Kitabı oku: «กลายร่าง », sayfa 4
บทที่เจ็ด
นักสืบคดีฆาตกรรมแห่งนิวยอร์ก เกรซ โอ เรลี่ เปิดประตูเข้าไปในหอประชุมคาร์เนกี้ และรู้ได้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นแน่ ๆ เธอเคยเห็นความแตกตื่นของนักข่าว แต่ไม่เคยเหมือนกับตอนนี้ นักข่าว 10 คน กำลังดูคร่ำเคร่งและร้อนรนผิดปกติ
“นักสืบ!”
พวกเขาร้องเรียกเธอซ้ำ ๆ เมื่อเธอเดินเข้ามา ภายในห้องเต็มไปด้วยแสงแฟลช
เกรซและนักสืบของเธอเดินผ่านเข้าไปยังล๊อบบี้ นักข่าวแทบเข้าไม่ถึงตัวเธอ เธออายุ 40 ปี ร่างกายกำยำและดุดัน ผมสั้นสีดำและดวงตาที่เข้ากัน เกรซเป็นคนอึด เธอเคยกรุยทางฝ่านักข่าวไปได้ แต่ครั้งนี้มันไม่ง่ายเลย นักข่าวรู้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องใหญ่ และพวกเขาไม่ต้องการยอมแพ้ มันทำให้ยากขึ้นสำหรับเธอ
ดาราหนุ่มระดับประเทศถูกฆาตกรรมในช่วงที่มีชื่อเสียงและอำนาจสูงสุด ท่ามกลางหอประชุมคาร์เนกี้ และการเปิดตัวที่อเมริกาของเขา สื่อทั้งหมดรวมตัวอยู่ที่นี่ เพื่อมาดูการเปิดตัวครั้งแรก ข่าวการแสดงของเขาได้รับการเผยแพร่ในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับทั่วโลก ถ้าเขาสะดุด หกล้ม หรือข้อเท้าแพลง เรื่องราวจะถูกพาดหัวขึ้นหน้า 1 ทันที
และมาตอนนี้ เขาถูกฆาตกรรมท่ามกลางการแสดง ในหอประชุมที่เขาเพิ่งร้องเพลงไปไม่กี่นาที มันรุนแรงเกินไป สื่อจับตามองเรื่องนี้และจะไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ
นักข่าวหลายคนยื่นไมโครโฟนมาด้านหน้าของเธอ
“นักสืบเกรซ! เราได้รับรายงานว่า เซอร์เก ถูกฆ่าโดยสัตว์ป่า เป็นความจริงหรือไม่?”
เธอไม่สนใจและยังคงเดินต่อไป
“ทำไมไม่มีการรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่านี้ภายในหอประชุมคาร์เนกี้ล่ะ คุณนักสืบ?” นักข่าวอีกคนถาม
นักข่าวอีกคนตะโกนขึ้นมา “มีรายงานว่านี่คือการฆาตกรต่อเนื่อง เขาตั้งฉายาให้ว่า “นักเชือดเบโทเฟน” คุณพอจะมีความเห็นอะไรมั้ย?”
เมื่อเธอมาถึงหลังห้อง เธอหันกลับมาเผชิญหน้ากับพวกนักข่าว
ผู้คนพากันเงียบ
“นักเชือดเบโทเฟนหรอ?” เธอกล่าวซ้ำ “พวกเขาคิดได้แค่นี้?”
ก่อนที่พวกเขาจะทันถามคำถามอื่น เธอก็ออกจากห้องไปทันที
เกรซเดินไปยังปล่องบันไดของหอประชุมคาร์เนกี้ ขนาบข้างโดยนักสืบของเธอ ซึ่งคอยให้ข้อมูลเธอระหว่างที่เธอเดินไป ความจริงคือเธอไม่ค่อยได้ฟัง เธอเหนื่อย เธอเพิ่งจะอายุครบ 40 ปีเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว และเธอคิดว่าเธอไม่ควรต้องเหนื่อยแบบนี้ แต่ค่ำคืนอันยาวนานเดือนของมีนาคมมันทำให้เธอเหนื่อยเหลือเกิน และเธอต้องการพักผ่อน นี่คือการฆาตกรรมรายที่สามในเดือนนี้ ไม่นับรวมถึงการฆ่าตัวตาย เธอต้องการอากาศอุ่น ๆ บรรยากาศเขียวขจี สัมผัสกับทรายสีขาวนุ่ม ๆ ใต้ฝ่าเท้าของเธอ เธอต้องการสถานที่ที่ไม่มีการฆาตกรรม ที่ซึ่งพวกเขาไม่แม้แต่จะคิดฆ่าตัวตาย เธอต้องการชีวิตที่แตกต่าง
เธอมองดูนาฬิกาของเธอในขณะที่เข้ามาในโถงทางเดินที่นำไปสู่หลังเวที ตี 1 แล้ว.. แม้ไม่ได้ตรวจสอบ เธอก็สามารถบอกได้ว่าสถานที่เกิดเหตุนี้แปดเปื้อนไปหมดแล้ว ทำไมพวกเขาไม่เรียกเธอมาให้เร็วกว่านี้
