Kitabı oku: «กำเนิดความกล้าหาญ », sayfa 3
ท่านพ่อของเธอเดินมาข้างหน้า และสวมกอดเธอ เป็นกอดที่เข้มแข็งของผู้นำกองทัพ เธอกอดเขาและรู้สึกได้ถึงความแนบแน่นรุนแรงจากกล้ามเนื้ออันแข็งแรงของเขา รู้สึกได้ถึงความปลอดภัย
“ลูกเป็นลูกของพ่อ” เขาพูดอย่างหนักแน่น “อย่าลืมนะ” แล้วเขาพูดเสียงเบามาก เพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน “พ่อรักลูก”
เธอรู้สึกตื้นตันด้วยความรู้สึกทั้งหลาย ก่อนที่เธอจะมีโอกาสพูดอะไรออกไป เขาหมุนตัวกลับและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว – ในขณะเดียวกัน ลีโอก็ส่งเสียงร้อง และกระโดดขึ้นมาหาเธอ ดุนจมูกของมันกับหน้าอกของเธอ
“มันอยากไปกับเธอ” เอแดนตั้งข้อสังเกต “เอามันไปด้วยเถอะ – พี่ต้องการมันมากกว่าฉัน ที่ต้องอยู่ที่โวลิสนี้ อีกอย่าง มันเป็นสัตว์เลี้ยงของพี่อยู่แล้ว”
ไคร่ากอดลีโอ ไม่อาจปฏิเสธได้ มันก็ต้องการเพียงอยู่เคียงข้างเธอ เธอรู้สึกปลอดภัยเมื่อคิดว่ามีมันร่วมเดินทางด้วย เธอคิดถึงมันอย่างมาก เธออาจได้ประโยชน์จากตาและหูของมันเช่นกัน และไม่มีสัตว์ตัวใดที่ซื่อสัตย์ไปกว่าลีโออีกแล้ว
เมื่อพร้อม ไคร่าขึ้นขี่หลังแอนดอร์ในขณะที่ทหารของท่านพ่อของเธอเริ่มเปิดทางให้ เขาถือคบเพลิงเป็นแนวไปจนถึงสะพานเพื่อแสดงออกถึงความเคารพ ขับไล่ความมืดในยามค่ำคืน และส่องทางให้เธอ เธอมองทะลุไปด้านหลังและเห็นท้องฟ้าที่กำลังมืดลง ป่ารกอยู่ต่อหน้า เธอรู้สึกตื่นเต้น กลัว และเหนือสิ่งอื่นใด รู้สึกถึงภาระหน้าที่ ด้วยเป้าหมาย ก่อนเธอจะดำเนินภารกิจที่สำคัญที่สุดในชีวิต ภารกิจที่ไม่ใช่มีเพียงแค่ศักดิ์ศรีของเธอเท่านั้นเป็นเดิมพัน แต่มันหมายถึงโชคชะตาของเอสคาลอน ไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว
เธอคล้องสายซองใส่ลูกธนูไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง และคันธนูที่ไหล่อีกข้างหนึ่ง ลีโอและเดียร์ดรีอยู่เคียงข้าง เธอขี่แอนดอร์อยู่ ทหารทั้งหมดมองเฝ้าดู ไคร่าเริ่มขี่แอนดอร์ออกก้าวเดินไปที่ประตูเมือง เธอค่อย ๆ ไปอย่างช้า ๆ ในช่วงแรก ผ่านคบเพลิงและเหล่าทหาร รู้สึกเหมือนเดินอยู่ในความฝัน เดินไปสู่โชคชะตาของเธอ ไคร่าเดินหน้าโดยไม่เหลียวหลังกลับ ด้วยไม่ต้องการให้เสียความตั้งใจ เสียงเป่าแตรเขาสัตว์โดยทหารของท่านพ่อของเธอ เสียงแตรแห่งการลาจาก เสียงแห่งความเคารพ
เธอเตรียมพร้อมที่จะกระตุ้นแอนดอร์ แต่เขาคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้ว เขาเริ่มต้นวิ่ง ครั้งแรกเป็นการวิ่งเหยาะ ๆ ตามด้วยการควบ
ในไม่นาน ไคร่าพบว่าตัวเองกำลังวิ่งอยู่ในเส้นทางที่เต็มไปด้วยหิมะ ผ่านประตูแห่งอาร์โกส์ ข้ามสะพาน ออกไปสู่พื้นที่โล่ง สายลมเยือกเย็นปะทะเส้นผม และไม่เหลือสิ่งใดนอกจากเส้นทางอันยาวไกล เจ้าสัตว์ที่ดุร้าย และความมืดมิดในยามค่ำคืน
บทที่สี่
เมิร์ควิ่งผ่าเข้าไปในป่า สะดุดที่พื้นดินลาดเอียง วิ่งเปะปะไประหว่างต้นไม้ เสียงใบไม้แห้งในป่าไวท์วูดดังกรอบแกรบใต้เท้าของเขา ในขณะที่เขาวิ่งด้วยพลังทั้งหมดที่มี เขามองไปข้างหน้าและพยายามจับตากลุ่มควันที่พวยพุ่งที่เส้นขอบฟ้า ตัดกับสีแดงเหมือนเลือดสดของอาทิตย์ยามอัสดง เขายิ่งรู้สึกถึงความรีบร้อนที่เพิ่มขึ้น เขารู้ว่าเด็กผู้หญิงต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งในบริเวณนี้ เป็นไปได้ว่าอาจถูกสังหารในเวลานี้ก็ได้ แต่เขาไม่สามารถทำให้ขาทั้งสองข้างก้าวไปได้เร็วกว่านี้แล้ว
ดูเหมือนว่าการฆ่าจะติดตามเขาไปทุกแห่ง และมันเผชิญหน้ากับเขาได้ทุกวัน เหมือนที่ทุกคนกลับบ้านเพื่อรับประทานอาหารเย็น แม่ของเขาเคยบอกว่า เขากลับมีนัดกับความตาย คำพูดเหล่านี้ก้องอยู่ในหัวของเขา และตามหลอกหลอนเขามาตลอดชั่วชีวิต คำพูดของเธอเป็นความจริงหรือไม่? หรือเป็นเพราะเขาเกิดมาพร้อมดาวสีดำอยู่เหนือหัวของเขา?
