม่ถาม ซึ่งเขาก็รักษาสัญญาเสมอ
อีเร็คแทบจะทนรอให้การประชุมนี้เสร็จสิ้นไม่ไหว เขาอยากจะพบนางอีกครั้ง
อัศวินของท่านดยุคนั่งอยู่ที่นี่มาหลายชั่วโมงแล้ว พักเอาแรงและพยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างถกเถียงกันว่าควรทำอย่างไรต่อไป โล่พลังสลายไปแล้ว อีเร็คยังคงพยายามคิดถึงผลที่จะตามมา มันหมายความว่าตอนนี้ซาวาเรียตกเป็นเป้าโจมตี และยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเมื่อพลนำสารต่างนำข่าวการบุกโจมตีของแอนโดรนิคัสมาไม่ขาดสาย ทั้งข่าวสิ่งที่เกิดขึ้นที่ราชสำนัก และที่ซิเลเซีย อีเร็ครู้สึกหดหู่ เขาอยากจะอยู่กับพี่น้องกองรบเงิน เพื่อร่วมกันปกป้องบ้านเมือง แต่เขาอยู่ที่ซาวาเรีย ที่ซึ่งโชคชะตาพาเขามา และที่นี่ก็ต้องการเขาด้วย เมืองของท่านดยุคและประชาชนที่นี่เป็นจุดยุทธศาสตร์ในอาณาจักรแม็คกิล และต้องการการป้องกันเช่นกัน
แต่มีรายงานใหม่หลั่งไหลมาว่าแอนโดรนิคัสส่งกองทหารกองหนึ่งมาที่นี่ เพื่อโจมตีซาวาเรีย อีเร็ครู้ว่าในไม่ช้ากองทัพนับล้านของแอนโดรนิคัสจะแผ่ขยายไปทั่วทุกมุมของอาณาจักรวงแหวน และเมื่อเสร็จเรื่องแล้ว แอนโดรนิคัสจะไม่เหลือสิ่งใดไว้ อีเร็คเคยได้ยินเรื่องราวการพิชิตของแอนโดรนิคัสมาตลอดชีวิต เขารู้ว่าบุรุษผู้นี้โหดเหี้ยมอย่างไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน หากว่ากันด้วยจำนวนแล้ว ทหารเพียงไม่กี่ร้อยคนของท่านดยุคคงจะไม่มีทางยืนหยัดต้านทานกองทัพของแอนโดรนิคัสได้ ซาวาเรียเป็นเมืองที่ถึงฆาตแล้ว
“ข้าว่าเราควรจะยอมแพ้” ที่ปรึกษาคนหนึ่งของท่านดยุคบอก นักรบชราผู้นั่งฟุบอยู่ที่โต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัวยาว
“เรามีทางเลือกอะไรเล่า?” เขากล่าวต่อ “พวกเราแค่ไม่กี่ร้อยคนต้องรับมือกับพวกมันนับล้าน”
“แต่เราอาจจะป้องกันได้ อย่างน้อยที่สุดก็รักษาเมืองไว้” อัศวินอีกคนหนึ่งพูดขึ้น
“แต่จะนานแค่ไหนเล่า?” อีกคนถามขึ้น
“นานพอที่ราชาแม็คกิลจะส่งกำลังมาช่วย หากเราต้านไว้ได้นานพอ”
“แม็คกิลสิ้นพระชนม์แล้ว” อัศวินอีกคนตอบ “ไม่มีใครมาช่วยเราหรอก”
“แต่ธิดาของพระองค์ยังอยู่” อีกคนโต้ขึ้น “ทหารของพระองค์ด้วย พวกเขาจะไม่ทิ้งพวกเราไว้ที่นี่!”
“พวกเขาเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้ว!” ทหารอีกคนประท้วง
ทุกคนต่างพึมพำกันด้วยความกระวนกระวายใจ ทุ่มเถียงกัน ตะโกนคุยกันไปมารอบวง
อีเร็คนั่งดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยความรู้สึกหม่นหมอง พลนำสารมาถึงเมื่อหลายชั่วโมงก่อน และนำข่าวร้ายเกี่ยวกับการบุกของแอนโดรนิคัสมา สำหรับอีเร็คแล้ว เขาเพิ่งได้รู้ข่าวร้ายยิ่งกว่านั้น ราชาแม็คกิลถูกลอบปลงพระชนม์ อีเร็คไปไกลจากราชสำนักนานมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับข่าวนี้ เมื่อได้รู้ข่าว เขารู้สึกเหมือนถูกมีดแทงเข้าที่หัวใจ เขารักราชาแม็คกิลดดุจบิดา และความรู้สึกสูญเสียนี้ทำให้เขารู้สึกว่างเปล่าจนเกินจะบรรยาย
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เมื่อท่านดยุคกระแอม และสายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เขา
“เราสามารถปกป้องเมืองของเราจากการโจมตี” ท่านดยุคบอกช้า ๆ “ด้วยฝีมือของพวกเราและกำแพงเมืองอันแข็งแกร่ง พวกเราสามารถต้านกองทัพที่ใหญ่กว่าเราห้าเท่าได้ อาจจะถึงสิบเท่าด้วยซ้ำ และเรามีเสบียงพอที่จะอยู่ได้หลายอาทิตย์ หากรับมือกับกองทัพทั่วไป พวกเราก็อาจจะชนะได้”
เขาถอนหายใจ
“แต่พวกจักรวรรดิไม่ใช่กองทัพทั่วไป” เขากล่าวต่อ “พวกเราไม่สามารถรับมือกองทหารนับล้านได้ มันเปล่าประโยชน์”
เขาหยุด
“แต่การยอมแพ้ก็เช่นกัน พวกเราต่างรู้ดีว่าแอนโดรนิคัสทำเช่นไรกับคนที่มันจับได้ สำหรับข้าแล้วอย่างไรพวกเราก็ต้องตายอยู่ดี คำถามคือเราจะยืนตายบนสองเท้านี้หรือนอนตาย สำหรับข้า ขอยืนหยัดสู้จนตัวตาย!”
เกิดเสียงโห่ร้องอย่างเห็นด้วยขึ้นทั่วห้อง อีเร็คเองก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว” ท่านดยุคกล่าวต่อ “พวกเราจะปกป้องซาวาเรีย จะไม่ยอมแพ้ พวกเราอาจจะต้องตาย แต่เราจะตายด้วยกัน”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เมื่อต่างหันไปพยักหน้าให้แก่กันอย่างเคร่งเครียด ดูเหมือนทุกคนกำลังพยายามหาคำตอบอื่น
“มีอีกทางหนึ่ง” อีเร็คบอกเสียงดังในที่สุด
เขารู้สึกว่าทุกคนจับจ้องมองมาที่เขา
ท่านดยุคพยักหน้า ให้เขาพูดต่อ
“เราสามารถโจมตีได้” อีเร็คกล่าว
“โจมตีหรือ?” ทหารหลายคนตะโกนขึ้นด้วยความประหลาดใจ “พวกเรามีกันแค่ไม่กี่ร้อยคน จะโจมตีทหารนับล้านคนได้อย่างไร? อีเร็ค ข้ารู้ว่าท่านกล้าหาญ แต่นี่ท่านเป็นบ้าหรืออย่างไร?”
