Kitabı oku: «หน้าที่ของผู้กล้า », sayfa 3

Yazı tipi:

บทที่ หก

เจ้าชายเคนดริคประทับอยู่ที่ลานกว้างที่ริมขอบเหวของหุบเขาใหญ่ ทอดพระเนตรมองดูสายหมอกที่ม้วนตัวเป็นคลื่น ขณะที่ทรงทอดพระเนตรมองออกไปนั้น พระองค์ทรงพระทัยสลาย ทรงปวดร้าวที่ได้เห็นขนิษฐาทรงเป็นเช่นนั้น ทรงเสียพระทัยเหมือนกับทรงเป็นผู้ที่ถูกทำลาย พระองค์ทรงเห็นได้จากสีหน้าของชาวซิเลเซียทุกคนว่าพวกเขามองว่าราชินีเกว็นทรงเป็นมากกว่าผู้นำของพวกเขา ทุกคนมองว่าพระนางเป็นครอบครัว ทุกคนก็เสียใจไปด้วย เหมือนกับแอนโดรนิคัสได้ทำร้ายพวกเขาทุกคน

เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกว่าพระองค์ควรจะถูกตำหนิ พระองค์ควรจะทรงรู้ว่าขนิษฐาจะต้องทำอะไรเช่นนี้ พระองค์ควรจะทรงรู้ว่าขนิษฐานั้นกล้าหาญเพียงใด และน่าจะคาดการณ์ได้ว่าพระนางจะต้องยอมมอบตัวก่อนที่ใครจะมีโอกาสห้ามได้ เจ้าชายเคนดริคควรจะหาทางป้องกันไม่ให้พระนางทรงทำเช่นนั้น พระองค์ทรงรู้จักนิสัยของขนิษฐาดี รู้ว่าพระนางไว้ใจคน และมีจิตใจดี พระองค์ซึ่งเป็นนักรบน่าจะรู้จักความโหดร้ายของพวกผู้นำทั่วไปดีกว่าพระนาง พระองค์ทรงอายุมากกว่าและฉลาดกว่า เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกว่าพระองค์ทรงทำให้ขนิษฐาผิดหวัง

เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกว่าพระองค์ควรจะถูกตำหนิสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้ สถานการณ์เลวร้ายนี้มันมากเกินกว่าที่จะฝากไว้กับคนเพียงคนเดียว เด็กสาวอายุ 16 ปี ผู้ปกครองที่เพิ่งได้ครองมงกุฎ พระนางไม่ควรจะต้องแบกรับความเลวร้ายทั้งหมดไว้เพียงลำพัง นั่นเป็นการตัดสินใจที่ยากยิ่งแม้สำหรับพระองค์เอง หรือแม้แต่พระบิดา ราชินีเกว็นโดลีนทรงทำดีที่สุดที่พระนางจะทรงทำได้ในสถานการณ์เช่นนี้ และอาจจะดีกว่าที่ใครจะสามารถทำได้ เจ้าชายเคนดริคเองก็ทรงไม่รู้ว่าจะรับมือกับแอนโดรนิคัสเช่นไร ไม่มีใครรู้

พระองค์ทรงคิดถึงแอนโดรนิคัสแล้วก็หน้าแดงด้วยความกริ้ว มันเป็นผู้นำที่ไม่มีศีลธรรม ไม่มีหลักการ ไม่มีมนุษยธรรม เจ้าชายเคนดริคทรงรู้ชัดว่าหากตอนนี้ทุกคนยอมแพ้ ก็จะต้องพบกับชะตากรรมเดียวกัน แอนโดรนิคัสอาจจะสังหารหรือจับทุกคนไปเป็นทาส

มีบางอย่างในบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เจ้าชายเคนดริคทรงเห็นได้จากแววตาของทุกคน และทรงรู้สึกด้วยพระองค์เอง ชาวซิเลเซียไม่ต้องการเพียงแค่ตั้งรับและมีชีวิตรอดอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ทุกคนต้องการแก้แค้น

“ชาวซิเลเซียทุกคน!” มีเสียงดังแผดขึ้น

ชาวเมืองต่างเงียบเสียงและเงยหน้าขึ้นมอง ที่เขตเมืองสูง ตรงขอบผา แอนโดรนิคัสกำลังมองลงมาที่พวกเขา โดยมีลูกสมุนรายล้อม

“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าได้เลือก!” พระองค์ทรงตะโกน “ส่งตัวเกว็นโดลีนมาให้ข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า! หาไม่ข้าจะยิงธนูไฟเผาพวกเจ้า เริ่มตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตก เปลวไฟร้อนแรงจะแผดเผาพวกเจ้าจนไม่มีผู้ใดรอดชีวิต”

พระองค์ทรงหยุด แล้วแย้มสรวล

“นี่เป็นข้อเสนอที่ใจกว้างมากแล้ว จงอย่าคิดนาน”

เมื่อตรัสเสร็จ แอนโดรนิคัสก็หันหลังแล้วกระทืบบาทจากไป

ชาวซิเลเซียค่อย ๆ หันกลับมามองดูกัน

สร็อกก้าวมาด้านหน้า

“พี่น้องชาวซิเลเซียทุกคน!” สร็อกตะโกนบอกกลุ่มทหารที่รวมกลุ่มเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่เจ้าชายเคนดริคทรงไม่เคยเห็นมาก่อน “แอนโดรนิคัสทำร้ายผู้นำที่ดีที่สุด และน่านับถือที่สุดของพวกเรา พระนางทรงเป็นธิดาของราชาแม็คกิลผู้เป็นที่รักของเรา และเป็นราชินีผู้ยิ่งใหญ่ เหมือนกับมันได้ทำร้ายพวกเราทุกคน แอนโดรนิคัสพยายามที่จะทำลายเกียรติยศของพวกเรา แต่มันทำได้เพียงทำลายเกียรติของตัวเอง!”

“ใช่!” ฝูงชนส่งเสียงรับ เหล่าทหารฮึกเหิม ต่างจับดาบของตัวเองไว้ และมีเปลวไฟในแววตา

“เจ้าชายเคนดริค” สร็อกทูลพลางพันมาหาพระองค์ “ท่านจะทรงเสนออย่างไร?”

เจ้าชายเคนดริคทอดพระเนตรดูสายตาของทุกคนตรงหน้า

“เราจะโจมตี!” เจ้าชายเคนดริคทรงตะโกนบอก เปลวไฟร้อนแรงแล่นพล่านอยู่ในพระโลหิต

ฝูงชนต่างโห่ร้องอย่างเห็นด้วย และรวมตัวกันหนาแน่นขึ้น ไม่มีความหวาดกลัวในแววตาของพวกเขา ทุกคนพร้อมที่จะสู้จนตัวตาย

“พวกเราจะตายอย่างมนุษย์ ไม่ใช่อย่างสุนัข!” เจ้าชายเคนดริคทรงตะโกนบอกอีก

“ใช่!” ชาวเมืองตะโกนตอบ

“พวกเราจะสู้เพื่อราชินีเกว็นโดลีน! เพื่อมารดา พี่สาวน้องสาวและภรรยาทุกคน!”

“ใช่!”