สำหรับเมิร์คแล้ว การฆ่าดูจะเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของชีวิตเขา เหมือนหายใจ เหมือนกินอาหารกลางวัน ไม่ว่าคนที่เขาจัดการจะเป็นใคร หรือจะฆ่าด้วยวิธีใดก็ตาม ยิ่งครุ่นคิดถึงมันมากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกขยะแขยงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น มันทำให้เขารู้สึกอยากอาเจียนมาตลอดชั่วชีวิต และเมื่อใดก็ตามที่มโนธรรมที่อยู่ในใจของเขาจะกรีดร้องให้เขาหันหลังกลับ เริ่มต้นชีวิตใหม่ และดำรงตนเหมือนนักแสวงบุญของป้อมปราการแห่งเออร์ เขาไม่สามารถทำตามคำเรียกร้องได้สำเร็จ หรือจะกล่าวว่า ความรุนแรงร้องเรียกเขาอีกครั้งแล้ว และครั้งนี้เขายิ่งไม่สามารถปฏิเสธเสียงเรียกร้องนั้นได้
เมิร์ควิ่งต่อไป กลุ่มควันที่พวยพุ่งอยู่ใกล้เข้า เขาเริ่มหายใจลำบากขึ้น กลิ่นควันทำให้เขาแสบจมูก และความรู้สึกที่คุ้นเคยกำลังเริ่มเข้าครอบงำตัวเขา มันไม่ใช่ความกลัว และในหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่แม้แต่ความตื่นเต้น มันเป็นความรู้สึกแห่งความคุ้นเคย เหมือนเขากำลังจะเป็นเครื่องจักรสังหาร ทุกครั้งที่เขาเข้าสู่สมรภูมิ – ของการสู้รบภายในตัวของเขา การสู้รบในรูปแบบนี้ เขาฆ่าข้าศึกที่เผชิญหน้าเขา โดยไม่จำเป็นต้องแอบซ่อนหลังกะบังหมวกหรือเกราะเหล็ก หรือแม้แต่มีฝูงชนปรบมือให้เหมือนเป็นอัศวินผู้โด่งดัง ในทัศนะของเขาแล้ว สมรภูมิของเขานับเป็นสมรภูมที่ต้องการความกล้าหาญที่สุด และเหมาะสมสำหรับนักรบที่แท้จริงเช่นเขา
และแม้แต่ในขณะที่เขาวิ่ง เมิร์ครู้สึกถึงบางอย่างที่แตกต่าง โดยปกติแล้ว เมิร์คไม่เคยสนใจว่าใครจะอยู่หรือใครจะตาย มันเป็นเพียงแค่งานเท่านั้น นั่นช่วยกันเขาออกมาจากการใช้เหตุผล เป็นอิสระจากการถูกบดบังด้วยอารมณ์ แต่ในครั้งนี้มันแตกต่าง นับเป็นครั้งแรกตราบนานเท่าที่เขาจะจดจำได้ที่เขาทำโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนจากใครเลย เขาดำเนินการด้วยความประสงค์ของตนเองอย่างแท้จริง โดยไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกเหนือจากเขารู้สึกสมเพชในตัวเด็กผู้หญิง และรู้สึกต้องการทำสิ่งที่ถูกต้อง มันทำให้เขาต้องลงทุนลงแรง และเขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้สักเท่าไร เขารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ดำเนินการให้เร็วกว่านี้ และเสียใจที่ปฏิเสธเธอก่อนหน้านี้
เมิร์ควิ่งด้วยความเร็วคงที่ เขาไม่พกอาวุธใด ๆ เลย –ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น สิ่งที่อยู่ภายใต้เข็มขัดของเขามีเพียงกริชเพียงเล่มเดียวเท่านั้น และนั่นก็เพียงพอแล้ว ความเป็นจริงแล้ว เขาอาจไม่จำเป็นต้องใช้มันเลยก็ได้ เขาชอบที่จะเข้าสู่สมรภูมิโดยปราศจากอาวุธ มันช่วยให้คู่ต่อสู่ของเขาขาดความระมัดระวง นอกจากนี้ เขายังสามารถปลดอาวุธของศัตรูและใช้อาวุธนั้นในการต่อสู้ได้ ทำแบบนี้เหมือนกับเขามีคลังอาวุธอยู่ในทุกที่ที่เขาไป
เมิร์คพุ่งทะยานออกจากป่าไวท์วูด หลุดออกจากแนวต้นไม้กลายเป็นพื้นที่โล่งกว้างและหุบเขาสูงต่ำ เขาสัมผัสกับดวงอาทิตย์สีแดงดวงใหญ่ อยู่ต่ำแตะเส้นขอบฟ้า หุบเขากว้างใหญ่อยู่ต่อหน้าเขา ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีดำมืด เหมือนพิโรธ และเต็มไปด้วยควัน มีเพลิงไฟที่กำลังลุกไหม้ตรงตำแหน่งที่น่าจะเป็นซากที่เหลืออยู่ของฟาร์มของเด็กหญิง เมิร์คได้ยินเสียงโห่ร้องอย่างลิงโลดของกลุ่มผู้ชายดังมาถึงที่นี่ พวกอาชญากร เสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความลิงโลดและกระหายเลือด ด้วยสายตาอันเชี่ยวชาญของเขาที่กวาดตามองที่เกิดเหตุ เขาเห็นชายกลุ่มหนึ่ง มีด้วยกันทั้งสิ้นสิบสองคน เปลวไฟจากคบเพลิงที่พวกมันถืออยู่ฉายให้เห็นใบหน้าลุกโชน วิ่งกลับไปกลับมา จุดไฟเผาทำลายทุกสิ่ง บางคนวิ่งจากคอกม้าไปที่บ้าน ใช้คบเพลิงจุดไฟที่หลังคาที่ทำด้วยฟาง ในขณะที่คนอื่น ๆ ใช้ขวานจามสังหารวัวควายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย เขาเห็นว่าหนึ่งในนั้นลากดึงร่าง ๆ หนึ่งด้วยเส้นผมผ่านพื้นที่เต็มไปด้วยโคลน
ร่างของผู้หญิง
หัวใจของเมิร์คเต้นเร็วขึ้น เมื่อเขาสงสัยว่าร่างนั้นใช่ร่างของเด็กผู้หญิงหรือไม่ – และสงสัยด้วยว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ชายผู้นั้นลากเธอไปยังกลุ่มคนที่คาดว่าเป็นครอบครัวของเธอ พวกเขาถูกมัดติดอยู่กับโรงนาด้วยเชือก ครอบครัวเธอประกอบด้วยพ่อ แม่ และเคียงข้างด้วยเด็กผู้หญิงสองคนที่ตัวเล็กกว่าและอายุน้อยกว่า คาดว่าจะเป็นน้องของเธอ เมื่อลมพัดพาเอากลุ่มควันไฟสีดำออกไป เมิร์คเหลือบเห็นเส้นผมสีบลอนด์ที่เปราะไปด้วยโคลน และเขารู้ในทันทีว่าเป็นเธอนั่นเอง