อีเร็คส่ายศีรษะอย่างจริงจังที่สุด
“สิ่งที่ท่านไม่ได้พิจารณาคือทหารของแอนโดรนิคัสไม่คาดคิดว่าจะถูกโจมตี พวกเราได้เปรียบในเรื่องของการไม่ทันตั้งตัว เช่นที่ท่านกล่าว การนั่งอยู่ที่นี่ คอยตั้งรับ พวกเราก็ต้องตายแน่ แต่หากเราโจมตี เราจะสามารถจัดการพวกมันได้เป็นจำนวนมาก ที่สำคัญที่สุด หากเราโจมตีอย่างถูกวิธี และถูกที่ เราอาจจะทำได้มากกว่าการต้านพวกมันไว้ เราอาจจะชนะก็ได้”
“ชนะหรือ?!” ทุกคนร้องออกมา พลางมองอีเร็คด้วยความงุนงงอย่างเต็มที่
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” ท่านดยุคถาม
“แอนโดรนิคัสคงจะคิดว่าพวกเรารออยู่ที่นี่ เตรียมป้องกันเมืองของเรา” อีเร็คอธิบาย “ทหารของมันคงไม่คาดคิดว่าพวกเราจะตั้งมั่นอยู่ที่ช่องแคบตรงไหนสักแห่งนอกประตูเมือง ภายในเมืองนี้ พวกเราได้เปรียบจากความแข็งแกร่งของกำแพงเมือง แต่ข้างนอกนั่น พวกเราได้เปรียบจากการที่พวกมันไม่ทันตั้งตัว และความประหลาดใจนั้นดีกว่าพละกำลังอย่างมาก หากเรายึดทำเลช่องแคบตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง เราจะสามารถบีบพวกมันเข้ามาที่จุดเดียว และสามารถโจมตีได้จากตรงนั้น ข้าหมายถึงหุบเขาตะวันออก”
“หุบเขาตะวันออกหรือ?” ทหารคนหนึ่งถามขึ้น
อีเร็คพยักหน้า
“มันเป็นช่องแคบลึกที่อยู่ระหว่างหน้าผาสองด้าน เป็นทางเดียวที่จะผ่านภูเขาโควาเนีย ห่างจากที่นี่ระยะขี่ม้าหนึ่งวัน หากทหารของแอนโดรนิคัสมาหาพวกเรา เส้นทางตัดตรงที่สุดก็จะต้องผ่านหุบเขาตะวันออกนี้ ไม่เช่นนั้นพวกมันจะต้องปีนข้ามภูเขามา ถนนจากภาคเหนือแคบและเละเทะเกินไปในช่วงเวลานี้ของปี พวกมันจะต้องเสียเวลาหลายอาทิตย์ และจากภาคใต้พวกมันจะต้องฝ่าผ่านแม่น้ำฟยอร์ดมา
ท่านดยุคมองอีเร็คอย่างชื่นชม และลูบเคราพลางครุ่นคิด
"เจ้าอาจจะพูดถูก แอนโดรนิคัสอาจจะนำทหารผ่านมาทางหุบเขาตะวันออก สำหรับกองทัพอื่น มันอาจจะเป็นการกระทำที่อหังการมาก แต่สำหรับแอนโดรนิคัสกับกองทหารนับล้านคน เขาอาจจะแค่ทำมันง่าย ๆ"
อีเร็คพยักหน้า
"หากเราสามารถไปถึงที่นั่นได้ ถ้าเราสามารถไปถึงได้ก่อน เราจะทำให้พวกมันประหลาดใจ แล้วซุ่มโจมตี พวกมัน ภูมิประเทศตรงนั้น คนน้อยจะสามารถต้านคนหลายพันได้"
ทุกคนมองดูอีเร็คด้วยสีหน้าเหมือนมีความหวังและรู้สึกเกรงขาม ขณะที่ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสนิท
“เป็นแผนที่ดี เพื่อนข้า” ท่านดยุคบอก “แต่ก็นั้นล่ะ ท่านเป็นนักรบที่กล้าหาญ เหมือนเช่นที่เป็นมาเสมอ” ท่านดยุคโบกมือเรียกมหาดเล็ก “เอาแผนที่มาให้ข้า!”
เด็กชายวิ่งออกไปจากห้องแล้วกลับมาทางอีกประตูหนึ่งพร้อมกับถือม้วนหนังผืนใหญ่ เขาคลี่มันออกบนโต๊ะ ทหารต่างเข้ามารุมล้อม ศึกษาดูแผนที่
อีเร็คยื่นมือไปชี้ที่ซาวาเรียบนแผนที่ และใช้นิ้วลากเป็นทางไปทางทิศตะวันออก หยุดลงที่หุบเขาตะวันออก ช่องเขาแคบที่อยู่ระหว่างภูเขาที่ไกลสุดลูกหูลูกตา
“เป็นชัยภูมิที่เหมาะสม” ทหารคนหนึ่งบอก
คนอื่น ๆ พยักหน้ารับ พลางลูบเครา
“ข้าเคยได้ยินเรื่องคนไม่กี่สิบคนรับมือกับทหารหลายพันที่หุบเขานั่น” ทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“มันเป็นตำนานพื้นบ้าน” ทหารอีกคนเอ่ยถากกาง “ถูกล่ะ เราจะได้เปรียบเรื่องการไม่ทันตั้งตัว แต่อย่างไรอีกเล่า? เราจะไม่มีกำแพงเมืองคอยปกป้องอยู่นะ”
“แต่เรามีกำแพงตามธรรมชาติคอยปกป้อง” ทหารอีกคนกล่าวโต้ “ภูเขาพวกนั้นไง หน้าผาหินสูงหลายร้อยฟุตพวกนั้นน่ะ”
“ไม่มีสิ่งใดปลอดภัยหรอก” อีเร็คกล่าวเสริม “ตามที่ท่านดยุคบอก พวกเราจะตายที่นี่ หรือจะตายข้างนอกนั่น ข้าว่าพวกเราควรจะไปตายข้างนอกนั่น ชัยชนะเชิดชูคนกล้า”
ในที่สุดท่านดยุคก็พยักหน้า หลังจากที่ลูบเคราอยู่นาน ก่อนจะม้วนแผนที่เก็บ
“เตรียมอาวุธของพวกเจ้า!” เขาตะโกนบอก “เราจะออกเดินทางคืนนี้!”