“เพื่อราชินีเกว็นโดลีน!” เจ้าชายเคนดริคทรงตะโกน

“เพื่อราชินีเกว็นโดลีน!” ประชาชนตะโกนรับ

ทุกคนต่างโห่ร้องอย่างยินดี และเริ่มชุมนุมกันหนาแน่นขึ้น

พวกเขาตะโกนขึ้นครั้งสุดท้ายแล้วตามเจ้าชายเคนดริคและสร็อกไปตามทางเดินแคบ ๆ สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ไปสู่เขตเมืองสูง ถึงเวลาแสดงให้แอนโดรนิคัสเห็นแล้วว่ากองรบเงินสร้างขึ้นจากอะไร

บทที่ เจ็ด

ธอร์ยืนอยู่กับเจ้าชายรีซ โอคอนเนอร์ เอลเด็น คอนเวน อินดรา และโครห์น ที่ปากแม่น้ำ ทุกคนกำลังมองดูร่างของคอนวอล บรรยากาศเต็มไปด้วยความหม่นหมอง ธอร์รู้สึกเหมือนเป็นตัวเขาเอง ความรู้สึกผิดที่สุมอยู่ในอกฉุดเขาลงไป เมื่อเขามองดูคอนวอล เพื่อนทหารยุวชนของเขานอนไร้ชีวิต มันดูไม่น่าจะเป็นไปได้ เท่าที่ธอร์จำได้ พวกเขาหกคนออกเดินทางมาด้วยกัน เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเหลือเพียงห้าคน มันทำให้เขาคิดถึงการตายของตัวเอง

ธอร์คิดถึงตอนที่คอนวอลอยู่ด้วย จดจำช่วงเวลาที่มีเขาอยู่ ทุกย่างก้าวในการเดินทาง นับตั้งแต่วันแรกที่ธอร์เข้าร่วมกองทหารยุวชน คอนวอลก็เป็นเหมือนพี่น้อง เขามักจะคอยอยู่เคียงข้างธอร์และมีคำพูดดี ๆ ให้เสมอ ไม่เหมือนบางคน คอนวอลยอมรับเขาเป็นเพื่อนตั้งแต่แรก การที่ต้องมาเห็นเขานอนไร้ชีวิตเช่นนี้ และโดยเฉพาะเป็นผลจากความผิดพลาดของธอร์เอง ทำให้เขายิ่งรู้สึกปั่นป่วนในท้อง ถ้าเขาไม่ไว้ใจสามพี่น้องนั่น ป่านนี้คอนวอลก็คงยังมีชีวิตอยู่

ธอร์คิดถึงคอนวอล โดยไม่มีคอนเวนไม่ได้ ทั้งสองเป็นฝาแฝดที่เหมือนกันและสนิทกันมาก มักจะเข้าใจความคิดของกันและกันเสมอ เขาคิดไม่ออกเลยว่าคอนเวนจะเจ็บปวดเพียงใด ดูเหมือนคอนเวนจะไม่มีกระจิตกระใจอีกแล้ว คอนเวนผู้มีความสุข เสรีที่เขาเคยรู้จักดูเหมือนจะจากไปพร้อมกับดาบที่ฟันลงมาครั้งนั้น

ทุกคนยังคงยืนอยู่ที่ริมสนามรบที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ศพของทหารจักรวรรดิกองกันอยู่รอบตัวพวกเขา ทุกคนยืนมองคอนวอล ไม่มีใครอยากไปไหนจนกว่าจะได้ทำพิธีศพที่เหมาะสมให้คอนวอล พวกเขาพบผ้าขนสัตว์อย่างดีจากพวกทหารจักรวรรดิ จึงปลดมันมาห่อร่างของคอนวอลไว้ แล้ววางเขาลงในเรือลำเล็กที่นำพวกเขามาถึงที่นี่ ร่างของคอนวอลนอนอยู่ในเรือ เหยียดยาวและแข็งทื่อ นอนหงายมองท้องฟ้า เป็นพิธีศพของนักรบ ร่างของคอนวอลเย็น แข็งและเป็นสีฟ้าราวกับไม่เคยมีชีวิตอยู่

พวกเขายืนอยู่เช่นนั้นอยู่นาน แต่ละคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความเศร้าของตัวเอง ไม่มีใครอยากเห็นร่างของเขาจากไป อินดราหลับตา ขยับมือวนเป็นวงกลมเล็ก ๆ อยู่เหนือศีรษะของคอนวอล และสวดอะไรบางอย่างด้วยภาษาที่ธอร์ไม่เข้าใจ เขาบอกได้ว่านางใส่ใจคอนวอลมากเพียงใด ขณะที่ทำพิธีศพให้อย่างตั้งใจ ธอร์รู้สึกสงบกับเสียงสวด ไม่มีใครกล่าวอะไร ทุกคนต่างยืนเงียบด้วยความเศร้าโศก ปล่อยให้อินดราทำพิธี

ในที่สุด อินดราก็หยุดแล้วถอยห่างออกมา คอนเวนก้าวไปด้านหน้า น้ำตาหยดลงมาตามแก้ม เขาคุกเข่าลงข้างคู่แฝด ยื่นมือไปจับมือคอนวอล แล้วก้มศีรษะ

คอนเวนผลักเรือออกไป มันลอยไปสู่สายน้ำนิ่งในแม่น้ำ และราวกับสายน้ำเป็นใจ ช่วยพัดมันจากไปช้า ๆ เรือลอยห่างออกไปเรื่อย ๆ โครห์นส่งเสียงคราง จู่ ๆ สายหมอกก็ปรากฏขึ้นกลืนเรือลำน้อยไว้ จนหายลับตาไป

ธอร์รู้สึกราวกับเป็นร่างของเขาเองที่ถูกพาไปยังโลกแห่งความตาย

ทุกคนหันกลับมาหากันช้า ๆ แล้วมองผ่านสนามรบ ไปยังภูมิประเทศที่อยู่ด้านหลัง เลยไปคือดินแดนแห่งความตายที่พวกเขาผ่านมา ด้านหนึ่งเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ และอีกด้านเป็นทะเลทรายแผดเผาว่างเปล่า พวกเขากำลังยืนอยู่ที่ทางแยก

ธอร์หันไปหาอินดรา

“การจะไปที่ทะเลสาบไม่มีวันจม เราจะต้องข้ามทะเลทรายนั่นไปใช่ไหม?” ธอร์ถาม

นางพยักหน้า

“ไม่มีทางอื่นเลยหรือ?” เขาถาม

นางส่ายศีรษะ

“มีทางอื่นอีก แต่อ้อม ท่านจะเสียเวลาอีกหลายอาทิตย์ หากท่านต้องการไปถึงก่อนพวกขโมย นั่นเป็นทางเดียว”

คนอื่น ๆ ยืนมองดูมันอยู่นาน ดวงอาทิตย์แผดเผาเหนือทะเลทราย มองเห็นคลื่นความร้อนอยู่เป็นริ้ว

“มันดูไม่ง่ายเลย” เจ้าชายรีซตรัส พลางก้าวมาประทับข้างธอร์

“ข้าไม่เคยเห็นใครที่ข้ามมันไปได้แล้วมีชีวิตรอด” อินดราบอก “มันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย”

“เรามีเสบียงไม่พอ” โอคอนเนอร์บอก “เราไม่รอดแน่”

“แต่มันเป็นทางไปสู่ดาบ” ธอร์บอก

“สมมุติว่าดาบยังอยู่นะ” เอลเด็นบอก

“ถ้าพวกขโมยไปถึงทะเลสาบก่อน” อินเราบอก “ดาบอันมีค่าของพวกท่านจะหายไปตลอดกาล พวกท่านจะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อความฝัน สิ่งที่พวกท่านทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือหันหลังแล้วกลับไปยังอาณาจักรวงแหวน”

