Kitabı oku: «กำเนิดความกล้าหาญ », sayfa 4
บทที่หก
ไคร่ายึดแผงคอของแอนดอร์ไว้แน่นขณะที่ทั้งสองควบฝ่าความมืดในยามค่ำคืน โดยมีเดียร์ดรีเคียงข้าง และลีโออยู่ด้านล่าง ทั้งหมดเร่งความเร็วผ่านท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยหิมะทางด้านตะวันตกของอาร์โกส์เหมือนขโมยที่กำลังหนีกลางดึก พวกเขาเดินทางมาหลายชั่วโมงแล้ว เสียงฝีเท้าม้าก้องอยู่ในหูของเธอ ไคร่าหลุดเข้าไปในโลกส่วนตัว เมื่อเธอจินตนาการว่าเธอจะได้เจออะไรที่ป้อมปราการแห่งเออร์ ว่าลุงของเธอจะเป็นใคร เขาจะพูดอะไรเกี่ยวกับเธอบ้าง เกี่ยวกับแม่ของเธอ แล้วเธอก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ถึงอย่างนั้น เธอยอมรับว่ารู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน เพราะนี่เป็นการเดินทางบนเส้นทางอันแสนไกลข้ามเอสคาลอนที่เธอไม่เคยทำมาก่อน เธอเห็นป่าแห่งหนามรอคอยเธออยู่เบื้องหน้า พื้นที่ราบสิ้นสุดลงและในไม่ช้าพวกเขาต้องเข้าสู่พื้นที่ป่าที่ปิดทึบและเต็มไปด้วยสัตว์ที่ดุร้าย เธอรู้ดีว่ากฎเกณฑ์ทั้งหลายที่มีอยู่จะใช้ไม่ได้เลยเมื่อข้ามเข้าไปในแนวป่านี้
หิมะตีเข้าที่ใบหน้าในขณะที่ลมพัดผ่านพื้นที่โล่ง ด้วยมือที่ชาจากความหนาวเหน็บ เธอทิ้งคบไฟด้วยรู้ว่ามันไหม้จนมอดดับมาเป็นเวลานานแล้ว เธอขี่เข้าไปในความมืด หลงเข้าไปในวังวนของความคิด มีเพียงเสียงม้าและเสียงหิมะใต้ฝ่าเท้าและบางครั้งเสียงแอนดอร์คำรามเบา ๆ เท่านั้น เธอรู้สึกได้ถึงความเกรี้ยวกราด ธรรมชาติของเขาที่ไม่เชื่อง ต่างจากสัตว์ที่เธอเคยขี่มาก่อน เหมือนแอนดอร์ไม่ใช่เพียงไม่กลัวเกรงต่อสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเท่านั้น – มันยังรู้สึกอยากเผชิญหน้าเสียด้วยซ้ำ
เธอห่อตัวด้วยผ้าขนสัตว์ ไคร่ารู้สึกได้ถึงความหิวอีกระรอก และเธอได้ยินเสียงลีโอส่งเสียงครางอีกครั้ง เธอรู้ได้ว่าพวกเขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อความหิวได้อีกต่อไป พวกเขาเดินทางมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงและพวกเขาได้กินเนื้อแผ่นแช่แข็งชิ้นสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเอาเสบียงมาไม่พอ เธอมารู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว บนพื้นดินไม่มีสัตว์ตัวเล็กให้ล่า และนั่นเป็นลางที่ไม่ดีเอาเสียเลย พวกเขาอาจต้องหยุดเพื่อหาอาหารในเร็ว ๆ นี้
พวกเขาชะลอขณะที่เข้าใกล้แนวชายป่า ลีโอคำรามใส่แนวต้นไม้ดำมืด ไคร่ามองไปด้านหลัง ยังพื้นราบเป็นระลอกคลื่นที่มุ่งสู่อาร์โก รู้สึกรังเกียจที่จะต้องเดินทางต่อไปข้างหน้า เธอรู้กิตติศัพท์ของป่าแห่งหนามแห่งนี้เป็นอย่างดี และเธอรู้ดีว่าจุดนี้เธอไม่อาจหันหลังกลับได้อีกแล้ว
“พร้อมไหม?” เธอถามเดียร์ดรี
เดียร์ดรีดูเป็นผู้หญิงคนละคนกับคนที่หนีออกจากที่คุมขัง เธอดูแข็งแรง แน่วแน่ เหมือนเธอได้ไปยังนรกขุมที่อยู่ลึกที่สุดแล้วกลับมา และพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่ง
“ส่งที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นก็ได้เกิดขึ้นกับฉันแล้ว” เดียร์ดรีบอก เสียงของเธอเย็นชาและหนักแน่นเหมือนป่าที่อยู่ตรงหน้า เสียงนั้นดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย
ไคร่าพยักหน้าอย่างเข้าใจ – และทั้งสองเริ้มเข้าสู่แนวชายป่า
ในขณะที่พวกเขาทำเช่นนั้น ไคร่าเริ่มรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บ แม้จะเป็นในค่ำคืนที่หนาวเย็นเช่นนี้ มันมืดมากในนี้ บรรยากาศปิดล้อม เต็มไปด้วยต้นไม้โบราณสีดำที่มีตาไม้ตะปุ่มตะป่ำ มีกิ่งไม้มีลักษณะคล้ายหนาม และใบไม้หนาสีดำ ป่านี้ไม่ได้แผ่กระแสของความสงบ แต่เป็นความรู้สึกของปีศาจ
พวกเขาเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ท่ามกลางตันไม้เหล่านี้ หิมะ น้ำแข็งส่งเสียงดังกรอบแกรบใต้ฝ่าเท้าสัตว์ทั้งสาม เสียงสิ่งมีชีวิตแปลก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในกิ่งไม้ดังเป็นระยะ เธอหันไปมองและสำรวจเพื่อหาที่มาของเสียงแต่ไม่เห็นสิ่งใด เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองอยู่
