Kitabı oku: «กำเนิดราชันย์มังกร », sayfa 6
หัวใจของไคร่าเต้นรัวอย่างรุนแรงในขณะที่เธอกำลังฟังคำประกาศของหญิงชรา คำพูดที่มีพลังอำนาจ ราวกับว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว
“และเจ้าจะได้รับการยั่วยวนจิตใจโดยความมืดมิด” หญิงชราพูดต่อ “จะมีอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ภายในตัวของเจ้า ความมืดจะต่อสู้กับแสงสว่าง ถ้าเจ้าสามารถเอาชนะตัวเองได้ โลกก็จะเป็นของเจ้า”
ไคร่ายืนอยู่ที่นั่น รู้สึกหน้ามืด แทบจะไม่เชื่อเรื่องราวทั้งหมดนี้ มันเป็นไปได้อย่างไร? หญิงชราต้องจำผิดคนอย่างแน่นอน ไม่เคยมีใครบอกว่าเธอจะเป็นคนสำคัญ เธอไม่มีอะไรพิเศษ มันดูเหมือนเป็นเรื่องประหลาดสำหรับเธอ เหมือนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถบรรลุได้
“อย่างไร?” ไคร่าถาม “จะเป็นไปได้อย่างไร? ในเมื่อข้าเป็นเด็กผู้หญิง”
หญิงชรายิ้ม รอยยิ้มอันน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนกับปีศาจ ไคร่าจะจดจำไปตลอดชีวิตของเธอ หญิงชราก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น ใกล้พอที่จะทำให้ไคร่าตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“บางครั้ง” หญิงชราแสยะยิ้ม “พรหมลิขิตของเจ้าอยู่เพียงแค่เอื้อม ถัดจากลมหายใจของเจ้า”
ทันใดนั้นแสงสว่างปรากฏขึ้นมา ไคร่าใช้มือป้องตา เลโอขู่คำรามและกระโจนเข้าใส่หญิงชรา
เมื่อไคร่าลืมตาขึ้น แสงนั้นได้หายไปแล้ว หญิงชราก็หายไป เลโอกระโจนไปในความว่างเปล่า รอบป่าไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืดมิด
ไคร่ามองหาทั่วทุกที่ อย่างงุนงง เธอคิดไปเองทั้งหมดอย่างนั้นหรือ?
เสียงกรีดร้องอันดุดันและน่ากลัวดังขึ้น ราวกับจะตอบคำถามของเธอ เหมือนสรวงสวรรค์กำลังกรีดร้อง ไคร่ายืนอยู่ที่นั่น ตัวแข็งทื่อ เธอคิดถึงทะเลสาบ และภาพสะท้อนของเธอ
แม้ว่าเธอจะไม่เคยมองเห็นด้วยตามาก่อน เธอรู้ว่านั่นคือเสียงกรีดร้องของมังกร มันกำลังรอเธออยู่ เพียงแค่ผ่านป่านี้ไป
เธอยืนอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง หญิงชราหายไปแล้ว ไคร่ารู้สึกหน้ามืดในขณะที่เธอกำลังเรียบเรียงความคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดหมายถึงอะไร เหนือสิ่งอื่นใด เธอพยายามทำความเข้าใจกับเสียงนั้น มันคือเสียงคำราม ไม่เหมือนเสียงใดที่เธอเคยได้ยิน มันฟังดูดุร้าย เหมือนกับว่ามันกำเนิดโลก มันทั้งทำให้เธอกลัวและดึงดูดเธอเข้าไปหา เธอไม่เหลือที่ใดให้ไปอีกแล้ว มันดังก้องอยู่ในตัวของเธอและเธอไม่สามารถเข้าใจได้ เธอนึกขึ้นได้ว่ามันคือเสียงที่เคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่งในชีวิตที่ผ่านมาของเธอ
ไคร่าเดินฝ่าป่าไปพร้อมกับเลโอ ย่างก้าวเข้าไปในหิมะที่สูงถึงเข่า กิ่งไม้ตีกระทบกับใบหน้าของเธอ แต่เธอไม่สนใจ รู้สึกร้อนรนที่จะไปให้ถึง มันส่งเสียงร้องขึ้นอีกครั้ง ไคร่ารู้ว่ามันคือเสียงของความเศร้าโศก
เธอรับรู้ได้ว่ามังกรกำลังจะตาย และมันต้องการความช่วยเหลืออย่างสุดชีวิต
บทที่สิบ
เมิร์คยืนอยู่ในที่โล่งกลางป่า ชายคนหนึ่งนอนตายอยู่ที่เท้าของเขา เมิร์คจ้องกลับไปยังโจรอีกเจ็ดคน ทั้งหมดมองกลับมาด้วยท่าทียำเกรงและหวาดกลัว ในแววตาบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าพวกมันได้ทำเรื่องผิดพลาดอันร้ายแรงที่คิดว่าเขาเป็นเพียงนักเดินทางที่ไม่พิษภัย
“ข้าเบื่อจะฆ่าแล้ว” เมิร์คพูดอย่างเยือกเย็น พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “ดังนั้นวันนี้คือวันโชคดีของพวกเจ้า เจ้ามีโอกาสเดียวที่จะหันหลังและวิ่งหนีไป”
ความเงียบงันอันตึงเครียดปกคลุมไปชั่วขณะ ต่างมองหน้ากันและกัน กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี
“เจ้าฆ่าเพื่อนของเรา” โจรคนหนึ่งกรีดร้องออกมา
“คนที่เคยเป็นเพื่อนของเจ้า” เมิร์คแก้คำพูด “และถ้าเจ้ายังพูดต่อไป เจ้าจะกลายเป็นแบบนั้นเช่นกัน”
โจรถลึงตาและยกไม้ตะบองขึ้นมา
“พวกข้ายังมีกันอีกเจ็ดคน เจ้าตัวคนเดียว วางมีดนั่นลงช้า ๆ ยกมือของเจ้าขึ้น แล้วเราจะไม่หั่นเจ้าเป็นชิ้น ๆ”
เมิร์คยิ้มกว้างกว่าเดิม เขาเบื่อเต็มที เขารู้ว่ากำลังฝืนความต้องการที่จะฆ่า ต่อต้านว่าเขาเคยเป็นใคร การกลับมาเป็นนักฆ่าอย่างที่เขาเคยเป็นมันง่ายกว่าการหยุดต่อสู้
“เจ้าได้รับคำเตือนแล้ว” เขาพูด พร้อมส่ายหัว
โจรพุ่งเข้าใส่ ยกตะบองขึ้นสูงและเหวี่ยงลงอย่างบ้าคลั่ง
เมิร์ครู้สึกประหลาดใจ ผู้ชายร่างใหญ่ เขาเหวี่ยงได้รวดเร็วกว่าที่คิดไว้ แต่ยังดูเทอะทะเกินไป เมิร์คเพียงแค่ก้มตัวลง แทงมีดเข้าไปที่ลำไส้ กระโดดหลบไปด้านข้าง และปล่อยให้เขาล้มหน้าคว่ำลงไปในกองดิน
โจรอีกคนพุ่งเข้ามา ยกมีดสั้นขึ้น เล็งไปที่หัวไหล่ของเมิร์ค เมิร์คจับข้อมือของเขา หักเปลี่ยนทิศทาง และทิ่มมีดเข้าไปที่หัวใจของเขาด้วยมีดของเขาเอง
เมิร์คมองเห็นโจรอีกคนยกธนูขึ้นมาและเล็งเป้า เขาคว้าตัวโจรอีกคนอย่างรวดเร็ว หมุนตัวเขา และใช้เขาเป็นโล่มนุษย์ ตัวประกันของเขาร้องลั่นในขณะที่ลูกธนูทะลุทะลวงเข้าไปยังหน้าอกของเขา
หลังจากนั้นเมิร์คผลักชายที่กำลังจะตายไว้ข้างหน้า พุ่งเข้าไปหาคนที่ถือธนูอยู่ ขวางเส้นทางการยิงของเขา ยกมีดขึ้นมาและขว้างออกไป มีดหมุนควงรอบตัว ผ่านพื้นที่โล่งจนไปปักอยู่ที่คอของชายคนนั้น และปลิดชีพของเขา
พวกมันเหลืออยู่สามคน ตอนนี้พวกมันมองไปที่เมิร์คด้วยสีหน้าลังเลใจ ราวกับกำลังชั่งใจว่าจะสู้หรือจะหนี
“พวกเรามีกันสามคน มันแค่คนเดียว” โจรคนหนึ่งพูดออกมา “ลุยไปพร้อม ๆ กันเลย!”