“เราจะไม่หันหลังกลับ” ธอร์บอกอย่างมุ่งมั่น

“โดยเฉพาะตอนนี้” คอนเวนกล่าวเสริม พลางก้าวมาด้านหน้า ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยความโกรธและเสียใจ

“เราจะต้องหาดาบนั่นให้พบ หรือไม่ก็ยอมตาย” เจ้าชายรีซตรัส

อินดราส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ

“ข้าก็ไม่ได้คาดหวังคำตอบอื่นจากพวกท่านหรอก” นางบอก “บ้าบิ่นจนถึงที่สุด”

*

ธอร์เดินไปในทะเลทรายพร้อมกับคนอื่น ๆ หรี่ตาสู้แสงแดดจ้า อ้าปากหายใจในอากาศร้อนที่ไม่ยอมผ่อนปรน เขาคิดว่าเขาคงจะพอใจที่พ้นมาจากดินแดนแห่งความตาย จากความหม่นหมองไม่สิ้นสุดของมันและการไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์ แต่เขากลับต้องมาพบความแตกต่างสุดขั้ว ณ ที่นี้ ในทะเลทรายที่ไม่มีสิ่งใดนอกจากแสงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์สีเหลืองและท้องฟ้าสีเหลือง สาดแสงลงมาที่เขาและไม่มีที่ไหนให้หลบ ธอร์รู้สึกปวดหัวและวิงเวียน เขาพยายามลากเท้าเดินไป รู้สึกราวกับเดินมาตลอดชีวิต เมื่อมองดูเพื่อน ๆ ก็เห็นว่ามีอาการเดียวกัน

พวกเขาเดินกันมาครึ่งวัน และไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปได้อีกนานแค่ไหน เขาหันไปดูอินดราที่คลุมผ้าคลุมศีรษะไว้เหนือหัว และนึกสงสัยว่านางคงจะพูดถูก บางทีพวกเขาคงจะบ้าบิ่นเกินไปที่พยายามจะทำภารกิจนี้ แต่เขาปฏิญาณว่าจะหาดาบให้พบ แล้วพวกเขาจะมีทางเลือกอะไรอีก?

ขณะที่เดินกันไป เท้าของพวกเขาทำให้เกิดฝุ่นฟุ้งตลบ ทำให้ยิ่งหายใจยากขึ้น ตรงขอบฟ้าไม่มีสิ่งใด นอกจากทะเลทรายที่ถูกแดดเผา ทุกอย่างราบโล่งไปสุดลูกหูลูกตา ไม่มีเงาร่างของสิ่งก่อสร้าง ถนน หรือภูเขา หรือสิ่งใดเลย มีเพียงทะเลทรายเท่านั้น ธอร์รู้สึกราวกับพวกเขาเดินทางมาถึงสุดขอบโลก

ขณะที่เดินไป ธอร์ปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยที่สุดตอนนี้เขาก็ได้รู้เป็นครั้งแรกว่าพวกเขากำลังจะไปที่ไหน ไม่ต้องคอยฟังสามพี่น้องนั่นกับแผนที่โง่ ๆ ของพวกเขาอีกแล้ว ตอนนี้อินดราเป็นผู้นำทาง และเขาไว้ใจนางมากกว่าที่ไว้ใจพวกนั้น เขารู้สึกแน่ใจว่ากำลังไปถูกทาง แต่เขาไม่แน่ใจว่าจะรอดชีวิตจากการเดินทาง

ธอร์ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแว่ว ๆ เมื่อก้มลงมอง เขาก็เห็นพื้นทรายรอบตัวเขาหมุนเป็นวง คนอื่น ๆ ก็เห็นเช่นเดียวกัน ธอร์รู้สึกสับสนขณะที่มองดูทรายค่อย ๆ รวมกันช้า ๆ เป็นวงกลมชัดเจนขึ้นแทบเท้าเขา ก่อนจะยกตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่นานก็เกิดฝุ่นฟุ้งยกตัวขึ้นจากพื้นทะเลทรายสูงขึ้นไปในอากาศ

ทันใดนั้นธอร์รู้สึกว่าทั้งตัวเขาแห้งผากขึ้น เขารู้สึกเหมือนน้ำทุกหยดในร่างกายถูกดูดออกไป เขากระหายน้ำมาก ไม่เคยกระหายน้ำมากเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต

เขาลนลานควานหาถุงใส่น้ำด้วยความตื่นตระหนก ยกมันขึ้นบีบใส่ปาก แต่น้ำกลับไหลย้อนขึ้นไปด้านบน ขึ้นไปยังท้องฟ้า ไม่หยดลงมาที่ริมฝีปากของเขา

“เกิดอะไรขึ้น?” ธอร์ตะโกนถามอินดรา พลางอ้าปากหายใจ

นางมองดูท้องฟ้าด้วยความกลัว เปิดผ้าคลุมศีรษะออก

“ฝนย้อน!” นางตะโกนตอบ

“มันคืออะไร?” เอลเด็นตะโกนถาม หอบหายใจ พลางกุมลำคอไว้

“ฝนที่ไหลย้อนขึ้น!” นางตะโกน “ความชื้นทั้งหมดจะถูกดูดขึ้นไปบนฟ้า!”

ธอร์มองดูน้ำที่เหลือในถุงพุ่งขึ้นไปด้านบน แล้วเห็นถุงน้ำปริแตกและแห้งลง ก่อนจะหล่นลงไปบนพื้นทรายเหมือนกับมันฝรั่งแห้ง ๆ

ธอร์คุกเข่าลงกับพื้น กุมลำคอไว้ เกือบจะหายใจไม่ออก เพื่อนคนอื่นก็เป็นเช่นเดียวกัน

“น้ำ!” เอลเด็นโอดครวญอยู่ข้าง ๆ

มีเสียงกัมปนาทดังขึ้น เหมือนกับฟ้าผ่านับพันครั้ง ธอร์เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มดำครึ้ม เมฆฝนเริ่มก่อตัว และเคลื่อนมาหาพวกเขาด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ

“หมอบลง!” อินดราตะโกน “ท้องฟ้ากำลังย้อนกลับ!”

นางพูดยังไม่ทันจบ ท้องฟ้าก็เปิดออก กำแพงน้ำเทลงมา กระแทกใส่ธอร์และเพื่อน ๆ ด้วยกำลังแรงของคลื่นน้ำ

ธอร์กลิ้งหลุน ๆ ไปตามคลื่นน้ำ เขาไม่รู้ว่าตีลังกาอยู่นานเพียงใด ในที่สุดเขาก็กลับมาอยู่ที่พื้นทะเลทราย คลื่นน้ำซัดผ่านไปแล้ว มีฝนเทตามลงมา ธอร์เงยหน้าดื่มน้ำฝนไม่หยุด เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ จนในที่สุดเขาก็ไม่กระหายน้ำอีก

พวกเขาค่อย ๆ ลุกขึ้น พลางหอบหายใจ ดูสะบักสะบอม ทุกคนมองหน้ากันพวกเขารอดชีวิต เมื่อความตกใจและหวาดกลัวจางหายไปแล้ว ทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“พวกเรายังไม่ตาย!” โอคอนเนอร์ตะโกน

“นั่นมันเลวร้ายที่สุดที่ทะเลทรายนี่จะมีให้เราแล้วใช่ไหม?” เจ้าชายรีซตรัสถาม ทรงยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่