เมิร์ครู้สึกได้ถึงกระแสของอะดรีนาลีนที่พุ่งพล่านในตัวเขา ในขณะที่เขาเร่งฝีเท้าลงมาตามทางลาดเขา เขาวิ่งเข้าไปในบริเวณที่เป็นพื้นโคลน ท่ามกลางเปลวไฟและควันและในที่สุดเขาก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น: ครอบครัวของเด็กผู้หญิง ที่อยู่ติดกับผนังล้วนเสียชีวิตหมดแล้ว ถูกปาดที่ลำคอ ร่างยังถูกมัดอยู่กับผนัง เขารู้สึกโล่งอกที่เห็นเด็กผู้หญิงที่กำลังถูกลากเพื่อไปรวมกับครอบครัวของเธอยังมีชีวิตอยู่ และพยายามดิ้นรนขัดขืน เขามองเห็นเจ้าคนร้ายยืนรอเธออยู่ ในมือถือกริชเล่มหนึ่ง และเขารู้ทันทีว่า เธอคือรายต่อไป เขามาถึงช้าเกินไปที่จะช่วยชีวิตครอบครัวของเธอ – แต่ไม่ช้าเกินไปที่จะช่วยชีวิตเธอไว้ได้
เมิร์ครู้ว่าเขาต้องจู่โจมในขณะที่ชายกลุ่มนั้นยังไม่ทันตั้งตัว เขาลดความเร็วลงและค่อย ๆ ย่างสามขุมเข้าไปตรงกลาง เหมือนกับว่าเขามีเวลาเหลือเฟือ เพื่อรอจังหวะให้พวกมันสังเกตเห็น และต้องการให้พวกมันสับสน
ในไม่ช้า หนึ่งในนั้นก็สังเกตเห็นเขา เจ้าวายร้ายหมุนตัวหาเขาโดยันที ตกตะลึงที่เห็นร่างของชายคนหนึ่งเดินอย่างสุขุมเข้ามายังพื้นที่ที่มีการสังหารโหด เขารีบตะโกนบอกพรรคพวก
เมิร์ครู้สึกได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนจ้องมองมายังตัวเขา ขณะที่เขาย่างสามขุมเข้าไปหาเด็กผู้หญิง คนที่กำลังลากเธออยู่มองข้ามไหล่มายังเมิร์ค ทันทีที่เห็น มันหยุดชะงัก คลายมือที่ลากเธออยู่ ปล่อยเธอตกลงไปในโคลน มันหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้าเมิร์คพร้อมกับพรรคพวกของมัน ทั้งหมดย่างเข้ามาและพร้อมที่จะต่อสู้
“ดูสิว่าใครมา?” เสียงร้องจากชายคนที่น่าจะเป็นหัวหน้า เป็นคนที่ปล่อยเด็กผู้หญิงลง ทันทีที่มันเห็นเมิร์ค มันชักดาบออกมาจากเข็มขัดและย่างเข้ามา ในขณะที่คนอื่น ๆ ล้อมเป็นวงกลม
เมิร์คจ้องมองไปที่เด็กผู้หญิงเพียงอย่างเดียว ตรวจสอบดูว่าเธอยังมีชีวิตอยู่และไม่เป็นอันตราย เขารู้สึกโล่งอกที่เห็นเธอนอนบิดไปมาบนพื้นโคลน พยายามที่จะพยุงกายลุกขึ้น ยกศีรษะขึ้นมองมายังเขา ด้วยความมึนงงและสับสน เมิร์ครู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยเขาก็มาทัน อย่างน้อยที่สามารถช่วยชีวิตเธอได้ บางที ครั้งนี้อาจเป็นก้าวแรกของเส้นทางอันยาวไกลเพื่อไถ่โทษ เขาตระหนักว่า บางทีก้าวแรกอาจไม่ได้เกิดขึ้นที่ป้อมปราการ แต่เป็นที่นี่แทน
ในขณะที่เด็กผู้หญิงพลิกตัวบนพื้นโคลน พยายามที่จะใช้ข้อศอกพยุงตัวลุกขึ้น ทั้งคู่ก็ประสานสายตากัน และเขามองเห็นความหวังเต็มเปี่ยมอยู่ในดวงตาของเธอ
“ฆ่ามัน!” เธอกรีดร้องขึ้นมา
เมิร์คยังคงเยือกเย็น เขาเดินอย่างสบาย ๆ มาหาเธอ เหมือนกับไม่มีชายกลุ่มนั้นที่รายล้อมอยู่เลย
“แกรู้จักเด็กผู้หญิงคนนี้สินะ” หัวหน้าตะโกนมาที่เขา
“เป็นลุงสินะ?” หนึ่งในนั้นพูดอย่างขบขัน
“หรือพี่ชายที่หายสาบสูญ?” อีกคนหนึ่งพูดพลางหัวเราะ
“แกมาเพื่อปกป้องเธอหรือไงวะ ไอ้แก่?” อีกคนหนึ่งเยาะเย้ย
คนอื่น ๆ เปล่งเสียงหัวเราะในขณะที่พวกมันใกล้เข้ามา
ในขณะที่เขาไม่แสดงออก เมิร์คใช้สายตาตรวจสอบคู่ต่อสู้ของเขา ใช้หางตากวาดมอง นับจำนวนว่าทั้งหมดมีจำนวนกี่คน ตัวสูงใหญ่แค่ไหน เคลื่อนไหวเร็วขนาดไหน รวมถึงอาวุธที่พวกมันถือ เขาวิเคราะห์ถึงกล้ามเนื้อและไขมันที่มี เสื้อผ้าที่สวมใส่ ความยืดหยุ่นของพวกมันในเสื้อผ้าเหล่านั้น ความคล่องตัวของพวกมันในรองเท้าบูทที่พวกมันสวมอยู่ เขารวบรวมอาวุธที่พวกมันมี – มีดพก, กริช, และดาบที่ลับคมแบบลวก ๆ – และเขาวิเคราะห์ว่าคนกลุ่มนี้ถืออาวุธแบบไหน ถือด้านข้างหรือด้านหน้า อยู่ในมือข้างไหน
เขารู้ดีว่า คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นมือสมัครเล่น และไม่มีสักคนเลยที่จะกริ่งเกรงเขา ยกเว้นอยู่คนเดียว คือเจ้าคนที่มีหน้าไม้ เมิร์คบันทึกไว้ในหัวว่า เขาต้องจัดการกับคนนี้เป็นคนแรก
แล้วเมิร์คก็เข้าสู่สภาวะที่แตกต่าง รูปแบบการคิดที่แตกต่าง เป็นรูปแบบที่นำทางเขาอย่างเป็นธรรมชาติ เวลาที่ต้องเผชิญหน้า เขาเข้าสู่โลกของตัวเอง โลกที่เขาสามารถควบคุมได้เพียงน้อยนิด และเป็นโลกที่เขาได้อุทิศร่างกายให้แล้ว มันเป็นโลกที่บงการเขาว่า มีกี่คนที่เขาต้องฆ่า รวดเร็วแค่ไหน และมีประสิทธิภาพเพียงใด รวมทั้ง ทำอย่างไรให้สามารถทำลายล้างได้สูงสุดด้วยความพยายามที่น้อยที่สุดที่เป็นไปได้
เขารู้สึกเสียดายแทนคนกลุ่มนี้จริง ๆ พวกมันไม่รู้เลยว่ากำลังเดินเข้าไปหาอะไรอยู่
“เฮ้ย ฉันกำลัง พูด กับแกอยู่นะ!” คนที่เป็นหัวหน้าร้องออกมา ตัวมันห่างออกไปเพียง 10 ฟุตเท่านั้น ในมือถือดาบ หน้าตายิ้มเยาะ เดินใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
เมิร์คยังคงเดินตามเส้นทางเดิมต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยความสุขุม และไม่แสดงออกใด ๆ เขามีสมาธิ และแทบไม่ได้ยินเสียงของคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเลย ตอนนี้จิตใจของเขาไม่ได้ยินเสียงใด ๆ เขาไม่อาจวิ่ง หรือแสดงอาการโกรธเกรี้ยวใด ๆ จนกว่าจะเหมาะสม และเขารับรู้ได้ถึงความสงสัยในกลุ่มคนเหล่านี้ที่เห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลย
“เฮ้ย นี้แกรู้ไหมว่ากำลังจะตาย?” หัวหน้ายืนยัน “แกได้ยินฉันไหมวะ?”