พวกมันทั้งหมดพุ่งเข้ามา เมิร์คยืนอยู่ กำลังรออย่างอดทน ผ่อนคลาย เขาไม่มีอาวุธ และนั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ บ่อยครั้งที่เขาพบว่า วิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดศัตรูเมื่อเขามีจำนวนน้อยกว่า คือการใช้อาวุธของพวกมันเองจัดการพวกมัน
เมิร์ครอให้คนแรกฟันมาที่เขา เด็กผู้ชายท่าทางเซ่อซ่า พุ่งเข้ามาอย่างงุ่มง่ามพร้อมดาบในมือ ฟาดลงมาเต็มกำลังแบบไร้เทคนิค เมิร์คหลบตัวไปด้านข้าง จับข้อมือของเด็กผู้ชาย แล้วหักมัน ปลดอาวุธจากมือและปาดคอของเขา ในขณะที่คนที่สองเข้ามา เมิร์คหมุนตัวไปด้านหลังและฟันเข้าไปที่หน้าอก เขาหันกลับมาและเจอกับโจรคนที่สาม เขากว้างดาบออกไป มันเป็นการเคลื่อนไหวที่โจรคาดไม่ถึง ดาบหมุนเคว้งและปักลงบนหน้าอกของโจรคนนั้น ทำให้เขาล้มลงไป
เมิร์คมองไปรอบ ๆ ศพของผู้ชายแปดรายนอนเรียงรายอยู่ เขายืนมองดูผลงานด้วยสายตาของมือสังหารระดับพระกาฬ เขาสังเกตเห็นหนึ่งในพวกมัน ชายที่ถือตะบองยังมีชีวิตอยู่ นอนดิ้นกุมท้องของเขา เมิร์คคนเก่าเข้าครอบงำ เขาเดินตรงไปหาชายคนนั้นอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกยังไม่พอใจ อย่าปล่อยให้ศัตรูคนใดรอดชีวิต อย่าปล่อยให้พวกมันเห็นหน้าของเจ้า
เมิร์คเดินไปด้วยท่าทีปกติ เตะโจรด้วยรองเท้าบูท และเตะจนมันหงายหลัง โจรมองขึ้นมา เลือดไหลออกจากปาก ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ได้โปรด…อย่า” เขาร้องขอชีวิต “ข้าน่าจะปล่อยเจ้าไป”
เมิร์คยิ้ม
“น่าจะหรือ?” เขาถาม “นั่นมันก่อนหรือหลังจากที่เจ้าทรมานข้าล่ะ?”
“ได้โปรดเถิด!” โจรตะโกนร้องออกมา เริ่มร้องไห้ “เจ้าบอกว่าเจ้าละทิ้งความรุนแรงแล้ว!”
เมิร์คโน้มตัวกลับและคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น
“เจ้าพูดถูก” เขาพูด
โจรมองตาปริบ ๆ มีความหวังในแววตาของเขา
“ใช่ข้าพูด” เมิร์คเสริม “แต่ในวันนี้ เจ้าได้ปลุกบางอย่างในตัวข้า บางอย่างที่ข้าอดกลั้นเอาไว้อย่างดี”
“ได้โปรด!” โจรร้องคร่ำครวญ
“ข้าสงสัย” เมิร์คพูดอย่างไตร่ตรอง “ผู้หญิงและเด็กบริสุทธิ์จำนวนเท่าไรที่เจ้าได้เข่นฆ่าบนเส้นทางนี้?”
โจรยังคงคร่ำครวญ
“ตอบข้ามา!” เมิร์คตะโกน
“มันสำคัญอะไรนักหรือ?” โจรตอบกลับ
เมิร์คจ่อปลายดาบลงบนต้นคอของโจร
“มันสำคัญกับข้า” เมิร์คพูด “อย่างยิ่ง”
“ตกลง ตกลง!” เขาตะโกนออกมา “ข้าไม่รู้ น่าจะเป็นโหล? หลายร้อยคน? มันคือสิ่งที่ข้าทำมาตลอดชีวิต”
เมิร์คคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น อย่างน้อยมันคือคำตอบที่ซื่อสัตย์
“ตัวข้าเองได้สังหารคนจำนวนมากในชีวิตของข้า” เมิร์คพูด “ไม่ใช่ทั้งหมดที่ข้ารู้สึกดี แต่ทั้งหมดมีเหตุหรือจุดประสงค์ บางครั้งข้าถูกล่อลวงให้สังหารผู้บริสุทธิ์ ในกรณีเช่นนั้น ข้าจะสังหารคนที่จ้างวานข้าเสมอ ข้าไม่เคยสังหารผู้หญิง และไม่เคยสังหารเด็ก ข้าไม่เคยหมายตาผู้บริสุทธิ์ หรือผู้ไร้การต่อสู้ ข้าไม่เคยปล้นและไม่เคยคดโกง ข้าคิดว่าสิ่งนั้นอาจทำให้ข้าเป็นพ่อพระได้บ้าง” เมิร์คพูด ยิ้มรับมุกตลกของตัวเอง
เขาถอนหายใจ
“แต่เจ้า” เขาพูดต่อ “เจ้ามันเศษขยะ”
“ได้โปรด!” โจรร้องออกมา “เจ้าฆ่าคนไม่มีอาวุธไม่ได้!”