เธอควรจะแต่งงานตอนอายุ 30 เหมือนที่แม่ของเธอบอกเธอ เธอเคยคบกับผู้ชายคนหนึ่ง เขาไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ แต่เธอต้องทำงานของเธอ เหมือนกับพ่อของเธอ เธอคิดว่ามันคือสิ่งที่พ่อต้องการ ตอนนี้เขาได้จากไป เธอไม่อยากค้นหาสิ่งที่พ่อต้องการอีกแล้ว เธอรู้สึกเหนื่อย และโดดเดี่ยว
“ไม่มีพยาน” หนึ่งในนักสืบพูดออกมาขณะที่กำลังเดินข้าง ๆ เธอ “สถาบันนิติเวชบอกว่ามันเกิดขึ้นในระหว่างช่วงเวลา 10.15 น. ถึง 10.28 น. ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้”
เกรซไม่ชอบสถานที่เกิดเหตุนี้ มันมีผู้คนมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีคนมาถึงที่นี่ก่อนเธอมากเกินไป ทุกอย่างที่เธอทำจะถูกเห็นหมด และไม่ว่าเธอจะทำงานสืบสวนได้ยอดเยี่ยมเพียงใด เครดิตของผลงานจะตกไปอยู่กับใครบางคนแทน เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน มันเกี่ยวพันทางการเมืองมากเกินไป
ในที่สุดเธอก็ผ่านนักข่าวที่เหลือออกมา และเข้าสู่บริเวณที่ถูกกั้น เพื่อสงวนไว้สำหรับเจ้าหน้าที่ระดับสูงเท่านั้น ในขณะที่เธอกำลังเดินไปยังโถงทางเดินถัดไป สิ่งต่าง ๆ เริ่มที่เงียบลง เธอสามารถใช้ความคิดได้อีกครั้ง
ประตูที่ตรงไปยังห้องแต่งตัวของเขาเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย เธอเอื้อมไป สวมถุงมือและผลักเบา ๆ ให้เปิดออก
เธอเห็นภาพเหล่านี้มาตลอด 20 ปี ในชีวิตของการเป็นตำรวจ เธอเห็นผู้คนถูกฆาตกรรมทุกรูปแบบที่เป็นไปได้ แม้แต่วิธีการเหนือคาดที่แย่ยิ่งกว่าฝันร้าย แต่เธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
ไม่ใช่เพราะว่ามันเต็มไปด้วยเลือด ไม่ใช่เพราะความรุนแรงที่น่ากลัว มันคือบางอย่าง บางอย่างที่เหมือนฝัน มันเงียบเกินไป ทุกอย่างอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ ยกเว้นสิ่งหนึ่ง ใช่แล้ว มันคือศพ เขานั่งทรุดลงตัวลงบนเก้าอี้ และภายใต้แสงไฟเผยให้เห็นสองรูที่ปรากฏอยู่ตรงเส้นเลือดใหญ่บริเวณคอของเขา
ไม่มีเลือด ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ ไม่มีเสื้อผ้าฉีกขาด ไม่มีอะไรผิดปกติ ราวกับว่ามีค้างคาวร่อนลงมาดูเลือดของเขาจนหมดตัว แล้วก็บินจากไป โดยไม่จับต้องสิ่งใด มันช่างน่าขนลุก และน่าสะพรึงกลัวที่สุด ถ้าผิวของเขาไม่กลายเป็นสีขาวซีด เธอคงคิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่นอนหลับไป เธออยากเดินเข้าไป และจับชีพจรของเขา แต่เธอรู้ว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่า
เซอร์เก ราคอฟ เขายังหนุ่ม และจากที่เธอเคยได้ยิน เขาเป็นพวกหยิ่งยโส คนอย่างเขาจะมีศัตรูหรอ?
อะไรทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้? เธอสงสัย สัตว์? คน? อาวุธชนิดใหม่? หรือเขาทำบางอย่างกับตัวเอง?
“ดูจากมุมของการโจมตี ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย” นักสืบรามอสพูด เขายืนอยู่ข้างเธอพร้อมสมุด และกำลังอ่านใจเธอเหมือนเช่นเคย
“ฉันต้องการทุกอย่างที่คุณมีเกี่ยวกับเขา” เธอพูด “ฉันต้องการรู้ว่าเขาเป็นหนี้ใคร ฉันต้องการรู้ว่าศัตรูของเขาคือใคร --- ฉันต้องการรู้เกี่ยวกับแฟนเก่าของเขา ภรรยาในอนาคต ฉันต้องการทั้งหมด เขาอาจทำให้ใครบางคนเหม็นขี้หน้า”
“ได้ครับ” เขาบอกและรีบออกไปจากห้อง
ทำไมพวกมันเลือกเวลานี้ในการฆาตกรรมเขา? ทำไมต้องเป็นช่วงพัก? หรือพวกมันต้องการส่งสารอะไรบางอย่าง?