พวกเขาเดินหน้าลึกเข้าไปในป่าเรื่อย ๆ ไคร่าพยายามมุ่งหน้าไปทิศตะวันตกและทิศเหนือเหมือนที่พ่อของเธอบอก จนกว่าจะเจอทะเล เมื่อเดินไป ลีโอและแอนดอร์ส่งเสียงคำรามใส่สิ่งมีชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่แต่ไคร่ามองไม่เห็น เมื่อเธอเบี่ยงหลบกิ่งไม้จะเกี่ยวบาดเธอ ไคร่านึกถึงเส้นทางข้างหน้าอีกยากไกล เธอรู้สึกตื่นเต้นเมื่อนึกถึงการเดินทาง แต่เธอรู้สึกอยากอยู่กับผู้คนของเธอมากกว่า อยากต่อสู้เคียงค้างพวกเขาในสงครามที่เธอเป็นคนเริ่มต้น เธอรู้สึกอยากกลับไปมาก ๆ
ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ไคร่าเดินทางเข้าไปในป่า สงสัยว่าต้องไปอีกไกลเท่าไรจึงจะถึงทะเล เธอรู้ว่ามันเป็นเรื่องเสี่ยงที่จะขี่ม้าในความมืดเช่นนี้ – แต่เธอรู้ด้วยว่ามันก็เสี่ยงเช่นกันที่จะค้างแรมอยู่ตรงนี้เพียงลำพัง – โดยเฉพาะยิ่งเธอได้ยินเสียงที่ทำให้เธอสะดุ้งกลัวเช่นนี้
“ทะเลเป็นยังไง?” ในที่สุดไคร่าหันไปถามเดียร์ดรี เพียงเพื่อทำลายความเงียบ
เธออาจบอกจากสีหน้าของเดียร์ดรีได้ว่าเธอเป็นคนปลุกให้เดียร์ดรีหลุดจากภวังค์ เธอจินตนาการไม่ออกเลยว่าฝันร้ายที่เดียร์ดรีกำลังคิดอยู่นั้นคืออะไร
เดียร์ดรีส่ายหัว
“ฉันหวังว่าฉันจะรู้” เธอตอบ เสียงแห้งผาก
ไคร่ารู้สึกสับสน
“เธอไม่ได้มาทางนี้หรือ เมื่อพวกเขาคุมตัวเธอมา?” เธอถาม
เดียร์ดรียักไหล่
“ฉันถูกขังไว้ในกรงตอนหลังของตู้” เธอตอบ “และหมดสติเกือบตลอดการเดินทาง พวกเขาอาจพาฉันมาทางนี้ก็ได้ แต่ฉันไม่รู้จักป่าแห่งนี้”
เธอถอนหายใจ มองออกไปในความมืด
“แต่เมื่อเราเข้าใกล้ไวท์วูด ฉันน่าจะจำอะไรได้มากขึ้น”
พวกเขาเดินทางต่อ บรรยากาศกลับมาสู่ความเงียบอีกครั้ง และไคร่ารู้สึกสนใจในตัวเดียร์ดรีและเรื่องในอดีตของเธอ เธอสัมผัสได้ถึงความเข้มแข็ง แม้จะมีความเศร้าลึก ๆ ไคร่าเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มถูกครอบงำด้วยความคิดด้านมืดของการเดินทางจ้างหน้า การไม่มีอาหาร ความหนาวเย็นที่กัดกิน และสัตว์ดุร้ายที่รอคอยพวกเขาอยู่ และเธอหันกลับที่เดียร์ดรีพยายามที่จะเบี่ยงเบนความคิดตัวเอง
“เล่าเรื่องเกี่ยวกับป้อมปราการแห่งเออร์ให้ฉันฟังหน่อยสิ” ไคร่าบอก “มันเป็นยังไง?”
เดียร์ดรีมองกลับมา รอบดวงตาเป็นสีดำ เธอยักไหล่
“ฉันไม่เคยไปถึงป้อมปราการ” เดียร์ดรีตอบ “ฉันมาจากเมืองเออร์ – และนั่นห่างจากป้อมปราการไปหนึ่งวันเต็ม ๆ ขี่ม้าไปทางใต้”
“ถ้าอย่างนั้น เล่าเกี่ยวกับเมืองของเธอให้ฉันฟังหน่อย” ไคร่าบอก พยายามที่จะคิดถึงเรื่องอื่นนอกจากที่นี่
ดวงตาของเดียร์ดรีลุกโพลง
“เออร์เป็นสถานที่ที่สวยงาม” เธอบอก มีเสียงแห่งความปรารถนาอยู่ในน้ำเสียง “เมืองติดทะเล”
“เรามีเมืองติดทะเลด้วยเหมือนกันอยู่ทางใต้” ไคร่าบอก “เอสเฟส ห่างจากโวลิสเป็นเวลา 1 วันเดินทางทางม้า ฉันเคยไปที่นั่นพร้อมพ่อของฉันตอนฉันยังเป็นเด็กอยู่”
แอนดอร์ส่ายหัว
“นั่นไม่ใช่ทะเล” เธอตอบ
ไคร่ารู้สึกสับสน
“หมายความว่ายังไง?”
“นั่นคือทะเลแห่งน้ำตา” เดียร์ดรีตอบ “ของเออร์คือทะเลแห่งความโศกเศร้า ทะเลของเราเป็นทะเลที่เปิดกว้าง บนชายหาดฝั่งตะวันออกของเรามีคลื่นลูกเล็ก ๆ ชายฝั่งตะวันตกของทะเลแห่งความโศกเศร้ามีคลื่นที่สูง 20 ฟุต ซัดเข้าหาฝั่ง มีกระแสน้ำสามารถจมเรือทั้งลำได้ในพริบตาเดียว ในคืนที่พระจันทร์ขึ้นสูง นี่ขนาดไม่ต้องพูดถึงคนนะ ของเราเป็นเมืองแห่งเดียวในเอสคาลอนที่หน้าผาลดขนาดต่ำลงในขนาดที่เปิดโอกาสให้เรือสามารถเข้าเทียบท่าได้ เรามีหาดทรายเพียงแห่งเดียวในเอสคาลอน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมแอนโดรส์จึงถูกสร้างให้ห่างจากเมืองของเราเพียง 1 ชั่วโมงขี่ม้าไปทางทิศตะวันออก”
ไคร่าขบคิดคำพูดของเธอ รู้สึกดีที่ได้เบี่ยงเบนความสนใจ เธอนึกย้อนกลับไปถึงบทเรียนจากเมื่อวัยเยาว์ แต่เธอไม่เคยคิดถึงมันในรายละเอียดเลย
“แล้วผู้คนของเธอล่ะ?” ไคร่าถาม “พวกเขาเป็นอย่างไร?”
