Kitabı oku: «กำเนิดราชันย์มังกร », sayfa 8

Yazı tipi:

บทที่สิบห้า

ไคร่าค่อย ๆ ลืมตาขึ้น รู้สึกสับสน สงสัยว่าเธออยู่ที่ไหน เธอมองดูเพดานสูงโปร่งที่ทำจากหิน แสงคบไฟสะท้อนจากกำแพง เธอรับรู้ได้ว่าเธอกำลังนอนอยู่บนเตียงขนสัตว์อันหรูหรา เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้ เธอล้มลงไปในหิมะ เธอคิดว่าเธอจะต้องตายอย่างแน่นอน

ไคร่ายกหัวของเธอขึ้นมาและมองไปรอบ ๆ คาดหวังว่าจะเจอกับป่าที่เต็มไปด้วยหิมะ แต่เธอต้องตกใจที่มองเห็นกลุ่มคนใบหน้าคุ้นเคยกำลังรายล้อมอยู่รอบเธอ พ่อของเธอ พี่น้องของเธอ แบรนดอน แบร็กซ์ตันและไอดาน เอนวิน อัทฟาเอล ไวดาร์ และเหล่านักรบชั้นยอดของพ่อ เธอได้กลับมาสู่ป้อมปราการ ในห้องของเธอ บนเตียงของเธอ พวกเขาทั้งหมดมองมาที่เธอด้วยความกังวล ไคร่ารู้สึกถึงแรงกดบนแขนของเธอ เธอหันไปพบกับไลรา แพทย์ประจำตัวของเธอ ไลรามีดวงตาสีน้ำตาลแดงกลมโตและผมสีเงินยาวสลวย กำลังยืนอยู่เพื่อตรวจชีพจรของเธอ

ไคร่าหลับตาลง เธอไม่ได้อยู่ในป่าอีกต่อไป เธอกลับมาบ้านแล้ว เธอได้ยินเสียงร้องครางอยู่ข้าง ๆ จมูกของเลโออยู่บนมือของเธอ และเธอรู้ว่ามันได้นำพวกเขามาหาเธอ

“เกิดอะไรขึ้น?” เธอถามอย่างสับสน พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด

ทุกคนดูเหมือนจะโล่งใจเป็นอย่างมากที่เห็นเธอตื่นขึ้นมา พ่อของเธอก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและโล่งใจ เขากุมมือของเธอแน่น ไอดานวิ่งเข้ามา จับมือของเธออีกข้างเอาไว้ เธอยิ้มออกมาที่เห็นน้องชายคนเล็กของเธออยู่เคียงข้าง

“ไคร่า” พ่อของเธอพูด น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเมตตา “เจ้าอยู่บ้านแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว”

ไคร่ามองเห็นความรู้สึกผิดบนใบหน้าของพ่อ เธอนึกถึงเรื่องราวทั้งหมด การโต้เถียงในคืนก่อนหน้านั้น เธอรู้ว่าพ่อต้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ คำพูดของเขาได้กดดันให้เธอหนีออกไป

ไคร่ารู้สึกเจ็บ เธอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดในขณะที่ไลราเอื้อมมือมาและใช้ผ้าเย็นแตะลงที่แก้มของเธอ มันต้องมีตัวยาอะไรบางอย่าง ความเจ็บปวดของเธอเริ่มบรรเทาลง

“น้ำของดอกลิลลี่” ไลราอธิบาย “ข้าต้องใช้ตัวยาหกชนิดด้วยกันเพื่อหาทางรักษาแผลนี้ ท่านโชคดีที่เราสามารถรักษาได้ อาการติดเชื้อแย่ลงมาก”

พ่อของเธอมองดูที่แก้มของเธอด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“บอกพวกเรามาว่าเกิดอะไรขึ้น” พ่อของเธอพูด “ใครทำสิ่งนี้กับเจ้า?”

ไคร่าประคองตัวเองขึ้นด้วยศอกข้างหนึ่ง เธอรู้สึกมึนงงในขณะที่เธอลุกขึ้น ทุกสายตาจับจ้องมาที่เธอ ทุกคนกำลังรออย่างเงียบ ๆ เธอพยายามนึกทบทวนเรื่องราวทั้งหมด

“ข้าจำได้ว่า…” เธอเริ่มเล่า เสียงของเธอแหบแห้ง “พายุ…กำแพงอัคคี…ป่าแห่งหนาม”

พ่อของเธอขมวดคิ้วด้วยความกังวล

“ทำไมเจ้าถึงไปที่นั่น?” เขาถาม “ทำไมเจ้าเดินทางไปไกลในค่ำคืนแบบนั้น?”

เธอพยายามที่จะนึก

“ข้าต้องการที่จะเห็นกำแพงอัคคีด้วยตัวของข้าเอง” เธอพูด “และหลังจากนั้น…ข้าต้องการพักแรม ข้าจำได้ว่า…ทะเลสาบแห่งความฝัน…และจากนั้น…ผู้หญิง”

“ผู้หญิง?” เขาถาม “ในป่าแห่งหนามหรือ?”

“เธอดู…อายุมาก…หิมะเข้าไม่ถึงตัวของเธอ”

“แม่มด” ไวดาร์อ้าปากค้าง

“อะไรก็เกิดขึ้นได้กับการเดินทางในคืนเหมันต์จันทรา” อัทฟาเอลเสริม

“แล้วนางพูดอะไร?” พ่อของเธอถาม

ไคร่ามองเห็นความสับสนและความกังวลบนสีหน้าของทุกคน เธอตัดสินใจที่จะไม่พูด ไม่เล่าถึงคำทำนายอนาคตของเธอ เธอพยายามจัดการมันด้วยตัวของเธอ และเธอกลัวว่าถ้าพวกเขาได้ยิน พวกเขาจะต้องคิดว่าเธอเสียสติอย่างแน่นอน

“ข้า…จำไม่ได้” เธอพูด

“นางทำสิ่งนี้กับเจ้าหรือ?” พ่อของเธอถาม มองไปที่แก้มของเธอ

ไคร่าส่ายหัวของเธอและกลืนน้ำลาย คอของเธอแห้งผาก ไลรายื่นน้ำมาให้ เธอดื่มมัน และรู้ว่าเธอคอแห้งมากขนาดไหน

“มันมีเสียงกรีดร้อง” ไคร่าเล่าต่อ “ไม่เหมือนเสียงใดที่ข้าเคยได้ยิน”