อินดราส่ายหน้าอย่างหม่นหมอง

“พวกท่านฉลองเร็วเกินไป” นางบอก ท่าทางเป็นกังวลอย่างมาก “หลังจากฝนตก สัตว์ทะเลทรายจะออกมากินน้ำ”

มีเสียงน่ากลัวดังขึ้น ธอร์ก้มลงมอง และต้องตกใจเมื่อเห็นกองทัพสัตว์ขนาดเล็กโผล่ขึ้นมาจากพื้นทราย กรูกันมาทางพวกเขา เมื่อหันไปมองด้านหลัง เขาเห็นแอ่งน้ำฝนที่นองอยู่ และรู้ว่าพวกเขากำลังอยู่ในเส้นทางของสัตว์ที่กำลังกระหายน้ำ

สัตว์ประหลาดหลายสิบตัวที่ธอร์ไม่เคยเห็นมาก่อนกำลังวิ่งมาทางเขา พวกมันเป็นสัตว์สีเหลืองตัวใหญ่ คล้ายควาย แต่ใหญ่กว่าสองเท่า มีสี่ขาและสี่เขา วิ่งด้วยสองขา กำลังตรงมาทางพวกเขา พวกมันวิ่งด้วยท่าทางตลก ลงวิ่งสี่ขาเป็นครั้งคราวแล้วกระเด้งกลับเป็นสองขาอีก พวกมันคำรามขณะที่วิ่งเข้ามา เสียงคำรามทำให้พื้นดินสะเทือน

ธอร์ชักดาบออกมาพร้อมกับคนอื่น ๆ และเตรียมตั้งรับ เมื่อสัตว์ตัวแรกเข้ามาใกล้ ธอร์กลิ้งหลบไปด้านข้าง ออกไปพ้นทาง ไม่ได้ฟันมัน เขาหวังว่ามันจะแค่วิ่งผ่านพวกเขาไป และไปหาน้ำกิน

มันก้มหัวลงมาเพื่องับธอร์ แต่พลาดไปเมื่อธอร์กลิ้งหลบ เขาต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามันไม่พอใจ มันเลี้ยวกลับมาด้วยความโกรธ พุ่งเข้าหาธอร์ ดูเหมือนมันจะอยากให้ธอร์ตายมากกว่าต้องการน้ำ

ขณะที่มันพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ลดเขาลงต่ำ ธอร์กระโจนขึ้นแล้วเหวี่ยงดาบ ฟันเขาอันหนึ่งของมันขาดเมื่อมันวิ่งผ่านไป มันร้องเสียงแหลม กระโดดขึ้นยืนสองขา แล้วหมุนตัวกลับมา ชนเขาล้มลงกับพื้น

สัตว์ร้ายยกขาขึ้น พยายามจะกระทืบธอร์ แต่เขากลิ้งหลบพ้นตีนที่กระทืบลงประทับรอยบนพื้นทราย และทำให้เกิดฝุ่นฟุ้ง มันยกขาขึ้นอีก แต่ครั้งนี้ธอร์ยกดาบขึ้นแทงเข้าที่อกของมัน

สัตว์ประหลาดส่งเสียงร้องอีก เมื่อดาบทิ่มลึกเข้าไปสุดด้าม ธอร์กลิ้งตัวหลบได้ทันก่อนที่มันจะล้มลงตาย เขาโชคดีที่หลบพ้น เพราะน้ำหนักของมันคงจะทับเขาแบน

เมื่อธอร์ลุกขึ้นยืน ควายยักษ์อีกตัวก็พุ่งเข้าหาเขา ธอร์กระโจนหลบพ้นทาง แต่ถูกเขาของมันเกี่ยวเข้าที่แขน เฉือนเป็นแผล ทำให้เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแล้วทิ้งดาบในมือลง เมื่อไม่มีอาวุธ ธอร์จึงหยิบหนังสติ๊กของเขามาใส่ลูกหิน แล้วยิงใส่มัน

สัตว์ร้ายโซเซ และร้องออกมาเมื่อลูกหินกระแทกใส่ตา แต่มันยังคงพุ่งเข้าใส่

ธอร์วิ่งไปทางซ้ายแล้วย้ายมาทางขวา พยายามซิกแซกให้พ้นทาง แต่เจ้าควายยักษ์เร็วเกินไป ไม่มีที่ให้วิ่งหนี เขารู้ว่าในไม่ช้าเขาคงจะถูกขวิด ขณะที่วิ่งหนีเขาหันไปมองเพื่อนคนอื่น ๆ พวกเขาก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่ได้ดีกว่ากัน ทุกคนกำลังวิ่งหนีพวกสัตว์ประหลาด

สัตว์ร้ายใกล้เข้ามา ห่างเพียงไม่กี่นิ้ว ธอร์ได้ยินเสียงมันพ่นลมออกจมูก แล้วดมกลิ่นฟุดฟิด มันโน้มเขาลงมาหา ธอร์เตรียมรับการกระแทก

ทันใดนั้น สัตว์ร้ายส่งเสียงร้องออกมา ธอร์หันไปเห็นมันถูกยกสูงขึ้นในอากาศ เขามองดูด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เขาเห็นสัตว์ประหลาดสีเขียวมะนาวตัวใหญ่อยู่ด้านหลังเจ้าควายยักษ์ ตัวขนาดไดโนเสาร์ สูงหนึ่งร้อยฟุต มีฟันคมเรียงหลายแถว มันคาบเจ้าควายยักษ์ไว้ในปาก ราวกับไม่มีพิษสงอะไร ก่อนจะเงยหน้าเขมือบกลืนลงไปในปาก ขยับเคี้ยวแล้วกลืนลงไปในสามคำ ก่อนจะเลียปาก

ควายยักษ์สีเหลืองรอบตัวธอร์ต่างหันหลังวิ่งหนีมัน มันวิ่งไล่ตามไป หางขนาดใหญ่กวัดแกว่งไปตามทาง ฟาดโดนธอร์ ทำให้เขาลอยหน้าทิ่มพื้น แต่มันยังคงวิ่งไล่ตามฝูงควายยักษ์ผ่านพวกเขาไป สนใจพวกสัตว์สีเหลืองมากกว่าพวกเขา

ธอร์หันไปมองคนอื่น ๆ ที่ต่างยืนนิ่งกับที่ด้วยความตกตะลึง และมองตอบมาที่เขา

อินดราส่ายศีรษะ

“ไม่ต้องห่วง” นางบอก “มันจะเลวร้ายกว่านี้อีก”

บทที่ แปด

เจ้าชายเคนดริคเสด็จผ่านลานที่ถูกเผาราบในเขตเมืองสูง มีสร็อก บรอม คอล์ค แอ็ทมี เจ้าชายก็อดฟรีย์ และอัศวินกองรบเงินอีกหลายสิบคนตามเสด็จ ทุกคนเดินไปช้า ๆ อย่างระวัง มือประสานกันไว้ที่ท้ายทอย แสดงอาการว่ายอมแพ้

ขบวนเล็ก ๆ เดินผ่านทหารจักรวรรดินับพันที่ยืนมองอยู่ มุ่งหน้าไปหาแอนโดรนิคัสที่กำลังรออยู่ที่ประตูเมืองที่อยู่ไกลออกไป เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกว่าสายตาทุกคู่จับจ้องมองพวกเขาเดินผ่านไป บรรยากาศมีแต่ความตีงเครียดหนักอึ้ง ในลานกว้างที่มีทหารนับพันคนชุมนุมอยู่ กลับเงียบจนอาจได้ยินเสียงเข็มหล่น

เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ เจ้าชายเคนดริคทรงตะโกนบอกแอนโดรนิคัสว่าพระองค์จะขอยอมจำนน แล้วขบวนเล็ก ๆ นี้ก็เดินขึ้นมาด้วยกัน แสดงตัวให้เห็นว่าไม่มีอาวุธ ขณะที่เดินผ่านกลุ่มทหารจักรวรรดิ ก่อนที่จะไปคุกเข่าอยู่ต่อหน้าแอนโดรนิคัส พระหทัยของเจ้าชายเคนดริคเต้นรัวระหว่างที่เสด็จไป พระศอแห้งผากเมื่อทรงเห็นทหารศัตรูหลายพันคนรายล้อมอยู่

เจ้าชายเคนดริคและคนอื่น ๆ ซักซ้อมแผนการมาแล้ว แต่เมื่อทุกคนไปถึงแอนโดรนิคัส และเจ้าชายเคนดริคทรงเห็นถนัดว่าแอนโดรนิคัสตัวใหญ่และป่าเถื่อนเพียงใด พระองค์ทรงภาวนาให้แผนการนี้ได้ผล เพราะหากมันไม่ได้ผล ชีวิตของพวกเขาก็คงจะต้องดับสิ้น

พวกเขาเดินต่อไป เสียงเดือยรองเท้าดังกรุ๊งกริ๊ง จนในที่สุดแม่ทัพคนหนึ่งของแอนโดรนิคัสก็ก้าวออกมา ท่าทางคุกคามและใบหน้าบึ้งตึง เขายื่นฝ่ามือหยาบมายันพระอุระของเจ้าชายเคนดริค ทุกคนหยุดอยู่ห่างจากแอนโดรนิคัสราวยี่สิบฟุต น่าจะเป็นการระวังความปลอดภัย ทหารจักรวรรดิฉลาดกว่าที่เจ้าชายเคนดริคทรงคาดไว้ พระองค์ทรงหวังว่าจะสามารถเดินไปจนถึงตัวแอนโดรนิคัส แต่เห็นได้ชัดว่าคงจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้น เจ้าชายเคนดริคพระหทัยเต้นเร็วขึ้น พระองค์ทรงหวังว่าระยะห่างนี้จะไม่ทำให้แผนผิดพลาด

ขณะที่ทุกคนยืนนิ่งเงียบ มองหน้ากัน เจ้าชายเคนดริคทรงกระแอมขึ้น

“พวกเรามาเพื่อยอมจำนนต่อแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่” เจ้าชายเคนดริคตรัสด้วยสุรเสียงดัง พยายามใช้น้ำเสียงที่น่าเชื่อถือ ขณะที่ทรงประทับนิ่งอยู่พร้อมกับคนอื่น ๆ ไม่เคลื่อนไหว เงยพระพักตร์ขึ้นสบพระเนตรแอนโดรนิคัส

แอนโดรนิตัสทรงใช้นิ้วพระหัตถ์แตะศีรษะย่อส่วนที่ร้อยไว้กับสร้อยพระศอ ก้มมองดูพวกเขาด้วยสีพระพักตร์ราวกับแสยะหรืออาจะแย้มสรวล

“พวกเรายอมรับข้อเสนอของท่าน” เจ้าชายเคนดริคตรัสต่อ “พวกเราขอยอมแพ้”

แอนโดรนิคัสทรงเอนมาด้านหน้าเล็กน้อย พระองค์ประทับอยู่บนม้านั่งหินตัวใหญ่ ทอดพระเนตรมองทุกคนด้วยพระพักตร์ราวกับแย้มสรวล

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต้องยอม” พระองค์ตรัสด้วยสุรเสียงดังก้องไปทั่วลาน “เด็กสาวอยู่ที่ไหน?”

เจ้าชายเคนดริคทรงเตรียมคำตอบสำหรับเรื่องนี้

“พวกเราแต่งขบวนมา มีทั้งอัศวินอาวุโสและผู้มียศสูง” เจ้าชายเคนดริคตรัสบอก “พวกเรานำมาก่อน เพื่อประกาศการยอมจำนนต่อท่าน เมื่อพวกเราทำเสร็จแล้ว คนอื่น ๆ จะตามมา หากท่านจะอนุญาต”

เจ้าชายเคนดริคทรงคิดว่าการเพิ่ม “หากท่านจะอนุญาต” เข้าไป เป็นส่วนที่ดี และจะช่วยให้ฟังดูน่าเชื่อถือมากขึ้น พระองค์ทรงเรียนรู้บทเรียนสำคัญเมื่อนานมาแล้ว จากที่ปรึกษาด้านการทหารคนหนึ่งว่า เวลาเจรจากับแม่ทัพที่หลงตัวเอง ให้เยินยอตัวตนของมัน มันอาจจะทำผิดพลาดได้มากมายเมื่อถูกเยินยอ เมื่อคุณใช้ประโยชน์จากความยิ่งใหญ่ของพวกมัน

แอนโดรนิคัสเอนหลังกลับเพียงเล็กน้อย แทบจะไม่แสดงท่าทีใด ๆ

“แน่นนอนพวกมันมาได้” แอนโดรนิคัสตรัส “ไม่อย่างนั้นกลุ่มของพวกเจ้าก็คงจะโง่งั่งมากที่มาที่นี่”

แอนโดรนิคัสประทับเฉย ทอดพระเนตรดูพวกเขาราวกับกำลังตัดสินใจ ท่าทางราวกับทรงรู้ว่าบางอย่างไม่ชอบมาพากล เจ้าชายเคนดริคพระทัยเต้นเร็ว

ในที่สุด หลังจากนิ่งอยู่นาน แอนโดรนิคัสดูเหมือนจะตัดสินพระทัยแล้ว

“ก้าวออกมาแล้วคุกเข่าลง” พระองค์ตรัสบอก “พวกเจ้าทุกคน”

คนอื่น ๆ ต่างหันมามองเจ้าชายเคนดริค พระองค์ทรงพยักพระพักตร์

ทุกคนก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์แอนโดรนิคัส

“พูดตามข้า” แม่ทัพสั่ง “พวกเรา ตัวแทนแห่งซิเลเซีย…”

“พวกเรา ตัวแทนแห่งซิเลเซีย…”

“ขอยอมจำนนต่อแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่…”

“ขอยอมจำนนต่อแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่…”

“ขอปฏิญาณจะจงรักภักดีต่อพระองค์ไปตลอดกาล…”

“ขอปฏิญาณจะจงรักภักดีต่อพระองค์ไปตลอดกาล…”

“และจะขอรับใช้ดุจทาสไปตราบสิ้นกาล…”

เจ้าชายเคนดริคทรงแทบไม่อาจตรัสคำพูดสุดท้ายออกมาได้ พระองค์ทรงกลืนพระเขฬะอย่างยากเย็น ในที่สุดก็ทรงตรัสตามพวกมัน คำต่อคำ

“และจะขอรับใช้ดุจทาสไปตราบสิ้นกาล…”

พระองค์ทรงคลื่นเหียนที่ต้องทำเช่นนั้น พระหทัยเต้นดังอยู่ในพระอุระ ในที่สุดความเจ็บปวดก็ผ่านพ้นไป