*
อีเร็คแต่งชุดเกราะเต็มยศอีกครั้ง ดาบของเขาแกว่งอยู่ข้าวเอว ขณะที่เดินไปตามทางเดินในปราสาทของท่านดยุค มุ่งหน้าไปในทิศตรงข้ามกับคนอื่น ๆ เขามีงานสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำก่อนจะจากไปเพื่อทำศึกที่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขา
เขาต้องไปพบอลิสแตร์
นับตั้งแต่พวกเขากลับมาจากการรบ อลิสแตร์คอยอยู่ในปราสาท อยู่ในห้องที่สุดโถงทางเดินของนาง คอยให้อีเร็คมาหา นางรอคอยการได้พบกันอย่างมีความสุข อีเร็ครู้สึกใจหายเมื่อรู้ว่าเขาจะต้องบอกข่าวร้ายแก่นาง ว่าเขาจะต้องจากไปอีกครั้ง แต่เขาก็รู้สึกสุขสงบเมื่อรู้ว่าอย่างน้อยที่สุดนางจะปลอดภัยอยู่ที่นี่ ภายในกำแพงปราสาทเหล่านี้ เขารู้สึกมุ่งมั่นมากขึ้นที่จะให้นางปลอดภัย พ้นจากพวกจักรวรรดิ ใจเขาปวดร้าวเมื่อคิดว่าจะต้องจากนางไป เขาไมอยากได้สิ่งใดนอกจากการได้อยู่กับนางนับตั้งแต่ปฏิญาณที่จะแต่งงานกัน แต่มันดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ขณะที่อีเร็คเลี้ยวที่หัวมุม เดือยรองเท้าของเขาส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง รองเท้าบู้ทของเขาส่งเสียงสะท้อนไปทั่วโถงทางเดินที่ว่างเปล่าในปราสาท เขาเตรียมพร้อมที่จะกล่าวคำอำลา ซึ่งเขารู้ว่าคงจะเจ็บปวด ในที่สุดเขาก็ไปถึงประตูไม้โอ้คบานโค้งเก่าแก่ แล้วใช้ปลอกแขนเคาะเบา ๆ
มีเสียงฝีเท้าเดินข้ามห้องมา ครู่ต่อมาประตูก็เปิดออก อีเร็คใจพองฟูเช่นทุกครั้งที่ได้เห็นอลิสแตร์ นางยืนอยู่ที่ช่องประตู ผมสีทองยาวสยายและดวงตาคู่โตแจ่มใสกำลังจ้องมองมาที่เขาราวกับเป็นภาพฝัน นางดูงดงามมากขึ้นทุกครั้งที่เขาได้เห็นนาง
อีเร็คก้าวไปด้านในและสวมกอดนางไว้ อลิสแตร์กอดตอบ นางกอดเขาแน่นนิ่งนาน ไม่อยากจะผละออก เขาเองก็เช่นกัน เขาอยากจะปิดประตูแล้วอยู่ที่นี่กับนางให้นานเท่าที่จะทำได้ยิ่งกว่าสิ่งใด แต่มันก็ไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้
ความอบอุ่นและความรู้สึกจากตัวนางทำให้ทุกอย่างในโลกดูถูกที่ถูกทาง จนเขาไม่อยากจะผละออก ในที่สุดอีเร็คก็ผละออกแล้วจ้องมองเข้าไปในดวงตาแวววาวของนาง นางมองดูชุดเกราะ และอาวุธของเขา แล้วหน้าหมองลงเมื่อรู้ว่าเขากำลังจะจากไป
“ท่านจะจากไปอีกแล้วหรือ ใต้เท้า?” นางถาม
อีเร็คผงกศีรษะ
“มันใช่ด้วยความปรารถนาของข้า แม่หญิง” เขาตอบ “กองทัพจักรวรรดิกำลังใกล้เข้ามา หากข้าอยู่ที่นี่ เราจะต้องตายกันหมด”
“แล้วถ้าท่านจากไปเล่า?” นางถาม
“ข้าก็คงจะตายอยู่ดี” เขายอมรับ “แต่อย่างน้อยมันก็จะทำให้พวกเราทุกคนมีโอกาส แม้จะเพียงน้อยนิด แต่ก็ยังมีโอกาส”
อลิสแตร์หันหลังแล้วเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปยังสนามของท่านดยุคท่ามกลางดวงอาทิตย์ที่กำลังตก ใบหน้าของนางอาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์อ่อน ๆ อีเร็คมองเห็นความเศร้าฉายชัดอยู่บนใบหน้าเมื่อเดินเข้าไปหาแล้วปัดพวงผมที่ระต้นคอนางอย่างทะนุถนอม
“อย่าเศร้าไปเลย แม่หญิงของข้า” เขาบอก “หากข้ารอดชีวิตมาได้ ข้าจะกลับมาหาเจ้า แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งตลอดไป และปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งปวง และในที่สุดเราก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน”
นางส่ายหน้าอย่างเศร้าสร้อย
“ข้ากลัว” นางบอก
“กลัวกองทัพที่กำลังมาอย่างนั้นหรือ?” เขาถาม
“มิได้” นางตอบพลางหันมาหาเขา “กลัวท่าน
อีเร็คมองนางอย่างงุนงง
“ข้ากลัวว่าท่านจะมองข้าไม่เหมือนเดิม” นางตอบ “ตั้งแต่ที่ท่านได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสนามรบนั่น”
อีเร็คส่ายศีรษะ
“ข้าไม่ได้คิดกับเจ้าเป็นอย่างอื่นเลย” เขาบอก “เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ และข้ารู้สึกซาบซึ้งใจ”
นางส่ายหน้า
“แต่ท่านยังได้เห็นอีกด้านหนึ่งของข้าด้วย” นางบอก “ท่านได้เห็นว่าข้าไม่ปกติ ข้าไม่เหมือนคนอื่น ข้ามีพลังในตัวที่ข้าไม่เข้าใจ และตอนนี้ข้าก็กลัวว่าท่านจะคิดว่าข้าเป็นสัตว์ประหลาด เป็นสตรีที่ท่านไม่ต้องการได้เป็นภรรยาอีกแล้ว”
อีเร็คปวดร้าวกับคำพูดของนาง เขาก้าวเข้ามาหา กุมมือนางไว้อย่างขึงขัง แล้วมองสบตานางอย่างจริงจังที่สุด
“อลิสแตร์” เขาเอ่ย “ข้ารักเจ้าด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าเป็น ไม่เคยมีสตรีคนใดที่ข้าจะรักยิ่งไปกว่าเจ้า และจะไม่มีด้วย ข้ารักทุกอย่างที่เจ้าเป็น ข้าไม่เห็นว่าเจ้าแตกต่างจากคนอื่น ๆ ไม่ว่าเจ้าจะมีพลังอำนาจใด หรือเจ้าจะเป็นใครก็ตาม และถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจ แต่ข้าก็ยอมรับทุกอย่างได้ ข้าพอใจกับทุกสิ่งแล้ว ข้าสัญญาว่าจะไม่สอดรู้ ข้าก็จะรักษาสัญญา ข้าจะไม่ถามเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าก็ยอมรับเจ้า”
นางจ้องมองเขานิ่งนาน ก่อนจะค่อย ๆ แย้มยิ้มออกมา ดวงตาคลอคลองด้วยหยาดน้ำตาแห่งความโล่งอกและยินดี นางสวมกอดเขาแน่นด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่นางมี
นางกระซิบข้างหูเขา “กลับมาหาข้านะ”
บทที่ สี่
ราชากาเร็ธประทับอยู่ที่ปากถ้ำ ทอดพระเนตรมองดวงอาทิตย์ตกและรอคอย พระองค์ทรงเลียริมพระโอษฐ์ที่แห้งผากและพยายามตั้งพระสติ ฤทธิ์ของฝิ่นค่อยจางไปในที่สุด พระองค์ทรงเวียนพระเศียร และไม่ได้เสวยอาหารและน้ำมาหลายวันแล้ว ราชากาเร็ธทรงคิดถึงตอนที่พระองค์แอบหนีออกมาจากปราสาท ทรงเสด็จหนีมาตามเส้นทางลับด้านหลังเตาผิง ก่อนที่ลอร์ดคัลตินจะทันลอบโจมตีพระองค์ ราชาทรงแย้มสรวล ลอร์ดคัลตินอาจจะฉลาด แต่ราชากาเร็ธทรงฉลาดกว่า เขาประเมินพระองค์ต่ำไปเหมือนกับคนอื่น ๆ เขาไม่รู้ว่าพระองค์ทรงมีสายลับอยู่ทุกหนทุกแห่ง และทรงรู้แผนการของเขาเกือบจะทันที