เธอนั่งตัวตรง รู้สึกเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น มันถาโถมเข้าหาเธอ เธอมองไปที่ดวงตาของพ่อเธอ สงสัยว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไร

“เสียงร้องของมังกร” เธอพูดอย่างเรียบ ๆ เตรียมพร้อมสำหรับท่าทีของพวกเขา สงสัยว่าพวกเขาจะเชื่อเธอหรือไม่

ในห้องเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบ ผู้คนทั้งหมดอ้าปากค้างมองมาที่เธอ ความเงียบเข้าปกคลุม พวกเขาทั้งหมดดูตกตะลึงมากกว่าที่เธอเคยเห็น

ไม่มีใครพูดอะไร ความเงียบเหมือนจะยาวนานอย่างไม่สิ้นสุด

ในที่สุด พ่อของเธอก็ส่ายหัว

“มังกรไม่ได้มาเยือนเอสคาลอนเป็นเวลานับพันปีแล้ว” เขาพูด “เจ้าอาจได้ยินอย่างอื่น บางทีหูของเจ้าอาจจะแว่วไป”

โธนอส นักประวัติศาสตร์และนักปรัชญาของกษัตริย์องค์ก่อน ซึ่งพักอาศัยอยู่ในโวลิส ก้าวมาข้างหน้าด้วยเคราสีเทายาว ประคองตัวด้วยไม้เท้าของเขา ปกติเขาไม่ค่อยพูด แต่เมื่อเขาพูด เขามักจะพูดแต่สิ่งที่น่ายกย่อง เขาคือคลังแห่งปัญญาและความรู้ที่ถูกลืมเลือน

“ในคืนเหมันต์จันทรา” เขาพูด น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ “อะไรก็เป็นไปได้”

“ข้าเห็นมัน” ไคร่ายืนกราน “ข้าช่วยมัน”

ช่วยมันหรือ?” พ่อของเธอถาม มองไปที่เธอราวกับว่าเธอเสียสติ “เจ้าช่วยชีวิตมังกรหรือ?”

ผู้คนทั้งหมดต่างมองดูเธอ ราวกับว่าเธอได้เสียสติไปแล้ว

“มันได้รับบาดเจ็บ” ไวร์ดาพูด “มันทำให้เธอเห็นใจ”

ไคร่าหน้าแดง เธอต้องการให้พวกเขาเชื่ออย่างสุดชีวิต

“มันไม่ได้ทำให้ข้าเห็นใจ” เธอเถียง “ข้าไม่ได้โกหก!”

เธอมองดูหน้าของพวกเขาทั้งหมด รู้สึกสิ้นหวัง

“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโกหกตั้งแต่เมื่อไร?” เธอถาม

พวกเขามองกลับมาอย่างไม่แน่ใจ

“ให้โอกาสเธอพูด” ไวดาร์ตะโกน “ลองมาฟังเรื่องราวของเธอกันเถอะ”

พ่อของเธอพยักหน้ากลับไปที่เธอ

“เล่าต่อสิ” เขาพูด

ไคร่าเลียริมฝีปากของเธอ นั่งตัวตรง

“มังกรได้รับบาดเจ็บ” เธอจำได้ “ทหารของลอร์ดต้อนมันจนมุม พวกเขาจะฆ่ามัน ข้าไม่สามารถปล่อยให้มันตายได้…ไม่ใช่แบบนั้น”

“แล้วเจ้าทำอะไร?” เอนวินถาม เสียงของเขาไร้ความกังขาน้อยกว่าคนอื่น ๆ

“ข้าสังหารพวกเขา” เธอพูด จ้องมองไปยังความว่างเปล่า มองเห็นภาพนั้นอีกครั้ง เสียงของเธอหนักแน่นขึ้น เธอรู้ว่าเรื่องราวของเธอดูเหลวไหลสิ้นดี เธอแทบจะไม่เชื่อตัวของเธอเอง “ข้าสังหารพวกเขาทั้งหมด”

ความเงียบเข้ามาปกคลุมภายในห้องอีกครั้ง ยาวนานกว่าครั้งแรก

“ข้ารู้ว่าพวกท่านจะไม่เชื่อข้า” เธอเสริม

พ่อของเธอกลืนน้ำลายและบีบมือของเธอ

“ไคร่า” เขาพูด ดูเศร้าหมอง “เราพบศพทหารห้าคนใกล้กับเจ้า ทหารของลอร์ด ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง เจ้ารู้ไหมว่ามันร้ายแรงแค่ไหน? เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าทำอะไรลงไป?”

“ข้าไม่มีทางเลือกท่านพ่อ” เธอพูด “เครื่องหมายประจำตระกูลของเรา…เราไม่อาจทอดทิ้งสัตว์ที่บาดเจ็บให้ตายได้”

“มังกรไม่ใช่สัตว์!” เขาโต้ตอบด้วยความโกรธ “มังกรคือ…”

หางเสียงของเขาหายไป เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ว่าควรพูดต่อหรือไม่ เขาจ้องมองไปในความว่างเปล่า

“ถ้าทหารของลอร์ดตายหมดแล้ว” เสียงของอัทฟาเอลแทรกเข้ามาทำลายความเงียบ พลางลูบเคราของเขา “แล้วมันจะอย่างไรล่ะ? ใครจะรู้ว่าเด็กผู้หญิงฆ่าพวกมัน? ร่องรอยนั้นจะนำมาหาเราได้อย่างไร?”

ไคร่ารู้สึกเคว้งคว้างในท้อง แต่เธอรู้ว่าเธอต้องเล่าความจริงทั้งหมดแก่พวกเขา

“มีอีกสิ่งหนึ่ง” เธอพูดต่ออย่างไม่เต็มใจ “ทหารรับใช้ เด็กผู้ชาย เขาเป็นพยาน เขาควบม้าหนีไป”

พวกเขาจ้องมองมาที่เธอ ใบหน้าของพวกเขาดูมืดมน

มัลเทรนก้าวเข้ามาด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง

“แล้วทำไมเจ้าถึงปล่อยให้เด็กคนนั้นรอดกลับไป?” เขาถาม

“เขาเป็นเพียงเด็กผู้ชาย” เธอพูด “ไม่มีอาวุธ ขี่ม้าออกไป หันหลังให้ข้า ข้าควรจะยิงธนูออกไปอย่างนั้นหรือ?”

“ข้านึกว่าเจ้าจะยิงธนูใส่พวกมันทุกคน” มัลเทรนตะคอก “มันดีกว่าที่จะปล่อยให้เด็กผู้ชายรอดและปล่อยให้พวกเราทั้งหมดตายงั้นหรือ?”