เกิดความเงียบน่าอึดอัดตามมา ในที่สุดแอนโดรนิคัสก็แย้มสรวลออกมา

“พวกแม็คกิลเช่นพวกเจ้าอ่อนแอกว่าที่ข้าคิด” พระองค์ทรงคำราม “ข้าคงพอใจที่ได้พวกเจ้ามาเป็นทาส และทำให้พวกเจ้าได้เรียนรู้วิถีของจักรวรรดิ ไปได้แล้ว พาตัวนางมาก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ แล้วฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดเสียเดี๋ยวนี้”

ขณะที่เจ้าชายเคนดริคทรงคุกพระชงอยู่นั้น พระองค์ทรงเห็นภาพที่ผ่านมาในพระชนม์ชีพแวบผ่านเข้ามาในสมอง ทรงรู้ว่านี่จะเป็นช่วงเวลาสำคัญช่วงหนึ่งในพระชนม์ชีพ ถ้าทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ทรงต้องการ พระองค์ก็จะทรงมีชีวิตอยู่เพื่อเล่าเรื่องราวให้ลูกหลานฟัง แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น พระองค์ก็คงต้องนอนเป็นศพในไม่ช้านี้ เจ้าชายเคนดริคทรงรู้ว่าโอกาสมีน้อย แต่พระองค์ก็ต้องคว้าไว้ เพื่อพระองค์เองและราชวงศ์แม็คกิล และเพื่อราชินีเกว็นโดลีน ถ้าไม่ทำตอนนี้ก็คงไม่มีโอกาสอีก

ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เจ้าชายเคนดริคทรงเอื้อมไปด้านหลัง หยิบพระแสงดาบสั้นที่ซ่อนไว้ใต้ฉลองพระองค์ออกมา แล้วประทับยืนขึ้น ทรงตะโกนออกมาแล้วพุ่งมันออกไปเต็มแรง

“ชาวซิเลเซียน โจมตี!”

พระแสงดาบของเจ้าชายเคนดริคหมุนคว้าง ตรงไปที่อุระของแอนโดรนิคัส มันการขว้างที่ทรงพลังและแม่นยำ รุนแรงพอที่จะสังหารนักรบคนใดก็ได้

แต่แอนโดรนิคัสทรงไม่ใช่นักรบคนใด ๆ เจ้าชายเคนดริคทรงอยู่ไกลไปเพียงไม่กี่หลา และแอนโดรนิคัสทรงเคลื่อนไหวได้เร็วเกินไป ทรงสามารถหลบพ้นได้ทัน พระองค์ทรงส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อพระแสงดาบของเจ้าชายเคนดริคเฉี่ยวพระพาหา จนเกิดแผล และมันยังพุ่งแหวกอากาศไปเสียบเข้าที่ท้องแม่ทัพคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้แอนโดรนิคัสแทน

เมื่อสิ้นเสียงตะโกนของเจ้าชายเคนดริค ก็เกิดความโกลาหลขึ้นรอบพระวรกาย ทุกคนต่างเอื้อมไปหยิบดาบที่ซ่อนไว้ออกมา แล้วตัดหัวทหารจักรวรรดิที่ยืนอยู่ในหมู่พวกเขา บรอมดึงมีดสั้นออกมาจากเข็มขัด ฉากหลบไปด้านข้าง แล้วเหวี่ยงมีดกลับไปแทงใส่ลำคอของทหารคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ คอล์คหยิบหนังสติ๊กออกมาจากเอว ใส่ลูกหินแล้วยิงโดนศีรษะทหารคนหนึ่งที่กำลังถือคันธนูยืนอยู่ห่างออกไป ทันก่อนที่มันจะยิงออกมา เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงขว้างมีดสั้นออกไป พระองค์ไม่แม่นยำเหมือนคนอื่น ๆ มีดสั้นพลาดเป้าไปปักเข้าที่ขาของทหารหนุ่มคนหนึ่ง

เสียงตะโกนดังขึ้นทั่วเมื่อทหารจักรวรรดิได้รับบาดเจ็บ ไม่มีใครรู้ตัวว่าจะถูกโจมตี

ในจังหวะเดียวกันนั้น ทหารซิเลเซียที่ซุ่มอยู่รอบลานก็โผล่ขึ้นมาจากพื้น และกำแพง พวกเขาต่างโห่ร้องเสียงดัง เล็งธนูแล้วยิงออกมา เกิดห่าลูกธนูดำมืดในอากาศ ลูกธนูหลายพันลูกพุ่งข้ามลานไปใส่ทหารจักรวรรดิจากทุกทิศทุกทาง พวกมันถูกโจมตีจากรอบด้าน หันไปทางไหนก็มีแต่เพลี่ยงพล้ำ มีหลายคนตื่นตะหนกจนต่อสู้กันเอง

เจ้าชายเคนดริคทรงตื่นเต้นที่เห็นว่าแผนการของพระองค์ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ สร็อกได้เล่าให้พระองค์ฟังเรื่องอุโมงค์ลับที่เชื่อมระหว่างเขตเมืองต่ำและเมืองสูง สร้างขึ้นหากเกิดการบุกยึด เป็นที่หลบภัยเมื่อไม่ทันตั้งตัว ทหารทุกคนรอคอยอย่างอดทน ทุกคนประจำตำแหน่ง รอสัญญาณจากเจ้าชายเคนดริค

ตอนนี้ทหารหลายพันคนโผล่ออกจากที่ซ่อน ยิงธนูใส่พวกจักรวรรดิอย่างรวดเร็วจนพวกมันไม่ทันตั้งตัว เจ้าชายเคนดริคทรงบุกไปข้างหน้า เข้าสู่การต่อสู้ คว้าจากทหารที่ตาย แล้วโจมตีคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ต่อสู้ร่วมกับสหายของพระองค์ แอ็ทมีและคนอื่น ๆ ทหารจักรวรรดิตื่นตะหนกจนชุลมุน วิ่งวุ่นไปทุกทาง ไม่รู้ว่าจะหนีไปทางไหน

ทหารซิเลเซียเริ่มได้เปรียบ เจ้าชายเคนดริคทรงสามารถจัดการพวกมันได้สิบกว่าคนก่อนที่พวกมันจะทันได้ยกโล่ขึ้นป้องกันเสียอีก แอ็ทมีต่อสู้ร่วมกับพระองค์แบบหลังชนหลัง เหมือนเช่นที่เคยทำเสมอ สร้างความเสียหายได้มากพอกัน ทุกครั้งที่เจ้าชายเคนดริคทรงฟาดฟันลงไป พระองค์ทรงคิดถึงราชินีเกว็นโดลีน คิดถึงการล้างแค้น

ทหารจักรวรรดิหลายพันคนดูสับสนจนต่างวิ่งหนี มุ่งหน้าไปยังประตูสู่ลานด้านนอก ทหารซิเลเซียบุกเข้าใส่แอนโดรนิคัสและทหารจักรวรรดิ ทำให้พวกมันแตกตื่น แม้จะพยายามตั้งรับแต่ก็ถูกต้อนให้ถอยร่นไปทั้งขบวน พวกมันถูกต้อนผ่านประตูไปเหมือนกับฝูงวัว พยายามที่จะหลบลูกธนูที่สาดลงมาจากทุกทางอย่างสิ้นหวัง เมื่อลูกธนูหมด ทหารซิเลเซียก็ชักดาบออกมาแล้วบุกเข้าใส่พร้อมกับพี่น้องทหารอื่น ๆ