ราชากาเร็ธทรงหนีมาได้ทันเวลา ก่อนที่คัลตินจะโจมตีพระองค์ และก่อนที่แอนโดรนิคัสจะบุกมาถึงราชสำนักและทำลายมันลงจนราบคาบ ลอร์ดคัลตินได้ช่วยพระองค์ไว้แท้ ๆ
ราชากาเร็ธทรงใช้เส้นทางลับโบราณที่คดเคี้ยวอยู่ใต้พื้นดิน และมาถึงเขตชนบทในที่สุด พระองค์ทรงโผล่ขึ้นมาที่หมู่บ้านที่ห่างไกลจากราชสำนักหลายไมล์ พระองค์ทรงโผล่ขึ้นมาใกล้กับถ้ำแห่งนี้และทรงสลบไสลไปเมื่อมาถึง ราชากาเร็ธบรรทมตลอดทั้งวัน พระองค์ทรงขดตัวและสั่นสะท้านอยู่ในอากาศหนาวที่ไม่ปราณี ทรงนึกอยากให้พระองค์ทรงฉลองพระองค์มาหลายชั้นกว่านี้
ราชากาเร็ธทรงตื่นบรรทมและหมอบแอบดูหมู่บ้านชาวนาเล็ก ๆ ที่เห็นอยู่ไกล ๆ มีกระท่อมอยู่เพียงไม่กี่หลัง ควันไฟลอยขึ้นจากปล่องไฟ มีทหารของแอนโดรนิคัสเดินตรวจตราอยู่ทั่วหมู่บ้านและเขตชนบท พระองค์ทรงอดทนรอจนพวกมันกระจายกันไป ราชาทรงปวดท้องด้วยความหิว พระองค์ทรงรู้ว่าจะต้องเสด็จไปให้ถึงกระท่อมสักหลังหนึ่งในหมู่บ้าน ทรงได้กลิ่นอาหารแม้จากตรงนี้
ราชากาเร็ธทรงรีบวิ่งออกจากถ้ำ พลางทอดพระเนตรดูทุกทาง พระองค์ทรงหอบแรงและลนลานด้วยความกลัว พระองค์ไม่ได้ทรงวิ่งมาหลายปีแล้ว และต้องอ้าพระโอษฐ์หายพระทัยจากการวิ่ง มันทำให้ทรงรู้ว่าพระองค์ทรงผอมห้องแรงน้อยเพียงใด บาดแผลที่พระเศียรจากการถูกพระมารดาฟาดด้วยรูปปั้นยังปวดตุบ หากพระองค์ทรงรอดไปได้ ทรงสาบานว่าจะสังหารพระนางด้วยพระองค์เอง
ราชาทรงวิ่งเข้าไปในเมือง และโชคดีไม่ถูกทหารจักรวรรดิสองสามคนที่ยืนหันหลังให้หันมาพบ พระองค์ทรงวิ่งเร็วเข้าไปในกระท่อมหลังแรกที่ทรงเห็น เป็นกระท่อมห้องเดียวธรรมดา ๆ เหมือนหลังอื่น ๆ มีแสงไฟอบอุ่นส่องออกมาจากด้านใน ราชากาเร็ธทรงเห็นเด็กหญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพระองค์ กำลังเดินเข้าประตูมาพร้อมกับถือจานใส่เนื้อพูนจาน แย้มยิ้มกับเด็กหญิงที่อายุน้อยกว่า อาจจะเป็นน้องสาวของนาง อายุราวสิบปี พระองค์ทรงตัดสินพระทัยเลือกที่นี่
ราชากาเร็ธทรงวิ่งพรวดผ่านประตูเข้าไปพร้อมกับพวกนาง แล้วปิดประตูตามหลัง ก่อนจะคว้าตัวเด็กหญิงคนน้องไว้จากด้านหลัง ใช้พระพาหารัดลำคอนางไว้ เด็กหญิงกรีดร้องออกมา ขณะที่พี่สาวทำจานใส่อาหารหลุดมือ ราชากาเร็ธทรงดึงมีดจากเอวแล้วจ่อที่ลำคอของเด็กหญิง
นางส่งเสียงร้องพลางร้องไห้
“พ่อ!”
ราชากาเร็ธทอดพระเนตรดูภายในกระท่อมน่าสบาย แสงเทียนอาบไล้ไปทั่ว กลิ่นอาหารโชยไปทั่ว และทรงเห็นผู้เป็นบิดามารดายืนอยู่ข้างเด็กหญิงทั้งสอง ใกล้กับโต๊ะอาหาร กำลังมองมาที่พระองค์ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัว
“ถอยไป แล้วข้าจะไม่ฆ่านาง!” ราชากาเร็ธทรงตะโกนบอกอย่างสิ้นหวัง ถอยห่างจากพวกเขา พลางจับตัวเด็กหญิงไว้แน่น
“ท่านเป็นใคร?” เด็กหญิงวัยรุ่นร้องถามขึ้น “ข้าชื่อซาร์คา น้องสาวข้าชื่อลาร์คา พวกเราเป็นครอบครัวรักสงบ ท่านต้องการอะไรจากน้องสาวข้า? ปล่อยนางไปเถิด!”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร” ผู้เป็นบิดาหรี่ตามองอย่างไม่ชอบใจ “เจ้าเป็นอดีตราชา บุตรของแม็คกิล”
“ข้ายังเป็นราชาอยู่” ราชากาเร็ธตะโกน “แล้วเจ้าก็เป็นประชาชนของข้า เจ้าต้องทำตามที่ข้าสั่ง!”
คนเป็นบิดาทำหน้าบึ้ง
“ถ้าเจ้าเป็นราชา แล้วไหนล่ะกองทัพของเจ้า?” เขาถาม “และหากเจ้าเป็นราชา เหตุใดถึงมาใช้พระแสงนั่นจับตัวเด็กหญิงไร้เดียงสาเป็นตัวประกันเล่า? บางทีนั่นอาจจะเป็นพระแสงเล่มเดียวกับที่เจ้าใช้สังหารบิดาของตัวเองก็เป็นได้?” เขาเย้ยหยัน “ข้าได้ยินได้ฟังข่าวลือมาบ้าง”
“เจ้าสักแต่มีปาก” ราชากาเร็ธตรัส “พล่ามไปเรื่อย ๆ ข้าจะได้ฆ่าลูกสาวเจ้าเสีย”
ผู้เป็นบิดากลืนน้ำลาย ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัว ก่อนจะหุบปากเงียบ
“เจ้าต้องการอะไรจากพวกเรา?” ผู้เป็นมารดาร้องถามขึ้น
“อาหาร” ราชากาเร็ธตรัส “และที่พัก หากพวกเจ้าบอกให้พวกทหารรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ ข้าสัญญาเลยว่าจะฆ่านางเสีย อย่าตุกติก เข้าใจไหม? หากเจ้ายอมให้ข้าอยู่ นางก็จะรอด ข้าจะนอนค้างที่นี่ เจ้า ซาร์คา เอาจานเนื้อมาให้ข้า ส่วนเจ้าเติมเชื้อไฟ แล้วไปหาเสื้อคลุมมาคลุมไหล่ให้ข้า ไปช้า ๆ นะ” พระองค์ทรงเตือน
ราชากาเร็ธทรงมองดูคนบิดาพยักหน้าให้คนที่เป็นมารดา ซาร์คาหยิบเนื้อคืนใส่จาน ขณะที่มารดาเดินเข้ามาใกล้พร้อมด้วยเสื้อคลุมตัวหนาและคลุมให้ที่พระอังสา ราชากาเร็ธยังทรงสั่นสะท้าน พระองค์ค่อย ๆ ถอยไปหาเตาผิงช้า ๆ เปลวไฟที่ปะทุอยู่ด้านหลังให้ความอบอุ่น ขณะที่พระองค์ประทับนั่งลงบนพื้นข้างเตาผิง พลางจับตัวลาร์คาที่ยังคงร้องไห้ไว้แน่น ซาร์คาเดินเข้ามาพร้อมกับจานอาหาร
“วางลงบนพื้นข้างข้า!” ราชากาเร็ธตรัสสั่ง “ช้า ๆ”
ซาร์คานิ่วหน้าทำตาม พลางมองดูน้องสาวด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะกระแทกจานลงบนพื้นข้างพระองค์
กลิ่นอาหารดึงดูดราชากาเร็ธ พระองค์ทรงใช้พระหัตถ์ข้างที่ว่างหยิบเนื้อชิ้นใหญ่ อีกข้างยังถือพระแสงมีดสั้นจ่อที่ลำคอของลาร์คา พระองค์ทรงเคี้ยว พลางหลับพระเนตร เอร็ดอร่อยกับทุกคำ พระองค์ทรงเคี้ยวเร็วจนกลืนไม่ทัน ชิ้นเนื้อห้อยจากพระโอษฐ์
“เอาไวน์มา!” พระองค์ตะโกนสั่ง
คนที่เป็นมารดาส่งถุงไวน์ให้พระองค์ ซึ่งราชากาเร็ธทรงบีบมันใส่พระโอษฐ์ที่มีอาหารเต็ม เพื่อไล่อาหารลงพระศอไป พระองค์ทรงหายพระทัยลึก เคี้ยวและดื่ม เริ่มรู้สึกเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง
“ตอนนี้ก็ปล่อยนางได้แล้ว!” ผู้เป็นบิดาบอก
“ไม่มีทาง” ราชากาเร็ธตรัส “ข้าจะนอนที่นี่ โดยกอดนางไว้แบบนี้ นางจะปลอดภัย ตราบเท่าที่ข้าปลอดภัย เจ้าอยากจะเป็นวีรบุรุษไหมล่ะ? หรือเจ้าอยากให้ลูกสาวมีชีวิต?”
