Kitabı oku: «กำเนิดราชันย์มังกร », sayfa 12

Yazı tipi:

บทที่ยี่สิบหก

ไคร่าลืมตาขึ้นในความมืดมิด เธอนอนอยู่บนพื้นหินเย็น ๆ ศีรษะและร่างกายของเธอรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด เธอสงสัยว่าเธออยู่ที่ไหน อากาศที่หนาวเย็นทำให้เธอสั่นสะท้าน คอของเธอแห้งผาก ราวกับว่าเธอไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลานาน เธอเอื้อมมือออกไป นิ้วของเธอสัมผัสกับพื้นหินเบื้องล่าง และเธอพยายามนึกทบทวนเรื่องราว

ภาพต่าง ๆ ถาโถมเข้ามา เธอไม่แน่ใจว่ามันคือความทรงจำหรือฝันร้าย เธอจำได้ว่าเธอถูกจับโดยทหารของลอร์ด ถูกโยนเข้ามาในรถลาก กรงเหล็กปิดลง การเดินทางผ่านถนนที่ขรุขระอันยาวนาน เธอจำได้ว่าเธอพยายามขัดขืนเมื่อประตูเปิดออก พยายามหนี เธอถูกตีเข้าที่หัว และหลังจากนั้นทั้งหมดกลายเป็นความมืดมิด

ไคร่าเอื้อมมือออกไป หลังของหัวเธอปวดระบม เธอรู้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน นี่คือเรื่องจริง ความเป็นจริงที่เลวร้าย เธอถูกจับโดยทหารของลอร์ดและถูกขังเอาไว้

ไคร่ารู้สึกโกรธมัลเทรนที่เขาทรยศ โกรธตัวเองที่หลงเชื่อเขา เธอรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป เธอนอนอยู่คนเดียวในห้องขังของผู้ว่า สิ่งที่เลวร้ายที่สุดอาจเข้ามาหาเธอ เธอแน่ใจว่าพ่อของเธอและผู้คนของเธอต้องไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน บางที่พ่อของเธออาจคิดว่าเธอใส่ใจคำพูดของเขาและออกเดินทางไปยังหอคอยเยอร์ ส่วนมัลเทรนจะต้องโกหกและรายงานว่าพ่อเห็นเธอหนีจากโวลิสไปแล้วอย่างแน่นอน

ไคร่าตะเกียกตะกายท่ามกลางความมืด เธอเอื้อมมือหาธนูและไม้เท้าของเธอโดยสัญชาตญาณ… แต่มันถูกยึดไปแล้ว เธอมองขึ้นไปเห็นแสงสลัว ๆ ลอดผ่านกรงขัง เธอลุกขึ้นนั่งและเห็นคบไฟเรียงอยู่ตามแนวกำแพงห้อง เบื้องล่างมีทหารหลายคนยืนเฝ้าอยู่อย่างระมัดระวัง พร้อมประตูเหล็กขนาดใหญ่ตรงกลาง ที่นี่เงียบมาก เสียงเดียวที่ลอดเข้ามาคือจากที่ไหนสักแห่งในเพดาน และมีเสียงหนูวิ่งไปมาในมุมมืด

ไคร่านั่งพิงกำแพงกอดเข่า พยายามทำตัวเองให้อบอุ่น เธอหลับตาลงและหายใจเข้าลึก ๆ พยายามบังคับให้ตัวเองคิดว่ากำลังอยู่ที่ไหนสักแห่ง เมื่อเธอทำเช่นนั้น เธอกลับมองเห็นดวงตาสีเหลืองเป็นประกายของธีออสจ้องมาที่เธอ เธอสามารถได้ยินเสียงของมังกรในจิตของเธอ

ความแข็งแกร่งไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สงบสุข แต่มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบาก จงโอบกอดความยากลำบากของเจ้าไว้ อย่าเขินอาย มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถเอาชนะได้

ไคร่าลืมตาขึ้น รู้สึกตกใจกับสิ่งที่เห็น เธอมองไปรอบ ๆ คิดว่าจะเจอธีออสอยู่ข้างหน้า

“เจ้าเห็นเขาไหม?” ทันใดนั้นเสียงของเด็กผู้หญิงดังขึ้นในความมืด ทำให้ไคร่าสะดุ้ง

ไคร่ารู้สึกงุนงง ตกใจที่ได้ยินเสียงของอีกคนอยู่ในห้องขังนี้ เสียงนั้นดังออกมาที่ไหนสักแห่งในเงามืด…เธอตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าเป็นเสียงของเด็กผู้หญิง ฟังจากเสียงเหมือนจะอายุเท่ากับเธอ หลังจากเจ้าของเสียงปรากฏตัวออกมาจากมุมมืด ไคร่ารู้ว่าเธอคิดไม่ผิด เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักนั่งอยู่ เธอน่าจะอายุสิบห้าปี ผมและดวงตาของเธอมีสีน้ำตาล ผมยาวยุ่งเหยิง หน้าตาสกปรก เสื้อผ้าฉีกขาด เธอดูหวาดกลัวในขณะมองมาที่ไคร่า

“เจ้าคือใคร?” ไคร่าถาม

“เจ้าเห็นเขาไหม?” เด็กผู้หญิงพูดซ้ำ ๆ อย่างร้อนรน

“เห็นใคร?”

“ลูกชายของเขา” เธอตอบ

“ลูกชายของเขาหรือ?” ไคร่าถามอย่างสับสน

เด็กผู้หญิงหันหลังกลับ มองไปนอกกรงขัง แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไคร่าสงสัยว่าเธอมองเห็นความกลัวอะไร

“ข้าไม่เห็นใครเลย” ไคร่าพูด

“โอ้พระเจ้า อย่าปล่อยให้พวกเขาฆ่าข้า” เด็กผู้หญิงอ้อนวอน “ได้โปรด ข้าเกลียดสถานที่แห่งนี้!”

เด็กผู้หญิงเริ่มร้องไห้ฟูมฟาย กลิ้งตัวลงบนพื้นหิน ไคร่ารู้สึกสงสารเธอจึงเดินเข้าไปใกล้แล้วสอดแขนเข้าไปรอบไหล่ของเด็กผู้หญิง พยายามที่จะปลอบเธอ

“ชู่ว” ไคร่าพูด พยายามทำให้เธอสงบลง ไคร่าไม่เคยเห็นใครหัวใจแตกสลายเช่นนี้มาก่อน เด็กผู้หญิงคนนี้ดูหวาดกลัวมากต่อใครก็ตามที่เธอกำลังพูดถึง มันทำให้ไคร่ารู้สึกแย่สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

“บอกข้าสิ” ไคร่าพูด “เจ้ากำลังพูดถึงใครหรือ? ใครทำร้ายเจ้า? ผู้ว่าหรือ? เจ้าคือใคร? เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

ไคร่ามองเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าและแผลเป็นบนหัวไหล่ของเธอ เธอพยายามไม่คิดถึงสิ่งที่พวกเขาทำกับเด็กผู้หญิงที่น่าสงสารคนนี้ เธอรออย่างอดทนเพื่อให้เธอหยุดร้องไห้