เมิร์คเดินอย่างสุขุม ในขณะที่หัวหน้าเริ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และไม่รอช้าอีกต่อไป เขาตะโกนด้วยความโกรธ เงื้อดาบของเขาขึ้นและเข้าจู่โจม หมายฟันลงมาที่ไหล่ของเมิร์ค
เมิร์คใจเย็นรอเวลาและไม่แสดงอาการใด ๆ เขาเดินช้า ๆ ไปหาผู้ที่กำลังจู่โจมเข้ามา รอจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย ไม่แสดงออกถึงอาการหวาดวิตกและไม่ส่งสัญญาณที่จะต่อต้านใด ๆ เลย
เขารอจนกระทั่งดาบของคู่ต่อสู่ยกขึ้นสู่จุดสูงสุด สูงเหนือศีรษะของชายผู้นั้น จังหวะนี้เป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดของทุกคน นี่คือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้เป็นเวลานานมาแล้ว ทันใดนั้น รวดเร็วเกินกว่าที่ศัตรูคนใดจะคาดการณ์ได้ เมิร์คพุ่งทะยานเข้าหา เหมือนงูฉก ใช้นิ้ว 2 นิ้วของเขาจู่โจมโดยกดที่บริเวณด้านใต้รักแร้ของชายผู้นั้น
ผู้จู่โจมมีดวงตาที่ปูดบวมจากความเจ็บปวดและประหลาดใจ จนต้องทิ้งดาบโดยฉับพลัน
เมิร์คก้าวเข้าประชิดตัว เอื้อมแขนข้างหนึ่งของเขาโอบรอบแขนของชายผู้นั้น จับฝ่ามือไว้ในท่าล็อก ขณะนั้น เขาคว้าด้านหลังของคอและบังคับหมุนชายผู้นั้นไปมาเหมือนเป็นโล่กำบัง เนื่องจากเมิร์คไม่ได้กังวลในตัวชายที่เป็นหัวหน้าคนนี้เท่ากับคนที่ถือหน้าไม้อยู่ด้านหลัง เมิร์คเลือกที่จะจู่โจมเจ้าทึ่มนี้ก่อนเพียงเพื่อให้เขามีโล่มนุษย์
เมิร์คหมุนตัวเผชิญหน้าชายที่ถือหน้าไม้ และก็เป็นอย่างที่คาด เขาขึ้นหน้าไม้ และเล็งมาที่ตัวเขาแล้ว ในขณะนั้นเอง เขาได้ยินเสียงลูกธนูถูกปล่อยออกมาจากหน้าไม้ และเขามองเห็นมันพุ่งตรงมายังตัวเขา เมิร์คจับโล่ที่เป็นคนที่กำลังดิ้นกระแด่ว ๆ ไว้อย่างแน่นหนา
ต่อมาเขาได้ยินเสียงลมหายใจขาดช่วง เมิร์ครู้สึกได้ว่าตัวของเจ้าทึ่มผงะในแขนเขา ตัวหัวหน้าร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และเมิร์คก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของตัวเองด้วยเช่นกัน เหมือนมีดกรีดลงมาตรงกระเพาะของเขา ตอนแรกเขารู้สึกสับสน – แต่ไม่ช้าจึงได้รู้ว่าลูกธนูทะลุผ่านท้องของโล่มนุษย์ และหัวลูกศรทะลุผ่านมาที่ท้องของเมิร์คด้วย มันจมลงไปในผิวหนังเพียงแค่ประมาณครึ่งนิ้ว – ไม่มากพอที่จะทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส – แต่ก็แรงพอที่จะทำให้เขาเจ็บปวดเหมือนนรก
จากการคำนวณเวลาที่ต้องใช้ในการบรรจุลูกธนูใหม่ เมิร์คปล่อยเจ้าหัวหน้าซึ่งตอนนี้อ่อนปวกเปียกลงบนพื้น คว้าดาบจากมือของเขา และขว้างไปยังเจ้าวายรายที่มีหน้าไม้เป็นอาวุธ ดาบหมุนคว้างไปปักที่หน้าอก ชายผู้นั้นกรีดร้องเสียงแหลม ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด เขาปล่อยหน้าไม้ลง และร่างก็ร่วงลงไปกองอยู่ข้างหน้าไม้
เมิร์คหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าพวกที่เหลือ ทั้งหมดอยู่ในอาการตะลึง นักสู้ฝีมือดีที่สุดทั้งสองก็ตายไปแล้ว ตอนนี้ทั้งหมดที่เหลือยังอยู่ในอาการไม่แน่ใจ พวกเขาพากันมองหน้ากัน ตะลึง นิ่งเงียบ
“แกเป็นใคร?” ในที่สุด คนหนึ่งก็ร้องถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกลัวลนลาน
เมิร์คยิ้มกว้างและหักนิ้วมือ แสดงออกถึงความเพลิดเพลินเป็นที่สุด
“ฉัน” เขาตอบ “คือฝันร้ายของพวกแกยังไงล่ะ”
บทที่ห้า
ดันแคนควบม้าไปพร้อมกับกองทัพ เสียงม้าจำนวนนับร้อยดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เขานำกองกำลังมุ่งลงใต้ ออกมาห่างจากอาร์โกส์ เอนวินและอาร์ทฟอล ทหารที่ดันแคนไว้วางใจกำลังอยู่เคียงข้างเขา ส่วนวิดาร์ยังอยู่ที่ฐานเพื่อปกป้องโวลิส ทหารนับร้อยเรียงแถวขึ้นมา ทั้งหมดควบม้าออกไปด้วยกัน ดันแคนไม่เหมือนขุนศึกคนอื่น เขาชอบขี่ม้าไปพร้อมกับทหาร เขาไม่เคยมองทหารเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งของ แต่ทั้งหมดคือสหายร่วมรบของเขา
พวกเขาควบม้าไปในยามค่ำคืน ลมหนาวพัดโชยมา พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยหิมะ พวกเขารู้สึกดีที่ได้วิ่งไปสู่สงครามโดยไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอย่างขี้ขลาดอยู่หลังกำแพงโวลิสอีกต่อไป ซึ่งดันแคนทำแบบนั้นมาครึ่งค่อนชีวิต ดันแคนมองดูลูกชายของเขา แบรนดอนและแบรกซ์ตันขี่ม้าอยู่เคียงข้างทหาร เขาภูมิใจที่ลูกชายของเขามาร่วมรบด้วย ลึกลงไปในใจดันแคนยังคงเป็นห่วงไคร่า แม้ว่าเวลาจะผ่านไป เขาบอกตัวเองเสมอว่าไม่ต้องเป็นกังวล แต่ค่ำคืนเช่นนี้ดันแคนกลับคิดถึงเรื่องร้าย ๆ เกี่ยวกับไคร่า
ดันแคนสงสัยว่าตอนนี้ไคร่าอยู่ที่ไหน เขานึกถึงการเดินทางข้ามเอสคาลอนโดยลำพังของเธอ ซึ่งมีเพียงเดียร์ดรี แอนดอร์และลีโอเท่านั้น ดันแคนรู้ว่าการส่งไคร่าเข้าสู่การเดินทางแบบนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตแม้แต่นักรบที่เจนศึก หากไคร่ารอดมาได้ เธอจะกลายเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยมมากกว่าทหารไหนที่อยู่เคียงข้างเขาทุกวันนี้ แต่ถ้าไคร่าไม่สามารถทำได้ ดันแคนจะไม่สามารถชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดเป็นการเรียกบทพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่ เขาต้องการให้ไคร่าทำภารกิจได้สำเร็จมากกว่าสิ่งใด