ทั้งครอบครัวหันมองหน้ากัน ลังเลและพูดไม่ออก
“ข้าขอถามท่านอย่างหนึ่ง?” ซาร์คาเอ่ยถาม “หากท่านเป็นราชาที่ดี ทำไมถึงทำกับประชาชนของท่านแบบนี้?”
ราชากาเร็ธทอดพระเนตรมองนางด้วยความสงสัย ก่อนจะเอนองค์แล้วทรงพระสรวลออกมา
“ใครบอกกันเล่าว่าข้าเป็นราชาที่ดี?”
บทที่ ห้า
ราชินีเกว็นโดลีนทรงลืมพระเนตรขึ้น รู้สึกว่าโลกเคลื่อนที่อยู่รอบพระนาง ทรงพยายามนึกว่ากำลังอยู่ที่ใด พระนางทรงเห็นประตูหินโค้งสีแดงบานใหญ่ของซิเลเซียเคลื่อนผ่านไป ทรงเห็นทหารจักรวรรดิกำลังมองดูพระนางด้วยความประหลาดใจ ราชินีทรงเห็นสเตฟเฟนเดินอยู่ข้าง ๆ และเห็นท้องฟ้าขยับเคลื่อนที่ขึ้นลง พระนางทรงรู้แล้วว่ากำลังถูกอุ้มอยู่ ทรงอยู่ในอ้อมแขนของใครคนหนึ่ง
พระนางทรงยื่นศอขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เป็นประกายกล้าของอาร์กอน ราชินีเกว็นโดลีนทรงรู้แล้วว่าอาร์กอนกำลังอุ้มพระนางอยู่ และมีสเตฟเฟนเดินอยู่ด้านข้าง พวกเขาทั้งสามกำลังเดินผ่านประตูเมืองซิเลเซีย ผ่านทหารจักรวรรดิหลายพันคนที่แหวกเปิดทางให้พวกเขา แล้วยืนมองนิ่ง มีแสงสีขาวเรืองรองล้อมทั้งสามไว้ ราชินีเกว็นโดลีนทรงรู้สึกถึงพลังงานแรงกล้าที่ช่วยปกป้องอยู่ในอ้อมแขนของอาร์กอน พระนางทรงรู้ว่าเขาร่ายมนตร์บางอย่างเพื่อกันทหารพวกนั้นให้อยู่ห่าง
ราชินีเกว็นทรงรู้สึกสบาย และปลอดภัยในอ้อมแขนของอาร์กอน กล้ามเนื้อทุกมัดในพระวรกายปวดร้าว พระนางทรงอ่อนล้า และทรงไม่รู้ว่าหากลองเดินจะสามารถเดินได้หรือไม่ ทรงกระพริบพระเนตรขณะที่ทุกคนเดินไป พระนางทรงเห็นโลกเคลื่อนผ่านไปส่วนเล็กส่วนน้อย ทรงเห็นกำแพงพังทลาย เชิงเทินถล่ม บ้านเรือนถูกเผา ซากปรักหักพัง พระนางทรงเห็นว่าทุกคนกำลังเดินผ่านลาน และไปถึงประตูที่อยู่ไกลสุด ที่ขอบเหวของหุบเขาใหญ่ ทหารจักรวรรดิเปิดทางให้พวกเขาผ่านประตูนี้เข้าไปด้วย
ทุกคนมาถึงขอบเหว บริเวณลานที่เต็มไปด้วยแท่งเหล็กแหลม และเมื่ออาร์กอนเดินมาถึง มันก็เคลื่อนต่ำลง พาพวกเขากลับลงไปยังเขตเมืองต่ำของซิเลเซีย
เมื่อทุกคนเข้าไปในเขตเมืองต่ำ ราชินีเกว็นโดลีนทรงเห็นใบหน้ามากมายที่แสดงความกังวล ใบหน้าใจดีของชาวซิเลเซียกำลังมองดูพระนางผ่านพวกเขาไปเหมือนขบวนแห่ ทุกคนมองมาด้วยความประหลาดใจและเป็นห่วง ขณะที่พระนางถูกพาลงไปยังจัตุรัสกลางเมือง
เมื่อไปถึง ประชาชนหลายร้อยคนห้อมล้อมพวกเขาอยู่ที่นั่น ราชินีทรงเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย เจ้าชายเคนดริค สร็อก เจ้าชายก็อดฟรีย์ บรอม คอล์ค แอ็ทมี ทหารกองรบเงินและกองยุวชนที่พระนางทรงจำได้ พวกเขาล้อมกันอยู่รอบ ๆ สีหน้าแสดงความเสียใจฉายอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า ขณะที่สายหมอกม้วนตัวมาจากหุบเขาใหญ่ และสายลมเย็นพัดมาปะทะพระนาง ราชินีทรงหลับพระเนตร ทรงอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างนี้หายไป พระนางทรงรู้สึกราวกับตัวเองเป็นของที่นำมาแสดง รู้สึกต้อยต่ำและอับอาย และพระนางทรงรู้สึกว่าได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง
พวกเขายังเดินกันต่อไป ผ่านผู้คนเหล่านี้ไปยังตรอกแคบ ๆ ของเขตเมืองต่ำ ผ่านประตูโค้งอีกแห่ง และในที่สุดก็ไปถึงปราสาทเล็ก ๆ ของเขตเมืองต่ำ ราชินีเกว็นทรงสะลืมสะลือเมื่อพวกเขาเข้าไปในปราสาทสีแดงงดงาม ขึ้นบันไดและเดินไปตามโถงทางเดินยาว ก่อนจะผ่านประตูโค้งอีกแห่ง ในที่สุดก็ไปถึงประตูบานเล็กที่เปิดออกให้พวกเขาเข้าไปด้านใน
ภายในห้องมีแสงสลัว มันเป็นห้องบรรทมขนาดใหญ่ มีเตียงสี่เสาแบบโบราณตั้งอยู่ตรงกลาง เสียงไฟปะทุอยู่ในเตาผิงหินอ่อนที่อยู่ไม่ห่าง นางข้าหลวงหลายคนยืนรออยู่ในห้อง ราชินีเกว็นโดลีนทรงรู้สึกว่าอาร์กอนพาพระนางไปที่พระแท่นบรรทม แล้ววางลงอย่างทนุถนอม ก่อนที่คนมากมายจะห้อมล้อมเข้ามามองดูพระนางอย่างเป็นห่วง
อาร์กอนถอยห่างไป เขาก้าวถอยหลังแล้วหายไปท่ามกลางผู้คน ราชินีทรงมองหาเขา พระนางกระพริบพระเนตรหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบเขาอีก เขาจากไปแล้ว พลังงานที่ปกป้องก็หายไปด้วย มันโอบล้อมพระนางไว้ราวกับโล่ ราชินีเกว็นทรงรู้สึกหนาวและขาดผู้คุ้มครอง เมื่อไม่มีเขาอยู่ใกล้
ราชินีเกว็นทรงเลียพระโอษฐ์ที่แห้งแตก ครู่ต่อมาพระนางทรงรู้สึกว่ามีคนยกพระเศียรขึ้น แล้วสอดพระเขนยเข้ามาให้ มีผู้นำเหยือกน้ำมาจ่อที่พระโอษฐ์ พระนางทรงดื่มไม่หยุด และรู้ตัวว่าทรงกระหายเพียงใด เมื่อทรงเงยพระพักตร์ขึ้นก็เห็นสตรีนางหนึ่งซึ่งพระนางทรงรู้จักดี