เมิร์คครุ่นคิดกับคำพูดนั้น
“เจ้าพูดถูก” เขาพูด และมองไปรอบ ๆ “เห็นดาบที่อยู่ข้าง ๆ เจ้าไหม? จับมันขึ้นมา”
โจรมองไปที่ดาบด้วยแววตาหวาดกลัว
“ไม่” เขาร้องลั่น ตัวสั่นเทา
“จับมัน” เมิร์คพูด พร้อมกดปลายดาบลงที่คอของโจร “หรือจะให้ข้าฆ่าเจ้าซะ”
ในที่สุดโจรก็เอื้อมมือไปหยิบด้ามจับของดาบ และถือด้วยมือที่สั่นเครือ
“เจ้าฆ่าข้าไม่ได้!” โจรตะโกนอีกครั้ง “เจ้าสาบานว่าจะไม่ฆ่าใครอีกแล้ว!”
เมิร์คยิ้มกว้าง ภายในท่วงท่าเดียว เขาแทงดาบลงไปที่หน้าอกของโจร
“สิ่งดี ๆ เกี่ยวกับการเริ่มต้นใหม่” เมิร์คพูด “คือยังมีวันพรุ่งนี้เสมอ”
บทที่สิบเอ็ด
ไคร่าวิ่งฝ่าหิมะที่กำลังตกหนัก กรุยทางที่เต็มไปด้วยกิ่งไม้หนา เสียงร้องของมังกรยังคงดังกึกก้องอยู่ในหูของเธอ เธอวิ่งอย่างรวดเร็วออกไปยังที่โล่ง เมื่อหยุดชะงัก ความคาดหวังของเธอไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า
ลมหายใจของเธอหยุดนิ่ง ไม่ใช่เพราะพายุหิมะหรือความหนาวเหน็บหรือแรงลม แต่มันคือสิ่งที่เธอมองเห็น สิ่งที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต เธอเคยได้ยินเรื่องราวที่พ่อของเธอเล่าให้ฟังคืนแล้วคืนเล่าในห้องนอน ตำนานมังกรโบราณ เธอเคยสงสัยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เธอพยายามนึกภาพในจินตนาการ และเธอไม่เคยเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง
จนกระทั่งตอนนี้
ภาพเบื้องหน้าที่ห่างออกไม่ถึงยี่สิบฟุต ไคร่าตกตะลึงตัวแข็งทื่อ เมื่อพบว่าตัวของเธอยืนประจันหน้าอยู่กับมังกรของจริงที่กำลังหายใจ มันช่างน่ากลัว แต่ก็ดูงดงามในเวลาเดียวกัน มันกรีดร้องในขณะที่นอนเอียงตัวอยู่ พยายามลุกขึ้นแต่ทำไม่ได้ ปีกข้างหนึ่งกำลังกระพือ ส่วนอีกข้างเหมือนจะใช้การไม่ได้ มังกรตัวมหึมา ขนาดใหญ่ยักษ์ เกล็ดสีแดง แต่ละเกล็ดของมันมีขนาดเท่ากับตัวของเธอ ไคร่าสังเกตเห็นต้นไม้หักจำนวนมาก มันคงตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างแน่นอน ทำให้พื้นที่ตรงนี้โล่ง มันนอนอยู่บนเนินหินผาที่ปกคลุมด้วยหิมะใกล้กับแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว
ขณะที่เธอจ้องมอง อ้าปากค้าง ไคร่าพยายามปะติดปะต่อความคิดกับภาพที่เธอเห็น มังกรอยู่ที่นี่ ในเอสคาลอน ในโวลิส ในป่าแห่งหนาม มันเป็นไปไม่ได้ เธอรู้ว่ามังกรอาศัยอยู่อีกฟากหนึ่งของโลก และไม่เคยมีอยู่จริงในชีวิตของเธอ ในช่วงเวลาของพ่อหรือปู่ของเธอ ไม่เคยมีใครเห็นมังกรในเอสคาลอน หรือใกล้กับโวลิส มันดูไม่มีเหตุผล
เธอกระพริบตาหลายครั้งและขยี้ตาของเธอ กำลังคิดว่ามันต้องเป็นภาพลวงตา
มังกรยังคงอยู่ที่นั่น กรีดร้องขึ้นอีกครั้ง ขูดกรงเล็บของมันลงในหิมะ เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดง เห็นได้ชัดว่ามันได้รับบาดเจ็บ และมันคือมังกรอย่างแน่นอนที่สุด
ไคร่ารู้ว่าเธอควรหันหลังกลับและหนีไป มังกรตัวนี้สามารถฆ่าเธอได้ด้วยการพ่นไฟเพียงครั้งเดียว หรือแค่แกว่งกรงเล็บของมัน เธอเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับอานุภาพของมังกร ความเกลียดชังของมังกรที่มีต่อมนุษย์ มันสามารถฉีกมนุษย์ออกเป็นชิ้น ๆ ได้ในพริบตา หรือกวาดล้างหมู่บ้านด้วยการพ่นไฟเพียงครั้งเดียว
แต่บางอย่างภายในตัวของเธอทำให้เธอยังยืนคงอยู่และไม่ไปไหน เธอไม่รู้ว่ามันคือความกล้าหาญ ความโง่เขลา หรือความสิ้นหวังของเธอกันแน่ หรืออาจเป็นบางอย่างที่ลึกลงไป เธอรู้สึกถึงสายสัมพันธ์ที่มีต่อสัตว์ร้ายนี้ ซึ่งเธอไม่สามารถเข้าใจได้
มันกระพริบตาช้า ๆ จ้องมองกลับมาด้วยความตกใจเช่นกัน สิ่งที่ทำให้ไคร่าหวาดกลัวมากที่สุดไม่ใช่เขี้ยวหรือกรงเล็บหรือขนาดของมัน แต่เป็นดวงตาที่มีขนาดใหญ่มาก ดวงตาสีเหลืองส่องสว่าง ช่างดูดุร้าย มีจิตวิญญาณและมันมองมาที่เธอ ขนแขนของเธอตั้งชันในขณะที่เธอคิดว่ามันคือแววตาเดียวกับที่เธอมองเห็นบนภาพสะท้อนของเธอในทะเลสาบแห่งความฝัน
ไคร่ารวบรวมสติ เธออาจจะโดนฆ่าได้ แต่มังกรไม่ได้พ่นไฟ มันกลับจ้องมองมาที่เธอแทน มันกำลังเลือดออก เลือดของมันไหลเป็นทางบนหิมะลงไปสู่แม่น้ำ ไคร่ารู้สึกเจ็บปวดที่ได้เห็น เธอต้องการช่วยเหลือมัน ยิ่งไปกว่านั้น มันคือภาระหน้าที่ของเธอ ทุกกลุ่มในอาณาจักรล้วนมีคำสัตย์ กฎของครอบครัวอันศักดิ์สิทธิที่พวกเขายึดถือ การไม่ปฏิบัติตามจะนำคำสาปมายังครอบครัว กฎครอบครัวของเธอที่ถูกส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น คือการไม่ฆ่าสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ มันคือเหรียญตราตระกูลของพ่อ อัศวินที่กำลังแบกหมาป่า ครอบครัวของเธอได้ยึดถือมานานหลายรุ่น กฎในการช่วยเหลือเมื่อพบกับสัตว์ที่บาดเจ็บ
ไคร่าจ้องมองมังกร มันกำลังหายใจอย่างเหนื่อยหอบ อ้าปากพะงาบ ๆ หัวใจของเธอรับรู้ได้และเธอนึกถึงภาระหน้าที่ของครอบครัว เธอรู้ว่าการหันหลังกลับจะนำคำสาปอันเลวร้ายมาสู่ครอบครัวของเธอ และเธอจึงตัดสินใจที่จะรักษามันให้ดีขึ้น ไม่ว่าต้องเสี่ยงกับอะไรก็ตาม
ในขณะที่ไคร่ายืนอยู่ที่นั่นเหมือนถูกตรึงเอาไว้ เธอไม่สามารถขยับตัวได้ เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถเดินหนีไปโดยไม่มีเหตุผล เธอสัมผัสได้ถึงสายสัมพันธ์อันแรงกล้าที่มีต่อสัตว์ร้ายนี้มากกว่าที่เธอเคยมีกับสัตว์อื่น ๆ ในชีวิต มากกว่าแม้แต่กับเลโอที่เหมือนน้องชายแท้ ๆ ของเธอ เธอรู้สึกราวกับว่าเธอได้พบเพื่อนเก่าที่ห่างหายกันไปนาน เธอสามารถรู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลของมังกรและความดุร้าย การอยู่รอบตัวมันทำให้เธอได้รับแรงบันดาลใจ เธอรู้สึกราวกับว่าโลกนี้มีขนาดใหญ่ขึ้น
ไคร่ากำลังคิดว่าต้องทำอย่างไร เธอสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกิ่งไม้ถูกเหยียบ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ เสียงหัวเราะของพวกป่าเถื่อน เธอมองเห็นทหารแต่งกายในชุดสีแดงพร้อมขนสัตว์ ทหารของลอร์ด พวกเขากำลังเดินทอดน่องเข้าไปยังที่โล่ง ถือหอกและยืนอยู่เหนือมังกร
ทันใดนั้น ไคร่าต้องตกตะลึงเมื่อทหารได้แทงเข้าไปในซี่โครงของมังกร มันร้องออกมาและนอนขดตัว เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกแทง เห็นได้ชัดว่าทหารกำลังใช้โอกาสนี้เตรียมที่จะฆ่ามัน แต่ทำการทรมานมันก่อน ความคิดนี้ทำให้ไคร่าเจ็บปวดอย่างที่สุด
“เอาขวานของข้ามา ไอ้หนู!” ทหารตะโกน
เด็กผู้ชาย อายุราวสิบสามปี จูงม้าเข้ามายังที่โล่งอย่างระมัดระวัง เขาดูเหมือนทหารรับใช้และดูหวาดกลัวในขณะที่เข้าไปใกล้ เขามองดูมังกรและทำตามที่ได้รับคำสั่ง ดึงขวานยาวออกจากปลอกและวางลงในมือของผู้สั่งการ
ไคร่ามองดูด้วยความหวาดกลัว ทหารเข้ามาใกล้มากขึ้น คมดาบส่องประกายสะท้อนกับแสงจันทร์
“ข้าขอบอกว่าสิ่งนี้จะต้องเป็นของถ้วยรางวัลชั้นเลิศ” เขาพูดอย่างภูมิใจ “พวกเขาจะต้องร้องเพลงสรรเสริญข้าไปชั่วลูกชั่วหลาน การฆ่าที่ไร้เทียมทาน”
“แต่ท่านไม่ได้ฆ่ามัน!” ทหารรับใช้เถียง “ท่านพบมันบาดเจ็บ!”
ทหารหันกลับมา และหันคมมีดไปที่คอของเด็กผู้ชายด้วยท่าทีข่มขู่
“ข้าฆ่ามัน ไอ้หนู เจ้าเข้าใจไหม?”
เด็กผู้ชายกลืนน้ำลาย และค่อย ๆ พยักหน้า
ทหารหันกลับไปที่สัตว์ร้าย ยกขวานของเขาขึ้น มองหาจุดอ่อนที่คอของมังกร มังกรพยายามจะหนี พยายามยกตัวของมันขึ้น แต่มันไม่สามารถทำได้
มังกรหันไปและมองตรงมาที่ไคร่า ราวกับจดจำเธอได้ แววตาสีเหลืองของมันส่องประกาย เธอสามารถรับรู้ได้ว่ามันกำลังอ้อนวอนเธอ
ไคร่าไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว
“อย่า!” เธอตะโกนร้องออกมา
โดยไม่ทันได้คิด ไคร่าวิ่งออกไป พุ่งตังลงตามเนินเขา ไถลไปในหิมะ เลโอวิ่งอยู่เคียงข้างเธอ เธอไม่สนใจว่าการเผชิญหน้ากับทหารของลอร์ดถือเป็นอาชญากรรมที่สามารถต้องโทษประหารได้ หรือการเปิดเผยตัวและการกระทำของเธอสามารถทำให้เธอถูกฆ่า เธอคิดเพียงแต่ว่าต้องช่วยชีวิตมังกรเท่านั้น เพื่อทำการปกป้องสิ่งที่บริสุทธิ์
เธอกระโจนไปข้างหน้าพร้อมกับดึงธนูออกมาจากไหล่ ใส่ลูกธนูและเล็งไปที่ทหารของลอร์ด
ทหารมีทีท่าตกใจที่เห็นคนอื่นอยู่ที่นั่น ออกมาจากกลางป่า ไม่คิดว่าจะเป็นเด็กผู้หญิง และเล็งธนูมาที่เขา เขายืนอยู่พร้อมขวานในมือ ตัวแข็งทื่อในอากาศ จากนั้นค่อย ๆ ลดมือต่ำลง เขาหันมาและเผชิญหน้ากับเธอ
แขนของไคร่าสั่นคลอนในขณะง้างธนูขึ้นและเล็งไปที่อกของชายคนนั้น เธอไม่ต้องการที่จะยิง เธอไม่เคยฆ่าคนมาก่อน และไม่แน่ใจว่าสามารถทำได้
“ลดขวานของเจ้าลง” เธอออกคำสั่ง พยายามทำเสียงให้ดูดุร้ายที่สุด เธอหวังว่าน้ำเสียงของเธอจะเหมือนเสียงบัญชาการของพ่อ
“เจ้าเป็นใครมาสั่งข้า?” ชายคนนั้นถามกลับมาในเสียงที่เย้ยหยัน
“ข้าคือไคร่า” เธอตะโกนออกมา “บุตรสาวของดันแคน ผู้บัญชาการแห่งโวลิส” เธอเน้นเสียงไปที่ประโยคสุดท้าย หวังจะทำให้เขากลัวเพื่อถอยไป
แต่เขากลับยิ้มกว้างขึ้น
“ตำแหน่งไร้ค่า” เขาโต้ตอบ “เจ้ารับใช้แพนดิเซีย เช่นเดียวกับส่วนที่เหลือของเอสคาลอน เจ้ารับคำสั่งจากลอร์ดผู้ว่า เหมือนเช่นคนอื่น”
เขามองเธอหัวจรดเท้าและเลียริมฝีปากของเขา จากนั้นก้าวเดินเข้าไปหาเธอ เขาปราศจากความกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้ารู้บทลงโทษในการเล็งอาวุธมาที่ทหารของลอร์ดหรือไม่ เด็กน้อย? ข้าสามารถสั่งขังเจ้า พ่อของเจ้าและคนทั้งหมดของเจ้าได้เพราะเรื่องนี้”
ทันใดนั้นมังกรก็หายใจอย่างรุนแรง พยายามอ้าปาก ทหารหันกลับไป มันกำลังพยายามจะพ่นไฟแต่ไม่สามารถทำได้
ทหารมองหันกลับมาที่ไคร่า
“ข้ามีงานต้องทำ!” เขาตะคอกใส่เธออย่างหงุดหงิด “วันนี้เจ้าโชคดี หนีไปซะ กลับไปหาพ่อของเจ้า และขอบคุณพระเจ้าที่ข้าปล่อยให้เจ้ามีชีวิต ไสหัวไป!”