“ข้าชื่อเดียร์ดรา” เธอพูด “ข้าอยู่ที่นี่มา…ข้าไม่รู้ ข้าคิดว่าตั้งแต่พระจันทร์หนึ่งรอบ แต่ข้าจำเวลาไม่ได้แล้ว พวกเขาพาข้ามาจากครอบครัวของข้า ตั้งแต่มีกฎหมายใหม่ ข้าพยายามขัดขืน และพวกเขาพาข้ามาที่นี่”

เดียร์ดราจ้องไปยังความว่างเปล่าราวกับว่ากำลังนึกถึงภาพเหตุการณ์ขึ้นมาอีกครั้ง

“ทุก ๆ วันความทรมานครั้งใหม่จะรอข้าอยู่” เธอพูดต่อ “ตอนแรกเป็นลูกชาย หลังจากนั้นเป็นพ่อ พวกเขาทำเหมือนข้าเป็นตุ๊กตา และตอนนี้…ข้า…ไร้ค่า”

เธอหันมามองไคร่าด้วยสายตาที่แรงกล้า

“ตอนนี้ข้าต้องการตาย” เดียร์ดราอ้อนวอน “ได้โปรด ช่วยให้ข้าตายด้วยเถอะ”

ไคร่ามองกลับไป รู้สึกตกใจกลัว

“อย่าพูดแบบนั้น” ไคร่าพูด

“วันหนึ่งข้าเคยพยายามแย่งมีดเพื่อฆ่าตัวตาย…แต่มีดลื่นหลุดมือออกไป พวกมันกักขังข้าอีกครั้ง ได้โปรดข้าจะให้ท่านทุกอย่าง ฆ่าข้าเถอะ”

ไคร่าส่ายหัวของเธอย่างตกตะลึง

“ฟังข้า” ไคร่าพูด รับรู้ได้ความเข้มแข็งภายในที่กำลังก่อตัวขึ้น ความแน่วแน่ในขณะที่เธอมองเห็นสภาพของเดียร์ดรา มันคือความเข้มแข็งของพ่อเธอ ความเข้มแข็งของนักรบจากรุ่นสู่รุ่นได้ไหลเวียนอยู่ในตัวของเธอ ยิ่งไปกว่านั้น มันคือความเข้มแข็งของมังกร ความเข้มแข็งที่เธอไม่รู้จักจนกระทั่งวันนี้

เธอจับไหล่ของเดียร์ดราและมองไปในดวงตาของเธอ

“เจ้าจะไม่ตาย” ไคร่าพูดอย่างมั่นใจ “และพวกมันจะไม่ทำร้ายเจ้า เจ้าเข้าใจไหม? เจ้าจะต้องรอด ข้ามั่นใจ”

เดียร์ดราดูเหมือนจะสงบลง เธอได้รับความเข้มแข็งจากไคร่า

“ไม่ว่าพวกมันจะทำอะไรเจ้าก็ตาม” ไคร่าพูดต่อ “นั่นมันเป็นอดีต ในไม่ช้าเจ้าจะต้องเป็นอิสระ…เราจะต้องเป็นอิสระ เจ้าจะออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง เราจะเป็นเพื่อนกัน และข้าจะปกป้องเจ้า เจ้าไว้ใจข้าไหม?”

เดียร์ดราจ้องกลับมาด้วยความตกใจ ในที่เธอสุดเธอก็พยักหน้าและสงบลง

“แต่จะทำอย่างไร?” เดียร์ดราถาม “เจ้าไม่เข้าใจ ไม่มีทางหนีจากที่นี่ เจ้าไม่เข้าใจว่าพวกเขาเหมือน…”

ทั้งคู่ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงประตูเหล็กดังขึ้น ไคร่าหันไปมอง ลอร์ดผู้ว่าเดินเข้ามาพร้อมคนติดตามนับสิบ ตามด้วยผู้ชายที่มีใบหน้าคล้ายเขา จมูกโตและหน้าตาไม่น่าคบหา อายุประมาณสามสิบ เสียงหัวเราะที่เหมือนกัน ใบหน้าที่ดูโง่เขลาและท่าทางหยิ่งยโส เขาคงเป็นลูกชายของลอร์ดผู้ว่า

พวกเขาทั้งหมดเดินเข้ามายังที่คุมขัง เมื่อเข้าใกล้ห้องขัง คนของเขาเข้ามาพร้อมกับคบไฟทำให้ภายในห้องสว่างขึ้น ไคร่ามองไปรอบ ๆ และรู้สึกตกใจที่มองเห็นสภาพที่เธอเป็นอยู่ คราบเลือดนองเต็มพื้น เธอไม่อยากจะคิดว่าเคยมีใครอยู่ที่นี่บ้าง…หรืออะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา

“พาตัวเธอมาที่นี่” ผู้ว่าสั่งคนของเขา

กรงประตูเปิดออก คนของเขาเดินเข้ามาข้างใน ไคร่าถูกยกลอยขึ้นจากพื้น แขนของเธอถูกลากจากข้างหลัง เธอไม่สามารถสลัดตัวออกได้แม้ว่าจะพยายามเพียงใด พวกเขาพาตัวเธอเข้าไปใกล้ลอร์ดผู้ว่า เขามองดูเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับแมลง

“ข้าไม่ได้เตือนเจ้าหรือ?” เขาพูดอย่างนุ่มนวล เสียงของเขาทุ้มต่ำและมืดมน

ไคร่าคิ้วขมวด

“กฎหมายของแพนดิเซียอนุญาตให้เจ้าพาเด็กผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานมาเป็นเมีย ไม่ใช่นักโทษ” ไคร่าพูดอย่างแข็งขืน “เจ้าได้ละเมิดกฎหมายของเจ้าเองในการกักขังข้า”

ลอร์ดผู้ว่ามองไปที่คนอื่น ๆ พวกเขาทั้งหมดหัวเราะออกมา

“ไม่ต้องห่วง” เขาพูดพร้อมถลึงตามาที่เธอ “ข้าจะเอาเจ้ามาทำเมียหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน ลูกชายของข้าก็เช่นกัน…และใครก็ตามที่ข้าต้องการ เมื่อเราเบื่อเจ้า ถ้าเรายังไม่ฆ่าเจ้า ข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ข้างล่างนี้ตลอดไป”

เขายิ้มออกมาเหมือนปีศาจร้าย เห็นได้ชัดว่ามีความสุขกับสิ่งนี้

“และสำหรับพ่อของเจ้าและผู้คนของเจ้า” เขาพูดต่อ “ข้าได้เปลี่ยนใจแล้ว พวกเราจะฆ่าพวกมันทุกคนให้สิ้น พวกมันจะกลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำในไม่ช้า และข้าจะมองดูโวลิสถูกลบออกไปจากหนังสือประวัติศาสตร์ ในขณะที่เรากำลังพูดอยู่นี้ กองทัพแพนดิเซียทั้งหมดได้มุ่งหน้าไปเพื่อแก้แค้นให้กับคนของข้าและทำลายล้างป้อมปราการของเจ้า”

ไคร่ารู้สึกเดือดดาล เธอพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะเรียกพลังของเธอ ไม่ว่ามันคืออะไรก็ตามที่เคยช่วยเธอบนสะพาน แต่เธอก็ต้องพบกับความผิดหวัง พลังนั้นไม่ออกมา เธอพยายามสะบัดตัวออกจากแรงจับ แต่ไม่สามารถสลัดให้หลุดได้

“เจ้ามีจิตใจที่แข็งแกร่ง” เขาพูด “นั่นคือเรื่องที่ดี ถ้าข้าได้ทำลายจิตใจที่แข็งแกร่งของเจ้า ข้าจะมีความสุขมาก”

เขาหันหลังกลับเหมือนจะเดินออกไป แต่ทันใดนั้น เขาหันมาและฟาดหลังมือใส่หน้าเธออย่างสุดแรง

มันคือสิ่งที่เธอไม่คาดคิด ไคร่ารับรู้ได้ถึงแรงกระแทกรุนแรงบนกรามของเธอ เธอกลิ้งล้มลงบนพื้น ลงไปอยู่ข้าง ๆ เดียร์ดรา

ไคร่ารู้สึกเจ็บปวด เธอนอนอยู่ตรงนั้นและมองขึ้นมา พวกเขากำลังเดินออกไปจากห้องขัง หลังจากประตูถูกล็อก ลอร์ดผู้ว่าหยุดแล้วหันหน้ามา จ้องมองลงมาที่เธอ

“ข้าจะรอการทรมานเจ้าในวันพรุ่งนี้” เขาพูดไปยิ้มไป “ข้าพบว่าเหยื่อของข้าจะทรมานมากที่สุดเมื่อพวกมันนอนคิดทั้งคืนเกี่ยวกับความน่ากลัวที่กำลังจะมาถึง”

เขาหัวเราะออกมาอย่างสยดสยอง หลังจากนั้นหันหลังเดินออกจากคุกไปพร้อมกับคนของเขา ประตูเหล็กปิดลงนั้นราวกับเป็นการตอกฝาโลงสำหรับเธอ

บทที่ยี่สิบเจ็ด

เมิร์คเดินผ่านป่าไวท์วู้ดยามดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ขาของเขาอ่อนล้าหมดแรง ท้องปั่นป่วนด้วยความหิวโหย เขาพยายามศรัทธาว่าหอคอยเยอร์ต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งบนเส้นขอบฟ้า เขาจะเดินทางไปให้ถึงที่นั่น พยายามมุ่งมั่นกับชีวิตใหม่ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเขาสามารถทำได้ เขาจะกลายเป็นผู้เฝ้ามองและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

แต่เขาไม่สามารถเพ่งสมาธิกับเรื่องนี้ได้ ตั้งแต่เขาพบกับเด็กผู้หญิงคนนั้นและได้ฟังเรื่องราวของเธอ มันกำลังรบกวนจิตใจของเขา เขาต้องการลบเรื่องราวของเธอออกจากจิตใจ แต่ยิ่งเขาพยายามมากเท่าไร เขาก็ไม่สามารถทำได้ เขาได้ตั้งใจแน่วแน่ว่าเขาจะหันหลังให้กับวิถีชีวิตแห่งความรุนแรง ถ้าเขากลับไปสู้เพื่อเธอและช่วยฆ่าคนเหล่านั้น แล้วเมื่อไรที่การฆ่าฟันจะจบสิ้น?  มันจะไม่มีทางอื่น เหตุผลอื่น สำหรับเรื่องนั้นเลยหรือ?

เมิร์คเดินต่อไปเรื่อย ๆ ประคองตัวเองด้วยไม้เท้าของเขา เสียงใบไม้แตกละเอียดดังอยู่ใต้ฝ่าเท้า เขารู้สึกหงุดหงิด ทำไมเขาต้องเจอกับเธอ? ป่านี้กว้างใหญ่ไพศาล…ทำไมพวกเขาไม่คลาดกัน? ทำไมชีวิตต้องคอยส่งบททดสอบเข้ามาให้เขา? สิ่งที่เกินกว่าความเข้าใจของเขา?

เมิร์คเกลียดการตัดสินใจที่ยาก เขาเกลียดความลังเล ตลอดทั้งชีวิตเขาแน่วแน่กับทุกเรื่อง และเขาถือว่าสิ่งนี้คือหนึ่งในความเข้มแข็งของเขา เขามักจะรู้ตัวเสมอว่าเขาเป็นใคร แต่ตอนนี้เขาไม่แน่ใจนัก ตอนนี้เขาพบว่าตัวเองกำลังรู้สึกหวั่นไหว

เขาต่อว่าพระเจ้าที่ทำให้เขาต้องพบกับเด็กผู้หญิง ทำไมคนอื่นถึงไม่ดูแลตัวเองกันบ้าง? ทำไมถึงต้องการเขาเสมอ? ถ้าเธอและครอบครัวของเธอไม่สามารถปกป้องครอบครัวของพวกเขาเองได้ เช่นนั้นทำไมพวกเขาจึงสมควรมีชีวิตอยู่? ถ้าเขาช่วยพวกเขา ไม่ช้าก็เร็วผู้ล่าคนอื่นต้องมาฆ่าพวกเขาอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

ไม่ เขาไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ นั่นจะทำให้พวกเขาไม่สามารถต้านทานได้ ผู้คนต้องเรียนรู้วิธีการปกป้องตัวเอง

เขาครุ่นคิดว่าบางทีมันต้องมีเหตุผลที่เธอปรากฏตัวออกมาต่อหน้าเขา บางทีมันอาจจะเป็นบททดสอบ

เมิร์คเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เส้นบาง ๆ ของดวงตะวันตกดินบนขอบฟ้า ยากที่จะมองเห็นผ่านป่าไวท์วู้ด เขากำลังสงสัยความศรัทธาใหม่ของเขา

การได้รับบททดสอบ

มันคือคำที่มีอานุภาพ ความคิดที่มีอิทธิพล และเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบ เขาไม่ชอบสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ สิ่งที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ และการถูกทดสอบคือสิ่งนั้น ในขณะที่เขาเดินขึ้นเขาเหยียบย่ำใบไม้ไปเรื่อย ๆ เมิร์ครู้สึกว่าโลกที่เขาอยู่อย่างสงบสุขกำลังล่มสลาย เมื่อก่อนเขาเคยดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย ตอนนี้กลับรู้สึกถึงความไม่สบายใจที่มีแต่คำถาม การมั่นใจกับทุกสิ่งในชีวิตเป็นเรื่องง่าย แต่คำถามนั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก เขาได้ก้าวออกมาจากโลกสีดำและสีขาว เข้าสู่โลกที่เป็นสีเทา ความไม่แน่นอนยังคงไม่จางหายไป เขาไม่เข้าใจว่าเขาได้กลายเป็นใครไปแล้ว และนั่นคือสิ่งที่รบกวนจิตใจเขามากที่สุด

เมิร์คเดินขึ้นไปถึงยอดเนินเขา หายใจถี่รัว แต่ไม่ใช่เพราะการออกแรง เขาหยุดอยู่บนยอดเขาและมองออกไป นี่เป็นครั้งแรกของการเดินทางครั้งนี้ เขาสัมผัสได้ถึงแสงแห่งความหวัง เขาแทบจะไม่เชื่อว่าเขาได้เห็นอะไร

ที่นั่นบนเส้นขอบฟ้า กำลังส่องประกายสู้กับแสงของพระอาทิตย์ตกดิน มันไม่ใช่ตำนาน ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่หอคอยเยอร์เป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง

ตั้งอยู่ในพื้นที่โล่งขนาดเล็ก ท่ามกลางป่าอันมืดมิดและกว้างใหญ่ สูงเด่นเป็นตระหง่าน หอคอยหินโบราณทรงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณห้าสิบหลา สูงขึ้นไปยังแนวต้นไม้ มันคือสิ่งที่เก่าแก่มากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น แม้แต่ปราสาทที่เขาเคยประจำอยู่ กลิ่นอายของความลึกลับและน่าพิศวงแผ่ขยายออกมารอบ ๆ เขาสามารถรับรู้ได้ว่ามันคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สถานที่แห่งนี้ช่างทรงอานุภาพ

เมิร์คสูดหายใจลึกจากความเหนื่อยล้า เขารู้สึกโล่งใจ เขาทำได้สำเร็จแล้ว การมองเห็นหอคอยเยอร์อยู่ที่นั่นเหมือนกับความฝัน ในที่สุดเขาก็มีที่ให้อยู่ในโลกนี้ สถานที่ที่จะเรียกว่าบ้าน เขาจะมีโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง โอกาสในการกลับเนื้อกลับตัว และเขาจะกลายเป็นผู้เฝ้ามอง

เขารู้ว่าเขาควรดีใจอย่างล้นเหลือ เขาควรจะเร่งฝีเท้าเพื่อเริ่มต้นการเดินทางช่วงสุดท้ายก่อนที่ท้องฟ้าจะมืด ยิ่งเขาพยายามเท่าไร เหตุผลบางอย่างทำให้เขาไม่สามารถก้าวขาออกไปได้ เขายืนนิ่งตัวแข็งทื่อ บางอย่างกำลังรบกวนจิตใจของเขา

เมิร์คหันมองรอบตัว จากตรงนี้เขาสามารถมองเห็นขอบฟ้าได้จากทุกทิศทาง ไกลออกไปมีสิ่งหนึ่งที่ดูขัดแย้งยามตะวันรอน เขามองเห็นควันสีดำลอยขึ้นมา ความรู้สึกเหมือนโดนหมัดสอยเข้าที่ท้อง เขารู้ว่าควันมาจากที่ไหน เด็กผู้หญิงคนนั้น ครอบครัวของเธอ ฆาตกรกำลังเผาทุกอย่าง

เขามองตามร่องรอยของควัน ไฟยังคงอยู่รอบนอกของทุ่งนาของเธอ แต่น่าจะไปถึงในไม่ช้า สำหรับตอนนี้ ทุกนาทีมีค่าสำหรับความปลอดภัยของเธอ

เมิร์คบิดคอไปมาอย่างใคร่ครวญ มันเป็นสิ่งที่เขาชอบทำเมื่อถูกรบกวนด้วยความรู้สึกขัดแย้งภายใน เขาเดินไปเดินมา รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก เขาไม่สามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้ เขามองไปยังหอคอยเยอร์ จุดหมายปลายทางที่เขาใฝ่ฝัน เขารู้ว่าเขาควรมุ่งหน้าเพื่อไปให้ถึง เขาต้องการพักและเฉลิมฉลอง

แต่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่ความปรารถนาเอ่อล้นขึ้นมาภายในจิตใจ ความปรารถนาที่ต้องการเสียสละ ความปรารถนาที่ต้องการทำเพื่อความยุติธรรมเพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องการเงินหรือสิ่งตอบแทน เมิร์คเกลียดความรู้สึกนี้

เมิร์คหันหลังและตะโกนออกไป ประกาศสงครามกับตัวเขาเอง กับโลกใบนี้ ทำไม? ทำไมต้องตอนนี้?

นอกเหนือจากทุกอณูของสามัญสำนึกที่เขามี เขาพบว่าตัวเขาเองกำลังหันหลังกลับจากหอคอยเยอร์ มุ่งหน้าไปยังทุ่งนา เริ่มต้นด้วยการเดิน จากนั้นสาวเท้าก้าวเร็วขึ้น…แล้วพุ่งตัววิ่งออกไป

ในขณะที่กำลังอยู่วิ่งนั้น บางอย่างภายในตัวของเขาเหมือนได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ หอคอยเยอร์สามารถรอได้ นี่คือเวลาที่เมิร์คจะทำสิ่งที่ถูกต้องในโลกใบนี้ มันคือเวลาสำหรับพวกฆาตกรในการได้เจอกับคนที่เหมาะสม

บทที่ยี่สิบแปด

ไคร่ากำลังนั่งพิงผนังกำแพงหินอันเยือกเย็น ดวงตาของเธอแดงก่ำในขณะเฝ้ามองแสงแรกแห่งรุ่งอรุณที่ฉายลอดผ่านกรงเหล็กของช่องหน้าต่าง ส่องสว่างแสงแดดยามเช้าเข้ามาในห้อง เธอตื่นตลอดทั้งคืนดังที่ลอร์ดผู้ว่าคาดการณ์ไว้ จิตใจของเธอนึกถึงแต่ความทรมานอันเลวร้ายที่จะตามมา เธอครุ่นคิดว่าพวกเขาได้ทำอะไรกับเดียร์ดรา เธอพยายามไม่คิดถึงวิธีที่คนป่าเถื่อนพวกนี้จะทำกับเธอ

ไคร่าไตร่ตรองถึงแผนการเป็นพัน หนทางการขัดขืนและการหลบหนี จิตวิญญาณแห่งนักรบในตัวของเธอปฏิเสธที่จะยอมแพ้…เธอยอมตายเสียดีกว่า เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ของการต่อสู้เพื่อหนีรอด เธอกลับพบกับความสิ้นหวังและความหมดหวัง สถานที่แห่งนี้ได้รับการเฝ้าระวังเป็นอย่างดีมากกว่าสถานที่อื่นใดที่เธอเคยเจอ เธอกำลังอยู่ในป้อมปราการของลอร์ดผู้ว่า ฐานที่มั่นของแพนดิเซีย อาคารทางทหารขนาดมหึมาที่มีทหารหลายพันคน เธออยู่ห่างไกลจากโวลิส แม้ว่าเธอจะสามารถหลบหนีออกไปได้ เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถกลับไปถึงก่อนที่พวกเขาจะตามล่าและฆ่าเธอ แย่ไปกว่านั้น พ่อของเธอไม่รู้ว่าเธออยู่ไหน และเขาจะไม่มีทางรู้ เธออยู่เพียงลำพังในจักรวาลแห่งนี้แล้วจริง ๆ

“นอนไม่หลับหรือ” เสียงอันนุ่มนวลทำให้เธอหลุดจากภวังค์

ไคร่ามองเห็นเดียร์ดรานั่งพิงกำแพงอยู่อีกฟาก ใบหน้าของเธอกระทบกับแสงแรกยามฟ้าสาง เธอดูซูบผอม ขอบตาหมองคล้ำ เธอดูน่าสลดใจเป็นอย่างมาก เธอจ้องกลับมาที่ไคร่าด้วยแววตาที่สะท้อนถึงความกลัว

“ข้าไม่ได้หลับเช่นกัน” เดียร์ดราพูดต่อ “ข้าคิดทั้งคืนถึงสิ่งที่พวกมันจะทำกับเจ้า…สิ่งเดียวกับที่ทำกับข้า เหตุผลบางอย่างทำให้ข้าเจ็บปวดเมื่อคิดว่าพวกมันจะทำกับเจ้ามากกว่าที่ทำกับข้า ข้าพังทลายหมดแล้ว ชีวิตของข้าไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว แต่เจ้ายังคงมีทุกอย่าง”

ไคร่ารู้สึกหวาดกลัวในขณะที่เธอครุ่นคิดคำพูดของเดียร์ดรา เธอไม่สามารถจินตนาการได้ถึงความน่ากลัวที่เพื่อนใหม่ของเธอเคยประสบ การมองเห็นเธอเช่นนี้ทำให้ไคร่าแน่วแน่ที่จะต่อสู้

“มันต้องมีทางอื่น” ไคร่าพูด

เดียร์ดราส่ายหัวของเธอ

“ที่นี่ไม่มีอะไรนอกจากความน่าสังเวชของชีวิต และความตาย”

ทันใดนั้นมีเสียงเปิดประตูคุก ไคร่ายืนขึ้นพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอะไรก็ตาม เธอยินดีจะสู้จนตัวตายหากจำเป็น เดียร์ดราลุกขึ้นทันทีและวิ่งมาหาเธอ จับศอกของเธอเอาไว้

“สัญญากับข้าอย่างหนึ่ง” เดียร์ดราพูด

ไคร่ามองเห็นความหมดอาลัยตายอยากในแววตาของเธอ เธอจึงพยักหน้ากลับไป

“ก่อนที่พวกเขาจะพาเจ้าไป” เธอพูด “ฆ่าข้า บีบคอข้าถ้ามันจำเป็น อย่าปล่อยให้ข้ามีชีวิตอยู่แบบนี้อีกต่อไป ได้โปรด ข้าขอร้องเจ้า”

ไคร่าจ้องกลับไป รับรู้ได้ถึงการตัดสินใจที่เกิดขึ้นภายในตัวของเธอ เธอสลัดความสงสารและความข้องใจทั้งหมด ในตอนนั้นเธอรู้ว่าเธอต้องมีชีวิตต่อไป ถ้ามันไม่ใช่เพื่อตัวของเธอเอง อย่างน้อยก็เพื่อเดียร์ดรา ไม่ว่าชีวิตจะมืดมนเพียงใด เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถยอมแพ้ได้

ทหารเดินใกล้เข้ามา เสียงเท้าของเขาดังสะท้อน เสียงกุญแจกระทบกันไปมา ไคร่ารู้ว่าเหลือเวลาไม่มากแล้ว เธอหันไปและจับไหล่ของเดียร์ดราแน่นในขณะที่จ้องไปยังดวงตาของเธอ

“ฟังข้า” ไคร่าอ้อนวอน “เจ้าจะต้องมีชีวิตต่อไป เจ้าเข้าใจข้าไหม? ไม่เพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่จะมีชีวิตต่อไป แต่เจ้าจะต้องหลบหนีไปกับข้า เจ้าจะต้องไปเริ่มต้นชีวิตใหม่…และมันจะเป็นชีวิตที่งดงาม พวกเราจะแก้แค้นไอ้พวกเศษขยะเหล่านี้ทั้งหมดที่มันทำกับเจ้า…ด้วยกัน เจ้าได้ยินข้าไหม?”

เดียร์ดราจ้องมองกลับมา รู้สึกลังเล

“ข้าต้องการให้เจ้าเข้มแข็ง” ไคร่ายืนยัน เธอรู้ว่าเธอบอกตัวเองเช่นกัน  “การมีชีวิตอยู่ไม่ใช่ความอ่อนแอ การตาย การยอมแพ้ ต่างหากที่เป็นความอ่อนแอ…การมีชีวิตคือความแข็งแกร่ง เจ้าอยากเป็นคนอ่อนแอและตายไปอย่างนั้นหรือ? หรือเจ้าต้องการเป็นคนเข้มแข็งและมีชีวิตอยู่?”

ไคร่ามองเธออย่างกดดัน แสงจากคบไฟส่องเข้ามาที่กรงขัง พวกทหารเดินเข้ามา…ในที่สุด เธอก็เห็นว่าสายตาของเดียร์ดรามีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป เหมือนแสงแห่งความหวังอันเล็กน้อย ตามมาด้วยการพยักหน้ารับเบา ๆ

เสียงกุญแจกระทบใกล้เข้ามา ประตูห้องขังเปิดออก ทหารเดินเข้ามาแล้วใช้มือหยาบ ๆ จับข้อมือของเธอ ไคร่าถูกกระชากออกไปจากกรงขัง ประตูกรงขะงถูกปิดไล่หลังเธอ เธอรู้สึกว่าเธออ่อนแรง เธอต้องสงวนพลังงานของตัวเอาไว้ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาสำหรับการต่อสู้ เธอต้องทำให้พวกเขาไม่ทันระวัง เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม แม้แต่ศัตรูที่ร้ายกาจย่อมมีช่วงเวลาที่ไร้ทางป้องกันตัวเสมอ

ทหารสองคนจับเธอยืนอยู่กับที่ เมื่อออกจากประตูเหล็ก ไคร่าพบกับผู้ชายที่จำได้ลาง ๆ เขาเป็นลูกชายของผู้ว่า

ไคร่ากระพริบตาอย่างสับสน

“พ่อของข้าส่งข้ามาพาตัวเจ้าไป” เขาพูดในขณะที่เดินมาใกล้ “แต่ข้าจะเล่นกับเจ้าก่อน เขาจะไม่ชอบใจถ้าเขารู้ แน่นอน…แต่ว่า เขาจะทำอะไรได้เมื่อมันสายไปแล้ว?”

ใบหน้าของลูกชายเผยรอยยิ้มที่เหมือนปีศาจร้าย

ไคร่ารู้สึกหวาดกลัวอย่างที่สุดเมื่อมองไปยังผู้ชายที่น่าคลื่นไส้คนนี้ เขากำลังยืนเลียริมฝีปากและมองดูเธอเหมือนเธอคือวัตถุ

“เจ้าเห็นไหม” เขาพูดพร้อมก้าวเข้ามา เริ่มถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ออก ลมหายใจของเขาสามารถมองเห็นได้ในห้องขังที่เยือกเย็น “พ่อของข้าไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในป้อมปราการแห่งนี้ บางครั้งข้าก็ชอบลิ้มรสเป็นคนแรกกับสิ่งที่ผ่านเข้ามา…และเจ้า ที่รัก เจ้าเป็นตัวอย่างการทดลองที่ดี ข้าจะต้องสนุกกับเจ้า หลังจากนั้นข้าจะทรมานเจ้า และข้าจะไว้ชีวิตเจ้าเพื่อเหลืออะไรไว้ให้กับพ่อของข้าบ้าง”

เขายิ้มกว้าง และเข้ามาใกล้มากจนเธอสามารถได้กลิ่นลมหายใจเหม็น ๆ ของเขา

“เจ้าและข้าจะต้องสนิทสนมกันอย่างแนบแน่น”

ลูกชายของลอร์ดพยักหน้ากับทหารยามสองคน เธอรู้สึกประหลาดใจที่พวกทหารปล่อยมือและถอยออกไป แต่ละคนถอยไปริมห้องเพื่อให้พื้นที่แก่เขา

ไคร่ายืนนิ่ง มือของเธอเป็นอิสระ เธอชำเลืองดูรอบห้อง สิ่งที่เธอเห็นมีทหารยามสองคน แต่ละคนพร้อมดาบยาว ลูกชายของลอร์ดสูงกว่าและตัวใหญ่กว่าเธอ เธออาจจะไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ทั้งหมด แม้ว่าเธอจะมีอาวุธก็ตาม

เธอเห็นบางอย่างที่มุมห้องวางพิงอยู่กับกำแพง อาวุธของเธอ…ธนูและไม้เท้าของเธอ กระบอกลูกธนูของเธอ…หัวใจของเธอเต้นรัว สิ่งที่เธอยังไม่สามารถเอามาได้ตอนนี้

“นั่นน่ะหรือ” ลูกชายพูดและยิ้มออกมา “เจ้ามองไปยังอาวุธของเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถรอดชีวิตจากเรื่องนี้ได้หรือ ข้ามองเห็นความขัดขืนในตัวของเจ้า ไม่ต้องห่วง ข้าจะทำลายมันลงในไม่ช้า”

โดยไม่ทันคาดได้คิด ลูกชายของลอร์ดง้างมือไปข้างหลังและตบหลังมือใส่เธออย่างรุนแรง เธอแทบจะลืมหายใจ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไคร่าสะดุดล้มลงไปคุกเข่า เลือดไหลออกจากปาก ความเจ็บปวดทำให้เธอตื่น เสียงกระแทกดังอยู่ในหูของเธอ กะโหลกของเธอ เธอคุกเข่าอยู่อย่างนั้น มือและเท้าแตะอยู่กับพื้น เธอพยายามสูดหายใจ และตระหนักได้ว่านี่คือตัวอย่างของสิ่งที่จะตามมา

“ที่รัก เจ้ารู้ไหมว่าพวกเราฝึกม้าของเราอย่างไร?” ลูกชายเอ่ยถามขณะที่เขายืนอยู่เหนือเธอและยิ้มลงมาอย่างโหดร้าย ทหารยามโยนไม้เท้าของไคร่ามา ลูกชายของลอร์ดคว้าไว้โดยไม่เสียเวลา เขายกไม้เท้าขึ้นสูงและฟาดลงบนหลังของเธอ

ไคร่ากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดที่ไม่สามารถทานทนได้ เธอทรุดตัวลงกับพื้นหิน ราวกับว่าเขาได้หักกระดูกของเธอไปทั่วร่าง เธอแทบจะหายใจไม่ได้ เธอรู้ว่าถ้าเธอไม่ทำอะไรสักอย่างโดยเร็ว เธอจะต้องพิการไปตลอดชีวิต

“ไม่!” เสียงเดียร์ดราอ้อนวอนจากด้านหลังกรงเหล็ก “อย่าทำร้ายเธอ! ทำข้าแทน!”

แต่ลูกชายไม่สนใจเธอ

“มันเริ่มต้นด้วยไม้เท้า” เขาพูดกับไคร่า “ม้าป่าต่อต้าน แต่ถ้าเจ้าจัดการมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จัดการอย่างไร้ความปราณีวันแล้ววันเล่า วันหนึ่งพวกมันจะยอมรับและกลายเป็นของเจ้า ไม่มีอะไรดีไปกว่าการสร้างความเจ็บปวดให้กับสัตว์อื่น เจ้าว่าจริงไหม?”

ไคร่ามองเห็นการเคลื่อนไหวจากหางตาของเธอ เธอเห็นเขายกไม้เท้าขึ้นอีกครั้งพร้อมใบหน้าแสนป่าเถื่อน เตรียมพร้อมที่จะฟาดลงมาอีกครั้ง

ประสาทสัมผัสไคร่าเพิ่มขึ้น และโลกหมุนช้าลง ความรู้สึกเดียวกับที่เกิดขึ้นบนสะพานได้ถามโถมเข้ามาหาเธอ ความอบอุ่นอันคุ้นเคยที่เริ่มจากหน้าท้องและแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของเธอ เธอรู้สึกว่าตัวของเธอเต็มไปด้วยพลัง ความแข็งแกร่งและความรวดเร็วมากกว่าที่เธอเคยจินตนาการ

ภาพเหตุการณ์ย้อนกลับเข้ามาในหัวของเธอ เธอมองเห็นตัวเองขณะกำลังฝึกซ้อมกับทหารของพ่อ ทำให้เธอนึกถึงการฝึกซ้อมที่ไม่สิ้นสุด เธอเรียนรู้ว่าความเจ็บปวดเป็นอย่างไรและไม่ใช่การตกตะลึง วิธีการต่อสู้กับคู่ต่อสู้หลายคนในเวลาเดียวกัน เอนวินฝึกซ้อมเธอเป็นชั่วโมง วันแล้ววันเล่า จนเธอขัดเกลาเทคนิคของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในที่สุดมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเธอ เธอได้ยืนยันให้พวกทหารฝึกฝนเธอทุกอย่าง ไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็ตาม และตอนนี้มันกำลังย้อนกลับมาหาเธอ เธอได้ฝึกมาเพื่อเวลาเช่นนี้

ในขณะที่เธอนอนอยู่ด้วยความปวดร้าวที่หลังของเธอ ความอบอุ่นเข้าครอบงำร่างกายของเธอ ไคร่ามองขึ้นไปที่ลูกชายและรู้สึกว่าสัญชาตญาณของเธอกำลังเข้าครอบงำ ถ้าเธอจะต้องตาย…ต้องไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่วันนี้…และไม่ใช่โดยน้ำมือของผู้ชายคนนี้

บทเรียนที่เธอได้รับเมื่อไม่นานนี้ได้ย้อนคืนกลับมา ระดับที่ต่ำกว่าทำให้เจ้าได้เปรียบ ยิ่งผู้ชายสูงเท่าไร เขาจะยิ่งไร้ทางสู้มากเท่านั้น หัวเข่าคือเป้าที่สามารถเล็งได้ง่ายถ้าพบว่าตัวของเจ้าอยู่บนพื้น เตะกวาดออกไป พวกมันจะล้มลง

ไม้เท้ากำลังฟาดลงมาที่เธอ ทันใดนั้นไคร่าวางฝ่ามือของเธอลงบนพื้นหิน ประคองตัวเองขึ้นมามากพอที่จะได้ระดับ เธอเหวี่ยงขาออกไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เล็งไปที่หลังหัวเข่าของลูกชายด้วยแรงทั้งหมดที่มี เธอรับรู้ได้ว่าแรงเตะนั้นปะทะเข้าไปยังจุดอ่อน

หัวเข่าของเขางอลง เขาลอยออกไปกลางอากาศ ล่วงลงบนพื้นนอนหงายหลัง ไม้เท้าร่วงหล่นจากมือของเขาและกลิ้งไปตามพื้น เธอแทบจะไม่เชื่อว่ามันได้ผล เขาล้มลงโดยที่กะโหลกฟาดลงกับพื้นและเสียงแตกนั้นดังมาก เธอแน่ใจว่าเธอได้ฆ่าเขาแล้ว

แต่เขาเหมือนเป็นอมตะ ทันใดนั้นเขาลุกขึ้นนั่ง จ้องมองไปที่เธอด้วยสายตาของปีศาจร้าย เตรียมที่จะกระโจนเข้าหาเธอ

ไคร่าไม่รอช้า เธอลุกขึ้นยืนและกระโดดไปที่ไม้เท้าของเธอ มันกลิ้งอยู่บนพื้นห่างออกไปหลายฟุต ถ้าเธอสามารถคว้าอาวุธของเธอได้ เธอจะมีโอกาสที่จะจัดการกับพวกเขาทั้งหมด ในขณะที่เธอวิ่งไป ลูกชายของลอร์ดกระโดดมาและคว้าขาของเธอไว้ เขาพยายามขัดขวางเธอ

ไคร่าไหวตัวทันด้วยความคล่องแคล่วของเธอ เธอกระโดดไปเหมือนแมว หลบหลีกจากการจับของเขาและม้วนตัวลงบนพื้นหินด้านหลังเขา และคว้าไม้เท้าของเธอขึ้นมาในเวลาเดียวกัน

เธอยืนนิ่ง กำไม้เท้าในมืออย่างระมัดระวัง รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้อาวุธของเธอคืนมา ไม้เท้าเข้ากับมือของเธออย่างพอดี ทหารยามทั้งสองเดินเข้ามาพร้อมชักดาบและล้อมรอบเธอ เธอมองดูทุกทิศทางอย่างรวดเร็วเหมือนสัตว์บาดเจ็บที่กำลังจนมุม เธอโชคดีที่ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก ทำให้เธอมีเวลาเพียงพอก่อนที่ทหารยามจะเข้ามา

ลูกชายของลอร์ดยืนขึ้น ปาดเลือดออกจากริมฝีปากและหลังหัวของเขา แล้วถลึงตาใส่เธอ

“นั่นคือสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเจ้า” เขาพูด “ตอนนี้ข้าจะไม่ทำแค่ทรมานเจ้า…”

ไคร่าหมดความอดทนแล้ว เธอไม่รอให้เขาลงมือก่อน ก่อนที่เขาจะพูดจบ เธอรีบพุ่งตัวไปข้างหน้า ยกไม้เท้าของเธอขึ้นและแทงเข้าไปอย่างรวดเร็วเหมือนงูฉกเข้าไประหว่างดวงตาของเขา มันเป็นการโจมตีที่สมบูรณ์แบบ และเขาร้องโหยหวนออกมาเมื่อเธอหักจมูกของเขา เสียงกระดูกแตกหักดังไปทั่ว

เขาล้มลงคุกเข่ามือกุมจมูก ร้องครวญคราง

ทหารยามสองคนเข้ามาและเหวี่ยงดาบไปที่หัวของเธอ ไคร่าหันไม้เท้าของเธอยกขึ้นป้องกัน แรงปะทะนั้นก่อให้เกิดประกายไฟ จากนั้นเธอหมุนตัวออกไป ก่อนที่ดาบจะโดนตัวเธอ เธอปัดป้องการโจมตีทั้งด้านหน้าและด้านหลังครั้งแล้วครั้งเล่า ทหารทั้งสองคนเข้ามาหาเธอเร็วมากจนแทบจะไม่มีเวลาตอบโต้

หนึ่งในทหารเหวี่ยงดาบมากเกินไป ไคร่ามองเห็นช่องโหว่ เธอยกไม้เท้าแล้วฟาดลงไปที่ข้อมือของเขา ดาบกระเด็นหลุดออกจากมือ ร่วงหล่นลงบนพื้นเสียงดัง เธอจ้วงแทงเข้าไปที่คอของทหารอีกคนทำให้เขาเคลื่อนไหวไม่ได้ จากนั้นเธอเหวี่ยงเขาออกไปรอบ ๆ และฟาดไม้เท้าใส่ทหารคนแรกที่ขมับจนเขาลงไปกองอยู่ที่พื้น

ไคร่าไม่รอช้า ในขณะที่ทหารหงายหลังอยู่พยายามลุกขึ้นมา เธอกระโดดขึ้นไปสูงกลางอากาศและแทงไม้เท้าของเธอลงที่หน้าท้องของเขา…จากนั้นเมื่อเขาลุกขึ้นนั่ง เธอเตะไปที่หน้าจนเขาสลบ ทหารอีกคนกลิ้งไปมาพร้อมกุมคอของเขากำลังจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง ไคร่าใช้ไม้เท้าแทงลงไปที่หลังหัวของเขา ทหารทั้งสองคนนอนแน่นิ่ง

ทันใดนั้นไคร่ารู้สึกว่ามีแขนหยาบ ๆ กำลังรัดคอเธอจากด้านหลัง ลูกชายของลอร์ดได้สติแล้ว เขาพยายามรัดคอเธออย่างสุดแรง ทำให้ไคร่าต้องทิ้งไม้เท้าของเธอ

“ทำได้ดี” เขากระซิบที่หูของเธอ ปากของเขาใกล้มากจนเธอสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อน ๆ ที่กำลังรดต้นคอของเธอ

พลังงานไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ไคร่าค้นพบความแข็งแกร่งใหม่ มากพอที่จะทำให้เธอเอื้อมแขนไปข้างหน้าและล็อกศอกของเธอ จนสามารถสลัดตัวเองหลุดออกวงแขนของลูกชาย จากนั้นเธอรีบคว้าไม้เท้า ใช้สองมือเหวี่ยงไปข้างหลังและข้างบน แล้วทิ่มสุดแรงไปที่ระหว่างขาของลูกชาย

เขาร้องโอดครวญ ร่วงลงไปนั่งคุกเข่า ไคร่าหันกลับมา เธอยืนอยู่เหนือเขา ในที่สุดเขาก็ไร้ทางสู้ เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาที่ตกตะลึงและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

“ฝากสวัสดีพ่อของเจ้าด้วย” เธอพูดพร้อมยกไม้เท้าขึ้นมาและฟาดลงบนหัวของเขาด้วยแรงทั้งหมดของเธอ

ครั้งนี้เขาล้มลงไปบนพื้นไม่ได้สติ

ไคร่าหายใจเหนื่อยหอบ สำรวจผลงานของเธอ ผู้ชายสามคนที่น่ากลัวนอนนิ่งอยู่บนพื้น ฝีมือของเด็กผู้หญิงที่ไร้ทางสู้อย่างเธอ

“ไคร่า!” เสียงร้องตะโกน

เธอหันไปและนึกถึงเดียร์ดรา เธอรีบวิ่งออกไปโดยไม่รีรอ คว้ากุญแจออกจากเอวของยาม เธอปลดล็อกห้องขัง และเมื่อเธอทำเสร็จ เดียร์ดราวิ่งเข้ามากอดเธอ

ไคร่าดึงเธอกลับไปและมองตาของเธอ เพื่อบอกให้เตรียมพร้อมที่จะหนี

“ได้เวลาแล้ว” ไคร่าพูดอย่างหนักแน่น “เจ้าพร้อมหรือยัง?”