ทหารจักรวรรดิมีจำนวนมาก แต่ไม่ได้เป็นนักรบที่ผ่านการฝึกมา ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ถูกจับมาเป็นทาสรับใช้แอนโดรนิคัส ขณะที่ทหารซิเลเซียแม้จะมีจำนวนน้อยกว่า แต่ทุกคนเป็นนักรบที่มีฝีมือ แข็งแกร่ง และฝึกฝนมาอย่างดี แต่ละคนมีค่าเท่ากับทหารจักรวรรดิสิบคน นอกจากพวกเขาจะได้เปรียบจากการที่พวกมันไม่ทันตั้งตัวแล้ว พวกเขายังมีความเกรี้ยวกราดแล่นพล่านไปทั่วกาย ทุกคนต่างหลังชนฝา หาทางเอาชีวิตรอด และต้องการที่จะปกป้องผู้เป็นที่รัก พวกเขายังโกรธแค้นแทนราชินีเกว็นโดลีน และเหนืออื่นใดคือทำเพื่อบ้านเมืองของพวกเขา ทุกคนรู้ดีว่าหากพวกเขาไม่อาจมีชัย มันอาจจะหมายถึงความตายของพวกเขา

ทหารซิเลเซียส่งสัญญาณแตร เสียงมันข่มขวัญ คล้ายกับกองทัพมหาศาล มีทหารซิเลเซียโผล่ออกมาจากอุโมงค์ลับมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนต่างบุกไปข้างหน้าราวกับชีวิตขึ้นอยู่กับเรื่องนี้ ทหารซิเลเซียหลายพันพบกับทหารจักรวรรดิหลายพันคน

การต่อสู้เข้มข้นและรุนแรง โลหิตหลั่งนองทั่วลาน เมื่อดาบปะทะดาบ มีดสั้นปะทะมีดสั้น พวกทหารต่อสู้และมองสบตากัน ชกต่อยกันด้วยมือเปล่า เผชิญหน้าสังหารกัน ในไม่ช้าฝ่ายซิเลเซียก็ได้เปรียบ

เสียงแตรดังขึ้นอีกครั้ง ทหารยุวชนหลายร้อยคนโผล่ออกมาจากประตูเขตเมืองต่ำ พวกเขาส่งเสียงโห่ร้องข่มขวัญ ยกหนังสติ๊ก คันธนู หอกและดาบขึ้นมา แล้วบุกเข้าสู่การต่อสู้ หวดซ้ายป่ายขวาสังหารทหารจักรวรรดิ และช่วยให้ฝ่ายซิเลเซียได้เปรียบ กองทหารยุวชนก็เป็นนักรบที่แข็งแกร่ง แม้จะอายุน้อย พวกเขาวิ่งเข้าใส่ พลางตะโกนเรียกพระนามราชินีเกว็นโดลีนและชื่อธอร์

ทหารยุวชนสร้างความเสียหายได้มากพอกับทหารคนอื่น ๆ ทุกคนเข้าร่วมการต่อสู่อย่างกลมกลืน ผลักดันทหารจักรวรรดิล่าถอยออกไปนอกประตู ในไม่ช้าสถานการณ์ศึกก็เป็นผลดีต่อพวกเขา ศพทหารจักรวรรดิกองอยู่ทุกหนทุกแห่ง คนที่ยังไม่ตายต่างก็ตกใจกลัวและวิ่งหนี ทหารจักรวรรดินับล้านคนอยู่ที่ด้านนอกประตู แต่บริเวณนั้นเป็นคอขวด ทหารที่วิ่งหนีออกไปขวางทางไว้ ทำให้พวกมันเข้ามาไม่ได้

แอนโดรนิคัสทรงผุดลุกขึ้นด้วยความกริ้ว และกระโดดเข้าร่วมในการต่อสู้ ตอบโต้ทหารซิเลเซียที่บุกเข้ามาหา และโจมตีทหารของพระองค์เอง ทรงใช้พระหัตถ์เปล่าจับตัวทหารขึ้นมาแล้วจับหัวโขกกัน ก่อนจะหักคอ ฆ่าพวกมันในทันที

“พวกเราจะไม่ถอยหนี!” แอนโดรนิคัสทรงตะโกน

พระองค์ทรงหยิบดาบมาจากมือทหารแล้วแทงเข้าที่หัวใจของพวกมันด้วยอาวุธของพวกมันเอง ทรงสร้างความเสียหายได้อย่างใหญ่หลวง แต่น่าขันที่กลับช่วยฝ่ายซิเลเซีย

แม่ทัพคู่ใจของพระองค์หลายคนก็ร่วมต่อสู้อย่างเหี้ยมโหดไม่แพ้กัน

แต่พวกเขาไม่สามารถยับยั้งความโกลาหลที่เกิดขึ้นได้ คลื่นทหารไหลมาทางพวกเขา แม้จะพยายามเพียงใด ก็ถูกดันให้ถอยร่นผ่านประตูด้านนอกไป

ในไม่ช้าก็ไม่มีทหารจักรวรรดิเหลืออยู่ที่ลานด้านในแม้สักคนเดียว ทหารยุวชนตะลุยไปที่ประตู พวกเขาต่อสู้อย่างกล้าหาญ เมื่อไปถึงประตูทุกคนต่างช่วยกันดึงเชือกเส้นใหญ่สุดแรง ทหารยุวชนมากกว่าหนึ่งคนต้องตายไปขณะที่ดึงเชือก และตกเป็นเป้า แต่พวกเขาก็ไม่ถอยหนี ในที่สุดประตูเหล็กบานใหญ่ก็ถูกลดต่ำลงและกระแทกปิด กั้นเมืองไว้จากกองทัพจักรวรรดิ

ประตูกระแทกพื้นเสียงดัง และเกิดความเงียบตามมา เป็นความเงียบจากความตกใจ ความนิ่งเงียบงันจากชัยชนะ ชาวซิเลเซียสามารถยึดเมืองของพวกเขาคืนมาได้

ทุกคนโห่ร้องดีใจกับชัยชนะ เจ้าชายเคนดริคทรงโอบกอดคนอื่น ๆ ที่กำลังปลาบปลื้มยินดี ทรงแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาชนะศึกครั้งนี้ พวกเขาชนะแล้วจริง ๆ

*

เมื่อประตูเหล็กกระแทกปิด เจ้าชายเคนดริคทรงหันไปหาคนอื่น ๆ พระองค์ทรงไม่เคยเห็นเหล่าทหารกล้า ที่ทรงร่วมต่อสู้ด้วยมาหลายต่อหลายศึก จะมีความสุขเหมือนเช่นที่พวกเขาเป็นในวันนี้ ตอนนี้พวกเขาสามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอก โอกาสที่พวกเขาจะสามารถรุกไล่ทหารของแอนโดรนิคัสนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง แผนการของพวกเขาได้ผล

นี่เป็นครั้งแรกเท่าที่พระองค์ทรงจำได้ ที่ทรงรู้สึกมีความหวังอย่างแท้จริง เจ้าชายเคนดริคทรงคิดว่า พวกเขาอาจจะป้องกันเมืองนี้ไว้ได้ อาจจะสามารถต้านแอนโดรนิคัสได้ พวกเขายังยืนอยู่ที่นี่ พื้นที่เล็ก ๆ แห่งสุดท้ายที่ยังเป็นอิสระจากจักรวรรดิ ตอนนี้มันเป็นของพวกเขา และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต วันนี้เป็นวันที่แอนโดรนิคัสจะไม่มีทางลบล้างชัยชนะของพวกเขาได้