เขาหันหลังให้เธออย่างเหยียดหยาม ไม่สนใจเธอโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าเธอไร้พิษภัย เขายกขวานของเขาขึ้นอีกครั้ง ก้าวไปข้างหน้า และถือมันเหนือคอของมังกร
ไคร่าได้รู้สึกว่าความเกรี้ยวกราดกำลังถาโถมเข้าสู่ตัวเธอ
“ข้าจะไม่เตือนเจ้าอีกครั้ง!” เธอตะโกนออกมา ครั้งนี้เสียงของเธอต่ำลง เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เธอต้องการสื่อ ทำให้แม้แต่ตัวของเธอเองก็ต้องประหลาดใจ
เธอง้างธนูมากขึ้น ทหารหันมาและมองไปที่เธอ ครั้งนี้เขาไม่ยิ้ม ราวกับรับรู้ว่าเธอกำลังเอาจริง ไคร่าสับสนเมื่อเห็นเขามองข้ามไหล่เธอไป ราวกับมองอะไรบางอย่างข้างหลังเธอ จากนั้นเธอสามารถรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวจากนอกสายตา แต่มันสายไปเสียแล้ว
ไคร่าถูกกระแทกจากด้านข้าง เธอลอยกระเด็นไป และธนูของเธอหลุดออกจากมือ ลูกธนูถูกยิงขึ้นไปกลางอากาศ ขณะที่ร่างกายใหญ่กำยำอยู่บนตัวเธอและกระแทกเธอลงไปที่พื้น เธอล้มลงบนหิมะ ลึกมากจนยากที่จะหายใจ
ไคร่ารู้สึกงุนงง พยายามหาทางกลับขึ้นไปยังพื้นผิวเพื่อหาทหารที่อยู่บนตัวเธอ เขาตรึงเธอไว้ เธอเห็นทหารของลอร์ดสี่คนยืนล้อมรอบเธอ เธอจึงรู้ว่าพวกมันมีจำนวนมากกว่าที่คิด พวกมันซ่อนตัวอยู่ในป่า ช่างโง่อะไรเช่นนี้ เธอคิดว่าทหารคนนั้นอยู่เพียงลำพัง คนพวกนี้ต้องแอบซ่อนอยู่ข้างนอกนั่นมาตลอดอย่างแน่นอน นั่นคือสาเหตุที่ทหารคนแรกถึงดูไม่กลัว แม้ว่าเธอจะเล็งธนูไปที่เขา
ทหารสองคนลากเท้าของเธออย่างรุนแรง ขณะที่อีกสองคนเดินเข้ามาใกล้ พวกเขามีท่าทีที่โหดร้าย ใบหน้าป่าเถื่อน ไม่โกนหนวดเครา กระหายเลือด หรืออาจจะเลวร้ายกว่านั้น ทหารคนหนึ่งเริ่มปลดเข็มขัดของเขาออก
“เด็กผู้หญิงกับธนูน้อยงั้นหรือ?” คนหนึ่งถามออกมาอย่างเยาะเย้ย
“เจ้าควรอยู่ที่บ้านในป้อมปราการของพ่อเจ้า” อีกคนหนึ่งพูด
เสียงคำรามดังขึ้น เลโอกระโจนผ่านหิมะ ตะปบไปที่ทหารคนหนึ่งและตรึงเขาลงไป
ทหารอีกคนหันไปและเตะเลโอ แต่เลโอหันมาและกัดเข้าที่ข้อเท้าของเขา ทำให้เขาล้มลง เลโอหันกลับมา พุ่งตัวเข้าใส่ระหว่างทหารสองคน คำรามและกัดขาในขณะที่เขาเตะสู้กลับ
ทหารอีกสองคนพยายามควบคุมไคร่า เลโอกำลังต่อสู้ เธอรู้สึกถึงคลื่นแห่งความตระหนก ความรู้สึกประหลาด ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ของเธอเป็นเช่นนี้ เธอรู้ว่าเธอไม่ได้ตระหนกเรื่องของตัวเอง แต่เธอนึกถึงมังกร เธอมองเห็นทหารคนแรกยกขวานขึ้นอีกครั้ง เขาหันไปและเดินเข้าใกล้มัน เธอรู้ว่าอีกไม่ช้า มันจะต้องตายอย่างแน่นอน
ไคร่าตอบสนองโดยไม่รู้ตัว เมื่อทหารคนหนึ่งเผลอผ่อนแรงแขน ทำให้เขาไม่ระวังตัว เธอเอื้อมไปข้างหลัง ดึงฝักไม้เท้าออกมาจากหลังของเธอ และใช้ความรวดเร็วฟาดหนึ่งในพวกเขาบนจุดตายที่ขมับได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาล้มลงก่อนที่จะทันโต้กลับ
จากนั้นเธอดึงไม้เท้าของเธอกลับมา เลื่อนมือจับสูงขึ้นเพื่อใช้ในระยะประชิด เธอแทงทหารอีกคนไปที่ดั้งจมูกของเขา เขาร้องครวญคราง เลือดไหลทะลัก และล้มลงคุกเข่า
ไคร่ารู้ว่านี่คือโอกาสที่จะจัดการทหารสองคน ตอนนี้พวกเขาล้มหมอบ เลโอตรึงอีกสองคนเอาไว้และกำลังต่อสู้อยู่
แต่หัวใจของเธอยังอยู่กับมังกร มันคือสิ่งเดียวที่เธอคิดได้ และเธอรู้ว่าไม่มีเวลาอีกแล้ว เธอจึงวิ่งไปหาธนูของเธอ หยิบมันขึ้นมา และใส่ลูกธนู แทบจะไม่มีแม้แต่เวลาคิด เธอเตรียมพร้อมที่ยิง เธอรู้ว่าเธอยิงได้เพียงครั้งเดียง และมันต้องทำให้ได้ มันจะเป็นการยิงครั้งแรกที่เธอนำมาใช้ การต่อสู้จริงในความมืดมิด ท่ามกลางเมฆหมอกหิมะและกระแสลม ระหว่างต้นไม้และกิ่งก้านสาขา เป้าหมายที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบหลา มันจะเป็นการยิงครั้งแรกที่มีชีวิตของเธอเป็นเดิมพัน
ไคร่ารวบรวมสมาธิถึงการฝึกฝนที่ผ่านมา วันเวลาและค่ำคืนของการฝึกยิงที่ยาวนาน ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ภายในตัวของเธอ เธอผลักดันให้ตัวเองเพ่งสมาธิ บังคับตัวเธอกลายเป็นอาวุธของเธอเอง
ไคร่าง้างธนูและยิงออกไป เวลาเดินช้าลงในขณะที่เธอมองดูลูกธนูลอยไป เสียงลูกธนูแหวกผ่านอากาศ ไม่แน่ใจว่าจะโดนเป้าหมายหรือไม่ มันมีตัวแปรมากเกินไป ทั้งแรงลม กิ่งไม้ที่สั่นไหว มือที่หนาวเย็นของเธอ และการเคลื่อนไหวของทหาร
ไคร่าได้ยินเสียงลูกธนูพุ่งเข้าเป้า เสียงร้องทหารดังตามมา เธอมองหน้าของเขาท่ามกลางแสงจันทร์ ใบหน้าของเขาบูดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ขวานหลุดออกจากมือของเขา เขาล้มตัวลงนอนแน่นิ่ง
มังกรมองมาที่ไคร่า เธอสบสายตากับมัน แววตาสีเหลืองขนาดใหญ่ ส่องประกายแม้แต่ในยามค่ำคืนที่มืดมิด ดูเหมือนมันจะรับรู้ได้ว่าเธอทำอะไรลงไป ในจังหวะนั้นเธอรู้สึกราวกับมันรู้ว่าเธอได้ช่วยมันไว้ และนั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาได้สร้างสายสัมพันธ์แห่งชีวิต
ไคร่ายืนอยู่ที่นั่นด้วยความตกใจ แทบจะไม่เชื่อกับสิ่งที่เธอทำ เธอฆ่าคนจริง ๆ หรือนี่? และไม่ใช่คนทั่วไป แต่เป็นทหารของลอร์ด เธอแหกกฎอันศักดิ์สิทธิ์ของเอสคาลอน มันคือการกระทำที่ไม่มีทางย้อนกลับ การกระทำที่สามารถปะทุสงคราม และทำให้ผู้คนทั้งหมดต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง นี่เธอทำอะไรลงไป?
แต่กระนั้นก็ตาม เธอกลับไม่รู้สึกเสียใจ ไม่สงสัยในสิ่งที่เธอทำลงไป เธอรู้สึกว่าเธอได้ก้าวเข้าสู่โชคชะตา
ความเจ็บปวดอันรุนแรงที่คางทำให้เธอหลุดออกมาจากความคิดนั้น ไคร่ารู้สึกหน้ามืด กำปั้นแข็ง ๆ กระแทกเข้ากับผิวหนังของเธอ โลกของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เธอกระเด็นล้มลงไป เธอโดนต่อยเข้าที่ใบหน้า และล้มลงไปในหิมะ มองเห็นดาวระยิบระยับ โลกของเธอหมุนเคว้ง ก่อนที่เธอจะรวบรวมสติได้เธอถูกเตะเข้าที่ซี่โครง จากนั้นทหารคนที่สองกระแทกเธอและกดหน้าเธอลงไปในหิมะ
ไคร่าอ้าปากกว้างเพื่อที่จะหายใจ ในขณะที่ทหารกระชากตัวเธอ เธอยืนอยู่ที่นั่น เผชิญหน้ากับทหารสองคนที่เธอไว้ชีวิต เลโอขู่คำราม แต่มันยังสู้อยู่กับทหารอีกสองคน ทหารคนหนึ่งมีเลือดออกจากจมูกและอีกคนเลือดออกจากขมับ ไคร่าควรจะฆ่าพวกเขาตอนที่เธอมีโอกาส เธอพยายามด้วยกำลังทั้งหมดที่มี เพื่อสลัดตัวให้หลุดจากพวกเขา แต่มันไร้ประโยชน์ เธอมองเห็นแววตาอาฆาตแค้นในดวงตาของพวกเขา
หนึ่งในพวกเขามองกลับไปยังผู้บัญชาการ จากนั้นก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นและยิ้มเยาะ
“ยินดีด้วย” เขาส่งเสียงขู่ “พรุ่งนี้เช้า ป้อมปราการของเจ้า ผู้คนของเจ้า จะถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง”
เขาใช้หลังมือตบลงมา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เธอสะดุดถอยไป
ทหารอีกคนจับเธอขึ้นมา และกดมีดของเขาลงบนคอของเธอ ขณะที่อีกคนเอื้อมไปจับเข็มขัดของเขา
“ก่อนที่เจ้าจะตาย เจ้าจะต้องจดจำพวกเรา” เขาพูด “มันจะเป็นความทรงจำสุดท้ายในชีวิตอันแสนสั้นของเจ้า”
ไคร่าได้ยินเสียงร้องโหยหวน เธอมองข้ามไหล่ไปและเห็นหนึ่งในทหารแทงเลโอ เธอรู้สึกสะดุ้งราวกับตัวของเธอเองถูกแทง เลโอไร้ซึ่งความกลัว มันฝังเขี้ยวลงบนข้อมือของทหาร
ไคร่ารู้สึกถึงคมมีดที่อยู่เหนือคอของเธอ เธอต้องช่วยตัวเองแล้ว แทนที่เธอจะกลัว เธอกลับรู้สึกได้รับการปลดปล่อย เธอรู้สึกถึงความโกรธที่ก่อตัวขึ้นภายในตัวของเธอ ความปรารถนาที่จะแก้แค้นทหารของลอร์ด ผู้ชายคนนี้ เธอมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว เธออาจจะล้มลง แต่เธอจะไม่ล้มโดยไม่ลุกขึ้นต่อสู้
เธอรอจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย ทหารก้าวเข้ามาใกล้และจับเสื้อของเธอ เธอวางเท้าข้างหนึ่ง กระโดดโน้มตัวไปข้างหลัง และใช้ความคล่องตัวของเธอเตะตรงขึ้นไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี
ไคร่าเตะเข้าระหว่างขาของทหารด้วยความรุนแรง เขาร้องออกมาและลงไปนั่งคุกเข่า ในเวลาเดียวกัน เลโอผละออกมาจากทหารสองคน มันวิ่งมาแล้วพุ่งเข้าใส่ทหารคนที่เธอทำให้ล้มลง และฝังเขี้ยวของมันลงบนคอของเขา
เธอหันมาเผชิญกับทหารอีกคน คนสุดท้ายที่ยังยืนอยู่ เขาชักดาบออกมาและประจันหน้ากับเธอ ไคร่าหยิบไม้เท้าของเธอขึ้นมาจากหิมะ และเขาหัวเราะ
“ไม้เท้าเจอกับดาบ” เขาเย้ยหยัน “ยอมแพ้เสียดีกว่า ความตายของเจ้าจะได้ไม่เจ็บปวด”
เขาพุ่งเข้ามาและเหวี่ยงดาบมาที่เธอ สัญชาตญาณของไคร่าตื่นขึ้น เธอนึกถึงตัวเธอเองที่สนามซ้อมรบ ในขณะที่เขาตวัดดาบ เธอหลบไปทางซ้ายและทางขวา ใช้ความเร็วของเธอเป็นข้อได้เปรียบ ทหารรูปร่างใหญ่และแข็งแรง เขากวัดแกว่งดาบขนาดใหญ่ แต่เธอตัวเบาและไม่มีสิ่งของถ่วงตัว เมื่อเขาเข้ามาพร้อมกับการโจมตีที่หมายจะหั่นเธอออกเป็นสองท่อน เธอหลบตัวไปด้านข้าง ทำให้เขาเสียหลัก เธอหมุนไปรอบ ๆ พร้อมกับไม้เท้าของเธอ และฟาดลงบนหลังข้อมือจนดาบของเขาหลุดออก หล่นหายไปในหิมะ