กองทัพเดินทางขึ้นและลงจากเนินเขา ดันแคนมองออกไปยังทุ่งราบที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้าภายใต้แสงจันทร์ เขานึกถึงปลายทางที่เอสเฟส ฐานที่มั่นทางทะเล เมืองที่สร้างขึ้นบนท่าเรือ เป็นเส้นทางตัดกันของทิศตะวันออกเฉียงเหนือและท่าเรือ ซึ่งมีความสำคัญอันดับหนึ่งในการขนถ่ายสินค้าทั้งหมด มันคือเมืองที่ติดกับทะเลแห่งหยดน้ำตาด้านหนึ่งและอีกด้านติดกับท่าเรือ กล่าวกันว่าใครก็ตามที่ควบคุมเอสเฟสได้ถือว่าควบคุมครึ่งหนึ่งของเอสคาลอน ป้อมปราการที่ใกล้ที่สุดกับอาร์โกส์และฐานที่มั่นสำคัญ เอสเฟสจะเป็นเป้าหมายแรกของเขา ดันแคนรู้ดีว่าหากเขาต้องปลุกระดมการปฏิวัติ เมืองที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดจะต้องได้รับการปลดปล่อยเสียก่อน ครั้งหนึ่งท่าเรือแห่งนี้เคยเต็มไปด้วยเรือที่มีธงของเอสคาลอนโบกสะบัด แต่บัดนี้เต็มไปด้วยเรือของแพนดิเซีย นับเป็นสิ่งเตือนใจว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นเช่นไร
ดันแคนและซีวิกผู้เป็นขุนศึกแห่งเอสเฟส เคยมีความใกล้ชิดกัน พวกเขาทะยานเข้าสู่สนามรบในฐานะสหายศึกนับครั้งไม่ถ้วน ดันแคนเคยออกทะเลไปกับเขามากกว่าหนึ่งครั้ง แต่หลังจากการรุกราน พวกเขาขาดการติดต่อกัน ขุนศึกซีวิกซึ่งเคยสง่างาม บัดนี้เป็นเพียงทหารธรรมดา ไม่สามารถออกแล่นเรือได้อีก ไม่สามารถปกครองเมืองของเขาหรือไปเยือนฐานที่มั่นอื่นได้เหมือนเช่นขุนศึกคนอื่น ๆ พวกเขาเหมือนถูกคุมขังและตีตราว่าเขาคือนักโทษเหมือนเช่นขุนศึกคนอื่น ๆ ของเอสคาลอน
ดันแคนควบม้าต่อไปภายใต้ท้องฟ้าที่มืดมิด แนวเขามีเพียงแสงไฟจากคบเพลิงของทหารจำนวนนับร้อยที่มุ่งหน้าไปทางใต้ หิมะเริ่มตกหนักมากขึ้นและลมเริ่มพัดแรง คบเพลิงดูเหมือนต้องพยายามต่อสู้กับสายลม ดังเช่นแสงจันทร์ที่พยายามสาดส่องลงมาผ่านก้อนเมฆ กองทัพของดันแคนยังคงมุ่งหน้าต่อไป ทหารเหล่านี้บุกตะลุยไปทุกพื้นที่ ดันแคนรู้ดีเกี่ยวกับการโจมตียามค่ำคืนที่มีหิมะตก – ดันแคนเป็นนักรบที่ไม่เหมือนใคร มันคือสิ่งที่ทำให้เขานำกองกำลัง สิ่งที่เขาได้รับจากการเป็นผู้บังคับบัญชาของพระราชาองค์เก่า ทำให้เขามีฐานที่มั่นเป็นของตัวเอง และมันคือสิ่งที่ทำให้เขาคือหนึ่งในบุคคลที่ได้รับการยกย่องจากเหล่าขุนศึกที่แตกระแหงไป ดันแคนไม่เคยทำสิ่งที่คนอื่นทำ มันคือคติที่เขาถือมาตลอดชีวิต เขามักทำในสิ่งที่คนอื่นไม่คาดคิด
แพนดิเซียต้องคาดไม่ถึงกับการโจมตี เมื่อคำประกาศการปฏิวัติของดันแคนยังไม่กระจายไกลออกไปยังทิศใต้ – ดันแคนหวังว่าจะดำเนินการได้ทันเวลา แพนดิเซียจะไม่มีทางคาดคิดกับการลอบโจมตีตอนกลางคืน ซึ่งเป็นช่วงที่หิมะกำลังตก พวกเขารู้ว่าการขี่ม้าตอนกลางคืนมีความเสี่ยง ม้าอาจขาหักได้ และยังมีปัญหาอีกนับไม่ถ้วน ดันแคนรู้ดีว่าสงครามสามารถเอาชนะได้ด้วยความประหลาดใจและความเร็วมากกว่าการใช้กำลังเพียงอย่างเดียว
ดันแคนวางแผนที่จะขี่ม้าทั้งคืนจนไปถึงเอสเฟส เพื่อพยายามพิชิตกองกำลังแพนดิเซียขนาดใหญ่และยึดเมืองที่ยอดเยี่ยมกลับมาด้วยทหารไปกี่ร้อยนายของเขา หากว่าเขาสามารถยึดเอสเฟสกลับมาได้ บางทีเขาอาจชิงความได้เปรียบและเริ่มสงครามเพื่อยึดคืนเอสคาลอนทั้งหมดกลับมา
“ข้างล่างนั่น!” เอนวินตะโกนออกมา และชี้ไปในหิมะ
ดันแคนมองลงไปที่หุบเขาด้านล่าง เขาสังเกตเห็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ตามแนวชนบทมากมายที่อยู่ท่ามกลางหิมะและสายหมอก ดันแคนรู้ดีว่าหมู่บ้านเหล่านั้นเคยเป็นที่พักอาศัยของนักรบผู้กล้าหาญที่ภักดีต่อเอสคาลอน ซึ่งมีอยู่เพียงหยิบมือหนึ่ง แต่มันสามารถช่วยได้ เขาสามารถชิงความได้เปรียบและหาการหนุนทัพทหาร
ดันแคนตะโกนเสียงดังเหนือลมเพื่อให้ได้ยิน
“ส่งเสียแตร!”
ทหารส่งเสียงแตรออกมาสั้น ๆ มันเป็นเสียงปลุกระดมอันเก่าแก่ของเอสคาลอน เสียงนี้ทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา เสียงที่ไม่เคยได้ยินในเอสคาลอนมานานหลายปี มันคือเสียงที่คุ้นเคยสำหรับเพื่อนทหารชนบท เสียงที่จะบอกพวกเขาในสิ่งที่เขาต้องการรู้ทั้งหมด หากว่าในหมู่บ้านยังมีซึ่งคนดี เสียงนี้จะปลุกพวกเขา
เสียงแตรดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ แสงไฟในหมู่บ้านค่อย ๆ สว่างขึ้นมา ชาวบ้านตื่นตัวต่อการมาเยือนของพวกเขาและเริ่มออกมาที่ถนน คบเพลิงของพวกเขาส่องแสงริบหรี่ท่ามกลางหิมะ พวกผู้ชายต่างเร่งรีบแต่งตัว คว้าอาวุธและสวมชุดเกราะที่พวกเขามี ทั้งหมดจ้องมองไปที่เนินเขาและเห็นว่าดันแคนกับทหารของเขากำลังใกล้เข้ามา ทั้งหมดต่างพากันสงสัย ดันแคนนึกถึงสิ่งที่กองทัพของเขากำลังทำอยู่ การควบม้าท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดในพายุหิมะ และชูคบเพลิงนับร้อยเหมือนเช่นกองทัพแห่งเปลวเพลิงที่ต่อสู้กับหิมะ
ดันแคนและทหารขี่ม้าเข้าไปในหมู่บ้านแรกและหยุดลง คบเพลิงนับร้อยเผยให้เห็นถึงใบหน้าที่ตกใจกลัว ดันแคนมองลงไปยังใบหน้าที่มีความหวังและพร้อมรบ เขากำลังปลุกระดมผู้คนอย่างที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน
“ชาวเอสคาลอน!” เขาป่าวประกาศก้อง เริ่มควบม้าวนไปมารอบ ๆ อย่างช้า ๆ ดันแคนพยายามทักทายพวกเขา ขณะที่เหล่าชาวบ้านเดินเข้ามารวมตัวกัน
“เราทนทรมานภายใต้การกดขี่ของแพนดิเซียมานานเกินไปแล้ว! พวกเจ้าสามารถเลือกว่าอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตในหมู่บ้านนี้และนึกถึงว่าครั้งหนึ่งเอสคาลอนเคยเป็นอย่างไร หรือเลือกที่จะลุกขึ้นสู้ในฐานะเสรีชน และช่วยพวกเราเริ่มสงครามครั้งยิ่งใหญ่เพื่ออิสรภาพ!”