อิลเลพรา หมอหลวง นางกำลังมองลงมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนโยนแสดงความเป็นห่วง นางป้อนน้ำ แล้วนำผ้าอุ่น ๆ มาเช็ดพระนลาฏ ปัดพระเกศาให้พ้นจากพระพักตร์ แล้ววางฝ่ามือลงที่พระนลาฏ ราชินีเกว็นทรงรู้สึกถึงพลังเยียวยาแผ่ซ่านมา พระนางรู้สึกว่าพระเนตรเริ่มหนักขึ้น และในไม่ช้าก็ทรงหลับไปโดยไม่รู้สึกตัว
*
ราชินีเกว็นโดลีนทรงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด เมื่อพระนางทรงลืมพระเนตรขึ้นอีกครั้ง พระนางยังคงอ่อนล้าและสับสน ในความฝันพระนางได้ยินเสียงหนึ่ง และตอนนี้ก็ทรงได้ยินมันอีกครั้ง
“เกว็นโดลีน” เสียงนั้นดังขึ้น พระนางได้ยินมันก้องอยู่ในพระหทัย และสงสัยว่าเขาเรียกพระนางมาแล้วกี่ครั้ง
ราชินีทรงลืมพระเนตรขึ้นมองและเห็นเจ้าชายเคนดริคกำลังมองดูพระนาง มีเจ้าชายก็อดฟรีย์ประทับอยู่ด้านข้าง พร้อมด้วยสร็อก บรอม คอล์ค และคนอื่น ๆ สเตฟเฟนยืนอยู่อีกข้าง พระนางไม่ชอบสีหน้าของพวกเขา ทุกคนมองดูพระนางราวกับเป็นสิ่งที่น่าเวทนา ราวกับพระนางเพิ่งฟื้นจากความตาย
“น้องข้า” เจ้าชายเคนดริคตรัสพลางแย้มสรวล พระนางทรงรู้สึกถึงความกังวลในน้ำเสียงของเชษฐา “บอกพวกเราว่าเกิดอะไรขึ้น”
ราชินีเกว็นส่ายพระเศียร ทรงอ่อนล้าเกินกว่าจะเล่าสิ่งใด
“แอนโดนิคัส” พระนางตรัส พระสุรเสียงแหบพร่าเปล่งออกมาราวกับเสียงกระซิบ ราชินีทรงกระแอม “ข้าพยายาม…ที่จะยอมศิโรราบ…เพื่อบ้านเมือง…ข้าไว้ใจมัน ช่างโง่นัก…”
พระนางส่ายพระเศียรอีกหลายครั้ง น้ำพระเนตรหยาดลงมาตามพระปราง
“ไม่หรอก เจ้าเป็นผู้มีเกียรติ” เจ้าชายเคนดริคตรัสแก้ พลางกุมพระหัตถ์พระนางไว้ “เจ้าเป็นผู้ที่กล้าหาญที่สุดในบรรดาพวกเรา”
“เจ้าทำสิ่งที่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ควรจะทำ” เจ้าชายก็อดฟรีย์ตรัส พลางก้าวมาหา
ราชินีเกว็นส่ายพระพักตร์
“มันหลอกข้า…” ราชินีเกว็นโดลีนตรัส “…และทำร้ายข้า มันให้แม็คคลาวด์ทำร้ายข้า”
ราชินีเกว็นทรงอดกลั้นไม่ไหว พระนางเริ่มกรรแสงขณะที่ตรัสเล่า ทรงรู้ดีกว่าไม่ใช่สิ่งที่ผู้นำควรจะทำ แต่พระนางทรงไม่อาจห้ามตัวเองได้
เจ้าชายเคนดริคทรงจับพระหัตถ์ขนิษฐาแน่นขึ้น
“พวกมันจะฆ่าข้า…” พระนางตรัสต่อ “…แต่สเตฟเฟนมาช่วยข้าไว้…”
ทุกคนหันไปมองดูสเตฟเฟนด้วยความนับถือ เขายืนก้มศีรษะอยู่ข้างพระนางด้วยความจงรักภักดี
“สิ่งที่ข้าได้ทำลงไปนั่นช่างเล็กน้อยและไม่ทันกาล” เขาบอกอย่างถ่อมตัว “ข้าเพียงคนเดียวต่อกรกับคนมากมาย”
“ถึงกระนั้น เจ้าก็ได้ช่วยน้องสาวของข้าไว้ และพวกเราจะเป็นหนี้เจ้าตลอดไป” เจ้าชายเคนดริคตรัส
สเตฟเฟนส่ายหน้า
“ข้าเป็นหนี้พระนางมากมายกว่านั้น” เขาตอบ
ราชินีเกว็นทรงกรรแสง
“อาร์กอนมาช่วยเราทั้งคู่ไว้” พระนางตรัสสรุป
เจ้าชายเคนดริคพระพักตร์หมองลง
“พวกเราจะแก้แค้นให้เจ้า” พระองค์ตรัส
“ข้าไม่ได้ห่วงตัวเอง” ราชินีตรัส “แต่เป็นห่วงเมือง…ประชาชน…ซิเลเซีย…แอนโดรนิคัส…มันจะโจมตี…”
เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงตบพระหัตถ์พระนางเบา ๆ
“ตอนนี้เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น” พระองค์ตรัสพลางก้าวเข้ามาใกล้ “พักผ่อนเถิด ให้พวกเราหารือกันเรื่องนี้เอง ตอนนี้เจ้าปลอดภัยอยู่ที่นี่แล้ว”
ราชินีเกว็นทรงรู้สึกว่าพระเนตรปิดลง พระนางทรงไม่รู้ว่ากำลังตื่นอยู่หรือเป็นความฝัน
“พระนางต้องพักผ่อน” อิลเลพราบอก พลางก้าวเข้ามาอย่างปกป้อง
ราชินีเกว็นโดลีนทรงรับรู้อย่างลางเลือน เมื่อทรงรู้สึกว่าพระวรกายเริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อย ๆ และล่องลอยสู่การหลับใหล ในพระหทัย พระนางทรงเห็นภาพธอร์แวบขึ้นมา แล้วเป็นภาพพระบิดา พระนางทรงไม่อาจแยกแยะได้ว่าสิ่งใดเป็นความจริง และสิ่งใดคือความฝัน ราชินีเกว็นทรงได้ยินเสียงสนทนากระท่อนกระแท่นอยู่เหนือพระเศียร
“บาดแผลของนางร้ายแรงเพียงใด?” มีเสียงหนึ่งถามขึ้น อาจจะเป็นเสียงของเจ้าชายเคนดริค
พระนางทรงรู้สึกว่าอิลเลพราใช้ฝ่ามือลูบพระนลาฏ แล้วคำสุดท้ายที่ทรงได้ยินก่อนจะหลับไปเป็นเสียงของอิลเลพรา
“บาดแผลทางกายนั้นเล็กน้อย ฝ่าบาท บาดแผลทางใจของพระนางต่างหากที่หนักหนา”
*