เดียร์ดรีถอนหายใจ
“คนที่ภาคภูมิใจ” เธอตอบ “เหมือนคนอื่นในเอสคาลอนแต่แตกต่างกัน เขาว่ากันว่าคนเมืองเออร์มีสายตาหนึ่งมองที่เอสคาลอน ส่วนอีกสายตาหนึ่งมองไปที่ทะเล เรามองไปตรงเส้นขอบฟ้า พากเรามีใจกว้างกว่าพวกอื่น ๆ – บางทีเพราะมีชาวต่างชาติมาเยี่ยมเยียนชายฝั่งของเรามากก็เป็นได้ ชายหนุ่มแห่งเออร์เป็นนักรบที่มีชื่อเสียง พ่อของฉันเป็นผู้นำแห่งนักรบ ตอนนี้ พวกเราเป็นเพียงแค่เชลยเหมือนคนอื่น ๆ”
เธอถอนใจ และตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน ไคร่ารู้สึกประหลาดใจเมื่อเธอเริ่มพูดอีกครั้ง
“เมืองของเรามีลำคลองตัดผ่าน” เดียร์ดรีพูดต่อ “เมื่อฉันโตขึ้น ฉันมักชอบนั่งอยู่ที่เนินดิน จ้องมองเรือแล่นผ่านเข้าออกเป็นชั่วโมง ๆ บางครั้งเป็นวัน ๆ พวกเขามาจากทุกแห่งในโลกนี้ มีธงตราสัญลักษณ์ ใบเรือ และสีที่แตกต่าง พวกเขานำเอาเครื่องเทศ ผ้าไหม และอาวุธ รวมถึงอาหารราคาแพงทุกรูปแบบ – บางครั้งนำสัตว์มาด้วย ฉันมักเฝ้ามองผู้คนมาและไป และฉันเคยสงสัยเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา ฉันอยากเป็นอย่างพวกเขาอย่างมาก”
เธอยิ้ม เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงตาของเธอสว่างโพลง จดจำภาพต่าง ๆ อย่างชัดเจน
“ฉันเคยมีความฝัน” เดียร์ดรีบอก “เมื่อฉันโตพอ ฉันจะขึ้นเรือลำหนึ่งในนั้น และเดินทางไปยังต่างแดน ฉันอาจเจอเจ้าชาย และเราอาจใช้ชีวิตอยู่บนเกาะสักแห่ง ในปราสาทสักหลัง ที่ใดก็ได้ที่ไม่ใช่เอสคาลอน”
ไคร่ามองเดียร์ดรียิ้ม
“แล้วตอนนี้ล่ะ?” ไคร่าถาม
สีหน้าของเดียร์ดรีหล่นวูบ เธอก้มมองหิมะ ฉับพลันเธอแสดงออกด้วยความโศกเศร้า เพียงแค่สั่นหัว
“สายเกินไปแล้วสำหรับฉัน” เดียร์ดรีบอก “หลังจากทุกสิ่งที่พวกมันทำกับฉัน”
“มันไม่มีอะไรที่สายเกินไปหรอก” ไคร่าบอก พยายามสร้างความมั่นใจให้เธอ
แต่เดียร์ดรีเพียงแต่ส่ายหัว
“มันเป็นเพียงแค่ความฝันของเด็กผู้หญิงที่ไร้เดียงสา” เธอบอก เสียงหนักแน่นไปด้วยความรู้สึกผิด “และเด็กผู้หญิงคนนั้นก็จากไปนานแล้ว”
ไคร่ารู้สึกเศร้าที่เพื่อของเธอกลับมาสู่ความเงียบ ยิ่งลึกเข้าไปในป่า เธออยากทำลายความเจ็บปวดของเพื่อนเธอ แต่ไม่รู้วิธี เธอสงสัยในความเจ็บปวดที่ผู้คนต้องเผชิญในชีวิต เหมือนสิ่งที่พ่อเธอเคยบอกเธอครั้งหนึ่งไม่ใช่หรือ? อย่าถูกหลอกโดยสีหน้าของผู้คน พวกเขาทุกคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยความสิ้นหวังอย่างเงียบ ๆ บางคนซ่อนมันไว้ได้ดีกว่าคนอื่น ๆ จงเห็นใจทุกคน แม้ว่าการทำแบบนั้นจะไม่มีเหตุผลใด ๆ เลย
“วันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของฉัน” เดียร์ดรีพูดต่อ “คือวันที่พ่อของฉันยอมรับในกฎหมายของแพนดีเซีย เมื่อเขายอมให้เรือเข้ามาในคลองของเรา และยอมให้คนของเขาลดธงของเราลง มันเป็นวันที่น่าเศร้า เศร้ายิ่งกว่าวันที่เขายอมให้พวกมันคุมตัวฉันไป”
ไคร่าเข้าใจทุกสิ่งเป็นอย่างดี เธอเข้าใจดีถึงความเจ็บปวดที่เดียร์ดรีต้องเผชิญ ความรู้สึกของการถูกทรยศ
“และเมื่อเธอกลับมา?” ไคร่าถาม “เธอจะเจอพ่อของเธอไหม?”
เดียร์ดรีมองลงต่ำอย่างเจ็บปวด ในที่สุดเธอบอกว่า “เขายังคงเป็นพ่อของฉัน เขาทำผิด ฉันมั่นใจว่าเขาไม่ได้ตระหนักว่าสิ่งที่ทำส่งผลต่อฉันอย่างไร ฉันคิดว่าเขาคงไม่เป็นเหมือนเดิมหลังจากได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันอยากบอกเขา สบตาเขา ฉันต้องการให้เขารับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ฉันรู้สึก การทรยศของเขา เขาต้องเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ชายเป็นคนตัดสินใจชาตากรรมของผู้หญิง” เธอเช็ดน้ำตา “เขาเคยเป็นวีรบุรุษในใจฉัน ฉันไม่อาจเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงยอมปล่อยฉันไป”
“แล้วตอนนี้ล่ะ?” ไคร่าถาม
เดียร์ดรีส่ายหัว
“ไม่มีอีกแล้ว ฉันเลิกให้ผู้ชายเป็นวีรบุรุษแล้ว ฉันต้องหาวีรบุรุษจากที่อื่น”
“แล้วเธอล่ะ?” ไคร่าถาม
เดียร์ดรีมองกลับด้วยความสับสน
“เธอหมายความว่าอะไร?”
“ทำไมจึงมองหาคนอื่น แทนที่จะเป็นตัวเองล่ะ?” ไคร่าถาม “เธอเป็นวีรสตรีในตัวเองไม่ได้หรือ?”
เดียร์ดรีหัวเราะขำ
“แล้วทำไมจึงต้องเป็นฉันล่ะ?”
“เธอเป็นวีรสตรีในใจฉัน” ไคร่าบอก “สิ่งที่ทำให้เธอได้รับความทุกข์ทรมานที่นั่น – ฉันไม่อาจทานทนได้ เธอรอดชีวิตมาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ข เธอกลับมายืนหยัด และรอดชีวิตจนถึงทุกวันนี้ นั่นแหละที่ทำให้เธอเป็นวีรสตรีในใจฉัน”
เดียร์ดรีไตร่ตรองคำพูดของเธอและไปต่อด้วยความเงียบ
“แล้วเธอล่ะ ไคร่า?” ในที่สุดเดียร์ดรีก็ถามออกมา “เล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับตัวเธอบ้าง”
ไคร่ายักไหล่
“เธออยากรู้เรื่องอะไรบ้างล่ะ?”