พวกชาวบ้านต่างรู้สึกมีกำลังดีใจ
“พวกแพนดิเซียจับลูกสาวของพวกเราไป!” ชายคนหนึ่งตะโกนออกมา “เราต้องการอิสรภาพ เราต้องการความเป็นไท!”
ชาวบ้านพากันส่งเสียงร้อง
“พวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกับท่าน ดันแคน!” อีกคนตะโกนออกมา “เราจะติดตามท่านไปจนตัวตาย!”
เสียงกู่ร้องดังขึ้นมาอีกครั้ง ชาวบ้านต่างพากันวิ่งเข้ามารวมตัวกับพวกทหาร ดันแคนรู้สึกพอใจกับจำนวนกำลังพลที่เพิ่มขึ้น เขาเตะม้าและเดินทางออกจากหมู่บ้าน หนทางปลดปล่อยเอสคาลอนได้เริ่มขึ้นแล้ว
ในไม่ช้าพวกเขาก็ไปถึงอีกหมู่บ้าน ชาวบ้านออกมาข้างนอกและยืนรออยู่ แสงสว่างจากคบเพลิงและเสียงแตรได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี กองทัพมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ชาวบ้านในพื้นที่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ต่างตะโกนเรียกกันโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก ดันแคนเดินทางผ่านทุกหมู่บ้านจนไปถึงหมู่บ้านสุดท้าย เขาไม่จำเป็นต้องโน้มน้าว ชาวบ้านเหล่านี้กระหายซึ่งอิสรภาพ พวกเขาต้องการฟื้นฟูเกียรติยศ เพื่อขึ้นขี่ม้า คว้าอาวุธ และเข้าร่วมกับกำลังพลของดันแคนไปทุกที่
ดันแคนได้รับกองกำลังเพิ่มจากทุกหมู่บ้าน ทั้งหมดจุดไฟสว่างท่ามกลางค่ำคืน แม้ว่าจะมีลมแรง หิมะตกหนัก และอยู่ในคืนที่มืดมิด แต่ความปรารถนาแห่งอิสรภาพของพวกเขานั้นแรงกล้า ดันแคนสัมผัสได้ว่าพวกเขาพร้อมที่จะทำทุกอย่าง – พวกเขาต้องการลุกขึ้นจับอาวุธเพื่อแย่งชิงชีวิตของพวกเขากลับมา
*
ดันแคนขี่ม้าไปตลอดคืน นำกองทัพที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นมุ่งสู่ทางใต้ เขาจับบังเหียนด้วยมือที่เย็นชาจากลมหนาว ยิ่งพวกเขามุ่งลงใต้ไปมากเท่าไร สภาพแวดล้อมบริเวณรอบ ๆ ก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงไป อากาศเย็นของโวลิสถูกแทนที่ด้วยความชื้นของเอสเฟส เหมือนที่ดันแคนจำได้ว่ามันเป็นอย่างไร ความชื้นของน้ำทะเลและกลิ่นเค็มของเกลือ ต้นไม้ที่นี่เตี้ยกว่า ทั้งหมดโค้งงอจากสายลมตะวันออกที่ดูเหมือนจะไม่เคยหยุดพัด
พวกเขาเดินทัพขึ้นเขาลูกแล้วลูกเล่า หิมะยังคงตกอยู่ ดวงจันทร์ส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้าที่สาดแสงลงมาเบื้องล่าง เพียงพอสำหรับการนำทางแก่พวกเขา นักรบทั้งหมดควบม้าต่อไปอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย มันคือค่ำคืนที่ดันแคนจะจดจำไปตลอดชีวิตที่เหลือของเขา หากเขารอดชีวิตมาได้ นี่จะเป็นการต่อสู้ที่เดิมพันกับทุกอย่าง เขานึกถึงไคร่า ครอบครัวของเขา บ้านของเขา และเขาไม่ต้องการสูญเสียทุกอย่าง เขายอมเสี่ยงแม้ว่าชีวิตของเขาจะแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาต้องทำให้สำเร็จเพื่อทุกชีวิตที่เขารู้จักและหวงแหน
ดันแคนมองไปข้างหลังและรู้สึกพอใจที่เห็นว่ามีทหารเพิ่มขึ้นอีกร้อยกว่านาย ทั้งหมดควบม้าเป็นหนึ่งเดียว มุ่งสู่จุดประสงค์เดียวกัน ดันแคนรู้ดีว่าเขามีกำลังพลน้อยกว่ามากและอาจต้องเจอกับกองทัพแพนดิเซียนับพันที่ประจำการอยู่ในเอสเฟส ดันแคนรู้ว่าซีวิกยังคงมีทหารที่ถูกปลดไปหลายร้อยคน แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเสี่ยงเข้าร่วมกับดันแคนหรือไม่
ไม่นานนักพวกเขาได้เดินทางขึ้นไปบนภูเขาอีกลูกหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่อ ที่ด้านล่างนั้นคือทะเลแห่งหยดน้ำตาที่ทอดตัวยาวเหยียด คลื่นซัดสาดบนชายฝั่ง ท่าเรือขนาดใหญ่ เมืองโบราณเอสเฟสตั้งอยู่อย่างโดดเด่น ตัวเมืองถูกสร้างขึ้นในทะเล คลื่นกระทบเข้ากับกำแพงหิน เมืองแห่งนี้สร้างขึ้นโดยหันหลังให้พื้นดิน เหมือนกับกำลังเผชิญหน้ากับท้องทะเล ประตูและกรงเหล็กจมลงอยู่ในน้ำ ราวกับว่าพวกเขาสนใจเรือมากกว่าม้า
ดันแคนสำรวจดูท่าเรือที่มีเรือจำนวนมากเทียบท่าอยู่อย่างไม่สิ้นสุด เขารู้สึกผิดหวังที่เห็นธงของแพนดิเซียสีเหลืองและฟ้าโบกสะบัดอยู่ ราวกับเป็นการเย้ยหยัน นั่นคือสัญลักษณ์ของแพนดิเซีย – หัวกะโหลกในปากของนกอินทรีย์ – ทำให้ดันแคนรู้สึกแย่ที่มองเห็นเมืองอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ถูกครอบครองโดยแพนดิเซีย ช่างน่าละอายยิ่งนัก แม้ในยามค่ำคืนเช่นนี้แต่แก้มของเขากลับแดงก่ำ เรือที่เทียบท่าอยู่ทอดสมออย่างปลอดภัย โดยไม่คาดคิดถึงการโจมตี แน่นอน ใครจะกล้าโจมตีพวกเขา? โดยเฉพาะในคืนที่มืดมิดและมีพายุหิมะ?
