Kitabı oku: «กำเนิดราชันย์มังกร », sayfa 11

Yazı tipi:

บทที่ยี่สิบสาม

อเล็ครู้สึกว่าเขาถูกปลุกด้วยเท้าที่เตะลงบนชายโครง เขาลืมตาขึ้นอย่างงุนงง ร่างกายของเขาเหนื่อยล้า เขาดึงเศษฟางออกจากปาก และพบว่าเขานอนหน้าคว่ำอยู่กับพื้น เขาอยู่ในค่ายทหาร เขาไม่ได้หลับเกือบตลอดทั้งคืน คอยระวังหลังของเขาและมาร์โก้ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยเสียงของการต่อสู้ การคืบคลานในเงามืด เสียงร้องตะโกนข่มขู่ เขาเห็นเด็กผู้ชายหลายคนถูกลากขาออกไป พวกเขานอนตาย…ศพจะถูกรุมทึ้งและแย่งทุกอย่างที่สามารถเอาไปได้

อเล็คถูกเตะอีกครั้ง ครั้งนี้หายสลึมสลือเป็นปลิดทิ้ง เขากลิ้งตัวเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่กำลังจะเกิด เขามองขึ้นไป กระพริบตาท่ามกลางความมืดมิด และต้องประหลาดใจเมื่อสิ่งที่มองเห็นไม่ใช่เด็กผู้ชาย แต่เป็นทหารแพนดิเซียสองคน พวกเขากำลังเตะเด็กผู้ชายทุกคนไปตามแถว จับพวกเขาขึ้นมา อเล็ครู้สึกว่ามีมือหยาบอยู่ใต้แขนของเขา เขาถูกลากตัวขึ้นเช่นกัน จากนั้นถูกผลักออกไปจากค่ายทหาร

“เกิดอะไรขึ้น? มันเกิดอะไรขึ้น?” เขาบ่นพึมพำ ไม่แน่ใจว่าเขาตื่นดีหรือยัง

“ถึงเวลาทำงานแล้ว” ทหารตะโกน “เจ้าไม่ได้มาเที่ยวไอ้หนู”

อเล็คสงสัยว่าเมื่อไรเขาจะถูกส่งไปลาดตระเวนกำแพงอัคคี มันอาจเป็นช่วงกลางคืน และคงจะเร็วเกินไปหลังจากการเดินทางมายาวนาน เขาสะดุดล้มลง โซเซด้วยความเหนื่อยล้า สงสัยว่าเขาจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร พวกเขาไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่มาถึง และเขายังคงรู้สึกอ่อนแรงจากการเดินทางไกล

เบื้องหน้าของเขา เด็กผู้ชายล้มลง เขาอาจจะหิวโหย หรือเหนื่อยล้า สิ่งนั้นไม่สำคัญ…พวกทหารต่างรุมตีเขา เตะเขาอย่างรุนแรงจนกระทั่งเขาหยุดเคลื่อนไหว ทิ้งร่างที่แน่นิ่งเอาไว้บนพื้นอันหนาวเย็นและเดินต่อไป

เขาไม่ต้องการมีจุดจบแบบเด็กคนนั้น อเล็คมีแรงฮึดขึ้นมา เขาบังคับให้ตัวเองตื่นตัว มาร์โก้เดินเข้ามาข้างเขา

“ได้นอนเต็มที่หรือเปล่า?” มาร์โก้ถามพร้อมรอยยิ้มเหยเก

อเล็คส่ายหัวของเขาอย่างเหี่ยวเฉา

“ไม่ต้องกังวล” มาร์โก้พูด “เราจะได้หลับเมื่อเราตายแล้ว…เราจะตายในไม่ช้า”

พวกเขาเดินเลี้ยวไปตามทาง อเล็คมองเห็นกำแพงอัคคีอยู่ห่างออกไปไม่ถึงห้าสิบหลา ความร้อนของมันช่างรุนแรงแม้ว่าจะยืนอยู่ที่นี่

“ถ้าโทรลฝ่ามา ฆ่ามันซะ” ทหารของอาณาจักรตะโกนออกมา “หรือไม่ก็อย่าทำให้ตัวเองตาย อย่างน้อยจนกว่าจะเช้า ที่นี่ต้องได้รับการเฝ้าเวร”

อเล็คถูกผลักครั้งสุดท้าย เขาและกลุ่มเด็กผู้ชายถูกทิ้งไว้ใกล้กำแพงอัคคี พวกทหารหันหลังและเดินออกไป อเล็คสงสัยว่าทำไมพวกเขาถูกปล่อยให้ยืนเฝ้ายาม ทหารไม่กลัวพวกเขาวิ่งหนีหรือ…แต่แล้วเมื่อเขาหันไป เขาก็มองเห็นหอเฝ้าระวังอยู่ทั่วทุกที่ ทหารพร้อมหน้าไม้ประจำการอยู่ นิ้วของพวกเขาเหนี่ยวไก พวกเขากำลังรออย่างกระหายให้เด็กผู้ชายวิ่งหนี

อเล็คยืนนิ่ง ไม่มีเกราะและไม่มีอาวุธใด ๆ เขาสงสัยว่าพวกทหารคาดหวังให้เขาเฝ้ายามอย่างไร เขามองออกไปและเห็นว่าเด็กบางคนมีดาบ

“เจ้าได้ดาบนั่นมาอย่างไร?” อเล็คตะโกนไปยังเด็กผู้ชายใกล้ ๆ

“เมื่อมีเด็กตาย เจ้าสามารถเอามาจากเขา” เขาตะโกนกลับมา “ถ้าไม่มีใครมาแย่งไปจากเจ้าเสียก่อน”

มาร์โก้คิ้วขมวด

“พวกทหารคิดอย่างไรถึงให้เรายืนเฝ้าโดยไม่มีอาวุธ?” เขาถาม

เด็กคนหนึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยเขม่าดำยิ้มเยาะ

“พวกหน้าใหม่จะไม่ได้อาวุธ” เขาพูด “พวกเขาต้องการให้เจ้าตาย ถ้าเจ้าสามารถอยู่ที่นี่ได้หลังจากสองสามคืน เจ้าก็จะได้มันสักเล่ม”

อเล็คจ้องมองไปที่กำแพงอัคคี เปลวไฟกำลังลุกไหม้อย่างรุนแรง ความร้อนทำให้ใบหน้าของเขาร้อนระอุ เขาพยายามไม่คิดถึงสิ่งที่อยู่อีกฝั่งที่กำลังจะผ่านทะลุมา

“ระหว่างนี้เราต้องทำอะไร?” เขาถาม “ถ้าโทรลฝ่าเข้ามาล่ะ?”

เด็กคนหนึ่งหัวเราะ

“ฆ่ามันด้วยมือเปล่าของเจ้าสิ!” เขาตะโกนออกมา “เจ้าอาจจะรอด…หรืออาจจะไม่ เปลวไฟจะติดตัวของพวกมัน และบางทีมันอาจจะเผาเจ้าไปพร้อมกับมัน”

เด็กคนอื่นหันหลังแยกย้ายกันไป แต่ละคนกระจายไปประจำตำแหน่งของพวกเขา อเล็คผู้ซึ่งไร้อาวุธหันไปมองกำแพงอัคคีด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง

“พวกเราถูกกำหนดให้ต้องตาย” เขาพูดกับมาร์โก้

มาร์โก้ยืนอยู่ห่างจากเขาไปประมาณยี่สิบฟุต จ้องมองไปที่กำแพงอัคคี ดูเหมือนเขาจะไม่สนอะไรทั้งนั้น

“การปกปักษ์รักษากำแพงอัคคีที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสิ่งสูงศักดิ์” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “ก่อนที่แพนดิเซียจะรุกราน ผู้เฝ้าประตูได้รับการยกย่องอย่างมีเกียรติ อาวุธครบมือและมีอุปกรณ์ครบครัน นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าได้อาสา แต่ตอนนี้…ดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แพนดิเซียไม่ต้องการให้โทรลผ่านเข้ามา…แต่แพนดิเซียไม่ต้องการใช้คนของพวกมัน มันต้องการให้เราเฝ้ายาม…และปล่อยให้เราตายที่นี่”

“บางทีเราควรปล่อยมันฝ่าไป” อเล็คพูด “และปล่อยให้โทรลฆ่าพวกมันให้สิ้น”

“ใช่ เราน่าจะทำ” มาร์โก้พูด “แต่พวกมันจะรุกรานเอสคาลอน และฆ่าครอบครัวของเราเช่นกัน”

ทั้งสองคนยืนนิ่งอย่างเงียบงัน จ้องมองไปยังกำแพงอัคคี อเล็คไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเพียงใด เขากำลังสงสัย อดไม่ได้ที่จะคิดว่าเขากำลังมองไปยังความตายของเขาเอง ตอนนี้ครอบครัวของเขากำลังทำอะไรอยู่? ทุกคนจะคิดถึงเขาไหม? เคยห่วงใยเขาบ้างไหม?

อเล็คจมดิ่งอยู่ในความคิดอันสิ้นหวัง เขาต้องหยุดความคิดนี้ เขามองไปทางอื่น แนวของต้นไม้ในมุมมืด ป่าทั้งหมดมืดสนิท ทหารที่หอเฝ้าระวังไม่แม้แต่จะสนใจดูพวกเขา พวกเขากลับจ้องไปที่พวกทหารเกณฑ์ที่กำแพงอัคคี

“พวกมันกลัวที่จะมายืนเฝ้ายามด้วยตัวเอง” อเล็คเงยหน้ามองทหารที่อยู่ข้างบน “และพวกมันไม่ต้องการให้เราหนี ไอ้พวกขี้ขลาด”

ทันทีที่อเล็คพูดจบ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดอันรุนแรงที่หลัง เขาสะดุดล้มไปข้างหน้า ก่อนที่เขาจะทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม้ตะบองฟาดเข้ามาที่ซี่โครงของเขา จนเขาล้มหน้าทึ่มพื้น

เขาได้ยินเสียงมุ่งร้ายดังอยู่แนบหู เสียงที่เขาจำได้

“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเราจะได้พบกันไอ้หนู”

ก่อนที่อเล็คจะทันไหวตัว มือหยาบกร้านจับเข้าที่ด้านหลังและลากเขาไปข้างหน้า เข้าไปยังกำแพงอัคคี พวกมันมีกันสองคน…คนหนึ่งจากรถลากและเพื่อนของมัน…อเล็คพยายามขัดขืน แต่ไร้ประโยชน์ แรงจับของพวกมันแข็งแรงมาก เขาถูกลากเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งหน้าของเขาสัมผัสได้ถึงความร้อนอันรุนแรงของกำแพงอัคคี

อเล็คได้ยินเสียงคนกำลังต่อสู้ เขามองออกไปและต้องตกใจที่ได้เห็นมาร์โก้ถูกมัดไว้ด้วยโซ่ เด็กอีกสองคนจับเขาจากด้านหลัง ตรึงเขาไว้ให้อยู่กับที่ พวกมันวางแผนกันมาเป็นอย่างดี พวกมันต้องการให้เขาตายจริง ๆ

อเล็คพยายามต่อสู้ดิ้นรน แต่เขาไม่สามารถทำได้ พวกมันลากเขาเข้าไปใกล้กำแพงอัคคีจนห่างเกือบสิบฟุต ความร้อนยิ่งทวีความรุนแรง เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด รู้สึกเหมือนใบหน้าของเขากำลังจะละลาย ในระยะอีกไม่กี่ฟุต เขาจะต้องเสียโฉมไปตลอดชีวิต…ถ้าเขาไม่ตาย

อเล็คสะบัดตัว แต่พวกมันจับเขาไว้แน่นมาก เขาไม่สามารถหนีออกไปได้

“ไม่!” เขากรีดร้อง

“ถึงเวลาต้องชดใช้แล้ว” เสียงข่มขู่กระซิบข้างหูของเขา

ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องที่น่ากลัวได้ดังขึ้น อเล็คต้องตกใจเมื่อรู้ว่ามันไม่เกี่ยวกับเขา แรงจับบนแขนของเขาถูกคลายออก เขาถูกดึงกลับออกไปจากกำแพงอัคคี ในขณะเดียวกัน เขามองเห็นประกายแสง เขามองดูอย่างตกตะลึง สัตว์ร้ายพุ่งทะลุออกมาจากกำแพงอัคคี เปลวไฟลุกไหม้ติดตัว มันล้มลงใส่เด็กผู้ชายที่อยู่ข้างเขา

โทรลยังติดไฟอยู่ มันกลิ้งไปมาบนพื้นพร้อมกับเด็กผู้ชาย ฝังเขี้ยวของมันลงไปในคอของเขา เด็กผู้ชายส่งเสียงกรีดร้อง เขาตายทันที

โทรลหันมาและมองไปรอบ ๆ อย่างบ้าคลั่ง ดวงตากลมโตสีแดงของมันมองมาเห็นอเล็ค โทรลยังคงลุกเป็นไฟ มันหายใจทางปาก เขี้ยวของมันเต็มไปด้วยเลือด มองมาด้วยท่าทีกระหายการเข่นฆ่าราวกับสัตว์ป่า

อเล็คยืนนิ่ง ตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว เขาไม่สามารถขยับได้

เด็กคนอื่น ๆ พากันวิ่งอย่างโกลาหล โทรลสังเกตเห็นการเคลื่อนไหว มันหันไปและพุ่งไปหาเด็กคนอื่นแทน ด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียวมันกระแทกเด็กผู้ชายลงไปที่พื้น จมเขี้ยวของมันลงไปที่หลังคอของเขา เขากรีดร้องโหยหวน

มาร์โก้สลัดตัวออกมาจากเด็กที่กำลังตกตะลึง เขาจับโซ่และเหวี่ยงไปรอบ ๆ ฟาดใส่ใบหน้าเด็กคนหนึ่งและระหว่างขาของอีกคน ทั้งคู่ล้มลงไป

ระฆังในหอเฝ้าระวังดังขึ้น ความอลหม่านตามมา เด็กผู้ชายพากันวิ่งเข้ามาที่กำแพงอัคคีเพื่อต่อสู้กับโทรล พวกเขาแทงโทรลด้วยหอก แต่ดูเหมือนไร้ประสบการณ์ พวกเขากลัวที่จะเข้าไปใกล้ โทรลเอื้อมมือจับหอกและดึงเด็กผู้ชายเข้าไป รัดตัวเขาแน่น เด็กผู้ชายร้องเสียงหลง ตัวของเขาลุกเป็นไฟ

“ตอนนี้แหละ” เสียงดังขึ้นมา

อเล็คหันไป มาร์โก้กำลังวิ่งมาข้างเขา

“พวกมันกำลังถูกเบนความสนใจ นี่อาจเป็นเพียงโอกาสเดียวของเรา”

อเล็คมองตามสายตาของมาร์โก้ เขามองไปยังป่า เขาหมายถึงการหนี

แนวป่านั้นมืดสนิทและดูเป็นลางไม่ดี อเล็ครู้ว่าการหลบตัวอยู่ที่นั่นอันตรายยิ่งกว่า แต่เขารู้ว่ามาร์โก้พูดถูก นี่คือโอกาสของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดรอพวกเขาอยู่ที่นี่นอกจากความตาย

อเล็คพยักหน้า โดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดใด ๆ พวกเขาวิ่งไปพร้อมกัน วิ่งออกจากกำแพงอัคคีมุ่งหน้าไปยังป่า ไกลออกไปเรื่อย ๆ

หัวใจของอเล็คเต้นรัว เขาคิดว่าเขาอาจถูกยิงด้วยหน้าไม้จากข้างหลังเมื่อไรก็ได้ เขาวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต เมื่อเขามองกลับไป ทุกคนกำลังสนใจโทรล พวกกำลังล้อมรอบมันอยู่

หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาได้เข้ามาสู่ป่าที่มืดมิด โลกแห่งภยันตรายที่ไม่สามารถหยั่งถึง เขารู้ดีว่าเขาอาจต้องตายอยู่ที่นี่ แต่อย่างน้อย ในที่สุดเขาก็ได้เป็นอิสระเสียที

บทที่ยี่สิบสี่

ไคร่ายืนอยู่นอกประตูโวลิส มองดูทิวทัศน์ของฤดูหนาว หิมะกำลังตกลงมา ปลายท้องฟ้าทอแสงสีแดงฉานในยามเย็นเมื่อดวงอาทิตย์กำลังลาลับ เธอโน้มตัวไปยังกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ หายใจเหนื่อยหอบในขณะที่เธอโยนหินอีกก้อนลงไป ไคร่าเข้าร่วมกับคนอื่น ๆ ในการรวบรวมก้อนหินขนาดใหญ่จากแม่น้ำเพื่อก่อกำแพงรอบเขตโวลิส ช่างอิฐกำลังฉาบผนังอยู่ข้าง ๆ ไคร่าโยนหินลงไปอีกก้อน แขนของเธอสั่นสะท้าน ตอนนี้เธอต้องการหยุดพัก

ไคร่าเข้าร่วมกับผู้คนนับร้อย ต่างเรียงแถวกันไปตามแนวกำแพง ทั้งหมดกำลังก่อกำแพงให้สูงและลึกมากขึ้น เพื่อเพิ่มการป้องกันรอบเขื่อน คนอื่น ๆ ที่อยู่ถัดจากกำแพงกำลังใช้พลั่วขุดคู อีกส่วนยังคงขุดหลุมสำหรับฝังศพ ไคร่ารู้ว่าดีทั้งหมดนี้ไร้ประโยชน์ สิ่งที่พวกเขาไม่สามารถหยุดยั้งกองทัพอันยิ่งใหญ่ของแพนดิเซียได้ ไม่ว่าพวกเขาจะทำอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดจะต้องตายในสถานที่แห่งนี้ พวกเขาต่างรู้ดี แต่พวกเขาก็ยังคงสร้างมันขึ้นมา มันทำให้พวกเขามีงานทำ ความรู้สึกของการได้ควบคุมในขณะที่กำลังจ้องมองไปยังความตายเบื้องหน้า

ไคร่าหยุดพัก เธอเอนหลังพิงกับกำแพง มองดูสภาพแวดล้อมรอบตัวด้วยความสงสัย ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ หิมะกลบเสียงทุกอย่าง โลกดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลยนอกจากความสงบสุข แต่เธอรู้ว่าความจริงกลับตรงกันข้าม พวกแพนดิเซียอยู่ข้างนอกนั่นที่ไหนสักแห่ง กำลังเตรียมความพร้อม เธอรู้ว่าพวกมันจะต้องกลับมาพร้อมกับความสนั่นหวั่นไหว และทำลายล้างทุกอย่างที่เธอหวงแหน สิ่งที่เธอมองเห็นตอนนี้คือภาพลวงตา มันคือความสงบก่อนที่พายุจะก่อตัวขึ้น โลกที่ยังคงสมบูรณ์แบบเช่นเดิม เพียงแค่อึดใจ…มันจะเต็มไปด้วยการล้างผลาญและความวินาศ

ไคร่ามองดูผู้คนของเธอกำลังเลิกงาน วางเกรียงและพลั่วลง ค่ำคืนกำลังจะมาถึง พวกเขาต่างทยอยกลับบ้าน ควันลอยขึ้นมาจากปล่องไฟ แสงเทียนสว่างไสวผ่านหน้าต่าง โวลิสช่างดูอบอุ่นและปลอดภัย ราวกับว่ามันไม่สามารถถูกแตะต้องจากโลกภายนอกได้ เธอรู้สึกประหลาดใจกับภาพลวงตาเหล่านี้

ขณะที่เธอยืนอยู่ตรงนั้น เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของพ่อเธอ เสียงนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหูของเธอ คำขอร้องของเขาที่ขอให้เธอจากไปทันที เธอนึกถึงลุงที่เธอไม่เคยพบเจอ นึกถึงการเดินทางข้ามเอสคาลอน ผ่านป่าไวท์วู้ด เพื่อไปยังหอคอยเยอร์ เธอคิดถึงแม่ของเธอ นึกถึงความลับที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ เธอนึกถึงลุงของเธอ ผู้ที่จะฝึกฝนให้เธอแกร่งกล้าขึ้น…ทั้งหมดนั้นทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้น

เมื่อเธอหันมองไปยังผู้คนของเธอ เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถทอดทิ้งพวกเขาไปในเวลาที่พวกเขากำลังดิ้นรน แม้ว่ามันจะหมายถึงการช่วยชีวิตของเธอ แต่นั่นเป็นคนที่ไม่ใช่เธอ

ทันใดนั้น เสียงแตรดังขึ้น ส่งสัญญาณถึงวันทำงานที่สิ้นสุดลง

“มืดแล้ว” ช่างอิฐพูดในขณะยืนอยู่ข้างเธอ เขาวางเกรียงลง “เราทำอะไรไม่ได้มากในความมืด ผู้คนของเรากำลังกลับไปกินข้าว มาเถอะ” เขาพูด ผู้คนต่างหันหลังและเดินหน้าข้ามสะพานผ่านประตู

“เดี๋ยวข้าตามไป” เธอพูด เธอยังไม่พร้อม เธอต้องการซึมซับความเงียบสงบ เธอมักจะมีความสุขได้อยู่เพียงลำพังในที่แจ้ง

เลโอส่งเสียงครางและเลียริมฝีปากของมัน

“พาเลโอไปกับท่านด้วย มันหิวแล้ว”

เลโอต้องเข้าใจอย่างแน่นอน มันกระโดดตามช่างอิฐไปในขณะที่เธอกำลังพูดอยู่ ช่างอิฐหัวเราะ เขาเดินกลับไปยังป้อมปราการพร้อมกับเลโอ

ไคร่ายืนอยู่นอกป้อมปราการ หลับตาลง พยายามไม่รับรู้เสียงต่าง ๆ รอบตัว เธอจมดิ่งลงสู่ความคิดของเธอ ในที่สุดเสียงของค้อนก็หยุดลง เธอได้พบกับความสงบที่แท้จริง

เธอมองออกไปยังเส้นขอบฟ้า แนวป่าอันมืดมิด ก้อนเมฆสีเทาถูกปกคลุมไปด้วยสีแดง เธอสงสัยว่า พวกแพนดิเซียจะมาเมื่อไร? พวกมันจะนำกำลังมาขนาดไหน? กองทัพของพวกมันจะหน้าตาเป็นอย่างไร?

ทันใดนั้นเธอเห็นการเคลื่อนไหวในระยะไกล บางอย่างที่สะดุดตา เธอมองเห็นคนควบม้าคนหนึ่งออกมาจากป่าและกำลังเข้ามายังถนนหลัก มุ่งหน้ามาที่ป้อมปราการ ไคร่าเอื้อมมือคว้าธนูของเธอเพื่อเตรียมพร้อม กำลังสงสัยว่าเขาคือหน่วยลาดตระเวนที่นำกองทัพหรือไม่

แต่เมื่อเขาเข้ามาใกล้ เธอลดมือลง รู้สึกผ่อนคลายที่เธอจำเขาได้ เขาคือหนึ่งในทหารของพ่อ มัลเทรน เขาควบม้าและนำม้าที่ไม่มีคนขี่มาข้างเขา มันเป็นภาพที่แปลกประหลาด

มัลเทรนหยุดลงต่อหน้าเธอ เขามองดูเธออย่างเร่งรีบและหวาดกลัว เธอไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น?” เธอถามอย่างสงสัย “แพนดิเซียกำลังมาหรือ?”

เขานั่งอยู่บนม้าหายใจเหนื่อยหอบ และส่ายหัวของเขา

“น้องของเจ้า” เขาพูด “ไอดาน”

หัวใจของไคร่าร่วงหล่นเมื่อเขาเอ่ยชื่อน้องชายของเธอ คนที่เธอรักมากที่สุดในโลก เธอวิ่งไปที่ริมกำแพงทันที

“หมายความว่าอย่างไร?” เธอถาม “เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”

มัลเทรนหายใจหอบ

“เขาบาดเจ็บอย่างรุนแรง” เขาพูด “เขาต้องการความช่วยเหลือ”

หัวใจของไคร่าเต้นรัว ไอดาน? บาดเจ็บ? ในใจของเธอเต็มไปด้วยเรื่องเลวร้าย…แต่เธอกำลังสับสน

“เกิดขึ้นได้อย่างไร?” เธอถาม “เขาไปทำอะไรในป่า? ข้าคิดว่าเขาอยู่ในป้อมปราการ กำลังเตรียมงานเลี้ยง”

มัลเทรนส่ายหัว

“เขาออกไปพร้อมกับพี่ชายของเจ้า” เข้าพูด “ออกไปล่า เขาตกลงมาจากม้า…ขาของเขาหัก”

จิตใจของไคร่าร้อนรน เธอเชื่อมันอย่างแน่วแน่กับสิ่งที่ได้ยิน ไม่แม้แต่จะหยุดคิดอย่างรอบคอบ เธอวิ่งไปข้างหน้าและขึ้นขี่ม้าสำรอง

ถ้าเธอใช้เวลาสักครู่ และหันกลับไปตรวจสอบป้อมปราการ เธอจะพบว่าไอดานปลอดภัยอยู่ภายใน แต่เธอกำลังเร่งรีบ

“พาข้าไปหาเขา” เธอพูด

ทั้งสองคนที่ดูไม่เหมือนคู่หู กำลังควบม้าออกไปพร้อมกัน ออกห่างจากโวลิส มุ่งเข้าสู่ป่าอันมืดมิดในยามค่ำคืน

*

ไคร่าและมัลเทรนควบม้าไปตามถนน ผ่านเนินเขาเพื่อมุ่งหน้าไปยังป่า หัวใจของเธอเต้นรัว เธอเตะขาไปที่ม้าอย่างกระวนกระวายใจ เธอต้องการไปช่วยไอดานให้เร็วที่สุด ความคิดร้าย ๆ นับล้านรุมเร้าจิตใจของเธอ ไอดานขาหักได้อย่างไร? พี่ชายของเธอกำลังออกล่าอะไรข้างนอกนั่นตอนใกล้มืด ในเมื่อผู้คนของพ่อเธอทั้งหมดถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกจากป้อม? ไม่มีเรื่องใดเลยที่สมเหตุสมผล

เมื่อมาถึงทางเข้าป่า ไคร่าเตรียมพร้อมที่จะเข้าไป เธอรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ มัลเทรลก็หยุดม้าของเขา เธอหยุดลงทันทีข้างเขา มัลเทรนลงจากม้า ไคร่าลงมาและเดินตามเขาไปอย่างสับสน

“เจ้าหยุดทำไมหรือ?” เธอถาม หายใจถี่ “ข้าคิดว่าไอดานอยู่ในป่า?”

ไคร่ามองไปรอบ ๆ เธอรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เลวร้าย…ทันใดนั้น เธอต้องตกใจที่เห็นลอร์ดผู้ว่าก้าวออกมาจากป่า ขนาบข้างด้วยคนของเขานับสิบ เธอได้ยินเสียงหิมะถูกเหยียบจากข้างหลัง เธอหันไปมอง ทหารจำนวนมากกำลังล้อมรอบเธออยู่ ทั้งหมดเล็งธนูมาที่เธอ ทหารคนหนึ่งจับบังเหียนม้าของเธอไว้ เธอหวาดกลัวทันทีที่เธอรู้ว่าเธอเดินเข้ามาในกับดัก

เธอมองไปที่มัลเทรนด้วยความโกรธเมื่อรู้ว่าเขาทรยศเธอ

“ทำไม?” เธอถาม รู้สึกรังเกียจที่เห็นเขา “เจ้าคือทหารของพ่อข้า เจ้าทำแบบนี้ทำไม?”

ลอร์ดผู้ว่าเดินมาหามัลเทรนและวางถุงทองคำขนาดใหญ่ในมือของเขา มัลเทรนหลบสายตาอย่างรู้สึกผิด

“เพื่อทองคำที่มากพอ” ลอร์ดผู้ว่าหันมาพูดกับเธอ พร้อมรอยยิ้มอันโอหังบนใบหน้าของเขา “เจ้าจะพบว่าชายคนนั้นยอมทำทุกอย่าง มัลเทรนจะร่ำรวยตลอดไป ร่ำรวยกว่าพ่อของเจ้า และเขาจะได้รับการละเว้นจากความตายที่จะเกิดขึ้นกับป้อมปราการของเจ้า”

ไคร่าถลึงตาใส่มัลเทรนอย่างไม่เข้าใจ

“เจ้ามันคนทรยศ” เธอพูด

เขาจ้องกลับมาที่เธอ

“ข้าคือผู้กอบกู้” เขาตอบ “พวกเขาจะฆ่าผู้คนทั้งหมดของเรา ต้องขอบคุณเจ้า ขอบคุณข้า โวลิสจะได้รับการละเว้น ข้าทำตามข้อตกลง เจ้าควรขอบคุณที่ข้าได้ช่วยชีวิตของพวกเขา” เขายิ้มอย่างพอใจ “และคิดดูสิ ทั้งหมดที่ข้าต้องทำคือการส่งตัวเจ้าไป”

ทันใดนั้นไคร่ารู้สึกว่ามีมือหยาบกร้านมาจับเธอจากด้านหลัง เธอถูกยกลอยขึ้นกลางอากาศ เธอสะบัดตัวและพยายามดิ้นรน แต่เธอไม่สามารถสลัดพวกมันออกไปได้ ข้อมือและข้อเท้าของเธอถูกมัด เธอถูกโยนเข้าไปข้างหลังรถลาก

เพียงชั่วครู่เดียว กรงเหล็กปิดลงมาอย่างรวดเร็ว รถลากแล่นออกไปทันที กระแทกไปมาระหว่างทาง ไม่ว่าพวกมันจะพาเธอไปที่ไหน คงไม่มีใครได้เห็นเธอหรือได้ยินเกี่ยวกับเธออีกต่อไป เส้นทางมุ่งสู่ป่าหนาทึบกำลังบดบังทิวทัศน์ของท้องฟ้ายามค่ำคืน เธอรู้ว่าชีวิตของเธอได้เดินทางมาถึงจุดจบแล้ว

บทที่ยี่สิบห้า

ยักษ์หมอบอยู่แทบเท้าของเวซูเวียส ถูกมัดด้วยเชือกนับพันเส้นและถูกตรึงไว้โดยโทรลหลายร้อยตน เวซูเวียสยืนอยู่ใกล้กับเขี้ยวของมัน จ้องมองด้วยความทึ่ง สัตว์ร้ายแหงนคอคำราม พยายามเอื้อมมือฆ่าเขา…แต่มันไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

เวซูเวียสยิ้มกริ่ม รู้สึกเบิกบานใจ เขาภูมิใจที่มีพลังเหนือสิ่งที่ไร้ทางสู้ และมากกว่าสิ่งอื่นใด เขาชอบที่จะเฝ้าดูความทรมานของสิ่งที่ติดกับดัก

การได้เห็นยักษ์ในถ้ำของเขา ภายใต้อาณาเขตของเขา ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น การได้เข้ามายืนใกล้มันทำให้เขารู้สึกทรงพลัง ทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่เขาจะสยบไม่ได้ หลังจากความพยายามหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดความฝันของเขาก็กลายเป็นจริง เขาสามารถบรรลุเป้าหมายในชีวิต การสร้างอุโมงค์ที่จะนำคนของเขาลอดไปใต้กำแพงอัคคี เพื่อไปยังฝั่งตะวันตก

เวซูเวียสมองดูสัตว์ร้ายอย่างยิ้มเยาะ

“เจ้าเห็นไหมว่าเจ้าไม่ได้แข็งแกร่งเช่นข้า” เขาพูดขณะที่กำลังยืนอยู่เหนือมัน “ไม่มีใครแข็งแรงเช่นข้า”

สัตว์ร้ายคำรามด้วยเสียงที่น่ากลัว มันพยายามดิ้นรนอย่างหมดหวัง เมื่อมันขยับ โทรลทั้งหมดตรึงมันลงมา เชือกขยับแต่ไม่หลุดออก เวซูเวียสรู้ว่าเวลาของพวกเขาเหลือน้อยแล้ว เขาจะต้องรีบลงมือตั้งแต่ตอนนี้

เวซูเวียสสำรวจภายในถ้ำ คนงานนับพันหยุดทำงาน ทั้งหมดหันมามองดูยักษ์ ไกลออกไปข้างในนั้นคืออุโมงค์ที่ยังขุดไม่เสร็จ เวซูเวียสรู้ว่าการใช้งานยักษ์จะต้องวางอุบายเล็กน้อย เขาต้องกระตุ้นให้มันเข้าไปในอุโมงค์และทุบหิน แต่เขาต้องทำอย่างไร?

เวซูเวียสยืนนิ่ง กำลังระดมความคิด จนในที่สุดเขาก็คิดขึ้นมาได้

เขาหันไปหายักษ์ ชักดาบของเขาออกมา ดาบส่องแสงสะท้อนกับเปลวไฟของถ้ำ

“ข้าจะตัดเชือกให้เจ้า” เวซูเวียสพูดกับสัตว์ร้าย “เพราะว่าข้าไม่เกรงกลัวเจ้า เจ้าจะเป็นอิสระ และเจ้าจะทำตามคำสั่งของข้า เจ้าต้องทุบทำลายหินของอุโมงค์นั่น เจ้าจะไม่หยุดจนกว่าเจ้าจะมุดลงไปข้างใต้กำแพงอัคคีของเอสคาลอน”

ยักษ์ส่งเสียงคำรามต่อต้าน

เวซูเวียสหันไปและสำรวจกองทัพโทรลของเขา พวกมันกำลังรอคำสั่งของเขา

“เมื่อข้าลดดาบลง” เขาตะโกนขึ้น เสียงของเขาดังกึกก้อง “พวกเจ้าจะตัดเชือกทั้งหมดออกในครั้งเดียว แล้วต้อนมันด้วยอาวุธจนกว่ามันจะถึงอุโมงค์”

โทรลมองกลับไปอย่างประหม่า เห็นได้ชัดว่าพวกมันหวาดกลัวกับความคิดที่จะปล่อยยักษ์เป็นอิสระ เวซูเวียสก็กลัวเช่นกัน แต่เขาไม่แสดงออกมา เขารู้ว่าไม่มีทางอื่น…เวลานี้จะต้องมาถึง

เวซูเวียสไม่ต้องการเสียเวลาอีกต่อไป เขาก้าวออกไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ ยกดาบขึ้น และฟันลงมาที่เชือกหนาเส้นแรกที่มัดอยู่รอบคอของยักษ์

ทหารโทรลนับร้อยก้าวมาข้างหน้า ยกดาบของพวกเขาขึ้นสูงและฟันลงไปที่เชือก เสียงเชือกขาดสะบั้นดังกึกก้อง

เวซูเวียสถอยห่างออกมาอย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่ต้องการให้เป็นที่น่าสังเกตมากเกินไป เขาไม่อยากให้คนอื่นเห็นความหวาดกลัวของเขา เขาจึงค่อย ๆ ถอยหลัง แทรกตัวเข้าไปในกลุ่มทหาร เข้าไปในเงามืดของหิน นอกระยะของสัตว์ร้ายหลังจากที่มันลุกขึ้นยืน เขารอดูว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น

เสียงคำรามอันน่ากลัวดังสะท้อนไปทั่วหุบเขา ยักษ์ลุกขึ้นยืนอย่างเกรี้ยวโกรธ และโดยไม่รีรอ มันตวัดกรงเล็บไปยังรอบ ๆ คว้าทหารโทรลไปสี่นายในแต่ละมือ ยกพวกเขาขึ้นสูงเหนือหัวและขว้างออกไป โทรลกระเด็นลอยไปยังอีกฝั่งของถ้ำ กระแทกเข้ากับกำแพง ค่อย ๆ ไหลลงมาอย่างไม่ไหวติง และตายสนิท

ยักษ์กำมือแน่น ยกขึ้นสูงและทุบกำปั้นลงบนพื้นเหมือนใช้ค้อนทุบ มันเล็งไปยังโทรลที่กำลังวิ่งหนีอย่างลนลาน พวกโทรลต่างหนีเอาชีวิตรอด แต่ไม่ทันกาลแล้ว ยักษ์ทุบพวกโทรลเหมือนมด แรงทุบแต่งละครั้งของมันทำให้ถ้ำสั่นหวั่นไหว

โทรลพยายามวิ่งหนีลอดใต้ขายักษ์ ยักษ์ยกเท้าของมันขึ้นและกระทืบลงมา ร่างของโทรลแหลกละเอียด

ยักษ์กำลังโกรธเกรี้ยว มันฆ่าโทรลทุกทิศทุกทาง ดูเหมือนจะไม่มีใครรอดจากบันดาลโทสะของมันได้

เวซูเวียสเฝ้ามองด้วยท่าทีหวาดระแวง เขาส่งสัญญาณไปยังผู้บังคับบัญชา ทันใดนั้น เสียงแตรก็ดังขึ้น

ทหารหลายร้อยเคลื่อนขบวนออกมาจากเงามืด ต่างถือหอกยาวและแส้ในมือ ทั้งหมดกำลังเตรียมพร้อมที่จะกระทุ้งและทิ่มแทงสัตว์ร้าย พวกเขากำลังล้อมรอบยักษ์ วิ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง พยายามอย่างเต็มที่ที่จะต้อนยักษ์ไปยังอุโมงค์

เวซูเวียสรู้สึกหวาดกลัวที่เห็นแผนการของเขาล้มเหลวต่อหน้าต่อตา สัตว์ร้ายโน้มตัวกลับและเตะทหารนับสิบกระเด็นออกไปในพริบตา จากนั้นเหวี่ยงแขนของมันไปรอบ ๆ ตบทหารไปมากกว่าห้าสิบคน พวกเขากระแทกเข้ากับกำแพงพร้อมกับหอก ยักษ์ใช้เท้ากระทืบทหารที่กำลังถือแส้ ฆ่าทหารมากมายอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้มันได้ พวกเขาไร้ทางสู้กับสัตว์ร้ายนี้ แม้ว่าจำนวนจะมีมากกว่าและด้วยอาวุธทั้งหมด กองทัพของเวซูเวียสค่อย ๆ ร่อยหรอลง

เวซูเวียสคิดอย่างรวดเร็ว เขาไม่สามารถฆ่าสัตว์ร้ายได้…เขาต้องการมันตัวเป็น ๆ เขาต้องการควบคุมพลังของมัน และเขาต้องการให้มันเชื่อฟัง แต่ต้องทำอย่างไร? ต้องทำอย่างไรจึงจะต้อนมันไปในอุโมงค์ได้?

ทันใดนั้น เขาคิดอะไรดี ๆ ออกแล้ว ถ้าเขาไม่สามารถต้อนมันเข้าไปได้ เช่นนั้นบางทีเขาควรจะหลอกล่อมันเข้าไป

เขาหันไปและจับโทรลที่อยู่ข้างเขา

“เจ้า” เขาออกคำสั่ง “วิ่งไปที่อุโมงค์ ทำให้แน่ใจว่ายักษ์เห็นเจ้า”

ทหารจ้องกลับมา ตาเบิกกว้างด้วยความกลัว

“แต่นายท่านและองค์ราชา ถ้ามันตามข้ามา?”

เวซูเวียสยิ้ม

“นั่นแหละที่ข้าหมายถึง”

ทหารยืนนิ่ง ตื่นตระหนก รู้สึกกลัวเกินไปที่จะทำตามคำสั่ง…เวซูเวียสแทงไปที่หัวใจของทหารทันที จากนั้นก้าวไปหาทหารคนถัดไปและถือมีดจ่อที่คอของเขา

“เจ้าอยากตายที่นี่ตอนนี้” เขาพูด “ด้วยคมมีดของข้า…หรือจะวิ่งไปที่อุโมงค์ เจ้ามีโอกาสที่จะรอด เลือกเอา”

เวซูเวียสกดมีดลงบนคอของเขาแน่นขึ้น โทรลรู้ทันทีว่าเวซูเวียสเอาจริง เขาจึงรีบวิ่งออกไป

เวซูเวียสมองดูโทรลวิ่งไปยังถ้ำ เขาวิ่งซิกแซกฝ่าไปท่ามกลางความโกลาหล ผ่านร่างทหารที่กำลังนอนล้มตาย ผ่านขาของสัตว์ร้าย และตรงไปยังทางเข้าอุโมงค์

ยักษ์เหวี่ยงมือลงไปทุบทหารโทรลแต่มันพลาด มันโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น ทันใดนั้นมันถูกเบนความสนใจโดยทหารที่กำลังผ่าน ยักษ์จึงตามไปทันที เวซูเวียสกำลังเฝ้ามองอย่างมีความหวัง มันวิ่งไปยังถ้ำ แต่ละก้าวของมันทำให้พื้นและผนังสั่นสะเทือน

โทรลวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต ในที่สุดก็ไปถึงปากอุโมงค์ขนาดมหึมาที่ทั้งกว้างและสูง อุโมงค์นั้นตื้นมาก ระยะทางสิ้นสุดที่ประมาณห้าสิบหลาทั้ง ๆ ที่ทำมาเป็นแรมปี เมื่อโทรลวิ่งเข้าไปข้างใน เขาก็พบกับกำแพงหินซึ่งเป็นทางตัน

ยักษ์กำลังเดือดดาล มันพุ่งเข้าไป ไม่มีที่ท่าว่าจะช้าลง มันเอื้อมมือคว้าโทรลด้วยกำปั้นและกรงเล็บขนาดใหญ่ของมัน โทรลก้มหลบ กำปั้นของยักษ์จึงทุบลงบนหินแทน พื้นดินสนั่นหวั่นไหว เสียงอึกทึกตามมา เวซูเวียสมองดูด้วยความทึ่ง กำแพงถ้ำกำลังสั่นสะเทือน เศษหินร่วงหล่นลงมาก่อเกิดเป็นฝุ่นฟุ้งไปทั่ว

หัวใจของเวซูเวียสเต้นแรงขึ้น นั่นคือสิ่งที่เขาเฝ้าฝันมาตลอด สิ่งที่เขาต้องการ มันคือสิ่งที่เขาจินตนาการตั้งแต่วันที่เขากำหนดเป้าหมายเพื่อค้นหาสัตว์ร้ายนี้ ยักษ์ฟาดมือลงอีกครั้งและกระแทกเอาหินส่วนหนึ่งกระเด็นออกมา การเหวี่ยงแขนเพียงครั้งเดียวทำให้เกิดเป็นความลึกประมาณห้าสิบฟุต…มันมากกว่าสิ่งที่ทาสของเวซูเวียสขุดได้ในเวลาหนึ่งปี

เวซูเวียสมีความสุขอย่างยิ่งที่รู้ว่ามันได้ผล

แต่แล้วยักษ์ก็ได้ตัวโทรล มันยกโทรลลอยขึ้นในอากาศ และกัดหัวของโทรล

“ปิดอุโมงค์!” เวซูเวียสออกคำสั่งทหาร และวิ่งไปข้างหน้า

โทรลนับร้อยที่กำลังยืนรอคำสั่ง ต่างวิ่งไปข้างหน้าและผลักแผ่นหินอัลตูเซียนที่เวซูเวียสได้วางไว้หน้าทางเข้าของอุโมงค์ หินเวซูเวียสหนามาก ไม่มีทางที่สัตว์ร้ายหรือยักษ์ตัวนี้จะสามารถทำลายได้ เสียงกระทบของหินดังไปทั่วในขณะที่เวซูเวียสมองดูอุโมงค์ค่อย ๆ ถูกปิด

ยักษ์มองเห็นทางเข้าอุโมงค์กำลังจะถูกปิด มันหันมาและรีบวิ่งไป

แต่ทางเข้าถูกปิดก่อนที่ยักษ์จะไปทัน มันกระแทกเข้ากับหิน…โชคดีที่หินสามารถหยุดยั้งเอาไว้ได้

เวซูเวียสยิ้ม ยักษ์ติดกับแล้ว เขาต้องการให้มันอยู่ในที่ที่เขาต้องการ

“ส่งคนถัดไปเข้าไป!” เวซูเวียสสั่งการ

ทาสมนุษย์ถูกเตะไปข้างหน้า ถูกโบยโดยผู้คุมครั้งแล้วครั้งเล่า เขามุ่งไปยังทางเข้าเล็ก ๆ ของแผ่นหินที่เปิดอยู่ มนุษย์รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เขาขัดขืนและปฏิเสธที่จะเข้าไป แต่ผู้คุมรุมทำร้ายเขาอย่างโหดเหี้ยม จนกระทั่งพวกโทรลสามารถผลักเขาเข้าไปได้

ด้านในมีเสียงตะโกนของทาส เห็นได้ชัดว่าเขากำลังวิ่งหนีสุดชีวิต พยายามที่จะไปให้พ้นยักษ์ เวซูเวียสยืนนิ่ง รอฟังด้วยความเพลิดเพลิน เขาได้ยินเสียงของยักษ์ที่ถูกขังกำลังโมโห มันเหวี่ยงแขนทุบหิน และกำลังขุดอุโมงค์ให้เขา

แรงตีของยักษ์หนึ่งครั้ง ช่วยขุดอุโมงค์ของเขาทีละนิด…เขารู้ว่ามันพาเขาเข้าไปใกล้กำแพงอัคคี ใกล้เข้าสู่เอสคาลอน เขาจะเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นเผ่าพันธุ์แห่งทาส

ชัยชนะจะเป็นของเขาในที่สุด