เธอเดินช้า ๆ ในห้องที่ปูพรมหนา วนไปรอบ ๆ มองดูเขาทุกองศาที่เป็นไปได้ เขามีผมยาวสลวยสีดำ และน่าดึงดูดอย่างประหลาด แม้ว่าเขาจะตายไปแล้ว ช่างน่าเสียดายจริง ๆ
และทันใดนั้นเอง มีเสียงดังขึ้นทั่วห้อง เจ้าหน้าที่ทั้งหมดหันไปพร้อมกัน พวกเขามองไปยังโทรทัศน์ตรงมุมห้องที่เปิดอยู่ กำลังเล่นการแสดงของคืนนี้ บทเพลง ซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโทเฟน ดังไปทั่วห้อง
หนึ่งในนักสืบเข้าไปใกล้เพื่อที่จะปิด
“อย่า” เธอพูด
นักสืบหยุดกลางคัน
“ฉันอยากฟัง”
เธอยืนมองเซอร์เก เสียงของเขาดังไปทั่วห้อง เสียงของเขาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา มันน่าขนลุก
เกรซเดินวนรอบห้องอีกครั้งหนึ่ง เธอคุกเข่าลง
“เราค้นห้องนี้ทั่วแล้วคุณนักสืบ” เจ้าหน้าที่เอฟบีไอพูดเหมือนหมดความอดทน
เธอสังเกตเห็นบางอย่างจากหางตา เธอเอื้อมลงไป มันอยู่ใต้เก้าอี้ เธอชะเง้อคอ เอียงแขนของเธอ และควานหา
ในที่สุดเธอก็เจอสิ่งที่กำลังมองหา เธอยืนขึ้น หน้าแดง และถือกระดาษเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่ง
นักสืบคนอื่น ๆ ทั้งหมดมองมา
“ต้นขั้วตั๋ว” เธอพูด พร้อมตรวจสอบด้วยมือที่สวมถุงมืออยู่ “ชั้นลอยขวา ที่นั่งหมายเลข 3 ของคอนเสิร์ตคืนนี้”
เธอเงยขึ้นมาและมองนักสืบทั้งหมดของเธอ ซึ่งจ้องมาอย่างลอย ๆ
“คุณคิดว่ามันเป็นของคนร้ายอย่างนั้นหรือ?” คนที่ใส่หน้ากากพูด
“อืม อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า” เธอพูด มองไปยังผู้ตายอีกครั้ง นักโอเปร่าชาวรัสเซียผู้โด่งดังที่เพิ่งจากไป “มันไม่ใช่ของเขา”
*
ไคล์ เดินลงไปตามโถงทางเดินที่ปูพรมแดง เข้าไปยังกลุ่มคนที่หนาแน่น เขารู้สึกรำคาญเหมือนทุกครั้ง เขาไม่ชอบคนเยอะแยะ และเขาเกลียดหอประชุมคาร์เนกี้ เขาเคยมาดูคอนเสิร์ตที่นี่ครั้งหนึ่งในปี 1890 และมันไม่ค่อยดีนัก เขาไม่เคยปล่อยวางความคับแค้นไปง่าย ๆ
เขาสวมเสื้อคลุมสีดำปกสูง เมื่อเขาเดินลงไปในห้องโถง ผู้คนต่างหลบให้กับเขา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตัวแทนสื่อ --- ฝูงชนทั้งหมดต่างหลีกทาง
มนุษย์ช่างง่ายต่อการควบคุม เขาคิด แค่ทำสิ่งที่ส่งผลต่อจิตใจเล็กน้อย พวกเขาก็รีบหลีกทางให้อย่างกับแกะ
ในชีวิตของไคล์ ผู้เป็นแวมไพร์แห่ง แบล็กไทด์ โคเว่น เขาเห็นมาหมดทุกอย่างในระยะเวลา 3000 ปี เขาอยู่ที่นั่นตอนที่พวกมันฆ่าพระคริสต์ เขาเป็นพยานของการปฏิวัติฝรั่งเศส เขาเฝ้าดูไข้ทรพิษระบาดไปทั่วยุโรป --- และแม้แต่ช่วยให้มันแพร่กระจาย ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะทำให้เขาตกใจได้
แต่คืนนี้เขาประหลาดใจอย่างยิ่ง และเขาไม่ชอบที่จะถูกทำให้ประหลาดใจ
ปกติแล้ว เขาจะวางตัวตามปกติ ปล่อยให้การปรากฏตัวของเขาพูดด้วยตัวของมันเอง และกรุยทางฝ่าฝูงชนเข้าไป เขายังดูหนุ่มและหล่อเหลาเมื่อเทียบกับอายุ และผู้คนมักมองเช่นนั้น แต่เขาไม่มีความอดทนสำหรับคืนนี้ โดยเฉพาะกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขามีคำถามที่ไม่มีคำตอบ
แวมไพร์เร่ร่อนแบบไหนที่กล้าฆ่ามนุษย์ในที่เปิดโล่งแบบนี้? เลือกที่จะทำในที่สาธารณะ ไม่ทิ้งความเป็นไปได้อื่น ๆ เอาไว้เลยนอกจากศพที่ถูกพบ? มันผิดกฎทั้งหมดของเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายดีหรือฝ่ายเลวของเผ่า มันคือเส้นที่คุณห้ามข้าม ไม่มีใครต้องการดึงดูดความสนใจมายังเผ่า มันเป็นความเชื่อสำหรับการละเมิดของพวกเขา ซึ่งมีเพียงบทลงโทษเดียวอย่างแน่นอน นั่นคือความตาย ความตายอันทุกข์ทรมานแสนยาวนาน
ใครกันกล้าที่จะทำสิ่งดังกล่าว? ดึงดูดความสนใจที่ไม่ต้องการจากสื่อ นักการเมือง ตำรวจ? และที่แย่ไปกว่านั้น การทำสิ่งนี้ในอาณาเขตของกลุ่ม? มันทำให้กลุ่มดูแย่ --- แย่ยิ่งกว่าแย่ มันทำให้พวกเขาดูเหมือนไร้ทางป้องกันตัว แวมไพร์ทั้งหมดควรมารวมตัวกันและหาคนรับผิดชอบ และถ้าพวกเขาไม่สามารถหาเจ้าเร่ร่อนคนนี้ได้ มันอาจหมายถึงสงคราม สงครามที่พวกเขาไม่สามารถรับมือได้ ในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังจะดำเนินการแผนสูงสุด
ไคล์เดินผ่านนักสืบตำรวจหญิง และเธอชนเข้ากับเขาอย่างจัง ที่แย่ไปกว่านั้น เธอหันกลับมาและมองไปที่เขา เขาประหลาดใจ ไม่มีมนุษย์คนใดในฝูงชนนี้ที่กล้าพอแม้แต่จะทำตัวให้เขาสังเกตเห็น เธอต้องแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ๆ หรือไม่อย่างนั้น คงเป็นเขาเองที่ไม่ทันระวัง
เขาเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังใจเป็นสองเท่า ส่งตรงไปยังเธอ ในที่สุดเธอก็ส่ายหัวของเธอ หันกลับไปแล้วเดินต่อ เขาควรจะต่อว่าเธอ เขามองลงไปและเห็นป้ายชื่อของเธอ นักสืบ เกรซ แกรนท์ เธอจะต้องจบลงด้วยปัญหา
ไคล์เดินต่อไปตามทางเดิน ผ่านนักข่าว ผ่านที่กั้น และผ่านกลุ่มของเอฟบีไอ ในที่สุดเขาก็เดินไปถึงประตูที่แง้มไว้ และมองไปข้างใน ภายในห้องเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่เอฟบีไอมากกว่าเดิม และยังมีผู้ชายในชุดสูทราคาแพง ดูจากท่าทางและสายตาที่ทะเยอทะยาน ไคล์เดาว่าเขาคือนักการเมือง
“สถานทูตรัสเซียไม่พอใจ” เขาพูดกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ “คุณรู้มั้ยว่านี่มันไม่ใช่แค่เรื่องของตำรวจนิวยอร์ก หรือแค่รัฐบาลสหรัฐอเมริกา เซอร์เกคือดาราในบรรดานักร้องต่างชาติของเรา การฆาตกรรมของเขาได้รับการตีความว่าเป็นการคุกคามในประเทศของเรา---”
ไคล์ยกฝ่ามือของเขาขึ้นมา และใช้พลังจิตปิดปากนักการเมือง เขาเกลียดการฟังคำพูดของนักการเมือง และเขาได้ยินมามากพอแล้วสำหรับคนนี้ เขาเกลียดชาวรัสเซียด้วย อันที่จริงเขาเกลียดเกือบทุกอย่าง แต่คืนนี้ ความเกลียดชังของเขาเพิ่มขึ้นสู่ระดับใหม่ ความร้อนใจกำลังจะเอาชนะเขา
ไม่มีใครในห้องรู้ว่าไคล์เป็นคนปิดปากนักการเมือง แม้แต่ตัวของนักการเมืองเอง หรือบางทีพวกเขาอาจจะรู้สึกขอบคุณ ไคล์ก้าวเข้าไปข้างในและใช้พลังจิตของเขาบอกให้ทุกคนออกจากห้องนี้
“ฉันว่าเราออกไปกินกาแฟดีกว่า” จู่ ๆ เจ้าหน้าที่เอฟบีไอก็พูดออกมา “ไปพักสมองกันซักหน่อย”
กลุ่มคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยและออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ทำกัน เมื่อคนสุดท้ายออกไป ไคล์ใช้พลังจิตทำให้เขาปิดประตู เขาเกลียดเสียงของมนุษย์ และยิ่งไม่ต้องการได้ยินในเวลานี้
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ในที่สุดก็ได้อยู่เพียงลำพัง เขาสามารถปล่อยให้ความคิดของเขาจัดการกับมนุษย์พวกนี้ เขาเดินเข้าไปใกล้และดึงปกเสื้อด้านหลังของเซอร์เก เผยให้เห็นร่องรอยของการกัด ไคล์เอื้อมมือไป วางสองนิ้วมือที่ซีดเซียวและเยือกเย็นเหนือรอยกัด เขายกขึ้นมาและตรวจดูระยะห่าง
รอยกัดเล็กกว่าที่เขาคิด มันคือผู้หญิง แวมไพร์เร่ร่อนคือผู้หญิงและยังเป็นเด็ก ฟันยังไม่ลึกมาก
เขาวางนิ้วลงไปอีกครั้งและหลับตา เขาพยายามสัมผัสถึงธรรมชาติของเลือด ธรรมชาติของแวมไพร์ที่สร้างรอยกัด ในที่สุดเขาก็ลืมตากว้างด้วยความตกใจ เขาถอนมือออกมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่ชอบความรู้สึกนี้ เขาไม่สามารถรับรู้ได้ มันคือแวมไพร์เร่ร่อน ไม่ใช่พรรคพวกของเขา หรือพรรคพวกอื่นที่เขารู้จัก ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่สามารถตรวจจับได้ว่าเธอเป็นเผ่าพันธุ์แวมไพร์ไหน ในช่วงเวลา 3,000 ปี สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน
เขายกนิ้วขึ้นมา และลิ้มรสเลือด เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นของเธอ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว---เขารู้ว่าจะไปหาเธอได้ที่ไหน แต่ยัง เขายังเห็นไม่หมด บางอย่างบดบังนิมิตของเขา
เขาคิ้วขมวด ในกรณีนี้พวกเขาไม่มีทางเลือก การค้นหาตัวเธอต้องพึ่งพาตำรวจมนุษย์ ผู้ที่อยู่เบื้องบนจะต้องไม่พอใจแน่
ไคล์ดูหงุดหงิดมากกว่าที่เคย เขาจ้องไปที่เซอร์เกและกำลังชั่งใจว่าจะทำอย่างไร ในอีกไม่กี่ชั่วโมงเขาจะตื่นขึ้นมา กลายเป็นแวมไพร์ไร้พรรคที่ไม่มีกฎเกณฑ์ เขาควรจะฆ่าทิ้งซะตอนนี้ เพื่อสิ่งที่ดีกว่าและผ่านพ้นมันไป เขาน่าจะยินดีกับสิ่งนั้น เผ่าพันธุ์แวมไพร์ไม่จำเป็นต้องเพิ่มสมาชิกใหม่
แต่นั่นจะเป็นการให้ของขวัญที่ยิ่งใหญ่กับเซอร์เก เขาจะไม่ต้องทนทุกข์ไปชั่วชีวิต ทรมานกับเวลานับพันปีในการเอาตัวรอดและความสิ้นหวัง ค่ำคืนที่ไม่รู้จบ มันจะเป็นการใจดีมากเกินไป ทำไมไม่ทำให้เซอร์เกทนทุกข์ทรมานไปกับเขาล่ะ?