ทุกสายตาของทหารจับจ้องมาที่ดันแคน ช่วงเวลาแห่งความเป็นจริงได้มาถึงแล้ว ทั้งหมดกำลังรอคำสั่งการของเขาอย่างศรัทธา คำสั่งที่จะเปลี่ยนโชคชะตาทั้งหมดของเอสคาลอน ดันแคนนั่งนิ่งอยู่บนหลังม้า สายลมพัดโชยเข้ามา เขารู้สึกได้ว่าโชคชะตากำลังเอ่อล้น นี่คือช่วงเวลาที่จะกำหนดชีวิตของเขา – และชีวิตของทหารเหล่านี้ทั้งหมด
“บุก!” ดันแคนประกาศกร้าว
ทหารของเขาโห่ร้อง ทั้งหมดพุ่งลงเนินเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน ควบม้าไปยังท่าเรือที่ห่างออกไปหลายร้อยหลา พวกเขาชูคบเพลิงขึ้นสูง หัวใจของดันแคนกำลังเต้นรัว เขารู้ว่าภารกิจนี้เหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย – และเขาไม่รู้ว่จะสำเร็จหรือไม่
พวกเขามุ่งลงไปยังชานเมือง ควบม้าอย่างรวดเร็ว อากาศที่แห้งเย็นแทบจะทำให้พวกเขาลืมหายใจ เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ท่าเรือ กำแพงหินข้างหน้าอยู่ห่างออกไปอีกประมาณร้อยหลา ดันแคนเตรียมพร้อมเข้าสู่สงคราม
“พลธนู!” เขาตะโกน
พลธนูขี่ม้าเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ จุดไฟที่ปลายลูกธนู และกำลังรอคำสั่ง พวกเขาควบม้าเข้าไปเรื่อย ๆ เสียงฝีเท้าของม้าดังกึกก้อง แพนดิเซียยังคงไม่รู้ว่าการโจมตีกำลังจะมาถึง
ดันแคนรอจนกว่าพวกเขาจะเข้าไปใกล้กว่านี้ – เหลืออีกสี่สิบหลา สามสิบหลา ยี่สิบหลา – ในที่สุดเขาก็รู้ว่าถึงเวลาแล้ว
“ยิง!”
ทันใดนั้นค่ำคืนอันมืดมิดก็ส่องสว่างด้วยธนูไฟนับพันที่ทะยานขึ้นสูงผ่านอากาศ และพุ่งเป้าไปที่เรือของแพนดิเซียนับสิบลำที่จอดทอดสมออยู่ในท่าเรือ แสงไฟดูเหมือนกับหิ่งห้อย ลูกธนูพุ่งไปที่เป้าหมาย นั่นคือกองเรือแพนดิเซียที่กำลังจอดอยู่พร้อมธงที่โบกสะบัด
ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าที่เรือจะถูกเผาไหม้ ใบเรือและเรือทั้งหมดลุกเป็นไฟ เปลวไฟลุกลามไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางท่าเรือที่มีแต่สายลม
“อีกครั้ง!” ดันแคนตะโกน
ทหารระดมยิงซ้ำแล้วซ้ำอีก ธนูไฟตกลงมาเหมือนสายฝนทั่วกองเรือแพนดิเซีย
กองเรือของแพนดิเซียที่กำลังอยู่อย่างเงียบสงบในยามค่ำคืน เหล่าทหารต่างพากันเข้านอนอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดไม่ได้คาดคิด แพนดิเซียช่างโอหังนัก สำราญมากเกินไปที่ไม่นึกถึงการโจมตีเช่นนี้
ดันแคนไม่รอเวลาให้แพนดิเซียระดมพล เขาควบม้าไปข้างหน้าเพื่อใกล้เข้าท่าเรือ เขานำทัพตรงไปยังกำแพงหินที่ติดกับท่าเรือ
“คบเพลิง!” เขาตะโกน
ทหารของเขาพุ่งเข้าไปยังแนวชายฝั่ง ชูคบเพลิงขึ้นสูง และส่งเสียงตะโกนดังสนั่น ทั้งหมดทำตามดันแคน พวกเขาเหวี่ยงคบเพลิงไปยังเรือที่ใกล้ที่สุด คบเพลิงขนาดใหญ่กระแทกเข้าไป เสียงไม้กระทบดังไปทั่ว เรืออีกนับสิบลุกเป็นไฟ
ทหารเวรของแพนดิเซียสังเกตเห็นช้าเกินไปว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาตกอยู่ในทะเลเพลิงเรียบร้อยแล้ว ต่างพากันตะโกนร้องและกระโดดลงจากเรือ
ดันแคนรู้ดีว่าถึงเวลาปลุกส่วนที่เหลือของแพนดิเซีย
“แตร!” เขาตะโกน
เสียงแตรดังขึ้นจากกองกำลังของเขา รูปแบบการปลุกระดมอันเก่าแก่ของเอสคาลอน ดันแคนรู้ว่าซีวิกจะต้องจดจำเสียงนี้ได้
ดันแคนลงจากม้า ชักดาบออกมาและพุ่งไปที่กำแพงท่าเรือ เขากระโดดขึ้นไปบนกำแพงหินโดยไม่ลังเล และขึ้นไปบนเรือที่กำลังลุกไหม้ นำทางพุ่งไปข้างหน้า เขาต้องเผด็จศึกแพนดิเซียก่อนที่พวกมันจะระดมพล
เอนวินและอาร์ทฟอลพุ่งเข้ามาทางด้านข้าง เหล่าทหารตามมา ทั้งหมดต่างตะโกนสิงหนาทอันกึกก้อง ราวกับว่าพวกเขากำลังทิ้งชีวิตไปในสายลม หลังจากที่ต้องยอมจำนนมาหลายปี วันแห่งการแก้แค้นของพวกเขาได้มาถึงแล้ว
ในที่สุดแพนดิเซียก็ไหวตัว ทหารเริ่มรวมตัวกันที่ดาดฟ้าด้านล่าง เดินกันขวักไขว่เหมือนมด ไอจากควันไฟทำให้ทหารแพนดิเซียมึนงงและสับสน พวกมันมองเห็นดันแคนและทหารของเขา ทหารแพนดิเซียชักดาบออกมาและพุ่งเข้าใส่ ดันแคนพบว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับทหารนับร้อย – แต่เขาไม่ลังเล เขารีบเข้าโจมตีทันที
ดันแคนก้มหลบเมื่อทหารกำลังฟาดคมดาบมาที่ศีรษะของเขา เขาลุกขึ้นมาและแทงไปที่ท้องของทหาร ทหารอีกคนโจมตีมาทางด้านหลัง ดันแคนหมุนตัวและต้านเอาไว้ – เหวี่ยงดาบของทหารคนนั้นไปรอบ ๆ และแทงเข้าไปที่หน้าอก
ดันแคนต่อสู้เยี่ยงวีรบุรุษ เขาถูกโจมตีจากทุกทิศทาง ทำให้นึกถึงวันเก่า ๆ เขาพบว่าตัวเองกรำศึกมามาก เขาหลบหลีกได้จากทุกทิศทาง เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้มากเกินไปที่จะใช้ดาบ เขาโน้มตัวกลับหลังและเตะขา สร้างพื้นที่สำหรับการเหวี่ยงดาบ ในพริบตาเขาหมุนตัวตีศอก ต่อสู้ด้วยมือเปล่าในระยะประชิดเมื่อจำเป็น ศัตรูต่างล้มกองอยู่ตรงหน้า และไม่มีใครเข้าใกล้เขาได้