“ไม่มีใครปล่อยให้เราตาย” พ่อของเธอตะคอกใส่มัลเทรนเพื่อปกป้องเธอ

“ก็เธอไม่ใช่หรือ?” เขาถาม “ถ้าเธอไม่ได้โกหก ทหารของลอร์ดตาย พวกเขามีพยาน โวลิสต้องถูกกล่าวหา และพวกเราจะไม่รอดแน่”

พ่อของเธอหันมาหาเธอ สีหน้าของเขาตึงเครียดมากกว่าที่เธอเคยเห็น

“นี่คือข่าวร้ายอย่างที่สุด” เขาพูด น้ำเสียงเหมือนอายุนับล้านปี

“ข้าเสียใจท่านพ่อ” เธอพูด “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านเดือดร้อน”

“เจ้าไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้นหรือ?” มัลเทรนโต้ตอบ “เจ้าเพียงแค่เผลอฆ่าทหารของลอร์ดห้าคนหรือ? และทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร?”

“ข้าบอกเจ้าแล้ว” เธอพูด “เพื่อช่วยมังกร”

“เพื่อช่วยมังกรในจินตนาการ” มัลเทรนหัวเราะเยาะ “นั่นมันทำให้คุ้มค่ามาก อีกอย่าง ถ้ามังกรมีจริง มันคงจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ ไปแล้วอย่างแน่นอน”

“มันไม่ได้ฉีกร่างของข้า” เธอเถียง

“หยุดเรื่องมังกรไร้สาระนี่ได้แล้ว” พ่อของเธอพูด น้ำเสียงของเขาดังขึ้นอย่างไม่สบายใจ “บอกความจริงแก่พวกเรามา พวกเราทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น บอกพวกเรา พวกเราจะไม่ตัดสินเจ้า”

เธอรู้สึกเหมือนกำลังร้องไห้อยู่ข้างใน

“ข้าบอกท่านไปแล้ว” เธอพูด

“ข้าเชื่อนาง” ไอดานพูด เขายืนอยู่เคียงข้างเธอ เธอรู้สึกขอบคุณเขาอย่างยิ่ง

แต่เมื่อเธอมองดูทุกคน เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครเชื่อเลย ความเงียบงันที่ยาวนานปกคลุมทั่วห้อง

“มันเป็นไปไม่ได้ไคร่า” พ่อของเธอพูดออกมาอย่างนุ่มนวล

“มันเป็นไปได้” เสียงอันมืดมนพูดออกมา

พวกเขาทั้งหมดหันไป ประตูห้องถูกกระแทกเปิดออก ทหารของพ่อเธอจำนวนมากเดินเข้ามา กำลังปัดหิมะออกจากเสื้อขนสัตว์และผมของพวกเขา ทหารที่เป็นคนพูดยังคงมีใบหน้าแดงระเรื่อจากความหนาวเย็น เขามองมาที่ไคร่าเหมือนกับตกใจกลัว

“เราพบรอยเท้า” เขาพูด “ที่แม่น้ำ ใกล้กับที่ศพถูกพบ รอยเท้าขนาดใหญ่มากของอะไรก็ตามที่เดินบนโลกนี้ มันเป็นรอยเท้าของมังกร”

ทหารทั้งหมดมองกลับมาที่ไคร่าอย่างไม่แน่ใจ

“และตอนนี้มังกรอยู่ที่ไหน?” มัลเทรนพูด

“ร่องรอยนำไปกับแม่น้ำ” ทหารรายงาน

“มันบินไม่ได้” ไคร่าพูด “มันได้รับบาดเจ็บ ตามที่ข้าบอก มันกลิ้งลงไปในกระแสน้ำเชี่ยว และข้าไม่เห็นมันอีกเลย”

ความเงียบแทรกตัวเข้ามาแทนที่ และครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดเชื่อเธอแล้ว พวกเขามองไปที่เธอด้วยความเกรงขาม

“เจ้าพูดว่าเจ้าเห็นมังกรตัวนี้หรือ? พ่อของเธอถาม

“เธอพยักหน้า”

“ข้าเข้าไปใกล้มันเหมือนที่ข้าและท่านอยู่กันตอนนี้” เธอตอบ

“และเจ้ารอดมาได้อย่างไร?” เขาถาม

เธอกลืนน้ำลาย ไม่แน่ใจตัวเอง

“มันคือสาเหตุที่ข้าได้แผลนี้มา” เธอพูด พร้อมแตะมือลงบนแก้มของเธอ

พวกเขามองไปที่แก้มของเธออีกครั้งหนึ่ง ทั้งหมดดูตกตะลึง

ไคร่าใช้ปลายนิ้วสัมผัสไปตามบาดแผล เธอรู้ว่ามันจะกลายเป็นแผลเป็น นั่นจะทำให้ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล แม้ว่าอาจจะดูประหลาด แต่เธอก็ไม่ได้สนใจมัน

“แต่ข้าไม่คิดว่ามันต้องการทำร้ายข้า” เธอพูดต่อ

พวกเขาจ้องมาที่เธอราวกับว่าเธอบ้าไปแล้ว เธอต้องการอธิบายถึงสายสัมพันธ์ที่เธอมีต่อสัตว์ร้ายนี้ แต่คิดว่าพวกเขาคงไม่เข้าใจ

พวกเขามาที่เธอ พวกผู้ใหญ่ทั้งหมดต่างพากันนิ่งเงียบ ในที่สุดพ่อของเธอก็ถามขึ้น

“ทำไมเจ้าถึงเสี่ยงชีวิตของเจ้าเพื่อช่วยมังกร? ทำไมเจ้าต้องทำให้พวกเราทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย?”