เขามองกลับมาที่เธอ รู้สึกตกใจ จากนั้นแสยะยิ้ม และพุ่งเข้าไปที่เธอด้วยมือเปล่า หมายว่าจะกระแทกใส่เธอ ไคร่ารออยู่แล้ว ในวินาทีสุดท้าย เธอก้มตัวลงต่ำและตั้งปลายไม้เท้าของเธอขึ้นตรง กระแทกเข้าไปที่คางของเขา การโจมตีนี้ทำให้คอของเขาหัก เขาร่วงลงกองกับพื้น ไม่เคลื่อนไหว เลโอกระโจนขึ้นบนตัวของเขาและฝังเขี้ยวไปที่คอ เพื่อให้แน่ใจว่าเขาตายแล้ว
ไคร่าคิดว่าทหารทั้งหมดตายแล้ว รู้สึกงุนงงเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอยู่ข้างหลัง เธอหันไปและพบว่าหนึ่งในทหารสองคนที่เลโอได้โจมตีลุกขึ้นยืน เขาเดินโขยกเขยกขึ้นขี่ม้า ชักดาบออกมาจากอานม้า ทหารวิ่งเข้ามาหาเลโอที่กำลังฝังเขี้ยวในคอของทหาร เลโอหันหลังให้เขา
หัวใจของไคร่าเต้นรัวอยู่กลางออก เธออยู่ไกลเกินไปที่จะเข้าไปทันเวลา
“เลโอ!” เธอร้องออกมา
แต่เลโอกำลังง่วนอยู่ และไม่ได้ยิน
ไคร่าคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็ต้องมองดูเลโอถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา ธนูของเธอยังอยู่ในหิมะ ไกลออกไปจากเธอ
เธอคิดอย่างรวดเร็ว เธอยกไม้เท้าของเธอขึ้นมา และหักมันด้วยเข่ากลายเป็นสองท่อน เธอใช้ท่อนหนึ่งที่มีปลายแหลม เล็งเป้าหมาย ง้างแขนไปข้างหลัง และขว้างออกไปเหมือนกับหอก
ท่อนไม้แหลมลอยแหวกไปในอากาศ เธอหวังว่ามันจะเข้าเป้า
ไคร่าหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเธอมองเห็นท่อนไม้เสียบทะลุคอของทหาร ก่อนที่เขาจะถึงตัวเลโอ ทหารสะดุดและล้มลงที่เท้าของเลโอ เขาตายสนิท
ไคร่ายืนอยู่ท่ามกลางความเงียบ หายใจเหนื่อยหอบ มองเห็นศพมากมายรายรอบตัวเธอ ทหารของลอร์ดห้าคนในหิมะ แดงฉานเต็มไปเลือด เธอไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือสิ่งที่เธอทำลงไป แต่ทันใดนั้น เธอเห็นการเคลื่อนไหวจากหางตา เธอหันไปและเห็นทหารรับใช้กำลังวิ่งไปที่ม้า
“เดี๋ยวก่อน!” ไคร่าตะโกน
เธอรู้ว่าเธอต้องหยุดเขา ถ้าเขากลับไปหาลอร์ด เขาต้องบอกว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะรู้ว่าเธอเป็นคนทำ พ่อของเธอและผู้คนของเธอจะถูกฆ่า
ไคร่าหยิบธนูของเธอขึ้นมา เล็งไปที่เป้าหมาย รอจนกระทั่งเธอมองเห็นชัดเจน ในที่สุดเด็กผู้ชายก็ออกไปยังที่โล่ง เมื่อเมฆกระจายออกและแสงจันทร์ส่องสว่างลงมา เธอมีโอกาสที่จะยิง
แต่เธอไม่สามารถทำได้ เด็กผู้ชายไม่ได้ทำอะไร และบางอย่างภายในตัวของเธอทำให้เธอไม่สามารถฆ่าเด็กผู้ชายบริสุทธิ์ได้
ไคร่าลดธนูของเธอลงด้วยมือที่สั่นเทา มองดูเขาขี่ม้าจากไป รู้สึกแย่ที่เธอเป็นคนพิพากษาความตาย สงครามกำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ในขณะที่ทหารรับใช้หนีไป ไคร่ารู้ว่าเวลาของเธอสั้นลง เธอควรวิ่งกลับไปในป่า ไปที่ป้อมปราการของพ่อและเตือนพวกเขาทั้งหมดว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น พวกเขาต้องการเวลาสำหรับเตรียมทำสงคราม เพื่อปิดผนึกป้อม หรือหนีเพื่อเอาชีวิตรอด เธอรู้สึกว่าได้ทำผิดอย่างมหันต์
ไคร่าไม่มีที่ไหนให้ไปอีกแล้ว เธอยืนอยู่ตรงนั้น เหม่อลอยเหมือนถูกสะกดจิต มังกรกระพือปีก จ้องมาที่เธอ เธอรู้สึกว่าเธอต้องไปอยู่ข้างมัน
ไคร่าเดินอย่างรวดเร็วผ่านหิมะ ลงไปที่ริมฝั่ง มุ่งไปยังแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว จนกระทั่งเธอยืนอยู่เบื้องหน้าของมังกร มันยกคอขึ้นมาเล็กน้อยและมองมาที่เธอ ต่างมองตากัน มังกรจ้องมองเธอด้วยแววตาที่ไม่สามารถเข้าใจได้ ท่าทางของมันทำให้ไคร่าคิดว่าเธอได้รับการขอบคุณ และยังมีความโกรธที่เธอเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้
ไคร่าก้าวไปใกล้ขึ้น เลโอส่งเสียงขู่คำรามอยู่ข้างเธอ ยืนห่างออกไปไม่กี่ฟุต ลมหายใจของเธอติดอยู่ในลำคอ แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าเธอกำลังยืนอยู่ใกล้กับสัตว์ร้ายที่งดงามเช่นนี้ เธอรู้ว่ามังกรเป็นสัตว์ที่อันตรายแค่ไหน มังกรนี้สามารถฆ่าเธอได้เมื่อไรก็ตามที่มันต้องการ
ไคร่าค่อย ๆ ยกมือของเธอขึ้น มังกรดูเหมือนจะหน้าบูดบึ้ง หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความกลัว เธอสัมผัสกับเกร็ดของมัน ผิวของมันหยาบหนาและดูเก่าแก่ มันเหมือนการสัมผัสกับจุดเริ่มต้นของกาลเวลา มือของเธอสั่นระริกในขณะที่เธอใช้นิ้วลูบไล้ไปบนตัวมัน
การปรากฏตัวของมังกรช่างเป็นเรื่องลึกลับ ในใจของเธอมีคำถามนับล้านผุดขึ้นมา
“อะไรทำร้ายเจ้า?” ไคร่าถามในขณะที่กำลังลูบไล้เกร็ดของมัน “เจ้ามาทำอะไรที่โลกฝั่งนี้หรือ?”