เมื่อราชินีเกว็นทรงตื่นบรรทมอีกครั้ง ทรงได้ยินเสียงเปลวไฟปะทุ พระนางทรงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ทรงกระพริบพระเนตรหลายครั้ง ขณะที่ทอดพระเนตรไปรอบ ๆ ห้องแสงสลัว ผู้คนที่รายล้อมหายไปแล้ว เหลือเพียงสเตฟเฟนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างพระแท่น อิลเลพราที่ยืนอยู่เหนือพระนาง กำลังป้ายยาให้ที่ข้อพระกร และอีกคนหนึ่ง ชายชราใจดีที่กำลังมองดูพระนางด้วยความเป็นห่วง ราชินีเกว็นเกือบจะนึกออกว่าเขาเป็นใคร แต่กลับต้องพยายามนึก พระนางทรงรู้สึกอ่อนล้า เหนื่อยอ่อนมากเกินไป ราวกับไม่ได้บรรทมมาหลายปี
“ฝ่าบาท?” ชายชราทูล พลางก้มเข้ามาหา เขาถือบางสิ่งขนาดใหญ่อยู่ด้วยสองมือ ราชินีเกว็นทอดพระเนตรมองและเห็นว่ามันคือหนังสือปกหนัง
“ข้าคืออะเบอร์ธอล” เขาทูล “ครูผู้ชราของท่าน ทรงได้ยินข้าหรือไม่?”
ราชินีเกว็นทรงกลืนพระเขฬะแล้วพยักพระพักตร์ช้า ๆ หรี่ปรือพระเนตรขึ้นเพียงเล็กน้อย
“ข้ารอเฝ้าอยู่หลายชั่วโมง” เขาทูล “ข้าเห็นท่านทรงกระสับกระส่าย”
พระนางทรงพยักพระพักตร์ช้า ๆ อย่างจำได้ และซาบซึ้งที่เขามา
อะเบอร์ธอลก้มลงมาใกล้ แล้วเปิดหนังสือเล่มใหญ่ของเขา พระนางทรงรู้สึกถึงน้ำหนักของมันบนพระเพลา และทรงได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษอันใหญ่โต เมื่อเขากางมันออก
“นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่เล่มที่ข้านำออกมาได้” เขาทูล “ก่อนที่สภาแห่งปราชญ์จะถูกเผา มันคือจดหมายเหตุเล่มที่สี่ของแม็คกิล ท่านทรงเคยอ่านแล้ว เป็นเรื่องราวของการพิชิต ชัยชนะและการพ่ายแพ้ แน่นอนว่ายังมีเรื่องราวอื่นด้วย เรื่องราวการบาดเจ็บของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ทั้งบาดแผลทางกาย และบาดแผลทางใจ การบาดเจ็บทุกอย่างที่จะมีได้ ฝ่าบาท และนี่คือสิ่งที่ข้าต้องการจะทูล แม้แต่บุรุษและสตรีที่เก่งที่สุดต่างก็ทนทุกข์กับการกระทำ อาการบาดเจ็บและความทรมานที่เกินจะคิดฝันถึงที่สุด ท่านไม่ได้อยู่เดียวดาย ท่านเป็นเพียงซี่ล้อหนึ่งในกงล้อแห่งเวลา ยังมีคนอื่นอีกนับไม่ถ้วนที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าท่าน และมีหลายคนที่รอดชีวิต และกลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่”
“อย่าทรงละอาย” เขาทูล พลางจับพระหัตถ์ของพระนางไว้ “นี่คือสิ่งที่ข้าอยากจะบอก อย่าทรงละอาย ไม่มีสิ่งใดที่ท่านต้องอับอาย มีเพียงเกียรติยศและความกล้าหาญในสิ่งที่ท่านได้ทำลงไป ท่านทรงเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่อาณาจักรวงแหวนเคยมี และนี่ไม่ได้ทำให้มันด้อยค่าลงเลย”
ราชินีเกว็นทรงประทับใจกับคำพูดของเขา น้ำพระเนตรหยาดลงอาบพระปราง คำพูดของเขาเป็นสิ่งที่พระนางทรงต้องการฟัง และทรงซาบซึ้งอย่างยิ่ง โดยหลังแห่งตรรกะแล้วพระนางทรงรับรู้และเข้าใจว่าเขากล่าวถูกต้อง
แต่โดยทางอารมณ์แล้ว พระนางยังทรงต้องการเวลาในการยอมรับ ทรงอดรู้สึกไม่ได้ว่าพระนางทรงถูกทำลายไปแล้วตลอดกาล ราชินีทรงรู้ว่ามันไม่ใช่ความจริง แต่ก็เป็นสิ่งที่ทรงรู้สึก
อะเบอร์ธอลยิ้ม ขณะที่หยิบหนังสือเล่มเล็กกว่าออกมา
“ทรงจำหนังสือเล่มนี้ได้ไหม?” เขาทูลถาม หันหน้าปกหนังสีแดงมาให้ “หนังสือเล่มโปรดของท่านตอนยังทรงพระเยาว์ ตำนานของบรรพบุรุษ มีเรื่องหนึ่งในนี้ที่ข้าอยากจะอ่านถวาย เพื่อช่วยท่านฆ่าเวลา”
ราชินีเกว็นทรงประทับใจกับความเอื้อเฟื้อ แต่พระนางทรงรับไม่ไหวอีกแล้ว ทรงส่ายพระพักตร์อย่างเศร้าสร้อย
“ขอบใจท่านมาก” พระนางตรัสเสียงแหบพร่า น้ำพระเนตรหยดลงมาอีก “แต่ข้ายังไม่อยากฟังตอนนี้”
อะเบอร์ธอลมีสีหน้าผิดหวัง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“โอกาสหน้าเถอะนะ” พระนางตรัสอย่างหดหู่ “ข้าอยากอยู่คนเดียว โปรดให้ข้าอยู่ตามลำพังเถิด พวกท่านทุกคน” พระนางตรัส พลางหันไปมองสเตฟเฟนและอิลเลพรา
ทุกคนลุกขึ้นยืน ถวายคำนับ แล้วรีบออกจากห้องไป
ราชินีเกว็นทรงรู้สึกผิด แต่พระนางไม่อาจหยุดได้ พระนางทรงอยากจะขาดใจตายไปเสีย ทรงฟังเสียงฝีเท้าของพวกเขาเดินออกไปจากห้อง ได้ยินเสียงประตูปิดลง แล้วจึงเงยพระพักตร์ขึ้นดูว่าในห้องไม่มีใครอยู่แล้วหรือไม่
แต่พระนางกลับต้องประหลาดพระทัยที่เห็นว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น มีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงช่องประตู ท่วงท่าสง่าเหมือนเช่นเคย พระนางเสด็จตรงมาหาราชินีเกว็นช้า ๆ และหยุดยืนห่างจากพระแท่นไปเพียงไม่กี่ฟุต ทอดพระเนตรมองพระนางด้วยสีพระพักตร์เรียบเฉย
พระมารดาของพระนาง