นั่นเป็นคำถามที่ดี คำถามที่ไคร่าไม่มีคำตอบให้ เธอหวังว่าเธอจะมี เธอไม่สามารถสรรหาคำพูดมาอธิบายความรู้สึก อารมณ์ การรับรู้ถึงโชคชะตาที่เธอมีเมื่ออยู่ใกล้สัตว์ร้าย เธอไม่คิดว่าคนเหล่านี้จะเข้าใจ เธอรู้ว่าเธอทำให้พวกเขาทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย และเธอรู้สึกแย่สำหรับเรื่องนี้

ทั้งหมดที่เธอสามารถทำได้คือการก้มหัวเธอลงและพูดว่า “ให้อภัยข้าด้วย ท่านพ่อ”

“มันเป็นไปไม่ได้” มัลเทรนพูดอย่างกระวนกระวาย “เป็นไปไม่ได้ที่เผชิญหน้ากับมังกรและรอดชีวิต”

“เว้นแต่ว่า” เอนวินมองไปที่ไคร่า แล้วหันไปหาพ่อของเธอ “เว้นแต่ว่าบุตรสาวของท่านจะเป็น…”

พ่อของเธอจ้องเขม็งไปที่เอนวิน เอนวินต้องหยุดตัวเองในทันที

ไคร่ามองดูทั้งสองคน รู้สึกสับสน สงสัยว่าเอนวินกำลังจะพูดอะไร

“เว้นแค่ว่าข้าเป็นอะไร?” ไคร่าถาม

แต่เอนวินมองไปทางอื่น เขาไม่ต้องการพูดมันอีกครั้ง ทั้งห้องเต็มไปด้วยความเงียบ เมื่อเธอมองดูหน้าของทุกคน ทหารทั้งหมดต่างพากันหลบสายตาของพวกเขา เหมือนกับว่าพวกเขามีความลับบางอย่างเกี่ยวกับตัวเธอ

ทันใดนั้น พ่อของเธอลุกขึ้นจากข้างเตียง ปล่อยมือของเขาออกจากมือของเธอ เขายืนตัวตรง เพื่อเป็นการบอกว่าการประชุมสิ้นสุดลงแล้ว

“ตอนนี้เจ้าต้องพักผ่อน” เขาพูด แล้วหันไปหาทหารของเขา “กองทัพกำลังมา” เขาพูดอย่างเคร่งขรึม น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยภาระหน้าที่ “เราต้องเตรียมการ”

บทที่สิบหก

ไคร่ายืนอยู่เพียงลำพังกลางทุ่งหญ้าฤดูร้อนอันอบอุ่น ความงดงามของโลกโอบกอดรอบตัวเธอ ทุกอย่างกำลังเบ่งบาน สีสันของความสดใส เนินเขาสีเขียวขจี ช่างดูมีชีวิตชีวา ดอกไม้สีเหลืองและสีแดงกำลังส่องประกาย ต้นไม้ออกดอกออกผลไปทุกที่ ใบไม้ปลิวไสวไปในสายลม โน้มงอด้วยพืชผลหลากชนิด ภูเขาขนาดเล็กเต็มไปด้วยผืนไร่องุ่นที่กำลังสุกงอม กลิ่นหอมอบอวลของมวลดอกไม้ และพวงองุ่นช่อโตท่ามกลางบรรยากาศของฤดูร้อน ไคร่าสงสัยว่าเธออยู่ที่ใด ผู้คนของเธอหายไปไหนกันหมด ฤดูหนาวหายไปไหน

เสียงร้องดังขึ้นจากท้องฟ้าสูงเบื้องบน ไคร่ามองขึ้นไป ธีออสกำลังบินวนอยู่เหนือเธอ มันถลาลงมาและร่อนลงในทุ่งหญ้า ห่างออกไปไม่กี่ฟุต จ้องมองกลับมาที่เธอด้วยความกดดัน ดวงตาสีเหลืองเป็นประกาย การส่งผ่านระหว่างกันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย ความสัมพันธ์อย่างแรงกล้า โดยไม่จำเป็นต้องเปล่งคำพูดใดออกมา

ทันใดนั้น ธีออสโน้มหัวไปข้างหลัง กรีดร้อง และพ่นไฟออกมาต่อหน้าเธอ

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ไคร่ากลับไม่รู้สึกเกรงกลัว เธอไม่สะทกสะท้านแม้ว่าไฟกำลังจะมาถึงตัวเธอ เธอรู้ว่ามันจะไม่ทำร้ายเธอ เปลวไฟแยกออก กระจายออกไปทางซ้ายและขวา แผดเผารอบตัวเธอ โดยที่เธอไม่เป็นอันตรายใด ๆ

ไคร่าหันหลังไป รู้สึกตกใจที่เห็นเปลวไฟกระจายไปทั่วชานเมือง ทุ่งหญ้าเขียวขจี ความอุดมสมบูรณ์ของฤดูร้อนกลับกลายเป็นสีดำ ทิวทัศน์เบื้องหน้าของเธอเปลี่ยนไป ต้นไม้ไหม้จนกรอบแห้ง ทุ่งหญ้าถูกแทนที่ด้วยตอตะโก

เปลวไฟโหมกระหน่ำสูงขึ้นเรื่อย ๆ แผ่กระจายไกลออกไปอย่างรวดเร็ว เธอมองดูด้วยความหวาดกลัว เปลวเพลิงเผาผลาญโวลิส จนกระทั่งไม่มีสิ่งใดเหลือ นอกจากเศษหินและเถ้าถ่าน

ในที่สุดธีออสก็หยุด ไคร่าหันกลับมาและจ้องมองไปที่มัน ไคร่ายืนอยู่ที่นั่น ในเงามืดของมังกรขนาดใหญ่มหึมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเล็กลง เธอไม่รู้ว่าต้องทำอะไร มันต้องการบางอย่างจากเธอ แต่เธอไม่สามารถรับรู้ได้ว่าคืออะไร

ไคร่าเอื้อมมือออกไปเพื่อสัมผัสเกล็ดของมัน ทันใดนั้นมันยกกรงเล็บขึ้นมา กรีดร้อง และข่วนไปที่แก้มของเธอ

ไคร่าลุกขึ้นนั่งบนเตียง ตัวสั่น กุมแก้มของเธอ ความเจ็บปวดกระจายไปทั่วร่างกาย เธอปัดป้องไปมา พยายามหนีจากมังกร แต่ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อสัมผัสได้ถึงมือมนุษย์บนตัวของเธอที่ทำให้เธอสงบลง และพยายามยับยั้งเธอ

ไคร่ากระพริบตา เมื่อมองขึ้นมา เธอพบกับใบหน้าอันคุ้นเคยยืนอยู่ กำลังประคบแก้มของเธอ

“ชู่ว” ไลราพูด ปลอบประโลมเธอ

ไคร่ามองไปรอบ ๆ รู้สึกสับสน ในที่สุดก็รู้ตัวว่าเธอฝันไป เธออยู่ที่บ้านแล้ว ในป้อมปราการของพ่อ และยังคงอยู่ในห้องของเธอ

“เพียงแค่ฝันร้าย” ไลราพูด

ไคร่ารู้ตัวว่าเธอต้องเผลอหลับไปอย่างแน่นอน ไม่ว่ารู้นานแค่ไหนแล้ว เธอมองไปยังหน้าต่าง แสงอาทิตย์ถูกแทนที่ด้วยความมืดมิด เธอนั่งตัวตรง รู้สึกตกใจ

“ตอนนี้กี่โมงแล้ว?” เธอถาม

“ดึกมากแล้วนายหญิง” ไลราตอบ “พระจันทร์ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว”

“แล้วกองทัพที่กำลังมาล่ะ?” เธอถาม หัวใจของเธอเต้นรัว

“ไม่มีกองทัพใดมา นายหญิง” เธอตอบ “หิมะยังคงสูงอยู่ ตอนที่ท่านตื่นใกล้จะมืดแล้ว ไม่มีกองทัพใดสามารถยกทัพได้ในเวลานี้ ไม่ต้องกังวล ท่านเพียงแค่หลับไปไม่กี่ชั่วโมง ตอนนี้พักผ่อนเถิด”

ไคร่าเอนหลังกลับไปและถอนหายใจ เธอรู้สึกเหมือนมีจมูกเปียก ๆ อยู่บนมือของเธอ เมื่อเธอมองไปก็พบกับเลโอที่กำลังเลียมือของเธออยู่

“มันไม่ยอมห่างกายท่านเลย นายหญิง” ไลรายิ้ม “และเขาก็คงไม่คิดจะทำเช่นนั้น”

เธอชี้นิ้ว ไคร่ามองตาม รู้สึกตื้นตันที่เห็นไอดานนอนอยู่ที่นั่น เขานอนอยู่บนกองขนสัตว์ข้างกองไฟ หนังสือปกหนังอยู่ในมือของเขา เขากำลังหลับอยู่

“เขาอ่านหนังสือให้ท่านฟังขณะที่ท่านหลับ” เธอพูดต่อ

ไคร่ารู้สึกถึงความรักอันท่วมท้นที่มีให้กับน้องชายคนเล็กของเธอ และมันทำให้เธอตื่นตัวมากขึ้นสำหรับปัญหาที่กำลังจะตามมา

“ข้าสามารถสัมผัสความตึงเครียดของท่านได้” ไลราพูดต่อในขณะกดประคบลงบนแก้มของเธอ “ท่านฝันถึงสิ่งที่เลวร้าย มันคือเครื่องหมายของมังกร”

ไคร่ามองกลับไปอย่างลึกซึ้ง ด้วยความหวาดหวั่น และเธอรู้สึกสงสัย

“ข้าไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า” ไคร่าพูด “ข้าไม่เคยฝันแบบนี้มาก่อน มันรู้สึกเป็นมากกว่าความฝัน มันเหมือนกับว่าข้าอยู่ที่นั่นจริง ๆ ราวกับว่าข้ามองเห็นผ่านดวงตาของมังกร”

พยาบาลมองแววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของเธอ และวางมือลงในตักของเธอ

“มันคือเรื่องอันศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกทำเครื่องหมายโดยสัตว์” ไลราพูด “และนี่ไม่ใช่สัตว์ทั่วไป ถ้าสัตว์ร้ายสัมผัสท่าน ท่านจะแบ่งปันซึ่งกันและกันไปตลอดกาล ท่านอาจเห็นอย่างที่มันเห็น หรือรู้สึกอย่างที่มันรู้สึก หรือได้ยินอย่างที่มันได้ยิน มันอาจจะเกิดขึ้นคืนนี้ หรืออาจเกิดขึ้นในปีถัดไป แต่สักวันหนึ่ง มันจะต้องเกิดขึ้น”

ไลรามองไปที่เธอเหมือนกำลังค้นหา

“ไคร่า ท่านเข้าใจหรือไม่? ท่านไม่ใช่เด็กผู้หญิงคนเดิมเช่นเมื่อวานอีกต่อไปแล้ว เมื่อท่านเดินทางออกไปจากที่นี่ นั่นไม่ใช่แค่รอยแผลเป็นบนแก้มของท่าน…มันคือเครื่องหมาย ตอนนี้ท่านได้แบกรับสัญลักษณ์ของมังกรอยู่ในตัวของท่านแล้ว”

ไคร่าขมวดคิ้วของเธอ พยายามที่จะเข้าใจ

“มันหมายถึงอะไร?” ไคร่าถาม พยายามทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด

ไลราถอนหายใจยาว

“เวลาจะให้คำตอบแก่ท่าน”

ไคร่านึกถึงทหารของลอร์ด สงครามที่กำลังจะมาถึง เธอรู้สึกถึงความเร่งรีบ เธอโยนผ้าขนสัตว์ของเธอและยืนขึ้น เมื่อเธอทำเช่นนั้น เธอรู้สึกโอนเอน ไม่เหมือนตัวของเธอเอง ไลราวิ่งเข้ามาและจับไหล่ของเธอไว้ ประคองให้เธออยู่นิ่ง ๆ

“ท่านต้องนอนลง” ไลรากำชับ “ไข้ยังไม่ลด”

แต่ไคร่าทนรอไม่ได้แล้ว เธอไม่สามารถอยู่บนเตียงได้อีกต่อไป

“ข้าจะไม่เป็นอะไร” เธอตอบ พร้อมคว้าเสื้อคลุมและสวมไว้เหนือไหล่ ขณะที่เธอเดินออกไป เธอรู้สึกถึงมือที่วางบนไหล่ของเธอ

“อย่างน้อยดื่มนี่ก่อน” ไลรายืนกราน ยื่นถ้วยมาให้เธอ

ไคร่ามองลงไปและพบว่ามีของเหลวสีแดงอยู่ข้างใน

“มันคืออะไร?”

“ยาผสมของข้า” เธอตอบพร้อมรอยยิ้ม “มันจะช่วยลดไข้และบรรเทาอาการเจ็บปวด”

ไคร่าประคองถ้อยด้วยมือทั้งมองข้าง และดื่มอย่างรวดเดียว ยาค่อนข้างข้น ทำให้กลืนยาก เธอทำหน้าแปลก ๆ ไลรายิ้มออกมา

“รสชาติเหมือนดิน” ไคร่าสังเกต

ไลรายิ้มกว้างกว่าเดิม “รสชาติของมันไม่ค่อยถูกปาก”

แต่ไคร่ารู้สึกดีขึ้นหลังจากดื่ม ร่างกายของเธออบอุ่นขึ้นมาทันที

“ขอบคุณ” เธอพูด เดินไปหาไอดาน โน้มตัวลงไปและจูบหน้าผากของเขาอย่างระมัดระวัง เธอไม่ต้องการปลุกเขา จากนั้นเธอรีบออกไปจากห้อง เลโอเดินไปพร้อมกับเธอ

ไคร่าเลี้ยวลงไปตามโถงทางเดินของโวลิสที่ยาวไกลสุดสายตา บรรยากาศสลัว ๆ แสงไฟริบหรี่จากคบไฟบนกำแพง ทหารเพียงไม่กี่คนยืนเฝ้ายามอยู่ในช่วงดึกแบบนี้ ส่วนที่เหลือของป้อมปราการนั้นเงียบสนิท ไคร่าเดินลงไปตามบันไดวนที่ทำจากหินและหยุดอยู่ที่หน้าห้องของพ่อที่มีทหารขวางทางอยู่ เขามองมาที่เธอ สายตาเขาเหมือนบ่งบอกถึงการเคารพ เธอสงสัยว่าเรื่องราวแพร่กระจายออกไปมากแค่ไหน เขาก้มศีรษะให้เธอ

“นายหญิง” เขาพูด

เธอพยักหน้ากลับ

“ท่านพ่อของข้าอยู่ในห้องหรือไม่?”

“เขานอนไม่หลับ ครั้งสุดท้ายที่ข้าเห็น เขากำลังศึกษาตำราอยู่”

ไคร่าวิ่งลงไปตามโถงทางเดินหิน ก้มหัวลงหลบส่วนโค้ง ลงไปตามบันไดวนจนกระทั่งในที่สุดเธอได้เดินมาถึงสุดทางของป้อมปราการ ห้องโถงที่มีประตูไม้โค้งอยู่ด้านหน้าของห้องสมุด เธอเอื้อมมือไปเพื่อเปิด แต่ประตูแง้มอยู่แล้ว เธอหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงสนทนาอันตึงเครียดดังมาจากข้างใน

“ข้าบอกเจ้าแล้วว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอเห็น” เสียงที่โกรธเกรี้ยวของพ่อ

เขากำลังโกรธจัด เธอยังไม่เข้าไป คิดว่าการรอคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด เธอยืนอยู่ที่นั่น รอให้เสียงเงียบ สงสัยว่าพ่อกำลังพูดกับใคร พวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ พวกเขากำลังพูดเกี่ยวกับเธอหรือ? เธอนึกสงสัย

“ถ้าเธอเห็นมังกร” เสียงแหบ ๆ พูดออกมา ไคร่าจดจำได้ทันทีว่าเขาคือโธนอส ที่ปรึกษาอาวุโสของพ่อ “ยังคงเหลือความหวังอันริบหรี่สำหรับโวลิส”

พ่อของเธอพูดพึมพำอะไรบางอย่างที่เธอฟังไม่ชัด ตามมาด้วยความเงียบชั่วครู่ ในขณะที่โธนอสถอนหายใจ

“คัมภีร์โบราณ” โธนอสตอบ น้ำเสียงเขาดูอ่อนล้า “กล่าวถึงการตื่นขึ้นมาของมังกร เวลาที่เราจะถูกบดขยี้ภายใต้เปลวเพลิงของมัน เราไม่มีกำแพงที่จะป้องกัน เราไม่มีอะไรนอกเสียจากเนินเขาและท้องฟ้า และถ้าพวกมันมา พวกมันต้องมากที่นี่ด้วยเหตุผล”

“เหตุผลนั้นคืออะไร?” พ่อของเธอถาม “สิ่งใดกระตุ้นให้มังกรบินข้ามโลกมา?”

“ท่านผู้บัญชาการ บางทีคำถามที่ดีกว่า” โธนอสตอบ “คืออะไรทำให้มันบาดเจ็บ?”

ความเงียบงันปกคลุม มีเพียงเสียงปะทุของกองไฟที่เผาไหม้ จนกระทั่งในที่สุดโธนอสพูดขึ้นอีกครั้ง

“ข้าเดาว่าไม่ใช่มังกรที่ทำให้ท่านกังวลใจใช่หรือไม่?” โธนอสเอ่ยถาม

ตามมาด้วยความเงียบอีกครั้งหนึ่ง ไคร่ารู้ว่าเธอไม่ควรแอบฟัง เธอโน้มตัวไปข้างหน้าอย่างช่วยไม่ได้ แอบดูผ่านรอยแตกของประตู หัวใจของเธอรู้สึกหนักอึ้งเมื่อมองเห็นพ่อของเธอนั่งอยู่ที่นั่น มือกุมศีรษะ กำลังครุ่นคิด

“ไม่” เขาพูด เสียงของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนเพลีย “มันไม่ใช่” เขายอมรับ

ไคร่าสงสัยว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไร

“ท่านเชื่อเรื่องคำทำนายใช่หรือไม่?” เขาถาม “ช่วงเวลาในการกำเนิดของเธอ?”

ไคร่าโน้มตัวเข้าไปข้างหน้า หัวใจของเธอเต้นรัว รู้สึกเหมือนพวกเขากำลังพูดถึงเธอ แต่ไม่เข้าใจว่าพวกเขาหมายถึงอะไร

พวกเขาเงียบสนิท

“ข้าอยู่ที่นั่น ท่านผู้บัญชาการ” ในที่สุดเโธนอสก็พูด “เช่นเดียวกับท่าน”

พ่อของเธอถอนหายใจ แต่ไม่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา

“เธอคือบุตรสาวของท่าน ท่านไม่คิดว่ามันยุติธรรมหรือที่จะบอกเธอ? เกี่ยวกับการกำเนิดของเธอ? มารดาของเธอ? เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้หรือว่าเธอคือใคร?”

หัวใจของไคร่าเต้นรัวอยู่ในอก เธอเกลียดความลับ โดยเฉพาะความลับที่เกี่ยวกับเธอ เธอต้องการรู้ว่าพวกเขาหมายถึงอะไร

“ยังไม่ถึงเวลาเหมาะสม” พ่อของเธอพูดออกมาในที่สุด

“เวลาที่เหมาะสมไม่เคยมีอยู่ ท่านว่าไหม?” ชายชราพูด

ไคร่าหายใจอย่างรุนแรง เธอรู้สึกจุกราวกับโดนหมัด

ทันใดนั้นเธอหันหลังและวิ่งออกไป ความหนักหน่วงในอกจากคำพูดของพ่อดังก้องอยู่ในหูของเธอ พวกเขาทำให้เธอเจ็บปวดมากกว่าถูกมีดนับล้านทิ่มแทง มากว่าสิ่งใด ๆ ที่ทหารของลอร์ดทำกับเธอ เธอรู้สึกเหมือนถูกทรยศ เขาเก็บความลับของเธอ ความลับบางอย่างที่เขาซ่อนมาตลอดชีวิตของเธอ เขาโกหกเธอมาตลอด

เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้หรือว่าเธอคือใคร?

ตลอดชีวิตของไคร่าเธอรับรู้ได้ว่าผู้คนต่างพากันมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ ราวกับว่าพวกเขารู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเธอที่เธอไม่รู้ ราวกับเธอเป็นคนนอก เธอไม่เคยเข้าใจว่าทำไม ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว เธอไม่ใช่แค่รู้สึกแตกต่างจากคนอื่น ๆ แต่เธอเป็นคนที่แตกต่าง แล้วเธอแตกต่างอย่างไร?

เธอคือใครกันแน่?

บทที่สิบเจ็ด

เวซูเวียสกำลังยกทัพ ขบวนโทรลจำนวนหลายร้อยเดินผ่านป่าเกรทวู้ดขึ้นไปตามหน้าผาสูงชัน สูงเกินกว่าที่ม้าจะเข้าถึงได้ เขาขับเคลื่อนพลมาพร้อมกับความรู้สึกที่แน่วแน่ และมองโลกในแง่ดีเป็นครั้งแรก เขาฟาดฟันพุ่มไม้หนาด้วยดาบของเขา เขารู้ว่าเขาสามารถเดินผ่านไปได้โดยไม่ต้องกำจัดมัน แต่เขาต้องการที่จะทำเช่นนั้น เขามีความสุขกับการฆ่าทำลายบางอย่าง

แต่ละก้าวที่เดินผ่านไป เวซูเวียสได้ยินเสียงคำรามของยักษ์ที่ถูกจับได้ เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้พื้นด้านล่างสั่นสะเทือน เขาสังเกตเห็นความกลัวในหมู่ทหารโทรลที่ติดตามเขามา และมันทำให้เขายิ้ม ความหวาดกลัวนี้คือสิ่งที่เขาปรารถนามาตลอดหลายปี หลังจากคำเล่าลือมากมาย ในที่สุดก็สามารถค้นพบยักษ์จนได้

เขาตัดพุ่มไม้สุดท้ายและยืนอยู่บนยอดสันเขา ผืนป่าเปิดออกสู่พื้นที่โล่งอันกว้างใหญ่เบื้องหน้า เวซูเวียสหยุดชะงัก ตกตะลึงกับภาพที่เห็น ไกลออกไปจากที่โล่งมีถ้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ประตูทางเข้าโค้งสูงร้อยฟุต สัตว์ร้ายถูกล่ามโซ่เข้ากับหิน โซ่นั้นยาวห้าสิบฟุตและหนาสามฟุต แต่ละเส้นตรึงอยู่ที่ข้อเท้าและข้อมือแต่ละข้าง ช่างเป็นสัตว์ขนาดมหึมาและน่าเกลียดที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอ มันคือยักษ์จริง ๆ ผลงานการสร้างสรรค์อันน่ารังเกียจ ยักษ์ร่างสูงร้อยฟุตและกว้างสามสิบฟุต ร่างกายของมันถูกสร้างมาเหมือนกับมนุษย์แต่มีสี่ตา ไม่มีจมูก ปากของมันมีฟันและขากรรไกร มันอ้าปากคำรามออกมาเสียงดัง ช่างเป็นเสียงที่น่ารังเกียจ เวซูเวียสผู้ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ผู้ซึ่งเคยเผชิญสัตว์ร้ายที่น่าสยดสยองมากมาย ยังต้องยอมรับว่าแม้แต่เขาก็ยังรู้สึกกลัว ยักษ์อ้าปากกว้างขึ้นและกว้างขึ้น ฟันของมันแหลมคมยาวห้าฟุต ดูเหมือนว่ามันพร้อมที่จะกลืนกินโลกใบนี้

ยักษ์กำลังเกรี้ยวกราด มันส่งเสียงคำรามครั้งแล้วครั้งเล่า กระทืบเท้าอยู่บนพื้น กระชากโซ่ที่ล่ามมันอยู่ พื้นดินสั่นสะเทือน ถ้ำสั่นสะเทือน ภูเขาสั่นสะเทือน ราวกับว่าสัตว์ร้ายตัวนี้พร้อมพลังทั้งหมดของมันสามารถทำให้ภูเขาทั้งลูกเคลื่อนไหวได้ เหมือนพลังงานที่มากเกินไปของมันไม่สามารถกักเก็บเอาไว้ได้ เวซูเวียสยิ้มออกมา นี่คือสิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริง สัตว์ร้ายแบบนี้จะสามารถระเบิดอุโมงค์ ทำในสิ่งที่กองทัพโทรลไม่สามารถทำได้

เวซูเวียสก้าวมาข้างหน้าและเดินไปสู่ที่โล่ง สังเกตเห็นทหารตายจำนวนมาก ศพของพวกเขานอนเกลื่อนอยู่บนพื้น ขณะที่เขาเดินไป ทหารนับร้อยที่กำลังรอต่างตั้งแถวทำความเคารพ เขาสามารถมองเห็นความหวาดกลัวบนใบหน้าของพวกเขาทั้งหมด เหมือนพวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรกับยักษ์ตัวนี้ที่ได้จับมา

เวซูเวียสหยุดอยู่นอกระยะโซ่ของยักษ์ ไม่ต้องการมีจุดจบเหมือนศพพวกนั้น ยักษ์ หันมา พุ่งเข้าใส่เวซูเวียส พยายามตะปบเขาด้วยกรงเล็บยาวของมัน แต่มันพลาดไปไม่กี่ฟุต

เวซูเวียสจ้องกลับไป ในขณะที่ผู้บัญชาการของเขาวิ่งมาอยู่ข้าง ๆ และรักษาแนวกั้นให้อยู่นอกระยะของยักษ์

“นายท่านและองค์ราชา” ผู้บัญชาการพูดขณะก้มคำนับ “ยักษ์ถูกจับแล้ว มันเป็นของท่านเพื่อนำกลับไป แต่เราไม่สามารถมัดตัวของมันได้ เราเสียทหารไปจำนวนมาก เรากำลังเสียหายกับสิ่งที่พวกเราทำ”

เวซูเวียสยืนอยู่ที่นั่น วางมือบนสะโพกของเขา สายตาของทหารโทรลทั้งหมดมองมาที่เขาในขณะที่เขาสำรวจสัตว์ร้าย มันคือตัวอย่างแห่งการสร้างสรรค์ที่ยอดเยี่ยม ยักษ์จ้องลงมาและคำรามใส่เขา มันต้องการฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ เวซูเวียสสามารถรู้ได้ว่าปัญหาและวิธีการแก้ไขคืออะไร เขารู้ได้ทันทีอย่างที่เขาเป็นเหมือนทุกครั้ง

เวซูเวียสวางมือบนไหล่ของผู้บัญชาการและโน้มตัวเข้าไปใกล้

“เจ้าพยายามเข้าไปใกล้มัน” เขาพูดอย่างนุ่มนวล “เจ้าต้องปล่อยให้มันมาหาเจ้า เจ้าต้องจับมันตอนมันเผลอ จากนั้นเจ้าจะสามารถมัดมันได้ เจ้าต้องให้ในสิ่งที่มันต้องการ”

ผู้บัญชาการมองกลับมาอย่างสับสน

“แล้วมันต้องการอะไรหรือนายท่านและองค์ราชา?”

เวซูเวียสก้าวเท้าเดิน พาผู้บัญชาการไปข้างหน้า ตรงไปหายักษ์ยังที่โล่ง

“ก็เจ้ายังไงล่ะ” เวซูเวียสตอบออกมา ราวกับมันคือสิ่งที่ชัดเจนที่สุดในโลก หลังจากนั้นเขาผลักผู้บัญชาการด้วยแรงทั้งหมด ทำให้ผู้บัญชาการที่ไม่ทันระวังตัวสะดุดล้มลงไปยังพื้นที่โล่ง

เวซูเวียสถอยออกมา ปลอดภัยอยู่นอกระยะ ยักษ์ก้มมองดูด้วยความประหลาดใจเมื่อคนกระโดดเข้ามาที่เท้าของมัน ผู้บัญชาการพยายามวิ่ง แต่ยักษ์ไหวตัวทันที มันตะปบกรงเล็บ จับเขาขึ้นไปและบีบมือรอบเอวของเขา ยกลอยขึ้นไปที่ระดับสายตา ดึงเข้าไปใกล้ ๆ และกัดหัวของโทรล กลืนกินไปพร้อมเสียงกรีดร้อง

เวซูเวียสยิ้ม รู้สึกยินดีที่ได้กำจัดผู้บัญชาการแสนโง่เขลา

“ถ้าข้าต้องสอนเจ้าว่าต้องทำอย่างไร” เขาพูดกับศพที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้บัญชาการ “ข้าจะมีผู้บัญชาการไว้ทำไม?”

เวซูเวียสหันกลับมา มองไปยังทหารที่เหลือ พวกเขายืนนิ่ง ตัวแข็งทื่อ จ้องมองกลับมาด้วยความตกตะลึง เขาชี้ไปยังทหารที่อยู่ใกล้ ๆ

“เจ้า” เขาพูด

โทรลจ้องกลับมาอย่างกังวลใจ

“ขอรับ นายท่านและองค์ราชา?”

“เจ้าเป็นคนถัดไป”

ดวงตาของโทรลเบิกกว้าง เขาล้มลงคุกเข่า และยกมือสองข้างขึ้นขอร้อง

“ข้าไม่สามารถทำได้ นายท่านและองค์ราชา” เขาร้องไห้ “ข้าขอร้องนายท่าน! ไม่ใช่ข้า! เลือกคนอื่นเถิด!”

เวซูเวียสพยักหน้าแต่โดยดี

“ตกลง” เขาตอบ พร้อมก้าวมาข้างหน้า และเชือดคอของโทรลด้วยมีดสั้น โทรลล้มลง ตายแน่นิ่งอยู่ที่เท้าของเขา “ข้าจะเลือก”

เวซูเวียสหันกลับไปยังทหาร

“จับมันขึ้นมา” เขาสั่งการ “แล้วโยนมันไปในระยะของยักษ์ เมื่อยักษ์เข้ามา พวกเจ้าจงเตรียมเชือกให้พร้อม มัดมันในขณะที่มันวิ่งเข้ามาหาเหยื่อ”

ทหารครึ่งโหลรีบเข้าไปคว้าศพ วิ่งไปข้างหน้าและโยนเข้าไปในที่โล่ง ทหารคนอื่น ๆ ทำตามคำสั่งของเวซูเวียส พวกเขาวิ่งไปอีกฟากของที่โล่งพร้อมเชือกขนาดใหญ่ เตรียมตัวเหวี่ยงเชือก

ยักษ์มองเห็นร่างโทรลอยู่ที่เท้า มันกำลังชั่งใจ เวซูเวียสกำลังเดิมพัน ยักษ์แสดงออกถึงข้อจำกัดทางปัญญา มันพุ่งตัวมาข้างหน้าและคว้าศพ เป็นอย่างที่เวซูเวียสคิดไว้จริง ๆ

“ตอนนี้!” เขาร้องตะโกน

เหล่าทหารพากันเหวี่ยงเชือกออกไป รั้งตัวยักษ์แต่ละด้านและออกแรงดึง กระชากมันลงมา ทหารอีกจำนวนหนึ่งวิ่งเข้ามา เหวี่ยงเชือกเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า รัดรอบคอ รอบแขน และรอบขาของมัน ทหารฉุดกระชากอย่างสุดแรง สัตว์ร้ายถูกรัดด้วยเชือก มันต่อสู้ขัดขืนและร้องคำรามด้วยความโกรธ แต่ในไม่ช้ามันก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ยักษ์ถูกมัดด้วยเชือกเส้นหนาจำนวนมาก ตรึงเอาไว้โดยทหารหลายร้อย มันล้มลงหน้าทิ่มดิน ร้องคำรามอย่างหมดความหวัง

เวซูเวียสเดินเข้าไปและยืนดูผลงาน สิ่งที่ไม่คาดคิดเมื่อชั่วครู่ที่ผ่านมา เขามองลงไป รู้สึกพอใจกับชัยชนะของเขา

ในที่สุด หลังจากการรอคอยมายาวนานหลายปี เขายิ้มกว้างออกมา

“และแล้ว” เขาพูดช้า ๆ เน้นแต่ละคำอย่างเปรมปรีดิ์ “เอสคาลอนก็เป็นของข้า”