เสียงคำรามออกมาจากส่วนลึกในลำคอของมัน ไคร่าถอนมือกลับมาด้วยความกลัว เธอไม่สามารถอ่านสัตว์ร้ายตัวนี้ได้ แม้ว่าเธอเพิ่งช่วยชีวิตมัน ไคร่ารู้สึกว่ามันเป็นความคิดที่แย่ในการเข้ามาใกล้ขนาดนี้
มังกรมองมาที่ไคร่า มันค่อย ๆ ยกกรงเล็บอันแหลมคมขึ้นมา จนกระทั่งแตะอยู่ที่คอของไคร่า ไคร่ายืนนิ่ง ตัวแข็งทื่อ หวาดผวา กำลังสงสัยว่ามันจะเฉือนคอของเธอหรือ
บางอย่างส่องแสงวาบในดวงตาของมัน ดูเหมือนมันจะเปลี่ยนใจ มันถอนกรงเล็บกลับไป และเธอต้องตกใจกับการเคลื่อนไหวที่สร้างรอยบาด
ไคร่ารู้สึกถึงความเจ็บปวดบนใบหน้า เธอร้องออกมาขณะที่กรงเล็บบาดแก้มของเธอ เลือดไหลออกมา มันเป็นเพียงรอยถลอก แต่มากพอที่จะทำให้ไคร่ารู้ว่ามันจะกลายเป็นแผลเป็น
ไคร่าเอื้อมมือแตะที่แผล มองดูเลือดสด ๆ ในมือของเธอ เธอรู้สึกถึงการทรยศและความสับสนอย่างรุนแรง เธอมองไปในแววตาสีเหลืองเป็นประกายของมังกรที่เต็มไปด้วยการต่อต้าน เธอไม่เข้าใจสัตว์ร้ายตัวนี้ มันเกลียดเธอหรือ? เธอทำพลาดงั้นหรือที่ช่วยชีวิตมันไว้? ทำไมมันทำแค่เพียงสร้างรอยแผลให้กับเธอแทนที่จะฆ่าเธอ?
“เจ้าคือใคร?” เธอถามอย่างนุ่มนวล รู้สึกกลัว
เธอได้ยินเสียง เสียงอันเก่าแก่ ดังก้องอยู่ในดวงจิตของเธอ
ธีออส
เธอตกใจ เธอมั่นใจว่านั่นคือเสียงของมังกร
ไคร่ารอว่ามันจะบอกอะไรเธออีก แต่ทันใดนั้น ธีออสทำลายความเงียบด้วยเสียงร้อง เอนหัวของมันไปข้างหลัง ดิ้นรนที่จะไปให้พ้นจากเธอ มันกระพือปีกอย่างบ้าคลั่ง พยายามที่จะบินอย่างสุดชีวิต
ไคร่าไม่เข้าใจว่าทำไม
“เดี๋ยวก่อน” เธอตะโกนออกมา “เจ้าบาดเจ็บ! ให้ข้าช่วยเจ้า!”
เธอรู้สึกเจ็บปวดที่เห็นมันกระพือปีกไปมา เลือดกระเซ็นออกจากบาดแผลของมัน ปีกอีกข้างไม่สามารถขยับได้ มังกรตัวใหญ่มากทำให้การกระพือปีกของมันแต่ละครั้งก่อให้เกิดเมฆหมอกหิมะขนาดใหญ่ พื้นสั่นไหว โลกสะเทือนและแตกเป็นเสี่ยง ท่ามกลางค่ำคืนหิมะอันเงียบสงบ มันกำลังพยายามสุดชีวิตที่จะบินขึ้นไป แต่ก็ไม่สามารถทำได้
“เจ้าต้องการไปที่ไหน?” ไคร่าตะโกนออกมา
ธีออสกระพือปีกอีกครั้ง ครั้งนี้มันกลิ้งลงไปที่หน้าผา โซเซไปมา ครั้งแล้วครั้งเล่า ควบคุมไม่ได้ มันไม่สามารถหยุดตัวเองได้ มันกลิ้งไปยังแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว
ไคร่ามองดูด้วยความกลัว เธอไม่สามารถทำอะไรได้ มังกรตกลงไปในแม่น้ำไหลเชี่ยวข้างล่าง
“ไม่!” เธอตะโกนออกมา และวิ่งไปข้างหน้า
แต่ไม่มีสิ่งใดที่เธอสามารถทำได้ กระแสน้ำเชี่ยวกราดพัดพาธีออสลอยไป กระเด็นกระดอนไปตามแม่น้ำ คดเคี้ยวผ่านป่า โค้งไปตามทาง และพ้นสายตาของเธอ
ไคร่ามองมังกรหายไป หัวใจของเธอเหมือนแตกสลายอยู่ภายใน เธอได้สละทุกอย่าง ชีวิตของเธอ โชคชะตาของผู้คนของเธอ เพื่อช่วยเหลือสัตว์ร้าย และตอนนี้มันจากไปแล้ว ทั้งหมดนี้เพื่ออะไร? เรื่องใดบ้างที่เป็นเรื่องจริง?
ไคร่าหันกลับไป และมองดูศพของทหารห้ารายที่ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ในหิมะ เลโออยู่ข้างเธอ มันได้รับบาดเจ็บ เธอรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดบนแก้ม มองดูเลือดในมือของเธอ ทุกอย่างคือเรื่องจริง เธอรอดชีวิตหลังจากพบกับมังกร เธอฆ่าทหารของลอร์ดห้าคน
หลังจากคืนนี้ เธอรู้ว่าชีวิตของเธอจะไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป
ไคร่าเห็นรอยเท้าม้าวิ่งตรงเข้าไปในป่า เธอนึกถึงเด็กผู้ชายที่ขี่ม้าไปเตือนคนของเขา เธอรู้ว่าทหารของลอร์ดจะต้องไปหาผู้คนของเธอ
ไคร่าตรงเข้าไปในป่า วิ่งไปพร้อมกับเลโอ แน่วแน่ที่จะกลับไปยังโวลิส เพื่อเตือนพ่อและผู้คนทั้งหมดของเธอ ถ้ามันยังไม่สายเกินไป