เดียร์ดรีกระแอม
“เล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับมังกร เกิดอะไรขึ้นที่นั่น ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เหตุใดเขาจึงมาช่วยเธอ?” เดียร์ดรีรีรอเล็กน้อย “เธอคือใคร?”
ไคร่ารู้สึกประหลาดใจที่จับความรู้สึกกลัวจากเสียงของเพื่อนเธอได้ เธอขบคิดคำพูด อยากจะตอบตามความจริง และหวังว่าจะรู้คำตอบของคำถามเหล่านั้น
“ฉันไม่รู้” เธอตอบตามความเป็นจริง “ฉันคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ฉันคงต้องค้นหาความจริงให้ได้เหมือนกัน”
“เธอไม่รู้หรือหรือ?” เดียร์ดรีกดดัน “มังกรบินลงมาจากฟากฟ้าและต่อสู้เพื่อเธอ และเธอไม่รู้เหตุผลว่าทำไมนะหรือ?”
ไคร่าคิดดูแล้วฟังดูเหมือนเหลือเชื่อ แต่เธอทำได้เพียงส่ายหัว เธอมองขึ้นไปยังภาพสะท้อนบนท้องฟ้า ที่อยู่ระหว่างกิ่งไม้ที่พันกันเป็นเกลียว ท่ามกลางความหวังทั้งมวล เธอหวังว่าจะเห็นสัญญาณของธีโอส์
แต่เธอไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด เธอไม่ได้ยินเสียงมังกร และความรู้สึกแปลกแยกระหว่างเธอและมังกรก็มากขึ้นทุกที
“เธอรู้ว่าตัวเธอมีความแตกต่างใช่ไหมล่ะ?” เดียร์ดรีกดดันต่อ
ไคร่ายักไหล่ เธอรู้สึกวาบที่ใบหน้า รู้สึกถึงความรู้ตัว เธอสงสัยว่าเพื่อนของเธอมองเธอเป็นตัวประหลาดหรือเปล่า
“ฉันเคยรู้สึกมั่นใจในทุกสิ่ง” ไคร่าตอบ “แต่ตอนนี้...โดยสัจจริงแล้ว ฉันไม่รู้อีกต่อไป”
พวกเขายังคงขี่ม้ามาเป็นเวลาหลายชั่วโมง กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง บางครั้งพวกเขาวิ่งเหยาะ ๆ เมื่อป่าเปิดกว้าง บางครั้งป่าทึบมากจนพวกเขาต้องลงจากหลังม้าและจูงสัตว์ทั้งสองไป ไคร่ารู้สึกระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา รู้สึกว่าเธออาจถูกจู่โจมเมื่อใดก็ได้ ไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายเลยในป่าแห่งนี้ เธอไม่รู้ว่าอะไรที่เจ็บปวดมากกว่ากัน ระหว่างความหนาวหรือความหิวที่เจ็บแปลบที่ท้องของเธอ รู้สึกเจ็บปวดที่กล้ามเนื้อและริมฝีปากไร้ความรู้สึก เธอรู้สึกทุกข์ทรมาน นึกไม่ถึงว่าจริง ๆ แล้วการผจญภัยจริง ๆ ยังเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
ผ่านไปหลายชั่วโมง ลีโอเริ่มส่งเสียงร้องครวญคราง มันเป็นเสียงที่แปลก – ไม่เหมือนเสียงร้องปกติ เป็นเสียงที่มันเปล่งออกมาเมื่อได้กลิ่นอาหาร ในขณะเดียวกัน ไคร่าก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่างเช่นกัน – และเดียร์ดรีก็หันไปในทิศทางเดียวกันและจ้องมอง
ไคร่ามองผ่านป่าแต่ไม่เห็นอะไรเลย พอพวกเขาหยุดฟัง เธอเริ่มได้ยินเสียงแผ่วเบาของกิจกรรมอยู่ที่ไหนสักแห่งด้านหน้าออกไป
ไคร่าทั้งรู้สึกตื่นเต้นกับกลิ่นที่เธอรับรู้ และรู้สึกกังวลเพราะเธอรู้ว่าสิ่งนั้นหมายถึงอะไร: มันหมายถึงมีคนอื่นอยู่ในป่าแห่งนี้เช่นกัน เธอนึกถึงคำเตือนของพ่อเธอได้ และสิ่งสุดท้ายที่เธอต้องการคือการเผชิญหน้า ไม่ใช่ที่นี่ และไม่ใช่เวลานี้
เดียร์ดรีมองทาที่เธอ
“ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว” เดียร์ดรีบอก
ไคร่าก็เช่นกัน เธอรู้สึกเจ็บแปลบจากความหิว
“ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นใคร ในค่ำคืนแบบนี้” ไคร่าตอบ “ฉันมีความรู้สึกว่าพวกเขาคงไม่ยินดีที่จะแบ่งปันแน่นอน”
“เรามีทองอยู่มากพอนะ” เดียร์ดรีบอก “บางทีพวกเขาอาจแบ่งอาหารให้เราบ้าง”
แต่ไคร่าส่ายหัว มีความรู้สึกบางอย่างลึก ๆ ในขณะที่ลีโอร้องครางและแลบลิ้นเลียริมฝีปาก แน่นอนว่ามันก็หิวมากเช่นกัน
“ฉันไม่คิดว่าเป็นเรื่องดีที่จะทำนะ” ไคร่าบอก แม้จะปวดท้อง “เราควรไปตามทางของเรา”
“แล้วถ้าเราไม่เจออาหารอีกเลยล่ะ?” เดียร์ดรียืนยัน “เราอาจตายจากความหิวก็ได้ ม้าของเราก็เช่นกัน อาจใช้เวลาหลายวัน และนี่อาจเป็นโอกาสเดียวของเราก็ได้ นอกจากนี้ เราไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรเลย เรามีอาวุธของเธอ ฉันก็มีของฉัน และเรามีลีโอและแอนดอร์ หากเธอจำเป็น เธออาจยิงธนูสัก 3 ดอกปักลงตรงหน้าอกของใครบางคนก่อนที่เขาจะกระพริบตาเสียด้วยซ้ำ – และเราก็หนีไปได้ไกลแล้ว”
แต่ไคร่ารู้สึกลังเล ไม่ค่อยเห็นด้วยกับเดียร์ดรีสักเท่าไร
“นอกจากนี้ ฉันสงสัยว่านักล่าสัตว์ที่มีเนื้อสัตว์ย่างอยู่บนท่อนเหล็กแบบนี้จะทำอันตรายอะไรเราได้” เดียร์ดรีเสริม
ไคร่า รับรู้ว่าทุกคนหิวและต้องการอาหาร ไม่อาจทัดทานได้อีกต่อไป
“ฉันไม่ชอบเลย” เธอบอก “เราค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปช้า ๆ และดูว่าพวกนั้นเป็นใคร หากเรารู้สึกว่าจะเป็นปัญหา เธอต้องตกลงว่าเราจะหนีออกมาก่อนที่จะเข้าไปใกล้เกินไป”
เดียร์ดรีพยักหน้า
“ฉันให้สัญญา” เธอตอบ
แล้วทั้งหมดก็มุ่งหน้าไป ด้วยการเดินเร็ว ๆ ผ่านป่า กลิ่นอาหารเริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไคร่ามองเห็นแสงไฟริบหรี่อยู่ด้านหน้าขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไป หัวใจเธอเต้นเร็วเมื่อเธอสงสัยว่าพวกคนที่อยู่ตรงนั้นจะเป็นใคร
พวกเขาช้าลงเมื่อเข้าใกล้ ขี่ม้าอย่างระมัดระวัง ผ่านแนวต้นไม้ แสงไฟสว่างขึ้น เสียงดังขึ้น มีความสับสนวุ่นวายมากขึ้น ไคร่ารับรู้ได้ว่าพวกเขามาอยู่ใกล้กลับกลุ่มคนจำนวนมาก
เดียร์ดรีปล่อยให้ความหิวเข้าครอบงำ เริ่มขาดความระมัดระวังและเร่งม้าเร็วขึ้นขยับขึ้นนำและเริ่มทิ้งระยะห่าง
“เดียร์ดรี!” ไคร่าส่งเสียงเรียกเธอกลับ
แต่เดียร์ดรียังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ดูเหมือนว่าความหิวจะเข้าครอบงำเธอแล้วในเวลานี้
ไคร่าพยายามเข้าใกล้เธอ และเมื่อใกล้ถึงเธอเห็นแสงไฟสว่างมากขึ้น เดียร์ดรีหยุดที่แนวชายป่า ไคร่าหยุดข้าง ๆ เธอ ทั้งหมดมองเข้าไปในที่โล่งกลางป่า เธอต้องตะลึงกับสิ่งที่เห็น
เพราะที่นั่น ในที่โล่งกลางป่าแห่งนั้น มีหมูนับสิบตัวที่ถูกเสียบไม้ย่างอยู่บนกองไฟที่ส่องสว่างยามค่ำคืน กลิ่นของมันช่างเย้ายวน ที่ตรงนั้นมีผู้ชายนับสิบคนด้วย ไคร่าหรี่ตาดู หัวใจของเธอแทบหล่นไปกองบนพื้น เพราะคนที่เธอเห็นเป็นทหารของแพนดีเซีย เธอตกตะลึงที่เห็นทหารเหล่านี้ที่นี่ นั่งล้อมรอบกองไฟ ส่งเสียงหัวเราะ เย้าหยอกซึ่งกันและกัน ถือแก้วไวน์ ในมือเต็มไปด้วยชิ้นเนื้อ
อีกด้านหนึ่งของที่โล่ง ไคร่าต้องใจหายเมื่อเห็นกลุ่มรถบรรทุกเหล็กที่มีลูกกรง ในนั้นมีเด็กผอมเกร็งนับสิบคนสายตามองด้วยความหิวโหย เป็นใบหน้าของเด็กผู้ชายและผู้หญิง ทั้งหมดดูสิ้นหวัง ถูกจับตัวอยู่ในกรงขัง และไคร่ารู้ได้ทันทีว่าสิ่งนี้คืออะไร
“เดอะเฟลม” เธอกระซิบบอกเดียร์ดรี “พวกนี้กำลังถูกนำตัวไปยังเดอะเฟลม”
เดียร์ดรีอยู่ห่างออกไปประมาณ 15 ฟุต ยังไม่ยอมหันหลังกลับ สายตายังจับจ้องไปที่หมูย่าง
“เดียร์ดรี!” ไคร่ากระซิบ รู้สึกตื่นกลัว “เราต้องหนีจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”
เดียร์ดรียังคงไม่ฟังเธอ ไคร่าจึงเข้าไปหาเพื่อคว้าตัวเธอ
ทันที่ที่ไคร่าเข้าถึงตัวเธอ ไคร่ารับรู้ถึงบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ที่ลานสายตา ในขณะเดียวกันกับที่ทั้งแอนดอร์และลีโอเริ่มคำราม – แต่สายไปเสียแล้ว เพราะทหารของแพนดีเซียโผล่ออกมาจากแนวชายป่า โยนตาข่ายขนาดใหญ่มายังพวกเขา
ไคร่าหมุนตัวกลับไปคว้าไม้เท้าด้วยสัญชาติญาณ แต่ไม่ทันเสียแล้ว ก่อนที่เธอจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ไคร่ารู้สึกถึงตาข่ายหล่นลงมาคลุมตัวเธอจากทางด้านหลัง และเธอตระหนักด้วยความรู้สึกหดหู่ว่า ขณะนี้พวกเธอได้กลายเป็นทาสของทหารแพนดีเซียเรียบร้อยแล้ว
บทที่เจ็ด
อเล็กหงายหลังตกลงมาโดยไร้การควบคุม รู้สึกถึงอากาศเย็นวาบ ท้องของเขาเบาโหวงในขณะที่เขาดำดิ่งลงสู่พื้นดิน หาฝูงของวิลวอกซ์ด้านล่าง ภาพทั้งหมดในชีวิตของเขาย้อนกลับมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เขาหนีเขี้ยวพิษด้านบนเพียงเพื่อให้ตกลงมาหาความตายทันทีที่เบื้องล่าง ข้าง ๆ เขาคือมาร์โคซึ่งตกโดยไม่สามารถควบคุมเช่นกัน พวกเขาทั้งคู่ตกลงมาพร้อม ๆ กัน เหมือนมีเพื่อนปลอบใจ แต่อเล็คไม่ต้องการให้เพื่อนของเขาต้องมาตายร่วมกันอย่างนี้
อเล็กรู้สึกว่าตนเองตกลงมาบนบางสิ่ง เขารู้สึกปวดตื้อที่แผ่นหลัง และเขาคิดว่าจะถูกเขี้ยวฝังลงบนเนื้อของเขา แต่ผิดคาดที่พบว่าเขาตกลงมาบนกล้ามเนื้อของวิลวอกซ์ที่บิดตัวงอด้วยความเจ็บปวดใต้ตัวเขา เขาตกลงมาเร็วมากจนพวกวิลวอกซ์ไม่มีโอกาสได้ตั้งตัว และการที่เขาตกลงมาลงบนหลังของมันที่เป็นเหมือนเบาะรองรับเขาพอดี
ตามด้วยเสียงตุบด้านข้างตัวเขา และเมื่อมองไปก็เห็นมาร์โคตกลงมาบนหลังของวิลวอกซ์อีกตัวหนึ่งที่นอนหมอบอยู่บนพื้นเช่นกัน อย่างน้อยก็พอจะทำให้มันไม่สามารถกัดเขาได้ ตอนนี้ก็เหลือวิลวอกซ์อีกเพียง 2 ตัวที่ต้องต่อกร หนึ่งในนั้นกระโจนเข้าหา อ้าปากกว้าง มีเป้าหมายคือท้องของอเล็ก
อเล็กยังคงนอนหงายทับวิลวอกซ์อยู่ เขาปล่อยให้สัญชาติญาณเป็นตัวควบคุม เมื่อสัตว์ร้ายกระโจนขึ้นมาเหนือตัวเขา เขาเอนตัวลง ยกรองเท้าบูทขึ้นเพื่อกันวิลวอกซ์ที่บริเวณส่วนหัว เจ้าสัตว์ร้ายกระแทกรองเท้าบูทและขณะนั้นเอง อเล็กถีบมันสุดแรง ส่งมันลอยละลิ่วไปด้านหลัง
วิลวอกซ์ลอยไปตกลงบนหิมะไกลออกไปหลายฟุต ช่วยซื้อเวลา – และโอกาสให้อเล็ก
ในเวลาเดียวกัน อเล็กรู้สึกได้ถึงสัตว์ร้ายที่อยู่ใต้ตัวเขาเริ่มขยับตัวไปมา มันเตรียมตัวที่จะหันมาจัดการกับเขา และเมื่อมันทำเช่นนั้น อเล็กโต้ตอบด้วยการหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็วและสอดแขนเข้าไปรัดที่ลำคอของมันอย่างแน่นหนาเท่าที่จะสามารถ ให้มั่นใจว่ามันไม่สามารถกัดเขาได้ เจ้าสัตว์ร้ายดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งภายใต้การรัดกุมของเขา และพยายามอย่างหนักที่จะสลัดให้หลุด อเล็กต้องใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะล็อกมันไว้ และเขาสามารถทำได้ เขารัดแน่นยิ่ง ๆ ขึ้น ในที่สุดเจ้าสัตว์ร้ายก็อ่อนแรง เท้าทั้ง 4 ร่อยลงกองอยู่บนหิมะ ในขณะที่อเล็กยังคงรัดกุมมันไว้
อเล็กเหลือบมองในลานสายตาของเขาเห็นวิลวอกซ์อีกตัวกำลังตระเตรียมพุ่งเข้าจู่โจมทางด้านหลังที่เปิดโล่งอยู่ของเขา อเล็กคิดถึงความรู้สึกของเขี้ยวที่จะฝังจมลงบนเนื้อของเขา เขาไม่มีเวลาพอที่จะรับมือ สิ่งที่เขาทำได้คือการโต้ตอบด้วยสัญชาติญาณ: ในขณะที่เขายังยึดตัววิลวอกซ์ไว้ เขาหมุนตัวกลับใช้ตัวมันเป็นเกราะกำบัง ขาทั้ง 4 ของมันเตะไปมาในอากาศ วิลวอกซ์อีกตัวกระโจนเข้ามาและฝังเขี้ยวลงบนหน้าท้องของพวกเดียวกันเอง แทนที่จะเป็นตัวเขา มันร้องอย่างเจ็บปวดและบิดตัวไปมา ในไม่ช้า เขารับรู้ได้ว่าตัวมันอ่อนปวกเปียกอยู่ในอ้อมแขนของเขา เลือดอุ่น ๆ ไหลออกมาท่วมตัว
เป็นช่วงเวลาของทั้งชัยชนะและความเศร้าเสียใจที่สุดของเขา: อเล็กไม่เคยฆ่าสิ่งมีชีวิตใด ๆ มาก่อน เขาไม่ล่าสัตว์ ไม่เหมือนเพื่อนส่วนใหญ่ของเขา เขาไม่เชื่อว่าเราต้องฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ แม้ว่าจะรู้ว่าสัตว์ร้ายตัวนี้หมายเอาชีวิตเขาก็ตาม เขายังรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องเห็นมันตาย
ทันใดนั้น อเล็กรู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบที่ขาจนเขาร้องออกมา มองไปเห็นวิลวอกซ์อีกตัวกำลังขย้ำเขาอยู่ เขาเตะขาข้างนั้นไปก่อนที่เขี้ยวของมันจะจมลงไปลึกกว่านี้และกระโดดขึ้นมาเตรียมพร้อมในทันที เขาผลักตัวที่ตายแล้วออกไป และวิลวอกซ์อีกตัวกระโจนเข้ามา เขาพยายามคิดหาทางรอด และรับรู้ถึงความเย็นวาบจากโลหะที่ท้องของเขา กริชที่เขาเหน็บไว้นั่นเอง แม้มันจะเป็นอาวุธอันเล็ก แต่ก็อาจเพียงพอที่จะช่วยเขาได้ ในความพยายามที่จะเอาชีวิตรอด วินาทีนั้น เขาชักกริชออกมา กำอย่างแน่นหนา และยื่นปลายแหลมออกไปด้านหน้า
วิลวอกซ์พุ่งทะยานเข้ามา อ้าขากรรไกรกว้างใส่อเล็ก คอของมันถูกแทงด้วยใบมีด มันร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดในขณะที่อเล็กเกร็งแขนปล่อยให้ใบมีดเสียบเข้าไปจนมิดด้าม เลือดของมันสาดกระจายและในที่สุดมันก็สิ้นฤทธิ์ เขี้ยวที่คบกริบของมันอยู่ห่างจากใบหน้าของเขาเพียงไม่กี่นิ้ว ตัวมันหล่นลงมาทับกับตัวเขา
อเล็กนอนอยู่บนพื้น หัวใจเต้นแรง ด้วยไม่แน่ใจว่ามันตายหรือยัง สัตว์ร้ายมีขนสีดำด้านคลุมทับตัวเขาทางด้านบน เขาเจ็บแปลบที่ขา ตรงจุดที่โดนกัด ได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง และตระหนักว่า อย่างน้อยตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องดังขึ้นในอากาศยามค่ำคืน ปลุกเขาจากภวังค์และนึกถึง: มาร์โค
อเล็กมองไปรอบ ๆ และเห็นมาร์โคกำลังจนตรอก: เขากำลังปลุกปล้ำกับวิลวอกซ์ตัวหนึ่งอยู่บนพื้นหิมะ มันกำลังตะครุบมาร์โคและเขาพยายามดันขากรรไกรของมัน เมื่อเจ้าสัตว์ร้ายขย้ำอีกครั้ง มือของมาร์โคที่ชุ่มไปด้วยเลือด ลื่นและเขี้ยวของมันถากหัวไหล่ของเขาไป
มาร์โคร้องออกมาอีกครั้ง และอเล็กรู้ได้ว่ามีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว วิลวอกซ์อีกตัวหนึ่งกระโจนหามาร์โคที่นอนคว่ำอยู่ ด้านหลังของเขาเปิดกว้าง และกำลังจะถูกฆ่า
อเล็กกระโจนเข้าหาเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนของเขา ไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าเป็นการเสี่ยงชีวิตหรือไม่ เขาวิ่งสุดชีวิตเข้าไปหามาร์โค อ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าขอให้เขาถึงตัวมาร์โคก่อนเจ้าสัตว์ร้าย ทั้งสองอยู่ห่างมาร์โคประมาณ 10 ฟุต ทั้งคู่กระโดดเข้าหามาร์โคในเวลาเดียวกัน วิลวอกซ์ต้องการฉีกมาร์โคเป็นชิ้น ๆ ในขณะที่อเล็กต้องการขวางทางเจ้าสัตว์ร้ายและรับการบาดเจ็บเสียเอง
อเล็กมาถึงทันเวลาพอดี และทันใดนั้นเอง เขาต้องรับรู้ถึงความเจ็บปวดแสนสาหัส ด้วยเขี้ยวของวิลวอกซ์ฝังจมลงไปบนแขนของเขาแทนที่จะเป็นมาร์โค เขาบรรลุเป้าหมาย คือรักษาชีวิตของมาร์โคจากการถูกกัด แต่กลับถูกกัดอย่างรุนแรงเสียเอง ความเจ็บปวดเข้มข้นรุนแรงมาก
อเล็กล้มลงไปพร้อมสัตว์ร้าย เขาพยายามสลัดตัวมันออกไป ประคองแขนที่เจ็บปวด เขาควานหากริชที่เข็มขัดของเขา แต่หาไม่เจอ – เมื่อนึกขึ้นได้ก็สายไปเสียแล้ว เพราะมันยังติดคาอยู่ที่คอของวิลวอกซ์อีกตัวหนึ่ง
อเล็กนอนหงายอยู่บนพื้น พยายามปัดป้องวิลวอกซ์ที่ยืน 4 ขาคร่อมเขาอยู่ เขารู้สึกว่าตนเองกำลังสูญเสียพละกำลังไปทุกขณะ หมดเรี่ยวแรงจากแผล จากการต่อสู้ และอ่อนเพลียเกินไปที่จะต่อกรกับสัตว์ร้ายตัวนี้ กับกล้ามเนื้อทั้งหมดของมัน และความกระหายที่จะฆ่าของมัน ขณะที่ปากของมันใกล้เข้ามา น้ำลายของมันหยดลงบนใบหน้าของอเล็ก เขารู้ทันทีว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
อเล็กมองหามาร์โคเพื่อขอความช่วยเหลือแต่ต้องเห็นเพื่อนของเขาก็กำลังปลุกปล้ำกับวิลวอกซ์อีกตัวหนึ่ง และกำลังจะเพลี่ยงพล้ำเช่นกัน ทั้งสองอาจต้องตายอยู่ที่นี่ เคียงข้างกันในหิมะแห่งนี้
วิลวอกซ์ยืดตัวขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมที่จะฝังเขี้ยวลงบนหน้าอกของอเล็กด้วยการขย้ำเพียงครั้งเดียว และอเล็กรู้ดีว่าเขาอ่อนเพลียเกินกว่าจะต่อต้านมันได้ แต่ทันใดนั้น มันหยุดนิ่ง เขาฉงนเป็นอย่างมากที่มันหยุดนิ่ง ก่อนจะร้องอย่างโหยหวนจากความเจ็บปวด ก่อนล้มลงกองบนตัวเขา
ตายเสียแล้ว
อเล็กงงมาก มันถูกยิงด้วยลูกธนูหรือ ใครเป็นคนยิง
และเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อลุกขึ้น อเล็กรู้สึกถึงบางสิ่งที่เลวร้าย เย็นเยือก และเป็นเมือกไหลผ่านขาของเขา – เย็นเสียยิ่งกว่าความหนาวเย็นของหิมะเสียอีก หัวใจของเขาแทบหยุดเต้นเมื่อเขามองลงไปและเห็นว่าเป็นงู มันคงเลื้อยลงมาจากต้นไม้และจู่โจมวิลวอกซ์ ฆ่ามันด้วยพิษที่ร้ายแรงถึงตาย และช่วยชีวิตของอเล็กไว้
เจ้าสัตว์ร้ายที่มีรูปร่างคล้ายงูเลื้อยอย่างช้า ๆ ก้าวขาสลับไปมาคล้ายกิ้งกือ รอบ ๆ วิลวอกซ์ที่ตายแล้ว ม้วนตัวเป็นเกลียวรอบตัวมัน และอเล็กรู้สึกหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าที่เขาเป็นตอนวิลวอกซ์ยืนคร่อมอยู่บนตัวเขา เขาค่อย ๆ คืบคลานออกมา พยายามหนีออกมาจากเจ้างูร้ายในขณะที่มันยังไม่สนใจในตัวเขา
อเล็กคลานด้วยมือและขาไปข้างหน้า มุ่งไปหาวิลวอกซ์ตัวที่กำลังคร่อมตัวมาร์โคอยู่ในเวลานี้ เขาเตะมันสุดแรงเกิด เสียงกระดูกซี่โครงของมันลั่น ในขณะที่ตัวกลิ้งออกจากเพื่อนของเขา ทันเวลาพอดีที่กำลังจะกัดมาร์โค เจ้าสัตว์ร้ายร้องเสียงหลงก่อนกลิ้งไปบนหิมะ แน่นอนว่ามันถูกจัดการโดยไม่ทันระวัง
อเล็กดึงมาร์โคให้ลุกขึ้น มาร์โคหมุนตัวขึ้นและเข้าจัดการเจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้น เตะมันอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่าที่ซี่โครงในขณะที่มันกำลังพยายามจะลุกขึ้น สัตว์ตัวนั้นกลิ้งไปหลายฟุตบนกองหิมะก่อนที่จะหายไปจากสายตา
“ไปกันเถอะ!” อเล็กร้อง
มาร์โคไม่ต้องรอให้กระตุ้นซ้ำสอง ทั้งคู่ออกวิ่งไปในป่า เจ้างูร้ายยังคงขดตัวรอบวิลวอกซ์ ส่งเสียงขู่ฟ่อ และกระโจนมาที่พวกเขาเมื่อออกวิ่ง มันพลาดไปแค่นิดเดียว อเล็กเร่งความเร็ว หัวใจเต้นแรงในหน้าอก ต้องการไปให้ไกลจากที่นี่ให้มากที่สุด
พวกเขาวิ่งหนีเอาชีวิตรอด กระแทกต้นไม้ไปมา อเล็กหันกลับไปมองเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาปลอดภัย แต่เขาเห็นบางสิ่งที่ทำให้หัวใจเขาหล่นไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม: วิลวอกซ์ตัวสุดท้ายนั่นเอง มันไม่ยอมหยุดล่า กำลังวิ่งฝ่าหิมะเพื่อล่าพวกเขา ความเร็วของมันมากกว่าที่พวกเขาวิ่งมาก มันอ้าปากกว้าง และมุ่งมันมากกว่าที่เคย
อเล็กมองไปข้างหน้าและเห็นบางสิ่งอยู่ด้านหน้า: หินก้อนใหญ่ 2 ก่อนที่สูงกว่าตัวเขา ทั้งสองก้อนห่างกันไม่กี่ฟุต และมีช่องแคบอยู่ตรงกลาง เขาเริ่มเกิดไอเดีย
“ตามฉันมา!” อเล็กร้อง
อเล็กวิ่งไปที่ก้อนหินในขณะที่วิลวอกซ์ใกล้เข้ามาด้านหลัง เขาได้ยินเสียงหอบหายใจของมันกลางหิมะ เขารู้ดีว่ามีโอกาสเดียวเท่านั้นที่จะทำได้ เขาภาวนาว่าแผนของเขาจะได้ผล
อเล็กกระโดนขึ้นบนก้อนหิน และลงอีกด้านหนึ่ง มาร์โคทำเช่นเดียวกัน เขาตกลงบนกองหิมะ และมองกลับไปเพื่อดูว่าวิลวอกซ์ตามเขามาหรือไม่ มันกระโดดขึ้นเหมือนกัน และเป็นดังที่เขาคาด เจ้าสัตว์ร้ายไม่สามารถปีนก้อนหินได้ มันลื่นตกลงอยู่ตรงกลางที่ช่องว่างระหว่างหินสองก้อนนั้น
มันดิ้นไปมา พยายามที่จะหลุดเป็นอิสระ แต่ไม่สามารถ ในที่สุด มันก็ติดกับดักอยู่เช่นนั้น
อเล็กหันกลับไปมองที่เจ้าสัตว์ร้าย หอบหายใจ รู้สึกโล่งอก มือลูบแผลเล็ก ๆ ที่ถูกกัดที่ขาด้วยความเจ็บปวดเล็กน้อย และแผลใหญ่ที่แขนที่ปวดรวดร้าว ในที่สุด อเล็กรู้ว่าฝันร้ายจบลงแล้ว พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ในที่สุด
มาร์โคมองมาที่อเล็ก สายตาเปี่ยมด้วยความชื่นชม
“เธอทำสำเร็จ” มาร์โคบอก “มันเป็นของเธอให้เธอจัดการแล้ว”
อเล็กยืนห่างจากเจ้าสัตว์ที่ไร้พิษสงเพียงฟุตเดียว มันยังคงขู่คำราม ต้องการฉีกคนทั้งสองเป็นชิ้น ๆ เขารู้ว่าเขาไม่ควรรู้สึกอะไรนอกจากความเกลียดชัง แต่นอกจากนั้นแล้ว เขารู้สึกสมเพชในตัวมัน มันเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่ง และเหนือสิ่งอื่นใด ติดอยู่ในกับดัก และรอวันตาย
อเล็กลังเล
มาร์โคก้มลงหยิบก่อนหินแหลมขึ้นมาก่อนยื่นให้อเล็ก เขาถือก้อนหินที่ทั้งแหลมและหนัก เขารู้ว่าหากเขาตีมันเพียงครั้งเดียวก็สามารถจัดการสัตว์ตัวนี้ได้ เขารู้สึกถึงหินที่ทั้งเย็นและหนักในอุ้งมือ มือของเขาสั่น เขาไม่อาจตัดใจทำมันลงได้
ในที่สุด เขาปล่อยก้อนหินตกลงบนพื้นหิมะ
“นี่มันอะไรกัน?” มาร์โคถาม
“ฉันทำไม่ได้” อเล็กบอก “ฉันฆ่าสัตว์ที่ไม่มีทางสู้ไม่ได้ แม้ว่ามันจะสมควรตายก็ตาม ไปกันเถอะ อย่างน้อย มันก็ไม่อาจทำอันตรายเราได้อีก”
มาร์โคมองเขาด้วยความตะลึง
“แต่มันอาจหลุดออกมาได้!” เขาตะโกน
อเล็กพยักหน้า
“ใช่ แต่ถึงเวลานั้น เราก็ไปไกลจากที่นี่แล้ว”
มาร์โคขมวดคิ้ว
“ฉันไม่เข้าใจ” เขาบอก “มันพยายามฆ่าเธอ มันทำให้เธอบาดเจ็บ – ฉันด้วย”
อเล็กเพียงหวังว่าเขาจะสามารถอธิบายได้ แต่เขาเองก็เข้าใจตัวเองเช่นกัน ในที่สุด เขาถอนหายใจ
“พี่ฉันเคยบอกกับฉันครั้งหนึ่ง” อเล็กพูดขึ้นมา “เมื่อเธอฆ่า เธอทำลายส่วนเล็ก ๆ ของโลกใบนี้ไป”
อเล็กหันมาที่มาร์โค
“ไปกันเถอะ” อเล็กบอก
อเล็กหมุนตัวพร้อมที่จะออกเดินทางต่อ แต่มาร์โคยื่นมือและเดินออกมาด้านหน้า
“เธอช่วยชีวิตฉัน” มาร์โคพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพ “แผลที่แขนเธอได้มาเพราะช่วยฉัน หากไม่ได้เธอแล้ว ฉันคงตายอยู่ที่นั่นแล้ว ฉันเป็นหนี้เธอ”
“เธอไม่เป็นหนี้ใด ๆ ฉันเลย” อเล็กตอบ
อเล็กทอดถอนใจ
“ฉันจะเป็นอย่างไรได้ ถ้าไม่พยายามเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนอื่น” อเล็กบอก
ทั้งสองจับมือกันแนบแน่น และอเล็กรู้ดีว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าอันตรายภายหน้าจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ เขามีพี่น้องแล้วตราบชั่วชีวิต
Ücretsiz ön izlemeyi tamamladınız.