หลังจากนั้นไม่นาน เอนวินและอาร์ทฟอลได้เข้ามาร่วมด้วย พร้อมกับทหารอีกหลายสิบคน เอนวินป้องกันการโจมตีของศัตรูที่พุ่งมาหาดันแคนจากด้านหลัง ทำให้ดันแคนรอดจากการบาดเจ็บ – ขณะที่อาร์ทฟอลก้าวไปข้างหน้า ยกดาบของเขาขึ้นและป้องกันขวานที่จะฟันลงมาที่หน้าของดันแคน ดันแคนได้ก้าวไปข้างหน้าและแทงดาบไปที่ท้องของศัตรูทันที ดันแคนและอาร์ทฟอลต่างร่วมมือกันกำราบศัตรู
ทั้งหมดต่อสู้กันอย่างพร้อมเพรียง เสมือนเครื่องจักรที่ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยน้ำมัน ต่างคุ้มกันหลังของกันและกัน เสียงปะทะของดาบและชุดเกราะส่งเสียงอึกทึกท่ามกลางราตรีอันมืดมิด
ดันแคนมองเห็นทหารของเขากระโดดขึ้นไปบนเรือและลงไปที่ท่าเรือ โจมตีกองเรือพร้อมกัน ทหารของแพนดิเซียวิ่งแตกตื่นออกมา ทหารบางคนตัวติดไฟ นักรบของเอสคาลอนทั้งหมดต่อสู้อย่างห้าวหาญท่ามกลางกองเพลิง ไม่มีใครถอยหลัง แม้ว่าจะมีเปลวเพลิงโหมกระหน่ำอยู่รอบตัว ดันแคนพร้อมต่อสู้จนกว่าเขาจะไม่สามารถยกแขนขึ้นได้อีก ความร้อนทำให้หยาดเหงื่อไหลท่วมกาย ควันไฟบดบังการมองเห็น เสียงดาบปะทะกันรอบตัว ทหารแพนดิเซียที่จะหนีออกจากฝั่งร่วงลงสู่พื้นคนแล้วคนเล่า
ในที่สุดเปลวไฟก็ลุกโหมอย่างเต็มที่ ทหารของแพนดิเซียในชุดเกราะติดอยู่ในกองเพลิง กระโจนออกมาจากเรือลงไปยังน้ำข้างล่าง – ดันแคนนำทหารของเขาออกจากเรือและข้ามกำแพงหิน ย้อนกลับไปยังฝั่งท่าเรือ ดันแคนได้ยินเสียงตะโกน เขาหันกลับไปเห็นทหารแพนดิเซียนับร้อยพยายามตามมา
ทันทีที่ทหารคนสุดท้ายลงมาถึงพื้น ดันหันกลับไป ยกดาบของเขาขึ้นและฟันเชือกขนาดใหญ่ที่ผูกเรืออยู่กับฝั่ง
“เชือก!” ดันแคนตะโกน
ทหารทั้งหมดทำตามคำสั่งและฟันเชือกที่ทอดสมอกองเรือ เมื่อเชือกขนาดใหญ่ขาดสะบั้น ดันแคนวางเท้าไปที่โครงเรือและถีบออกไปเพื่อผลักเรือออกจากชายฝั่ง เอนวิน อาร์ทฟอลและคนอื่น ๆ รีบวิ่งเข้ามาช่วย พวกเขาทั้งหมดผลักเรือที่ติดไฟออกไปจากชายฝั่ง
เรือที่กำลังลุกไหม้เต็มไปด้วยทหาร เรือลำนั้นพุ่งตรงไปชนเรือลำอื่นในท่าเรือ – ทำให้เรือลำอื่นติดไฟเช่นกัน พวกทหารกระโดดลงจากเรือ ส่งเสียง และจมลงไปในน้ำทะเล
ดันแคนยืนนิ่ง หายใจหอบและมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น ดวงตาของเขาเป็นประกาย เมื่อท่าเรือทั้งหมดลุกเป็นไฟ ทหารแพนดิเซียนับพันออกมาจากดาดฟ้าเรือลำอื่น ๆ – แต่สายเกินไปแล้ว พวกเขาต้องเจอกับกำแพงไฟ และถูกเผาทั้งเป็นอย่างไม่มีทางเลือก หรือไม่ก็กระโดดลงไปสู่ความตายและจมอยู่ในน้ำที่หนาวเหน็บ ทหารแพนดิเซียทั้งหมดเลือกอย่างหลัง ดันแคนมองท่าเรือที่เต็มไปด้วยศพนับร้อยลอยอยู่ในน้ำ ทหารที่รอดชีวิตต่างตะโกนร้องและว่ายมาที่ฝั่ง
“พลธนู!” ดันแคนตะโกน
พลธนูของเขาเล็งเป้าและระดมยิงซ้ำแล้วซ้ำอีกไปยังทหารที่กำลังแตกทัพ ลูกธนูพุ่งเข้าเป้า กองเรือแพนดิเซียจมดิ่งลงไป
แม่น้ำกลายเป็นสีแดงเลือด ในไม่ช้าก็มีเสียงตะโกนและเสียงกรีดร้องดังขึ้น เมื่อฉลามเหลืองเข้ามากินอาหารในท่าเรือที่โชกเลือดแห่งนี้
ดันแคนมองไปยังพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ทอแสง นี่เขาทำอะไรลงไป เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วกองเรือทั้งหมดของแพนดิเซียยังตั้งอยู่ในท่าเรืออย่างโอหัง สัญลักษณ์การครอบครองของแพนดิเซียไม่มีอีกต่อไปแล้ว เรือนับร้อยถูกทำลาย ทั้งหมดถูกเผาไปพร้อมกับชัยชนะของดันแคน การโจมตีด้วยความเร็วและไม่ทันตั้งตัวของเขาได้ผล
เสียงตะโกนดังขึ้นในหมู่ทหาร ดันแคนหันไป ทหารของเขากำลังส่งเสียร้องโห่ขณะมองเรือที่กำลังถูกเผา ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยเขม่า และความเหนื่อยล้าจากการขี่ม้ามาทั้งคืน – แต่ทั้งหมดกำลังดื่มด่ำกับชัยชนะ มันคือเสียงร้องแห่งความดีใจ เสียงร้องแห่งอิสรภาพ เสียงร้องที่พวกเขาเฝ้ารอมาเป็นเวลานานหลายปี
หลังจากนั้นไม่นานมีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา – เสียงนี้เหมือนเป็นลางไม่ดี – ตามมาด้วยเสียงที่ทำให้ดันแคนขนลุกชัน เขาหันไปเห็นประตูขนาดใหญ่ค่อย ๆ เปิดขึ้น ดันแคนตกใจกับภาพที่ปรากฏ ทหารแพนดิเซียนับพัน สรรพาวุธพร้อมรบ กองกำลังที่สมบูรณ์แบบ กองทัพมืออาชีพ ในอัตราสิบต่อหนึ่งเมื่อเทียบกับทหารของเขา ทหารแพนดิเซียกำลังเตรียมการ เมื่อประตูเปิดขึ้น ทหารแพนดิเซียก็ส่งเสียงร้องและพุ่งมาที่ทหารของเขา
สัตว์ร้ายถูกปลุกให้ตื่นแล้ว ตอนนี้สงครามที่แท้จริงกำลังจะเริ่มขึ้น