เขากำลังคิดไตร่ตรอง นักร้องโอเปร่า ใช่แล้ว กลุ่มของเขาจะต้องชอบใจ เจ้าหนูรัสเซียตัวน้อยนี้สามารถให้ความสนุกกับพวกเขาได้ เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาต้องการ เขาควรพากลับไปด้วย แล้วแปลงร่างเขา เพื่อเพิ่มสมุนอีกคนไว้ใช้คอยใช้งาน
อีกอย่าง เซอร์เกสามารถช่วยให้เขาค้นหาเธอ ตอนนี้กลิ่นของเธอแทรกซึมสู่เลือดของเขา เซอร์เกสามารถพาพวกเขาไปหาเธอได้ และจากนั้นพวกเขาจะทำให้เธอทุกข์ทรมาน
บทที่แปด
เคทลินตื่นขึ้นด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน ผิวของเธอรู้สึกเหมือนถูกไฟไหม้ และเมื่อเธอพยายามลืมตา ความเจ็บปวดก็ทวีเพิ่มขึ้น มันระเบิดเข้าไปในหัวกะโหลกของเธอ
เธอจึงหลับตาต่อไป และใช้มือของเธอสัมผัสไปรอบ ๆ แทน เธอนอนอยู่บนบางอย่างที่มีลักษณะนุ่ม ไม่น่าจะใช่เสื่อ เธอใช้นิ้วของเธอสัมผัส มันเหมือนพลาสติก
เธอลืมตาอีกครั้งอย่างช้า ๆ และมองไปที่มือของเธอ พลาสติก พลาสติกสีดำ และกลิ่นนี้มันคืออะไร? เธอพยายามสูดกลิ่น แล้วลืมตาขึ้นอีกเล็กน้อย และเธอก็รู้ได้ทันทีว่าเธอนอนเหยียดยาวอยู่ ด้านหลังของเธอคือกองถุงขยะ เธอชะเง้อคอดู เธอกำลังอยู่ในถังขยะ
เธอลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บปวดประดังออกมา คอและหัวของเธอแตกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยความเจ็บปวด กลิ่นเหม็นนี้ไม่สามารถทนได้ เธอมองไปรอบ ๆ เบิกตากว้าง และตกใจว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
เธอกุมขมับ พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวที่พาเธอมาที่นี่ เธอจำไม่ได้ เธอพยายามนึกถึงเรื่องเมื่อคืน เธอใช้สมาธิทั้งหมดของเธอเพื่อฟื้นความจำ ภาพเหล่านั้นค่อย ๆ ลอยมาอย่างช้า ๆ ...
การทะเลาะกับแม่ของเธอ สถานีรถไฟใต้ดิน พบกับโจนาห์ หอประชุมคาร์เนกี้ คอนเสิร์ต แล้วก็...หลังจากนั้น...
ความหิวโหย ความกระหาย ใช่แล้ว ความกระหาย แยกกับโจนาห์ วิ่งออกไป วิ่งไปทั่วโถงทางเดิน จากนั้น...มืดสนิท ไม่เห็นอะไร
เธอไปที่ไหน? เธอทำอะไรมา? และเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? โจนาห์พาเธอมาหรอ? เขามากับเธอและโยนเธอไว้ในนี้หรอ?
เธอไม่คิดว่าจะเป็นแบบนั้น เธอไม่สามารถนึกภาพเขาทำแบบนั้นได้ ในความทรงจำล่าสุด เธอเดินไปทั่วทางเดิน เธออยู่ลำพัง เธอทิ้งเขาไว้เบื้องหลัง ไม่ใช่แน่ มันไม่ควรจะเป็นเขา
แล้วอะไรล่ะ?
เคทลินคุกเข่าขึ้นจากกองขยะช้า ๆ เท้าข้างหนึ่งของเธอลื่นไถลลงระหว่างขยะสองถุงในขณะที่เธอยื่นเท้าลงไปยังก้นถัง เธอดึงเท้าออกมาอย่างรวดเร็วและพบบางอย่างแข็ง ๆ บนพื้น ขวดพลาสติกถูกบีบเสียงดัง
เธอมองขึ้นไปและเห็นว่าฝาเหล็กถังขยะเปิดอยู่ เธอเปิดฝาเมื่อคืนและไต่ลงมาในนี้หรอ? ทำไมเธอต้องทำอย่างนั้น เธอเอื้อมมือออกไปและจับแท่งเหล็กด้านบน เธอกังวลว่าเธอจะมีแรงพอให้ดึงตัวขึ้นและออกไปได้หรือไม่
เธอลองทำดู และต้องประหลาดใจที่พบว่าเธอสามารถดึงตัวเองออกไปได้อย่างง่ายดาย ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว เธอเหวี่ยงขาข้ามไป กระโดดลงมาหลายฟุตและเหยียบลงบนพื้นซีเมนต์ เธอประหลาดใจมาก เธอหย่อยตัวลงอย่างคล่องแคล่ว ตกใจที่เธอไม่บาดเจ็บ เกิดอะไรขึ้นกับเธอ?
เคทลินเดินไปตามริมถนนของเมืองนิวยอร์ก คู่รักคู่หนึ่งที่แต่งตัวดูดีเดินผ่านเธอไป เธอทำให้พวกเขาตกใจ พวกเขาหันมาจ้องเธอและตกใจว่าทำไมเด็กผู้หญิงวัยรุ่นถึงกระโดดออกมาจากถังขยะใบใหญ่ พวกเขามองเธอด้วยท่าทางแปลก ๆ จากนั้นก็เร่งฝีเท้าของพวกเขา เพื่อไปให้ห่างจากเธอเท่าที่จะเป็นไปได้
เคทลินไม่โทษพวกเขา หากเป็นเธอก็คงจะทำเช่นเดียวกัน เธอมองดูตัวเองที่ยังคงอยู่ในชุดออกงานเมื่อคืน เสื้อผ้าทั้งหมดของเธอยับเยินและเปรอะเปื้อนไปด้วยขยะ พร้อมกลิ่นเหม็น เธอพยายามปัดสิ่งสกปรกออกไป
ขณะที่เธอกำลังจัดการกับเสื้อผ้า เธอใช้มือคลำไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว และกระเป๋าเสื้อของเธอ ไม่มีโทรศัพท์ ใจของเธอเต้นรัว เธอพยายามนึกว่าเธอหยิบโทรศัพท์ออกมาจากอพาร์ทเมนท์แล้วหรือยัง
โทรศัพท์ยังอยู่ที่นั่น เธอลืมไว้ที่อพาร์ทเมนท์ ในห้องนอนของเธอ บนมุมโต๊ะ เธออยากกลับไปเอา แต่เธอรู้สึกตะขิดตะขวงใจเหลือเกินกับแม่ของเธอที่เธอทิ้งไว้เบื้องหลัง ให้ตายสิ เธอยังลืมสมุดบันทึกของเธออีกด้วย เธอต้องการทั้งสองอย่าง เธอต้องการอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้า
เคทลินมองลงมาที่ข้อมือ แต่นาฬิกาของเธอหายไปแล้ว เมื่อคืนเธอต้องทำหายที่ไหนสักแห่งแน่ ๆ เธอเดินออกไปจากตรอกเพื่อไปยังถนนที่วุ่นวาย แสงอาทิตย์ส่องมาที่ใบหน้าของเธอ ความเจ็บปวดแผ่ขยายไปบนหน้าผากของเธอ
เธอถอยกลับเข้าไปในร่มเงาอย่างรวดเร็ว ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้เป็นเวลาช่วงเย็น เธอหวังว่าอาการเมาตกค้าง หรืออะไรก็ตามแต่จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เธอพยายามคิดว่าเธอควรไปที่ไหน? เธอต้องการโทรหาโจนาห์ แต่มันฟังดูบ้า เพราะเธอแทบจะไม่รู้จักเขา และหลังจากเมื่อคืน ไม่ว่าเธอทำอะไรไว้ก็ตาม เธอมั่นใจว่าเขาไม่ต้องการพบกับเธออีกแน่ ๆ แต่เขายังคงเป็นคนแรกที่เข้ามาในใจของเธอ เธออยากได้ยินเสียงของเขา อยากอยู่กับเขา เธออยากให้เขาเติมเต็มเรื่องราวที่เกิดขึ้น เธอต้องการคุยกับเขา เธอต้องการโทรศัพท์ของเธอ
เธอควรจะกลับไปบ้านเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อเอาโทรศัพท์และสมุดบันทึกของเธอ แล้วค่อยออกมา เธอภาวนาว่าแม่ของเธอไม่อยู่บ้าน ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ขอให้โชคเข้าข้างเธอบ้าง
*
เคทลินยืนอยู่นอกอาคารและมองขึ้นไปอย่างหวั่นใจ ตอนนี้เป็นช่วงพระอาทิตย์ตกดิน และแสงไม่ก่อความรำคาญให้เธอแล้ว อันที่จริง ยิ่งมืดมากเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกแข็งแกร่งมากขึ้น
เธอกระโจนขึ้นไปตามทางเดินของอาคาร 5 ชั้น ด้วยความเร็วสูง เธอประหลาดใจกับตัวเอง เธอสามารถเดินขึ้นบันไดทีละ 3 ขั้น และขาของเธอไม่รู้สึกอ่อนล้า เธอไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเธอ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เธอรู้สึกชอบมันเข้าแล้ว
เธอกำลังอารมณ์ดี แต่มันค่อย ๆ หมดลงเมื่อเธอเข้าใกล้ประตูอพาร์ทเมนท์ หัวใจของเธอเริ่มเต้นรัว เธอสงสัยว่าถ้าแม่ของเธออยู่บ้าน เธอจะทำอย่างไร?
เมื่อเธอเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู เธอกลับประหลาดที่เห็นว่าประตูเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย เธอสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี ทำไมประตูถึงเปิดอยู่?
เคทลินเดินย่องเบา ๆ เข้าไปในอพาร์ทเมนท์ เสียงไม้เสียดสีกันอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเธอ เธอค่อย ๆ เดินผ่านโถงทางเข้าและตรงไปยังห้องนั่งเล่น
เมื่อเธอเดินเข้าไป เธอก็เห็นบางอย่าง---ทันใดนั้น เธอยกมือขึ้นป้องปากด้วยความตกใจ ความรู้สึกคลื่นไส้สุดขีดโจมตีเธอ เธอหันกลับและสำรอกออกมา
แม่ของเธอนอนอยู่ตรงนั้น ทรุดตัวลงกับพื้น ลืมตาอยู่ นั่งแน่นิ่ง แม่ของเธอตายแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เลือดซึมออกมาจากคอของเธอ และหยดเล็กน้อยอยู่บนพื้น ไม่มีทางที่เธอจะทำแบบนี้กับตัวเอง เธอถูกฆ่า มันคือการฆาตกรรม มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ใครทำ? ไม่ว่าเธอจะเกลียดแม่ของเธอมากแค่ แต่เธอไม่เคยต้องการให้มันจบลงในสภาพแบบนี้
เลือดยังคงสดอยู่ และเคทลินรับรู้ได้ว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นแน่ ๆ ประตูที่แง้มอยู่ ใครบุกเข้ามา?
เธอหันมองรอบตัว มองไปทั่วห้อง เธอรู้สึกขนลุกขึ้นทันที มีใครอยู่ในอพาร์ทเมนท์อีก?
ราวกับเป็นการตอบคำถามภายใต้ความเงียบงัน ทันใดนั้นเอง ร่างของคนสามคน แต่กายชุดดำตั้งแต่หัวจรดเท้า ปรากฏตัวขึ้นจากอีกห้องหนึ่ง พวกเขาเดินอย่างเมินเฉยผ่านห้องนั่งเล่น มุ่งตรงมายังเคทลิน ผู้ชายสามคน ยากที่จะบอกได้ว่าเขาอายุเท่าไร---พวกเขาดูอายุยังน้อย---อาจจะประมาณ 20 ปลาย ๆ พวกเขาดูดี ร่างกายกำยำ ไม่มีไขมันเลยแม้แต่น้อย ดูสะอาดเรียบร้อย และผิวพรรณซีดเซียวมาก
หนึ่งในพวกเขาก้าวออกมา
เคทลินถอยหลังไปด้วยความตกใจ ความรู้สึกใหม่เข้ามาแทนที่ เธอรู้สึกสะพรึงกลัว เธอไม่เข้าใจว่าทำไม แต่เธอสามารถรับรู้ได้ถึงพลังของคน ๆ นี้ และมันเป็นความรู้สึกที่เลวร้ายมาก
“เอายังไงดี” ชายผู้เป็นหัวหน้าพูดออกมา ด้วยเสียงที่ลึกลับและน่ากลัว “ลูกเจี๊ยบกลับบ้านมาหาแม่ไก่”
“คุณเป็นใคร?” เคทลินเอ่ยถาม และค่อย ๆ ถอยห่างออกไป เธอมองไปรอบห้อง หาอาวุธอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นท่อเหล็กหรือท่อนไม้ เธอเริ่มนึกถึงทางออก หน้าต่างที่อยู่ข้างหลังเชื่อมต่อกับทางหนีไฟหรือไม่?
“อันที่จริงมันเป็นคำถามที่เราต้องการถามเธอ” คนที่เป็นหัวหน้าพูดขึ้น “เพื่อนมนุษย์ของเธอไม่มีคำตอบ” เขาพูด พลางชี้ไปที่ร่างของแม่เธอ “หวังว่า เธอจะมี”
มนุษย์? คน ๆ นี้กำลังพูดถึงอะไร?
เคทลินถอยหลังออกไปอีกหลายก้าว เธอไม่เหลือพื้นที่มากนัก เธอเกือบจะประชิดเข้ากับกำแพง เธอจำได้แล้ว หน้าต่างข้างหลังนำไปสู่ทางหนีไฟ เธอจำได้ว่าเคยไปนั่งเล่นในวันแรกที่เข้ามาอยู่อพาร์ทเมนท์นี้ มันขึ้นสนิม และโคลงเคลง แต่ดูเหมือนจะยังคงใช้งานได้
“การดื่มที่หอประชุมคาร์เนกี้” เขาพูดขึ้น พวกเขาทั้งสามค่อย ๆ เข้ามาใกล้เธอ แต่ละคนก้าวเข้ามาข้างหน้า “น่าทึ่งมาก ๆ”
เคทลินพยายามนึกถึงความทรงจำของเธออย่างสิ้นหวัง
ดื่มหรอ? เธอพยายามคิด เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร
“ทำไมต้องเป็นช่วงพัก” เขาถาม “เธอกำลังพยายามจะส่งข้อความอะไร?”
เธอถอยมาติดกำแพงแล้ว และไม่มีพื้นที่เหลืออีก พวกเขายังคงก้าวเข้ามาใกล้ เธอรู้สึกว่าพวกเขาต้องฆ่าเธอแน่นอน ถ้าเธอไม่บอกสิ่งที่พวกเขาต้องการ
เธอพยายามคิดให้ออก ข้อความ? ช่วงพัก? เธอนึกย้อนกลับไป ตอนที่วิ่งไปทั่วหอประชุม โถงทางเดินที่ปูด้วยพรม เดินไปทีละห้อง และค้นหา ภาพตัดกลับมาที่เธอ ห้องแต่งตัวมีประตูเปิดอยู่ ผู้ชายอยู่ข้างใน เขามองมาที่เธอ ความหวาดกลัวในแววตาของเขา และหลังจากนั้น...
“เธออยู่ในอาณาเขตของเรา” เขาพูด “และเธอรู้กฎ เธอต้องตอบคำถามสำหรับเรื่องนี้”
พวกเขาก้าวเข้ามาอีก
เสียงโครมดังขึ้น
ทันใดนั้น ประตูหน้าอพาร์ทเมนท์แตกออก เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนบุกเข้ามาและชักปืนออก
“หยุด อย่าขยับ ไอ้สารเลว!” ตำรวจร้องเสียงดัง
ทั้งสามคนหันกลับไปและจ้องมองตำรวจ
จากนั้นพวกเขาเดินตรงไปยังพวกตำรวจ โดยปราศจากความเกรงกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น
“ฉันบอกให้หยุด!”
คนที่เป็นหัวหน้ายังคงเดินต่อไป ตำรวจลั่นไกปืน เสียงดังสนั่น
น่าตกใจที่เขายังไม่หยุดเดิน เขายิ้มกว้างออกมา ยื่นมือออกไปและจับลูกกระสุนที่พุ่งมา เคทลินตกตะลึงที่เขาสามารถหยุดลูกกระสุนกลางอากาศ เขาดึงมือที่กำกระสุนกลับมา ชูกำปั้นขึ้น และบดขยี้มัน เขาคลายมือออก ผงละอองค่อย ๆ ร่วงลงสู่พื้น
ตำรวจต่างพากันมองด้วยความตกตะลึง อ้าปากค้าง
คนที่เป็นหัวหน้ายิ้มกว้างขึ้นอีก เขายื่นมือออกไปและจับปืนลูกซองของตำรวจ เขากระชากปืนออกมา เหวี่ยงลงบนพื้น ตำรวจประหลาดใจอย่างมาก เขาลอยถอยหลังไปและชนเข้ากับตำรวจคนอื่น ๆ
เคทลินเห็นพอแล้ว
โดยไม่ลังเล เธอหันหลัง เปิดหน้าต่างและปืนออกไป เธอกระโดดไปยังทางหนีไฟ วิ่งลงไปตามขั้นบันไดที่ขึ้นสนิมและจวนจะพัง
เธอวิ่งหนีสุดชีวิต หมุนตัวและเลี้ยวลงไป ทางหนีไฟที่ทรุดโทรมนี้อาจไม่ได้ใช้งานมนานหลายปีแล้ว และเมื่อเธอเลี้ยวตรงมุม ขั้นบันไดก็หลุดออกไป เธอลื่นล้มและกรีดร้อง แต่เธอตั้งตัวทัน ทางหนีไฟโคลงเคลงและเอนเอียง แต่ยังไม่พังลงมา
สามคนนั้นคงได้ยินเสียงเธอ เธอมองขึ้นไป พวกเขากำลังกระโดดมาบนทางหนีไฟ ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เร็วกว่าเธอมาก เธอเพิ่มความเร็วขึ้นอีก
เธอลงมาถึงชั้นหนึ่ง ดูเหมือนจะไม่มีทางให้ไปอีก เธอต้องกระโดดลงไป 15 ฟุต เพื่อลงไปยังทางเดินข้างล่าง เธอหันไปมองและเห็นว่าพวกเขากำลังใกล้เข้ามา เธอมองลงไป ไม่มีทางเลือกแล้ว เธอกระโดด
เคทลินเตรียมตัวรับแรงกระแทก คาดมันน่าจะเจ็บตัวมาก แต่เธอต้องประหลาดใจ เธอกำลังยืนอยู่ด้วยเท้าของเธอ โดยไม่มีความเจ็บปวด เหมือนแมวที่กระโดดลงมาจากที่สูง เธอวิ่งต่อไป รู้สึกมั่นใจว่าเธอสามารถหนีจากพวกนั้นได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม ตอนนี้พวกเขาอยู่ไกลออกไป
เมื่อวิ่งพ้นตึกขนาดใหญ่ เธอพิศวงกับความเร็วที่เหลือเชื่อของตัวเอง เธอมองกลับไป หวังว่าจะไม่เห็นพวกเขา
แต่เธอก็ต้องตกใจที่เห็นว่าพวกเขาอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ฟุตข้างหลังเธอ มันเป็นไปได้อย่างไร?
ก่อนที่เธอจะทันคิดเสร็จ เธอรู้สึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายช่วงบน พวกเขากระแทกเธอลงกับพื้น
เคทลินพยายามรวบรวมพลังที่ค้นพบใหม่ของเธอ เพื่อต่อสู้กับผู้ที่กำลังโจมตีเธอ เธอตีศอกใส่หนึ่งในพวกมัน และรู้สึกพอใจที่เห็นเขาลอยออกไปหลายฟุต ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับเธอ เธอหมุนตัวกลับและตีศอกไปที่อีกคน เขาบินลอยไปอีกทิศทาง เธอรู้สึกมีความสุขอย่างน่าประหลาดที่ได้เห็น
ชายผู้เป็นหัวหน้ายืนอยู่เหนือเธอและเริ่มบีบคอของเธอ เขาแข็งแรงกว่าคนอื่น ๆ เธอมองดูร่างกายที่ใหญ่โตของเขา ดวงตาสีดำเหมือนถ่าน ความรู้สึกเหมือนกำลังมองไปในดวงตาของฉลาม ไร้วิญญาณ มันเหมือนกับการจ้องมองความตาย
เคทลินใช้พลังทั้งหมดของเธอ ทุกอณูของความแข็งแกร่ง เธอม้วนตัวและทุ่มเขาออกไป เธอกระโดดขึ้นยืน และเริ่มวิ่งอีกครั้ง
แต่เธอไปได้ไม่ไกลนัก ก่อนที่เธอถูกโจมตีอีกครั้งโดยชายผู้เป็นหัวหน้า เขาเร็วแบบนี้ได้อย่างไร? เธอเพิ่งทุ่มเขาข้ามตรอกไปเมื่อสักครู่
ครั้งนี้ ก่อนที่เธอจะทันสู้กลับ เธอรู้สึกถึงแรงหมัดที่แก้มของเธอ และรับรู้ได้ว่าเขาใช้หลังมือของเขาอย่างรุนแรง โลกหมุนเคว้ง เธอเรียกคืนสติอย่างรวดเร็ว และเตรียมตัวต่อสู้กลับ ทันใดนั้นเธอเห็นอีกสองคนคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ กดตัวเธอลงกับพื้น คนที่เห็นหัวหน้าดึงผ้าออกมาจากกระเป๋าของเขา
ก่อนที่เธอจะทันตอบสนอง ผ้าก็เข้ามาอุดจมูกและปากของเธอ
เธอสูดหายใจเฮือกครั้งสุดท้าย โลกหมุนคว้าง กลายเป็นภาพลาง ๆ
ก่อนที่โลกจะมืดสนิท เธอสาบานได้ว่าเธอได้ยินเสียงหนึ่งท่ามกลางความมืดมิดกระซิบเข้ามาในหูของเธอ “เธอเป็นของเราแล้ว”