ราชินีเกว็นทรงประหลาดพระทัยที่ได้เห็นพระมารดา อดีตราชินีผู้ทรงสง่างามและภาคภูมิเหมือนเช่นเคย ทอดพระเนตรมองพระนางด้วยพระพักตร์เย็นชาเหมือนเคย ไม่มีความเห็นอกเห็นใจในแววพระเนตร เหมือนที่คนอื่น ๆ ที่มาเยี่ยมมีให้
“ท่านมาที่นี่ทำไม?” ราชินีเกว็นตรัสถาม
“ข้ามาหาเจ้า”
“แต่จ้าไม่อยากพบท่าน” ราชินีเกว็นตรัสตอบ “ข้าไม่อยากพบใครทั้งนั้น”
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าต้องการอะไร” พระมารดาตรัสอย่างเย็นชาและมั่นใจ “ข้าเป็นแม่ของเจ้า และข้ามีสิทธิ์มาพบเจ้าเมื่อข้าต้องการ”
ราชินีเกว็นทรงรู้สึกถึงความกริ้วโกรธที่มีต่อพระมารดาในอดีตปะทุขึ้นอีกครั้ง พระนางทรงเป็นคนสุดท้ายที่ราชินีเกว็นโดลีนทรงต้องการพบในเวลาเช่นนี้ แต่ทรงรู้จักพระมารดาดีและรู้ว่าพระนางจะไม่จากไปจนกว่าจะได้พูดในสิ่งที่ต้องการ
“เช่นนั้นก็ทรงตรัสมา” ราชินีเกว็นโดลีนตรัสบอก “เสร็จแล้วก็ไปเสีย แล้วอย่ามายุ่งกับข้าอีก”
พระมารดาทรงถอนหายใจ
“เจ้าไม่เคยรู้เรื่องนี้” พระมารดาตรัส “แต่สมัยที่ข้ายังสาว อายุรุ่นเดียวกับเจ้า ข้าก็ถูกทำร้ายเหมือนกับที่เจ้าโดน”
ราชินีเกว็นทอดพระเนตรมองพระมารดาด้วยความตกพระทัย พระนางทรงไม่เคยรู้มาก่อน
“พระบิดาของเจ้าทรงรู้เรื่องนี้” พระมารดาตรัสเล่าต่อ “และพระองค์ไม่ได้ใส่พระทัย ทรงแต่งงานกับข้าเช่นเดิม ในตอนนั้นข้ารู้สึกเหมือนโลกของข้าจบสิ้นแล้ว แต่มันมิได้เป็นเช่นนั้น”
ราชินีเกว็นทรงหลับพระเนตร รู้สึกว่าน้ำพระเนตรหยาดลงมาตามพระปราง ทรงพยายามปิดกั้นไม่รับฟัง พระนางทรงไม่ต้องการฟังเรื่องของพระมารดา มันสายเกินไปที่พระมารดาจะแสดงความเห็นอกเห็นใจใด ๆ นี่พระนางทรงคิดว่าจะทรงเยื้องย่างเข้ามาที่นี่ หลังจากหลายปีที่ทรงเกรี้ยวกราดใส่ มาเล่าเรื่องราวน่าเวทนา แล้วคาดว่าทุกสิ่งจะถูกแก้ไขอย่างนั้นหรือ?
“ท่านตรัสเสร็จหรือยัง?” ราชินีเกว็นตรัสถาม
พระมารดาทรงก้าวมาด้านหน้า “ยัง ข้ายังพูดไม่จบ” พระนางตรัสหนักแน่น “ตอนนี้เจ้าเป็นราชินีแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าต้องทำตัวเหมือนเป็นราชินี” พระมารดาตรัสด้วยพระสุรเสียงกระด้างดุจเหล็กกล้า ราชินีเกว็นทรงรู้สึกถึงความเข้มแข็งในพระสุรเสียงอย่างที่ทรงไม่เคยได้ยินมาก่อน “เจ้าเวทนาตัวเอง แต่มีสตรีที่ต้องทนทุกข์ทรมานยิ่งกว่าเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทุก ๆ วัน สิ่งที่เกิดกับเจ้านั้นไม่มีค่าอะไรเลยในวิถีแห่งชีวิต เจ้าเข้าใจข้าไหม? มันไม่มีความหมายอะไร”
พระมารดาทรงถอนหายใจ
“หากเจ้าอยากจะมีชีวิตรอดและใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เจ้าจะต้องเข้มแข็ง เข้มแข็งกว่าบุรุษ บุรุษจะชนะเจ้าได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มันไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้า แต่เป็นวิธีที่เจ้ายอมรับมัน วิธีที่เจ้ารับมือกับมันต่างหาก นั่นคือสิ่งที่เจ้าสามารถควบคุมได้ เจ้าอาจจะหมดอาลัยตายอยากแล้วสิ้นใจตายไป หรือเจ้าจะเข้มแข็ง นั่นคือความแตกต่างระหว่างเด็กสาวกับสตรี”
ราชินีเกว็นทรงรู้ว่าพระมารดาพยายามที่จะช่วย แต่พระนางทรงกริ้วกับท่าทีที่ขาดความเห็นอกเห็นใจของพระมารดา และทรงขุ่นเคืองที่ถูกสั่งสอน
“ข้าเกลียดท่าน” ราชินีเกว็นโดลีนตรัสบอก “ข้าเกลียดท่านเสมอ”
“ข้ารู้” พระมารดาตรัส “ข้าก็เกลียดเจ้าเช่นกัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถเข้าใจกันได้ ข้าไม่ต้องการความรักของเจ้า สิ่งที่ข้าต้องการคือให้เจ้าเข้มแข็ง โลกนี้ไม่ได้ปกครองโดยผู้อ่อนแอและขลาดกลัว แต่ปกครองโดยผู้ที่ไม่หวาดหวั่นต่อเคราะห์กรรม เจ้าอาจจะล้มลงและตายไปก็ได้หากเจ้าต้องการ แต่ยังมีเวลาอีกมากสำหรับเรื่องนั้น และมันออกจะน่าเบื่อ จงเข้มแข็งและมีชีวิตอยู่ต่อไป ใช้ชีวิตอย่างแท้จริง และเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น เพราะในวันหนึ่ง ข้ารับรองได้ว่าเจ้าจะได้ตายแน่นอน แต่ระหว่างที่เจ้ายังมีชีวิต ก็ควรจะใช้ชีวิตให้ดี”
“ไปให้พ้น!” ราชินีเกว็นโดลีนทรงตะโกน ทรงไม่อาจทนฟังได้อีกแม้แต่คำเดียว
พระมารดาทอดพระเนตรมองมาอย่างเย็นชา และในที่สุดหลังจากความเงียบอันยาวนาน พระนางก็ทรงหันหลังและเสด็จจากไป ด้วยท่วงท่าราวกับนกยูง แล้วกระแทกประตูตามหลัง
ในความเงียบที่ว่างเปล่านั้น ราชินีเกว็นทรงกรรแสง พระนางทรงคร่ำครวญ และปรารถนาอย่างยิ่งให้ทุกสิ่งหายไปเสียที