ขณะที่ทหารกระจายกันไปทั่วลาน ต่างผ่อนคลายความระวังตัว ทำแผล ฉลองชัยชนะและสวมกอดกัน ชาวบ้านจากเขตเมืองต่ำทยอยกันขึ้นมาดูชัยชนะด้วยตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ ทันใดนั้นบางอย่างก็เกิดขึ้น โลกของพวกเขาสะเทือนจากการกระแทกอย่างแรง ครั้งเดียวแต่แรงพอจะทำให้พื้นดินสะเทือน มีเสียงโลหะกระแทกโลหะ แล้วตามด้วยเสียงสัตว์ร้องอย่างโกรธเกรี้ยว

เจ้าชายเคนดริคทรงหันไปดูและต้องตกพระทัยเมื่อเห็นทหารจักรวรรดิไม่รั้งรอที่จะรวมตัวกัน ครั้งนี้พวกมันใช้เหล็กกระทุ้งขนาดใหญ่ กระแทกเข้ากับประตูเหล็ก ปราการสุดท้ายที่ป้องกันเมืองจากกองทัพมหาศาล ประตูงอพับกลาง เหล็กกระทุ้งกระแทกใส่อีกหลายครั้ง จนมันพังลงต่อหน้าต่อตาพวกเขา

ทหารจักรวรรดิส่งเสียงโห่ร้อง

แต่พวกมันไม่ได้บุกเข้ามา กลับหลบไปด้านข้าง ซึ่งยิ่งทำให้ดูเป็นลางไม่ดี มีเสียงสัตว์ร้องคำรามดังขึ้นอีก

เจ้าชายเคนดริคทรงตกพระทัยเมื่อเห็นช้างวิ่งตะลุยผ่านประตูเข้ามา มันยกตีนขนาดใหญ่กระทืบชาวซิเลเซียขณะที่วิ่งผ่านมา จนพื้นดินสะเทือน

ทหารของพระองค์ต่างตกตะลึง รวมกลุ่มกันอย่างรวดเร็วและพยายามอย่างเต็มที่ที่จะโต้กลับ พวกเขายิงธนูและขว้างหอก แต่มันกลับไม่ระคายผิวหนังของช้าง ชาวซิเลเซียล้มตายไปตามรายทาง

ทหารจักรวรรดิตามหลังช้างเข้ามาติด ๆ กรูกันผ่านประตูที่เปิดโล่ง

“โจมตี!” เจ้าชายเคนดริคทรงตะโกนบอกทหารของพระองค์ พยายามที่จะรวมพลเพื่อรับมือกับทหารจักรวรรดิ ก่อนที่พวกมันจะบุกลึกเข้ามาในลาน โดยพยายามหลบช้างที่วิ่งตะลุยมา

เป็นความพยายามที่ไร้ผล ครั้งนี้ทหารของแอนโดรนิคัสกรูกันเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทหารของเจ้าชายเคนดริคมัวแต่วุ่นวายหลบช้าง  ในไม่ช้า ทหารจักรวรรดิก็กระจายกันไปทั่วลาน สังหารทหารซิเลเซียไปทั่ว

ทหารจักรวรรดิยังคงบุกเข้ามาไม่หยุด

เจ้าชายเคนดริคทรงยกพระแสงดาบขึ้น เมื่อทหารจักรวรรดิฟันดาบใส่พระพักตร์ พระองค์ทรงรับได้แล้วหมุนไปฟันใส่เข้าที่ท้องของทหารอีกคน พระองค์ทรงก้าวมาด้านหน้าแล้วรับดาบที่ฟันใส่อีกสองครั้ง แต่แล้วพระองค์ทรงถูกเตะอย่างแรงที่หลัง จนล้มฟาดลงกับพื้น

เจ้าชายเคนดริคทรงพลิกกลับมาเห็นทหารจักรวรรดิยกเท้าที่สวมรองเท้าบู้ทเตรียมจะเหยียบลงมาที่พระพักตร์ แอ็ทมีมาถึงตอนที่มันกำลังจะเหยียบลงมา เขาใช้หอกแทงเข้าที่ท้องของมัน ช่วยพระองค์จากการถูกรองเท้าบู้ทกระแทกพระพักตร์

เจ้าชายเคนดริคทรงลุกขึ้นยืน คว้าพระแสงดาบของพระองค์แล้วหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับทหารจักรวรรดิอีกสองคน แต่ก่อนที่พระองค์จะทันเหวี่ยงพระแสงดาบ เจ้าชายทรงถูกทหารจักรวรรดิคนที่สามกระแทกจากด้านหลัง ตามมาด้วยคนที่สี่

ทหารจักรวรรดิวิ่งมาจากทุกทิศ กรูกันมาราวกับฝูงตั๊กแตน ฝ่ายพระองค์มีจำนวนน้อยกว่ามาก จึงไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก แอ็ทมีก็ล้มลงเช่นกัน ทุกคนรอบพระวรกายตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน

เจ้าชายเคนดริคทรงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ พระองค์ทรงต่อสู้เต็มที่ สังหารทหารจักรวรรดิสองในสี่คนที่จับพระองค์ไว้ แต่อีกคนยกปลอกแขนกระแทกใส่พระพักตร์ บริเวรขมับ มีเสียงโลหะลั่นเปรี๊ยะในพระกรรณเมื่อพระองค์ถูกฟาดล้มลงกับพื้น พระเศียรกระแทก ทหารอีกคนกำลังจะเข้ามาฟาดซ้ำ แต่เจ้าชายทรงคว้ากระบองจากพื้นแล้วเหวี่ยงฟาดหัวมันได้ก่อน ทำให้มันหงายหลังไป

แต่เกือบจะพร้อมกับที่พระองค์ทรงเหวี่ยงกระบองไป เจ้าชายทรงรู้สึกว่าถูกกระแทกแรงเข้าที่ซี่โครง จนล้มพระพักตร์กระแทกพื้น พระองค์ทรงเงยขึ้นมาเห็นทหารอีกคนกดพระองค์ไว้กับพื้น มันดูต่างไปจากทหารจักรวรรดิคนอื่น ๆ เป็นหนึ่งในอัศวินมีฝีมือของแอนโดรนิคัส

มันเหยียบซี่โครงของพระองค์ไว้แรงจนแทบจะขาดใจ แล้วจ่อปลายเหล็กแหลมที่พระศอ เจ้าชายเคนดริคทรงสามารถเอื้อมหยิบพระแสงมีดสั้นแล้วแทงลงที่เท้าของผู้โจมตี มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ละเท้าจากพระองค์

แต่ทันทีนั้นเอง พระองค์ทรงเหลือบเห็นทหารอีกคนเหวี่ยงค้อนลงมาใส่พระองค์ เจ้าชายทรงหลบช้าเกินไป ค้อนฟาดเข้าที่หมวกเหล็ก กระแทกพระองค์ล้มลงพร้อมกับเสียงโลหะลั่นอยู่ในพระกรรณ

พระเศียรกระแทกพื้น และครั้งนี้พระองค์ทรงรู้ว่าคงจะจบสิ้นไปตลอดกาล

Ücretsiz ön izlemeyi tamamladınız.

Yaş sınırı:
16+
Litres'teki yayın tarihi:
10 eylül 2019
Hacim:
214 s. 8 illüstrasyon
ISBN:
9781632915450
İndirme biçimi: