Kitabı oku: «กลายร่าง », sayfa 2
เขาคุกเข่าลงบนพื้นแล้วกรีดร้อง
ดวงตาของเด็กอีกสามคนเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
เด็กที่ตัวโตที่สุดในบรรดาสามคนนั้นพุ่งตรงมาที่เธอ
“แก ไอ้----”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เธอกระโดดขึ้นไปในอากาศและวางเท้าทั้งสองของเธออย่างพอดีลงบนหน้าอกของเขา ทำให้เขาลอยกระเด็นไปประมาณสิบฟุตและชนเข้ากับถังขยะโลหะ
เขานอนแน่นิ่ง ไม่ขยับ
เด็กอีกสองคนมองหน้ากัน รู้สึกตกใจและหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
เคทลินก้าวไปข้างหน้า รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ไม่ใช่มนุษย์ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเธอ เธอได้ยินเสียงตัวเองคำรามออกมาในขณะที่กำลังจับเด็กสองคนที่เหลือ (แต่ละคนมีขนาดตัวใหญ่กว่าเธอสองเท่า) แล้วยกแต่ละคนลอยขึ้นเหนือพื้นหลายฟุตด้วยมือเพียงข้างเดียว
พวกเขาถูกแขวนลอยอยู่กลางอากาศ เธอเหวี่ยงพวกเขาไปมา และเหวี่ยงมาชนกันด้วยแรงที่เหลือเชื่อ เด็กทั้งคู่สลบลงบนพื้น
เคทลินยืนอยู่ที่นั่น สูดลมหายใจ ครุกรุ่นด้วยความเกรี้ยวกราด
ตอนนี้เด็กผู้ชายทั้งสี่คนไม่เคลื่อนไหว
เธอไม่รู้สึกโล่งใจ ตรงกันข้าม เธอกลับต้องการมากกว่านี้ เธอต้องการต่อสู้ และต้องการโยนร่างของพวกเขาอีก
นอกจากนี้เธอยังต้องการบางสิ่งบางอย่าง
ทันใดนั้นวิสัยทัศน์ของเธอก็สามารถมองเห็นภาพได้ทะลุปรุโปร่ง เธอมองเข้าไปยังคอของพวกเขา เธอสามารถมองลึกลงไป เธอมองเห็นได้จากจุดที่เธอยืนอยู่ เส้นเลือดเหล่านั้นกำลังสูบฉีด เธอปรารถนาที่จะกัดมันเพื่อดื่ม
เธอไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ เธอเงยหน้าขึ้นและปล่อยเสียงร้องที่น่าประหลาด สะท้อนไปทั่วตึกและตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ มันคือเสียงร้องแห่งชัยชนะของสัตว์ป่า และความเกรี้ยวกราดที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย
มันคือเสียงกรีดร้องของสัตว์ที่ยังคงกระหาย
บทที่สอง
เคทลินยืนอยู่หน้าอพาร์ทเมนท์ใหม่ของเธอ จ้องมองไปที่ประตู และรับรู้ได้ทันทีว่าเธออยู่ที่ไหน เธอไม่รู้ว่าเธอมาที่นี่ได้อย่างไร สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้คือเธออยู่ในตรอกนั้น จะด้วยวิธีใดก็ตาม อย่างน้อยเธอก็สามารถพาตัวเองกลับมาบ้านได้
เธอจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในตรอกได้ทุกวินาที เธอพยายามลบมันออกจากหัวของเธอ แต่ไม่สามารถทำได้ เธอมองลงมาที่แขนและมือของเธอ คิดว่าจะเห็นมันแตกต่างจากที่เคย แต่มันดูปกติ อย่างที่ควรจะเป็น ความโกรธเกรี้ยวครอบงำเธอ เปลี่ยนแปลงร่างกายของเธอ แล้วมันก็หายไปอย่างรวดเร็ว
แต่ผลกระทบจากเหตุการณ์นั้นคงอยู่ เธอรู้สึกโหวงเหวง มึนงง และยังมีอีกความรู้สึกที่เธอเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร ภาพนั้นลอยเข้ามาในจิตใจของเธอ ภาพที่เผยให้เห็นต้นคอของคนที่มารังแกเธอ ภาพชีพจรของพวกเขา และเธอรู้สึกหิวกระหาย เกิดความปรารถนาอย่างรุนแรง
เคทลินไม่อยากกลับบ้าน เธอไม่อยากเจอแม่ของเธอ โดยเฉพาะวันนี้ เธอไม่ต้องรับมือกับบ้านใหม่ การจัดข้าวของ ถ้าไม่ใช่เพราะแซมอยู่ที่นั่น เธออาจจะหันหลังกลับและเดินจากไป แม้ไม่รู้ว่าจะที่ไหน แต่อย่างน้อยเธอก็อยากเดินออกไป
เธอหายใจเข้าลึก ๆ และปล่อยออกมา วางมือของเธอบนลูกบิด ไม่รู้ว่าลูกบิดนั้นอุ่นหรือมือของเธอเย็นราวกับน้ำแข็ง
เคทลินเข้ามาในอพาร์ทเมนท์ที่ดูสว่างเกินไป เธอได้กลิ่นอาหารจากเตาอบ หรืออาจจะเป็นไมโครเวฟ แซมมักกลับมาบ้านก่อนเธอเสมอและทำอาหารเย็นด้วยตัวเขาเอง แม่ของเธอจะไม่อยู่ที่บ้านเป็นเวลาหลายชั่วโมง
“ดูเหมือนวันแรกจะไม่ค่อยดี”
เคทลินหันกลับมา และตกใจกับเสียงของแม่ เธอนั่งอยู่ตรงนั้น บนเก้าอี้ กำลังสูบบุหรี่ และมองเธอด้วยสายตารังเกียจ
“อะไรกัน นี่แกทำเสื้อกันหนาวขาดแล้วหรอ?”
เคทลินมองลงมาและเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีคราบสกปรกติดอยู่ อาจเกิดขึ้นตอนชนกับซีเมนต์
“ทำไมแม่กลับบ้านเร็ว?” เคทลินถาม
“วันแรกของฉันเหมือนกัน แกรู้มั้ย” เธอตะคอกออกมา “ไม่ใช่แกคนเดียว ที่ทำงานมีงานน้อย หัวหน้าเลยให้ฉันกลับบ้านเร็ว”
เคทลินไม่สามารถทนต่อน้ำเสียงที่น่ารังเกียจของแม่ แม่ของเธอมักหยาบคายกับเธอเสมอ และคืนนี้ เคทลินไม่อยากทน เธอตัดสินใจที่จะให้แม่เธอลิ้มรสยาของเธอบ้าง
“เยี่ยม” เคทลินตะโกนกลับมา “นี่หมายความว่าเราต้องย้ายบ้านอีกแล้วใช่มั้ย?”
แม่ของเธอลุกขึ้นยืนทันที “นี่แก ระวังปากของแกหน่อยนะ!” เธอกรีดร้องออกมา
เคทลินรู้ว่าแม่ของเธอกำลังรอที่จะหาข้ออ้างด่าทอเธอ เธอคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าหลอกล่อเธอและปล่อยให้เธอทำอย่างที่ต้องการ
“แม่ไม่ควรสูบบุหรี่ใกล้ ๆ แซม” เคทลินตอบอย่างเย็นชา แล้วเดินเข้าห้องนอนเล็ก ๆ ของเธอ ปิดประตูเสียงดังและล็อกมัน
ทันใดนั้นเอง แม่ของเธอทุบประตู
“แกออกมาเดี๋ยวนี้นะ ไอ้เด็กบ้า! นั่นคือวิธีที่แกพูดกับแม่ของตัวเองหรอ!? ใครเป็นคนวางขนมปังบนโต๊ะของแก...”
คืนนี้ เคทลินรู้สึกว้าวุ่นใจ แทนที่จะรู้สึกโมโหกับน้ำเสียงของแม่ เธอกลับนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้ เสียงหัวเราะของเด็กพวกนั้น เสียงเต้นของหัวใจตัวเองที่ดังอยู่ในหูของเธอ และเสียงคำรามของเธอ
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เธอได้รับความแข็งแกร่งแบบนั้นได้อย่างไร? มันเป็นเพียงการสูบฉีดของอะดรีนารีนหรือเปล่า? ใจนึงเธอก็หวังให้มันเป็นเช่นนั้น แต่อีกใจนึงเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่ แล้วเธอเป็นอะไร?
เสียงทุบประตูห้องของเธอยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เคทลินแทบจะไม่ได้ยินมัน โทรศัพท์ของเธอวางอยู่บนโต๊ะ กำลังสั่นไม่หยุด หน้าจอขึ้นข้อความสนทนา อีเมล แชท เฟซบุ๊ก แต่เธอก็แทบจะไม่ได้ยินมันเช่นกัน
เธอยกหน้าต่างบานเล็กขึ้นและมองลงไปที่มุมของถนนอัมสเตอร์ดัม เสียงใหม่ที่ผ่อนคลายผุดขึ้นในใจของเธอ มันคือเสียงของโจนาห์ ภาพรอยยิ้มของเขา น้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม สุขุมและไพเราะ เธอนึกถึงความละเอียดอ่อนของเขา เขาช่างเป็นคนบอบบาง แล้วเธอก็เห็นภาพเขานอนอยู่บนพื้น เต็มไปด้วยเลือด เครื่องดนตรีชิ้นสำคัญของเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ คลื่นแห่งความโกรธเกรี้ยวครั้งใหม่พัดเข้ามาอีกครั้ง
ความโกรธของเธอกลายเป็นความกังวล เธอกังวลว่าเขาปลอดภัยหรือไม่ ถ้าเขาเดินหนีไป ถ้าเขาสามารถกลับบ้านได้ เธอจินตนาการว่าเขากำลังเรียกเธอ เคทลิน เคทลิน
“เคทลิน?”
เสียงใหม่จากนอกประตูห้องดังขึ้นมา เสียงของเด็กผู้ชาย
เธอรู้สึกสับสน พยายามตั้งสติ
“นี่แซมเอง ให้ฉันเข้าไปหน่อย”
เธอเดินไปและพิงศีรษะลงบนประตู
“แม่ไปแล้ว” เสียงจากอีกด้านของประตูพูด “ลงไปซื้อบุหรี่ ให้ฉันเข้าไปหน่อยนะ”
เธอเปิดประตู
แซมยืนอยู่ที่นั่น จ้องมองเธอ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล เขาอายุเพียง 15 แต่เขาดูแก่กว่าอายุ เขาโตเร็ว สูงเกือบหกฟุต แต่ยังเป็นเด็กอยู่ เขาเป็นคนแปลกและงุ่มง่าม เขามีผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาลของเขานั้นคล้ายกับของเธอ พวกเขาดูเหมือนกันมาก เธอมองเห็นความกังวลบนใบหน้าของเขา เขารักเธอมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด
เธอให้เขาเข้ามาในห้องและปิดประตูอย่างรวดเร็ว
“โทษที” เธอกล่าว “คืนนี้ฉันแค่ทนแม่ไม่ได้”
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอทั้งสองคน?”
“เรื่องปกติ แม่เริ่มหาเรื่องฉันตั้งแต่วินาทีที่ฉันเข้ามา”
“ฉันคิดว่าแม่คงเจอเรื่องหนักมาทั้งวัน” แซมพูด พยายามผูกมิตรระหว่างพวกเขาเช่นทุกครั้ง “ฉันหวังว่าเขาจะไม่ไล่แม่ออกอีก”
“ใครสนล่ะ? นิวยอร์ก อริโซน่า เท็กซัส...ใครสนว่าต่อไปจะเป็นที่ไหน? การย้ายบ้านของพวกเราไม่มีทางสิ้นสุดหรอก”
แซมขมวดคิ้ว เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานของเธอ ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที บางครั้งเธอเองก็มีน้ำเสียงหยาบกระด้าง พูดออกไปโดยไม่ทันคิด เธอหวังว่าจะปรับบรรยากาศให้ดีขึ้น
“วันแรกของเธอเป็นยังไงบ้าง?” เคทลินถาม พยายามเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
เขายักไหล่ “ก็ดี ฉันคิดว่างั้นนะ” เขาวางเท้าลงบนเก้าอี้
เขาเงยหน้าขึ้น “แล้วพี่ล่ะ?”
เธอยักไหล่ การแสดงออกของเธอต้องมีอะไรบางอย่าง เพราะแซมยังคงจ้องอยู่ เขามองเธอไม่ละสายตา
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่มีอะไร” เธอพูดป้องกันตัว หันหลังและเดินไปที่หน้าต่าง
เธอรู้สึกได้ว่าเขากำลังมองเธออยู่
“พี่ดู...แปลกไปนะ”
เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง มองอย่างไร้จุดหมาย ผู้ชายที่อยู่ด้านนอกร้านขายของชำตรงหัวมุมกำลังยื่นถุงให้คนซื้อ
“ยังไงหรอ?”
เงียบ
“ฉันก็ไม่รู้หรอก” ในที่สุดเขาก็ตอบออกมา
เธอหยุดชะงัก สงสัยว่าเขารู้หรือไม่ สงสัยว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเธอมีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า เธอกลืนน้ำลาย
“ฉันเกลียดที่ใหม่นี่” เขาพูด
เธอหันกลับไปและมองเขา
“ฉันก็ไม่ชอบ”
“ฉันเคยคิดที่จะ...” เขาลดหัวต่ำลง “...หนีออกไป”
“เธอหมายความว่ายังไง?”
เขายักไหล่ให้
เธอมองหน้าเขา เขาดูเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
“ไปที่ไหน?” เธอถาม
“บางที...อาจจะตามพ่อไป”
“ยังไงล่ะ? เราไม่รู้เลยว่าพ่ออยู่ไหน”
“ฉันควรลอง ฉันสามารถหาเขาได้”
“ทำยังไง?”
“ฉันไม่รู้...แต่ฉันจะลอง”
“แซม เท่าที่เรารู้เขาอาจตายไปแล้วก็ได้”
“อย่าพูดแบบนั้นนะ!” เขาโพล่งออกมา ใบหน้าของเขาแดงก่ำ
“ขอโทษ” เธอพูด
เขาสงบลง
“แต่เธอเคยคิดบ้างมั้ยว่าถ้าเราเจอพ่อ พ่ออาจจะไม่ต้องการเราก็ได้ พ่อทิ้งพวกเราไป และไม่เคยคิดติดต่อกลับมาเลย”
“อาจเป็นเพราะแม่ไม่ต้องการให้พ่อกลับมา”
“หรือบางทีพ่อเพียงแค่ไม่ต้องการเรา”
แซมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดในขณะที่แตะเท้าลงบนพื้น “ฉันตามหาเขาบนเฟซบุ๊ก”
ดวงตาของเคทลินเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“เธอเจอเขามั้ย?”
“ฉันไม่แน่ใจ คนที่ชื่อเหมือนพ่อมีอยู่คน 4 ในจำนวนนั้นมี 2 คนที่ตั้งเป็นส่วนตัวและไม่มีรูป ฉันส่งข้อความไปหาทั้งคู่”
“แล้ว?”
แซมส่ายหัว
“ฉันไม่ได้รับการติดต่อกลับมาเลย”
“พ่อไม่น่าจะเล่นเฟซบุ๊ก”
“พี่รู้ได้ไง” เขาตอบแย้งอีกครั้ง
เคทลินถอนหายใจ เดินไปที่เตียงของเธอและเอนตัวลงนอน เธอมองไปที่เพดานสีเหลืองที่กำลังลอก และสงสัยว่าพวกเขาขึ้นไปทาสีบนนั้นได้อย่างไร เธอนึกถึงเมืองที่พวกเขาเคยอยู่กันอย่างมีความสุข ดูเหมือนเป็นช่วงเวลาที่แม่ของเธอมีความสุขที่สุด ช่วงที่แม่กำลังคบกับผู้ชายคนนั้น อย่างน้อยเธอก็มีความสุขเพียงพอที่จะทิ้งเคทลินไว้เพียงลำพัง
เมืองที่เหมือนกับเมืองก่อนหน้านี้ ทั้งเธอและแซมสามารถสร้างเพื่อนที่ดีได้ ที่แห่งนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะปักหลักอยู่จริง ๆ อย่างน้อยก็นานพอที่จะสำเร็จการศึกษา และหลังจากนั้นทุกอย่างดูเหมือนจะรวดเร็วไปหมด เธอต้องเก็บของอีกครั้ง กล่าวคำอำลา การมีชีวิตวัยเด็กเหมือนคนอื่นมันยากนักหรือ?
“ฉันควรย้ายกลับไปโอ๊กวิลล์” จู่ ๆ แซมก็พูดขึ้นมา เธอหยุดความคิดเกี่ยวกับเมืองที่แล้วของเธอ มันน่าแปลกที่เขามักจะรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “ฉันสามารถอยู่กับเพื่อนได้”
วันนี้มีหลายเรื่องเกิดขึ้นกับเธอ มันหนักมากเกินไป เธอคิดอะไรไม่ออก และในความสิ้นหวังนี้ สิ่งที่เธอได้ยินคือแซมพร้อมที่จะทิ้งเธอไปเช่นกัน เหมือนเขาไม่สนใจเธออีกต่อไปแล้ว
“ก็ไปสิ!” เธอตะคอกออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ราวกับว่าใครคนอื่นพูดมันออกมา เธอได้ยินถึงความโกรธที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเธอ และเธอรู้สึกเสียใจ
ทำไมเธอพูดแบบนั้นออกมา? ทำไมเธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้?
ถ้าเธออยู่ในโหมดที่อารมณ์ดีกว่านี้ ถ้าเธอใจเย็นกว่านี้และไม่ได้มีเรื่องราวมากมายถาโถมเข้ามา เธอคงจะไม่พูดแบบนี้ออกไป หรือเธออาจจะพูดได้นุ่มนวลกว่านี้ เช่น ฉันรู้ว่าเธอต้องการจะพูดอะไร เธอไม่เคยอยากออกไปจากที่นี่ ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน เพราะเธอไม่สามารถทิ้งฉันไว้เพียงลำพัง ไม่สามารถปล่อยให้ฉันเจอเรื่องพวกนี้คนเดียว ฉันรักเธอและฉันจะไม่ทิ้งเธอไปเช่นกัน ชีวิตวัยเด็กที่วุ่นวายของพวกเรา อย่างน้อยเราก็มีกันและกัน ซึ่งเธอน่าจะพูดแบบนี้ออกไปแทน อารมณ์ของเธอทำให้เธอรู้สึกแย่ มันทำให้เธอแสดงความเห็นแก่ตัว และตะคอกออกไป
เธอลุกขึ้นนั่งและมองเห็นความเจ็บปวดบนใบหน้าของเขา เธออยากถอนคำพูด เธอต้องการบอกว่าเธอเสียใจ ทุกอย่างเอ่อล้นอยู่ในจิตใจของเธอ แต่เธอไม่สามารถปริปากออกมาได้
ในความเงียบงัน แซมค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกจากห้องและปิดประตูอย่างแผ่วเบา
นังโง่ เธอคิด ฉันมันโง่จริง ๆ ทำไมฉันต้องทำตัวแบบเดียวกับที่แม่ทำกับเขา?
เธอล้มตัวลงนอน มองไปยังเพดาน เธอตระหนักได้ว่ามันมีอีกเหตุผลหนึ่งที่เธอตะคอกออกมา เขารบกวนความคิดของเธอ และอยู่ในช่วงที่พวกเขากำลังแย่ ความคิดอันมืดมนกำลังเข้ามาในใจของเธอ และเขาตัดบทเธอก่อนที่เธอจะคิดออก
สามเมืองก่อนหน้านี้ ช่วงที่แม่ของเธอดูเหมือนจะมีความสุข แฟนเก่าของแม่ชื่อ แฟรงค์ เขาอายุ 50 ปี รูปร่างเตี้ย อ้วน หัวล้าน ตัวหนาอย่างกับท่อนซุง กลิ่นเหมือนน้ำหอมราคาถูก ตอนนั้นเธออายุ 16 ปี
ในขณะที่เธอยืนอยู่ในห้องซักรีดเล็ก ๆ กำลังพับเสื้อผ้าของเธอ แฟรงค์ปรากฏตัวขึ้นที่ประตู เขาดูน่ากลัว เขามองมาที่เธอ ก้มลงและหยิบชุดชั้นในของเธอที่อยู่บนพื้น เธอรู้สึกถึงความเขินอายและความโกรธ เขาชูขึ้นและแสยะยิ้ม
“เธอทำหล่น” เขาพูดและยิ้ม เธอรีบคว้ามาจากมือของเขา
“คุณต้องการอะไร?” เธอตะคอกกลับ
“นั่นคือวิธีพูดจากับพ่อเลี้ยงคนใหม่ของเธอหรอ?”
เขาใกล้เข้ามาอีกครึ่งก้าว
“คุณไม่ใช่พ่อเลี้ยงของฉัน”
“แต่ฉันกำลังจะเป็น ---- เร็ว ๆ นี้”
เธอพยายามกลับไปพับผ้าของเธอต่อ แต่เขาก้าวเข้ามาอีก มันใกล้จนเกินไป หัวใจของเธอกำลังเต้นแรงอยู่ในหน้าอกของเธอ
“ฉันคิดว่ามันถึงเวลาที่เราจะทำความรู้จักกันให้มากขึ้น” เขาพูดพร้อมถอดเข็มขัดของเขาออก “เธอว่าไง?”
เธอรู้สึกหวาดกลัว พยายามจะแทรกตัวผ่านเขา เพื่อไปยังทางออกประตู แต่เมื่อเธอทำเช่นนั้น เขาปิดทางเธอ และจับเธอผลักเข้ากับกำแพง
และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น
ความเกรี้ยวกราดถาโถมเข้ามาหาเธอ ความโกรธในแบบที่เธอไม่เคยพบมาก่อน เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอลุกเป็นไฟ ความร้อนแผ่จากเท้าของเธอขึ้นไปสู่ศีรษะ เมื่อเขาใกล้เข้ามา เธอกระโดดและใช้เท้าสองข้างเตะไปบนหน้าอกของเขา
แม้ว่าขนาดตัวของเขาจะใหญ่กว่า ขณะนี้เขากระเด็นไปด้านหลัง ชนกับบานประตู ผ่านประตู และยังคงลอยไปต่ออีกสิบฟุต เข้าไปยังอีกห้องหนึ่ง ราวกับปืนใหญ่ที่ยิงเขาทะลุบ้าน
เคทลินยืนอยู่ตรงนั้น ตัวสั่นเทา เธอไม่เคยเป็นคนที่รุนแรงมาก่อน เธอไม่เคยต่อยใคร ที่สำคัญเธอไม่ได้ตัวใหญ่หรือแข็งแรง เธอรู้วิธีเตะเขาแบบนั้นได้อย่างไร? เธอมีความแข็งแรงแบบนี้ได้อย่างไร? เธอไม่เคยเห็นใครบินลอยกลางอากาศหรือทะลุประตู ความแข็งแรงของเธอมาจากไหน?
เธอเดินไปหาเขา และยืนอยู่เหนือเขา
เขาสลบและนอนราบไปพื้น เธอสงสัยว่าเธอฆ่าเขาหรือไม่ ในตอนนั้นเธอยังคงโกรธอยู่ เธอไม่สนใจสิ่งใด เธอกังวลตัวเธอเองมากกว่า ว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นใคร --- หรืออะไร --- กันแน่
เธอไม่เคยเห็นแฟรงค์อีกเลย เขาเลิกกับแม่ของเธอในวันถัดมา และไม่เคยกลับมาอีก แม่ของเธอสงสัยว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างพวกเราสองคน แต่เธอไม่เคยพูดอะไร เธอได้แต่โทษเคทลินเรื่องที่พวกเขาเลิกกัน เธอหาว่าเคทลินทำลายช่วงเวลาที่มีความสุขในชีวิตของเธอ และเธอไม่เคยหยุดโทษเคทลินเลยนับตั้งแต่นั้น
เคทลินมองกลับไปยังเพดานห้องที่สีถลอก หัวใจของเธอเต้นรัว เธอนึกถึงความโกรธในวันนี้ และสงสัยว่าทั้งสองเหตุการณ์นั้นเกี่ยวข้องกัน เธอมักจะคิดว่าแฟรงค์แค่เสียสติ เหตุการณ์ลักษณะเดียวกัน ความแข็งแรงแปลกประหลาดที่ระเบิดออกมา ตอนนี้เธอสงสัยว่ามันมีอะไรบางอย่างมากกว่านั้น พลังอะไรบางอย่างอยู่ภายในตัวของเธอ? เธอเป็นตัวประหลาดหรือเปล่า?
เธอเป็นใคร?
บทที่สาม
เคทลินกำลังวิ่ง พวกอันธพาลอยู่ข้างหลัง และพวกมันกำลังวิ่งตามเธอไปยังตรอก ทางตันอยู่ข้างหน้า กำแพงที่มีขนาดใหญ่ แต่เธอวิ่งเข้าไปหามัน ในขณะที่วิ่งอยู่ เธอเพิ่มความเร็ว เร็วเท่าที่จะเป็นไปได้ ความเร็วทำให้ตึกด้านข้างกลายเป็นภาพเบลอ เธอสามารถรับรู้ถึงสายลมที่พัดผ่านเส้นผมของเธอ
เมื่อเธอเข้าไปใกล้ เธอกระโดด และการกระโดดเพียงครั้งเดียวทำให้เธอขึ้นไปอยู่เหนือยอดกำแพงที่สูงสามสิบฟุต เธอกระโดดอีกครั้งและลอยผ่านอากาศ บนความสูงสามสิบฟุตยี่สิบ เธอร่อนลงบนคอนกรีตโดยไม่เสียการทรงตัว เธอยังคงวิ่ง วิ่งต่อไป เธอรู้สึกทรงพลัง ไร้เทียมทาน ความเร็วของเธอเพิ่มขึ้นอีก และเธอรู้สึกว่าเธอสามารถบินได้
เธอมองลงไปข้างล่างและคอนกรีตที่อยู่ด้านหน้าเปลี่ยนเป็นพื้นหญ้า --- ต้นหญ้าสูง ปลิวไสว เขียวขจี เธอวิ่งผ่านทุ่งหญ้า แสงอาทิตย์ และจำได้ว่านี่คือบ้านของเธอสมัยยังเป็นเด็ก
ไกลออกไป เธอสามารถรับรู้ได้ว่าพ่อของเธอยืนอยู่ที่เส้นขอบฟ้า เมื่อเธอวิ่งไปหาพ่อ เธอใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ เธอเห็นพ่อเข้ามาในระยะสายตา เขายืนอยู่พร้อมกับยิ้มกว้างและกางแขนออก
เธอเจ็บปวดที่เห็นเขาอีกครั้ง เธอวิ่งสุดกำลัง แต่เมื่อเธอยิ่งเข้าใกล้ เขาก็ยิ่งหากออกไป
ทันใดนั้น เธอตกลงไป
ประตูยุคกลางขนาดใหญ่เปิดออก เธอเข้าไปในโบสถ์ เธอเดินลงไปตามทางเดิน ทั้งสองข้างมีคบเพลิงส่องสว่าง ต่อหน้าธรรมมาสน์ ผู้ชายคนหนึ่งหันหลังให้กับเธอ กำลังคุกเข่า เมื่อเธอเข้าไปใกล้ เขายืนขึ้นและหันมา
เขาคือนักบวช เขามองมาที่เธอ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอรับรู้ได้ถึงเลือดที่วิ่งผ่านเส้นเลือดของเขา เธอเข้าใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ เธอไม่สามารถหยุดตัวเธอเองได้ เขายกกางเขนขึ้นมาที่ใบหน้าของเธออย่างเกรงกลัว
เธอกระโจนใส่เขา ฟันของเธองอกยาว ยาวออกมา และทิ่มแทงเข้าไปที่คอของนักบวช
เขากรีดร้อง แต่เธอไม่สนใจ เธอสัมผัสได้ถึงเลือดของเขาวิ่งผ่านฟันและเข้าไปยังเส้นเลือดของเธอ มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของเธอ
เคทลินลุกขึ้นนั่งบนเตียง หายใจหอบ เธอมองไปรอบ ๆ ตัวเธอ รู้สึกสับสัน แสงแดดยามเช้าอันเจิดจ้าสาดส่องเข้ามา
ในที่สุด เธอก็รู้ตัวว่ามันเป็นเพียงความฝัน เธอปาดเหงื่อเย็น ๆ ออกจากขมับ และนั่งที่ปลายเตียงของเธอ
บรรยากาศช่างเงียบงัน ดูจากแสง แซมและแม่ของเธอคงออกไปแล้ว เธอมองไปที่นาฬิกา เวลาตอนนี้ 8.15 น. มันสายแล้วแน่นอน เธอไปโรงเรียนสายในวันที่สองของเธอ
มันช่างเยี่ยมจริง ๆ
เธอแปลกใจที่แซมไม่ได้มาปลุกเธอ เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยปล่อยให้เธอนอนตื่นสาย --- เขามักจะมาปลุกเธอถ้าเขาต้องออกจากบ้านก่อน
เขาคงโกรธเรื่องเมื่อคืนอยู่แน่ ๆ
เธอเพ่งมองไปที่โทรศัพท์ของเธอ แบตเกือบหมด เธอลืมชาร์จ แต่ก็ไม่เป็นอะไร เพราะเธอไม่ได้ต้องการจะคุยกับใครอยู่แล้ว
เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าที่วางกองอยู่บนพื้นและใช้มือรวบผมของเธอ ปกติเธอออกจะไปโดยไม่ทานอะไร แต่เช้านี้เธอรู้สึกกระหาย กระหายแบบผิดปกติ เธอเดินไปที่ตู้เย็นและหยิบน้ำองุ่นมาหนึ่งแกลลอน ความคลั่งเกิดขึ้นชั่ววูบ เธอแกะฝาออกและดื่มจากขวด เธอดื่มไม่หยุดจนหมดทั้งแกลลอน
เธอมองไปยังขวดที่ว่างเปล่า เธอเพิ่งดื่มมันหมดหรือนี่? ในชีวิตของเธอ เธอไม่เคยดื่มเกินครึ่งแก้วเลย เธอมองตัวเองเอื้อมหยิบและขยี้กล่องด้วยมือข้างเดียว ตอนนี้มันกลายเป็นลูกบอลขนาดเล็ก เธอไม่เข้าใจถึงความแข็งแรงใหม่ที่เกิดขึ้นกับตัวเธอ มันแผ่ซ่านไปทั่วเส้นเลือดของเธอ มันทั้งน่าตื่นเต้น และน่าหวาดกลัว
เธอยังคงหิวและกระหาย แต่ไม่ใช่อาหาร เส้นเลือดของเธอกำลังกรีดร้องสำหรับบางอย่าง แต่เธอไม่เข้าใจว่าคืออะไร
*
โถงทางเดินของโรงเรียนว่างเปล่าดูแปลกตา ตรงข้ามกับวันก่อนอย่างสิ้นเชิง ชั้นเรียนคงเริ่มไปแล้ว ที่นี่ไม่มีใครเลย เธอมองไปที่นาฬิกาของเธอ ตอนนี้เวลา 8.40 น. ยังเหลือเวลาอีก 15 นาที เพื่อไปยังคาบที่สาม เธอสงสัยว่ามันจะคุ้มค่าไหม แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เธอจึงเดินตามหมายเลขไปยังห้องเรียน
เธอหยุดอยู่นอกประตูห้องเรียน จากตรงนี้เธอสามารถได้ยินเสียงคุณครู เธอลังเล เธอไม่ชอบการขัดจังหวะ ไม่ต้องการเป็นที่สนใจ แต่เธอก็มองไม่เห็นตัวเลือกอื่น
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ และหมุนลูกบิดเหล็ก
เธอเดินเข้าไป ทั้งห้องหยุดและมองมาที่เธอ รวมถึงคุณครู
ทุกคนเงียบ
“คุณ...” ครูลืมชื่อของเธอ ครูเดินไปที่โต๊ะและหยิบกระดาษขึ้นมามองหารายชื่อ “...เพน นักเรียนหญิงคนใหม่ เธอมาสาย 25 นาที”
ครูผู้หญิงวัยชราที่ดูเข้มงวด จ้องมาที่เคทลิน
“เธอมีอะไรจะพูดมั้ย?”
เคทลินลังเล
“ขอโทษค่ะ?”
“นั่นยังไม่ดีพอ การมาสายในชั้นเรียนอาจยอมรับได้ในสถานที่ที่เธอเคยอยู่ แต่แน่นอนว่าที่นี่ไม่ยอมรับได้”
“ไม่ยอมรับได้” เคทลินพูด
ความเงียบแปลกประหลาดปกคลุมไปทั่วห้อง
“อะไรนะ?” ครูถามช้า ๆ
“ครูพูดว่า “ไม่ยอมรับได้” ครูหมายถึง “ยอมรับไม่ได้” ใช่มั้ยคะ
“เอาแล้วไง!” เสียงอุทานดังมาจากเด็กผู้ชายหลังห้อง และทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
ใบหน้าของครูกลายเป็นสีแดง
“เธอ ยัยตัวแสบ ไปรายงานตัวที่ห้องอาจารย์ใหญ่เดี๋ยวนี้!”
ครูเดินไปเปิดประตูข้าง ๆ เคทลิน เธอยืนห่างออกไปแค่นิ้วเดียว ใกล้พอที่จะทำให้เคทลินได้กลิ่นน้ำหอมราคาถูกของเธอ “ออกไปจากห้องของฉัน!”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเคทลินคงจะเดินหลบออกไปจากห้อง อันที่จริง เธอไม่ควรจะไปแก้คำพูดของครูตั้งแต่แรก แต่บางอย่างในตัวเธอได้เปลี่ยนแปลงไป บางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ และเธอรู้สึกถึงการต่อต้านที่กำลังก่อตัวขึ้น เธอไม่อยากแสดงความเคารพให้ใคร และเธอก็ไม่รู้สึกเกรงกลัวอีกต่อไป
เคทลินยืนอยู่ที่เดิม ไม่สนใจครู และมองไปรอบ ๆ ห้องเรียนอย่างช้า ๆ เธอมองหาโจนาห์ในห้องที่แออัด เธอมองไปทีละแถว แต่ไม่มีวี่แววของเขาเลย
“คุณเพน! เธอได้ยินมั้ย ฉันพูดว่าอะไร!?”
เคทลินหันมามองอย่างท้าทาย แล้วเธอก็หันกลับไป และเดินออกจากห้องอย่างช้า ๆ
เธอได้ถึงเสียงปิดประตูดังปังข้างหลังเธอ และเสียงที่ดังอยู่ในห้อง ตามมาด้วยเสียง “เงียบ ๆ หน่อย!”
เคทลินเดินต่อไปยังโถงทางเดินที่ว่างเปล่า ไม่แน่ใจว่า เธอต้องไปที่ไหน
เธอได้ยินเสียงฝีเท้าในระยะไกล เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยปรากฏตัวขึ้น เขาเดินตรงมาที่เธอ
“บัตรผ่านล่ะ!” เขาตะโกนมาที่เธอ และยังคงรักษาระยะห่างยี่สิบฟุตเอาไว้อย่างดี
“อะไรนะคะ?” เธอตอบ
เขาเข้ามาใกล้อีก
“บัตรผ่านทางของเธออยู่ไหน? เธอควรจะถือไว้ในที่ที่มองเห็นได้ตลอดเวลา”
“บัตรผ่านอะไรนะ?”
เขาหยุดและตรวจสอบเธอ เขาเป็นผู้ชายน่าเกลียด ดูหยาบคาย เขามีไฝขนาดใหญ่อยู่บนหน้าผากของเขา
“เธอไม่สามารถเดินไปมาที่นี่ได้โดยไม่มีบัตรผ่านที่ลงนาม เธอรู้มั้ย บัตรผ่านอยู่ที่ไหน?”
“ฉันไม่รู้----”
เขาหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา และพูดว่า “ละเมิดบัตรผ่านทาง ฝั่ง 14 ฉันกำลังนำเธอไปกักขัง”
“กักขัง?” เคทลินถาม รู้สึกสับสัน “คุณจะทำ----”
เขาจับแขนของเธออย่างรุนแรง และลากเธอไปตามโถงทางเดิน
“เลิกพูดได้แล้ว!” เขาตะโกน
เคทลินไม่ชอบเลยที่นิ้วของเขากดลงบนแขนของเธอ เขาลากเธอราวกับเธอเป็นเด็ก เธอรู้สึกได้ถึงความร้อนที่กำลังก่อตัวขึ้นภายในร่างกายของเธอ ความโกรธกำลังจะเข้ามาปกคลุมจิตใจ เธอไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรหรือทำไม แต่เธอรับรู้ได้ และเธอรู้ว่าในตอนนั้น เธอจะไม่สามารถควบคุมความโกรธหรือการใช้พลังของเธอได้
เธอต้องหยุดมันก่อนที่จะสายเกินไป เธอพยายามมีสมาธิเพื่อทำให้มันหยุด แต่ยิ่งนิ้วของเขาอยู่บนตัวแขนนานเท่าไร ความโกรธนั้นก็ยังไม่หายไป
เธอสะบัดแขนของเธออย่างรวดเร็ว ก่อนที่พลังจะเข้าครอบงำเธอ เคทลินมองมือของเขาที่ลอยออกไปจากตัวเธอ และเขาถอยโซเซออกไปหลายฟุต
เขาจ้องกลับมาที่เธอ รู้สึกตกตะลึงที่เด็กผู้หญิงตัวเท่าเธอสามารถโยนเขาออกไปไกลหลายฟุตด้วยการสะบัดแขนเพียงเล็กน้อย เขารู้สึกสับสนระหว่างความโกรธและความกลัว เธอเห็นเขากำลังชั่งใจว่าจะจู่โจมเธอหรือถอยออกไป เขาลดมือลงไปที่เข็มขัดของเขา ซึ่งมีกระป๋องสเปรย์พริกไทยขนาดใหญ่อยู่
“ลองดีกับฉันอีกครั้งสิสาวน้อย” เขาพูดอย่างเลือดเย็น “แล้วฉันจะฟาดเธอด้วยกระบอง”
“งั้นก็อย่าเอามือมาจับฉัน” เธอตอบอย่างไม่เกรงกลัว เธอรู้สึกตกใจกับเสียงของเธอเอง มันเปลี่ยนไป มันดุดัน ดูป่าเถื่อนมากขึ้น
เขาค่อย ๆ เอามือออกห่างจากสเปรย์ เขาหยุดสู้
“เดินไปข้างหน้าฉัน” เขาบอก “ลงไปตามโถงทางเดินและเดินขึ้นบันไดเหล่านั้น”
*
เจ้าหน้าที่ปล่อยเธอไว้ตรงทางเข้าห้องอาจารย์ใหญ่ที่แออัด ระหว่างนั้นวิทยุของเขาดังขึ้น เขาต้องรีบไปอีกที่หนึ่ง แต่ก่อนที่เขาจะไป เขาหันกลับมาหาเธอ
“อย่าให้ฉันเห็นเธอที่โถงทางเดินอีกครั้งนะ” เขาตะคอก
เคทลินหันมาและเห็นเด็กสิบห้าคนในทุกช่วงวัย กำลังนั่งบ้าง ยืนบ้าง ดูเหมือนทั้งหมดกำลังรอเข้าพบอาจารย์ใหญ่ พวกเขาคงทำตัวไม่เหมาะสม เด็กนักเรียนถูกเรียกเข้าไปทีละคน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยยืนมองอยู่ แต่ไม่ค่อยกระตือรือร้น เขาสัปหงกขณะยืน
เคทลินไม่ชอบที่จะต้องรอครึ่งค่อนวัน และแน่นอนว่าเธอไม่อยากเข้าพบอาจารย์ใหญ่ เธอไม่ควรมาสาย นั่นคือเรื่องจริง แต่เธอไม่สมควรได้รับสิ่งนี้ มันเพียงพอแล้ว
ประตูทางเดินเปิดออก เจ้าหน้าที่ลากเด็กมาอีกสามคน พวกเขากำลังสู้และผลักกัน ความโกลาหลเกิดขึ้นในพื้นที่เล็ก ๆ ที่แออัดอยู่แล้ว จากนั้นเสียงระฆังดังขึ้น และเหนือประตูกระจก เธอมองเห็นทางเดินที่เต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ความโกลาหลเกิดขึ้นทั้งด้านในและด้านนอก
เคทลินสบโอกาส เมื่อประตูเปิดอีกครั้ง เธอก้มลงผ่านเด็กคนอื่น ๆ และแทรกตัวออกไปยังโถงทางเดิน
เธอหันมามองอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีใครสังเกตเห็น เธอเดินตัดผ่านกลุ่มเด็กไปยังอีกฝั่ง เมื่อถืงหัวมุม เธอตรวจดูอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครตามมา
เธอปลอดภัยแล้ว เจ้าหน้าที่อาจจะสังเกตเห็นว่าเธอหายไป แต่ในเมื่อเธอยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการ และเธอก็มาไกลเกินกว่าจะถูกจับ เธอจึงรีบลงไปจากโถงทางเดิน ทิ้งระยะห่างมากขึ้น และมุ่งหน้าไปยังโรงอาหาร เธอต้องไปหาโจนาห์ เธออยากรู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไร
โรงอาหารเต็มไปด้วยผู้คน เธอเดินอย่างรวดเร็วไปตามทางเดิน มองหาเขา แต่ก็ไม่พบ เธอเดินรอบที่สอง มองหาทุกโต๊ะอย่างช้า ๆ และยังคงไม่เจอเขา
เธอเสียใจที่ไม่ได้กลับไปหาเขา ไม่ได้ตรวจสอบบาดแผลของเขา ไม่ได้เรียกรถพยาบาล เธอสงสัยว่าเขาบาดเจ็บมากไหม บางทีเขาอาจอยู่ที่โรงพยาบาล บางทีเขาอาจจะไม่กลับมาที่โรงเรียนอีกต่อไป
เธอรู้สึกสิ้นหวัง เดินไปหยิบถาดอาหารและนั่งลงบนโต๊ะที่มองเห็นประตูชัดเจน เธอนั่งอยู่ตรงนั้น ทานอาหารไม่ลง และคอยมองเด็กทุกคนที่เดินเข้ามา หวังว่าทุกครั้งที่ประตูเปิดออกจะเป็นเขา
แต่ก็ไร้วี่แวว
เสียงระฆังดังขึ้น ในโรงอาหารไม่มีคนอยู่แล้ว เธอยังคงนั่งรอที่นั่น
ท่ามกลางความว่างเปล่า
*
เสียงระฆังครั้งสุดท้ายของโรงเรียนดังขึ้น เคทลินยืนอยู่หน้าล็อกเกอร์ของเธอ มองดูรหัสบนกระดาษขนาดเล็กในมือ เธอหมุนลูกบิดและดึง แต่เปิดไม่ออก เธอมองดูรหัสและใส่ใหม่อีกครั้ง มันเปิดได้แล้ว
เธอมองไปยังล็อกเกอร์เหล็กที่ว่างเปล่า ประตูด้านในถูกขีดเขียนด้วยกราฟฟิตี้ เธอรู้สึกสิ้นหวัง คิดถึงโรงเรียนเก่าของเธอ การหาล็อกเกอร์ใหม่ การจดจำรหัสเปิด และประตูล็อกเกอร์ที่เรียงรายไปด้วยรูปภาพของเด็กผู้ชายจากนิตยสาร มันเป็นสิ่งที่เธอสามารถควบคุม เธอได้ทำตัวเหมือนอยู่บ้าน ค้นหาสถานที่หนึ่งในโรงเรียน เพื่อทำบางอย่างที่คุ้นเคย
แต่ที่โรงเรียนไม่กี่แห่งก่อนหน้านี้ เธอรู้สึกกระตือรือร้นน้อยลง เธอเริ่มสงสัยว่าสิ่งที่ทำไปมันน่ารำคาญ เพราะเธอคงต้องย้ายอีกครั้ง เพียงแค่ขึ้นอยู่กับเวลา เธอจึงไม่ค่อยตกแต่งล็อกเกอร์ของเธอ
คราวนี้เธอก็จะไม่ทำเรื่องน่าเบื่อนั่น เธอปิดประตูดังปัง
“เคทลิน?”
เธอสะดุ้ง
ห่างออกไปฟุตหนึ่ง โจนาห์ยืนอยู่ตรงนั้น
เขาสวมแว่นกันแดดขนาดใหญ่ เธอสามารถมองเห็นผิวหนังภายใต้ที่ปูดบวม
เธอรู้สึกตกใจที่เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้น และตื่นเต้น อันที่จริงเธอตกใจมากว่าว่าทำไมเธอถึงตื่นเต้นขนาดนี้ ความรู้สึกกังวลอันอบอุ่นรวมอยู่ตรงกลางท้องของเธอ เธอรู้สึกว่าคอของเธอแห้งผาก
เธอต้องการถามเขาหลายอย่างเหลือเกิน เขากลับบ้านอย่างปลอดภัยหรือเปล่า ถ้าเขาเห็นเด็กเกเรเหล่านั้นอีกจะทำยังไง เขาเห็นเธอที่นั่นหรือไม่... แต่อย่างไรก็ตาม คำพูดเหล่านี้ไม่สามารถส่งผ่านจากสมองไปยังปากของเธอได้
“เฮ้” คำพูดทั้งหมดที่เธอสามารถพูดมันออกไป
เขายืนมองเธออยู่ตรงนั้น เขาดูไม่แน่ใจว่าจะเริ่มอย่างไร
“ฉันเห็นเธอหายไปจากในห้องเรียนวันนี้” เธอพูด และรู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันทีกับคำพูดที่เธอเลือกมา
บ้าจริง เธอควรจะพูดว่า “ฉันไม่เห็นเธอในชั้นเรียน” คำว่า “หายไป” ฟังแล้วหดหู่
“ฉันมาสาย” เขาบอก
“ฉันก็มาสายเหมือนกัน” เธอตอบกลับ
เขาขยับตัว ดูไม่ค่อยสะดวกสบายนัก เธอสังเกตเห็นว่าไวโอล่าของเขาไม่ได้อยู่ข้างกาย ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเรื่องจริง มันไม่ใช่แค่เพียงฝันร้าย
“เธอโอเคมั้ย?” เคทลินถาม
เธอชี้ไปที่แว่นตาของเขา
เขายกมือขึ้นและค่อย ๆ ถอดแว่นออก
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยช้ำและบวมปูด บนหน้าผากและด้านข้างดวงตามีรอยแตกและผ้าพันแผล
“ฉันดีขึ้นแล้ว” เขาบอก เขาดูเหมือนจะเขินอาย
“โอ้ว พระเจ้า” เธอพูดและรู้สึกแย่ที่ได้เห็น เธอรู้ว่าอย่างน้อยเธอก็ควรจะรู้สึกดีที่ช่วยเหลือเขา เพื่อบรรเทาไม่ให้เขาเจ็บมากขึ้น แต่เธอกลับรู้สึกแย่ที่ไม่ได้ไปที่นั่นให้เร็วกว่านี้ การเธอที่ไม่ได้กลับไปหาเขา แต่หลังจากที่...มันได้เกิดขึ้น ทุกอย่างดูเลือนลาง เธอไม่สามารถจำได้จริง ๆ ว่าเธอกลับไปบ้านได้อย่างไร “ฉันเสียใจด้วย”
“เธอได้ยินมั้ยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง?” เขาถาม
เขามองเธอตาไม่กระพริบด้วยดวงตาสีเขียวที่สดใสของเขา เธอรู้สึกว่าเขากำลังทดสอบเธอ เหมือนเขากำลังพยายามทำให้เธอยอมรับว่าเธออยู่ที่นั่น
เขาเห็นฉันเหรอ? แต่เขาไม่น่าจะเห็น ตอนนั้นเขาหมดสติหรือเปล่า? บางทีเขาอาจจะเห็นอะไรหลังจากนั้น? ฉันควรยอมรับว่าอยู่ที่นั่นดีไหม?
ใจหนึ่งเธออยากบอกเขาแทบขาดใจว่าเธอช่วยเขาไว้อย่างไร เพื่อให้เขายอมรับและขอบคุณกับสิ่งที่เธอทำ แต่อีกใจหนึ่ง มันไม่มีทางที่เธอจะสามารถอธิบายสิ่งที่เธอทำโดยไม่ดูเหมือนการโกหกหรือเป็นพวกตัวประหลาด
ไม่ เธอตัดสินใจแล้ว เธอไม่สามารถบอกเขา ไม่ได้เด็ดขาด
“ไม่เลย” เธอโกหก “ฉันไม่รู้จักใครที่นี่ จำได้มั้ย?”
เขานิ่ง
“ฉันถูกรุมทำร้าย” เขาบอก “ตอนที่กำลังเดินจากโรงเรียนกลับบ้าน”
“ฉันเสียใจด้วย” เธอพูดอีกครั้ง เธอทำเสียงเหมือนคนโง่ พูดประโยคโง่ ๆ ซ้ำอีกครั้ง เธอเพียงแต่ไม่ต้องการพูดอะไรมากเกินไป
“ใช่ พ่อของฉันโกรธมาก” เขาเล่าต่อ “พวกมันทำลายไวโอล่าของฉัน”
“นั่นมันแย่มาก” เธอพูด “พ่อของเธอจะซื้อใหม่ให้เธอมั้ย?”
โจนาห์ส่ายหัวอย่างช้า ๆ “เขาบอกว่าไม่ เขาไม่สามารถซื้อได้อีก อันที่จริงฉันควรจะระวังให้มากกว่านี้”
เคทลินมีสีหน้ากังวล “แต่เธอเคยบอกว่ามันคือตั๋วสำหรับการออกไป?”
เขายักไหล่
“เธอจะทำยังไงต่อ?” เธอถาม
“ฉันไม่รู้”
“บางทีตำรวจอาจจะหาเจอ” เธอพูด แน่นอน เธอจำได้ว่ามันพังแล้ว แต่เธอคิดว่าการพูดเช่นนี้จะช่วยเป็นการยืนยันกับเขาว่าเธอไม่รู้ไม่เห็น
เขามองเธออย่างพินิจพิจารณา ราวกับกำลังตัดสินว่าเธอกำลังโกหกอยู่หรือไม่
ในที่สุด เขาก็พูดว่า “พวกมันพังจนแตกละเอียด” เขาเว้นช่วง “คนบางคนเพียงแค่ต้องการทำลายของของคนอื่น ฉันคิดว่างั้นนะ”
“จริงหรอเนี่ย” เธอพูด เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เปิดเผยทุกอย่าง “นั่นมันแย่มาก ๆ”
“พ่อของฉันโกรธที่ฉันไม่ยอมสู้กลับ...แต่นั่นไม่ใช่ตัวฉัน”
“คนเลวพวกนั้น บางทีตำรวจจะจับพวกมันได้” เธอบอก
รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏบนใบหน้าของโจนาห์ “พวกมันได้รับผลกรรมเรียบร้อยแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่น่าแปลก”
“เธอหมายความว่ายังไง?” เธอถาม พยายามทำเสียงดูน่าเชื่อถือ
“ฉันพบคนพวกนี้นอนเรียงรายอยู่ในตรอก พวกมันถูกเล่นงานแย่ยิ่งกว่าฉันซะอีก ไม่ขยับตัวเลย” ยิ้มของเขากว้างขึ้น “ใครบางคนจัดการพวกมัน ฉันเดาว่านั่นคือพระเจ้า”
“มันแปลกมาก” เธอพูด
“บางทีฉันอาจจะมีนางฟ้าผู้พิทักษ์” เขาบอก มองมาที่เธออย่างใกล้ชิด
“คงงั้น” เธอตอบ
เขาจ้องมาที่เธอเป็นเวลานาน เหมือนกำลังรอว่าเธอจะอาสาทำอะไรให้ เพื่อบอกใบ้บางอย่าง แต่เธอก็ไม่
“และยังมีบางอย่างที่แปลกกว่านั้น” เขาพูดออกมาในที่สุด
เขาล้วงมือลงไป ดึงบางอย่างออกมาจากกระเป๋าสะพายของเขา และชูขึ้น
“ฉันพบสิ่งนี้”
เธอมองดูด้วยความตกใจ มันคือสมุดบันทึกของเธอ
เธอรู้สึกว่าแก้มของเธอแดงก่ำเมื่อเธอมองสมุดบันทึก ทั้งรู้สึกดีใจที่ได้มันกลับมาและกลัวว่าเขาจะใช้มันเป็นหลักฐานว่าเธออยู่ที่นั่น เขาต้องรู้แน่นอนว่าเธอกำลังโกหก
“มันมีชื่อของเธออยู่ มันเป็นของเธอใช่มั้ย?”
เธอพยักหน้า สำรวจสมุดบันทึกของเธอ ทุกอย่างครบถ้วน เธอลืมเรื่องนี้ไปเลย
มีบางหน้าหลุดออก แต่ฉันเก็บรวบรวมและใส่มันกลับไป หวังว่าฉันจะเก็บมาครบนะ” เขาบอก
“เธอเก็บมาครบแล้ว” เคทลินพูดอย่างนุ่มนวล สื่ออารมณ์เขินอาย
“ฉันเดินตามเก็บหน้ากระดาษที่กระจัดกระจาย และที่ตลกคือ...มันพาฉันไปที่ตรอก”
เธอยังคงก้มหน้ามองหนังสือ ปฏิเสธที่จะสบตากับเขา
“สมุดบันทึกของเธอไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง?” เขาถามขึ้นมา
เธอมองไปในดวงตาของเขา พยายามทำหน้าจริงจังที่สุด
“เมื่อคืนตอนฉันเดินกลับบ้าน ฉันทำสมุดบันทึกหายที่ไหนไม่รู้ บางทีพวกมันอาจจะไปเจอเข้า”
เขากำลังสังเกตเธอ
และพูดขึ้นว่า “คงจะเป็นอย่างนั้น”
พวกเขายืนอยู่ที่นั่น ในความเงียบ
“ยังมีเรื่องสิ่งที่แปลกที่สุด” เขายังเล่าต่อ “ก่อนที่ฉันจะหมดสติลง ฉันสาบานได้ว่าฉันเห็นเธอที่นั่น เธอยืนอยู่เหนือฉันกำลังด่าเด็กพวกนั้นว่าอย่ามายุ่งกับฉัน...ฟังดูบ้าใช่มั้ยล่ะ?”
เขาจิองเธอ เธอมองกลับมาที่เขา มองเข้าไปในดวงตา
“ฉันต้องบ้ามากแน่ ๆ ที่ทำอะไรอย่างนั้น” เธอตอบ แม้ว่าตัวเธอเองเริ่มที่จะมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏที่มุมปากของเธอ
เขาหยุดนิ่งแล้วยิ้มกว้างออกมา
“นั่นสิ” เขาตอบ “ก็คงงั้น”