เดียร์ดรายืนนิ่งตกใจ จ้องมองดูความเละเทะในห้อง

“เจ้าจัดการเขา” เดียร์ดราพูด สายตาจ้องมองไปยังร่างทั้งสามด้วยความไม่เชื่อ “ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าจัดการเขาได้”

ไคร่ามองเห็นบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปในแววตาของเดียร์ดรา ความกลัวทั้งหมดหายไป ไคร่าเห็นเด็กผู้หญิงที่เข้มแข็งปรากฏตัวออกมาจากเบื้องลึกของผู้หญิงที่เธอไม่รู้จักมาก่อน การได้เห็นคนร้ายนอนนิ่งได้จุดพลังของเธอพร้อมกับความเข้มแข็งขึ้นมาอีกครั้ง

เดียร์ดราเดินไปที่ดาบเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนพื้น เธอหยิบมันขึ้นมาและเดินไปหาลูกชายของลอร์ดที่ยังคงนอนไม่ได้สติ เธอจ้องมองลงไป ใบหน้าของเธอเริ่มมีรอยยิ้ม

“นี่สำหรับทุกอย่างที่เจ้าทำกับข้า” เธอพูด

เธอยกดาบขึ้นมาด้วยมือที่สั่นไหว ไคร่ามองเห็นความขัดแย้งภายในจิตใจของเดียร์ดรา เธอกำลังรู้สึกลังเล

“เดียร์ดรา” ไคร่าพูดอย่างนุ่มนวล

เดียร์ดรามองมาที่เธอ สายตาของเธอแฝงไปด้วยความปวดร้าว

“ถ้าเจ้าทำมัน” ไคร่าพูดอย่างนุ่มนวล “เจ้าจะเป็นเหมือนเขา”

เดียร์ดรายืนนิ่ง แขนสั่นระริก จิตใจของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นแค้น เธอลดดาบลงมา ปล่อยลงบนพื้น เสียงดาบหล่นดังอยู่แทบเท้าของเธอ

เธอถ่มน้ำลายใส่หน้าลูกชายของลอร์ด จากนั้นโน้มตัวไปข้างหลังและเตะเข้าไปที่ใบหน้าของเรา ไคร่าเริ่มมองเห็นว่าเดียร์ดราเข้มแข็งมากกว่าที่เธอคิด

เธอมองมาที่ไคร่าด้วยดวงตาเป็นประกาย ชีวิตที่ได้ฟื้นคืนทำให้เธอกลับมาเป็นคนเดิม

“ไปกันเถอะ” เดียร์ดราพูด น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเข้มแข็ง

*

ไคร่าและเดียร์ดราวิ่งออกมาจากคุกมุ่งสู่แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้า พวกเธอกำลังอยู่ที่อาร์กอส ฐานที่มั่นของแพนดิเซียและที่ทำการกองกำลังของลอร์ดผู้ว่า แสงจากดวงอาทิตย์ทำให้ไคร่าต้องหรี่ตาลง เธอรู้สึกดีที่ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง ไม่ต้องประสบกับความหนาวเย็นเหมือนข้างล่างนั่นอีกแล้ว ในขณะที่เธอกำลังฟื้นตัวเธอพบว่าพวกเธออยู่ในใจกลางของอาคารขนาดใหญที่ทำมาจากหิน ทั้งหมดล้อมรอบด้วยผนังหินสูงและประตูขนาดใหญ่ ทหารของลอร์ดเพิ่งตื่น พวกเขาเริ่มเข้าไปประจำตำแหน่งรอบค่ายทหาร ที่นี่ต้องมีทหารหลายพันคนอย่างแน่นอน มันคือกองทัพมืออาชีพ และสถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นมหานครมากกว่าเมืองทั่วไป

ทหารต่างเข้าประจำตำแหน่งตามแนวกำแพง มองออกไปยังขอบฟ้า ไม่มีใครมองเข้ามา ไม่มีใครคิดว่าจะมีเด็กผู้หญิงสองคนหลบหนีออกมาท่ามกลางพวกเขา และนั่นทำให้พวกเธอได้เปรียบ บรรยากาศยังคงมืดเพียงพอที่จะช่วยบดบังพวกเธอ ไคร่ามองไปข้างหน้า ประตูที่ได้รับการคุ้มกันอย่างดีอยู่ไกลออกไปในลานที่โล่ง เธอรู้ว่าถ้าจะมีโอกาสในการหลบหนี ก็ต้องเป็นตอนนี้เท่านั้น

แต่มันเป็นลานที่โล่งที่ยาวไกลมากหากจะข้ามไปด้วยเท้า เธอรู้ว่าพวกเธอไม่สามารถวิ่งผ่านไปได้…และถึงแม้พวกเธอจะทำได้ พวกเธอจะถูกจับได้อยู่ดีเมื่อวิ่งไปถึง

“นั่น!” เดียร์ดราพูดพร้อมชี้นิ้ว

ไคร่ามองตาม อีกฝั่งของลานที่โล่งมีม้าผูกเอาไว้ พร้อมทหารที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กำลังกุมบังเหียน เขาหันหลังให้พวกเธอ

เดียร์ดราหันมาหาเธอ

“เราต้องการม้า” เธอพูด “มันเป็นหนทางเดียว”

ไคร่าพยักหน้า รู้สึกประหลาดใจที่พวกเธอกำลังคิดสิ่งเดียวกัน เดียร์ดรามองการณ์ไกล เดียร์ดราคนที่ไคร่าคิดตอนแรกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ตอนนี้เธอได้เผยตัวตนที่แท้จริงออกมา ความฉลาด ความรวดเร็ว และความแน่วแน่

“เจ้าสามารถจัดการได้ไหม?” เดียร์ดราถามในขณะที่กำลังมองไปยังทหาร

ไคร่าจับไม้เท้าในมือแน่นและพยักหน้า

พวกเธอวิ่งออกมาจากเงามืดพร้อมกันและค่อย ๆ ข้ามลานที่โล่งไปอย่างเงียบ ๆ หัวใจของไคร่าเต้นรัว เธอกำลังเพ่งสมาธิไปที่ทหาร เขากำลังหันหลังให้ เธอเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ…เธอภาวนาอย่าให้พวกทหารมองเห็น

ไคร่าวิ่งเร็วมากแทบจะไม่ได้หายใจ หวังว่าตัวเธอเองจะไม่ลื่นล้มลงบนหิมะ เธอไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นอีกต่อไป อะดรีนารีนสูบฉีดไปทั่วร่างกายของเธอ

ในที่สุดเธอก็มาถึงตัวทหาร ช่วงวินาทีสุดท้ายนั้น เขาได้ยินเสียงและหันมา

แต่ไคร่าได้ชิงลงมือก่อนแล้ว เธอยกไม้เท้าขึ้นและแทงไปที่ท้องของเขา เขาส่งเสียงฮึดฮัดและล้มลงคุกเข่า เธอเหวี่ยงไม้เท้าไปรอบ ๆ และฟาดใส่หลังหัวของเขา…ทำให้เขาสลบไป หน้าทิ่มลงบนกองหิมะ

ไคร่าขึ้นขี่ม้า เดียร์ดราแก้เชือกออกและกระโดดขึ้นมาข้างหลัง…ทั้งคู่เตะม้าและควบออกไป

ไคร่าสัมผัสได้ถึงลมหนาวที่พัดผ่านเส้นผม เธอกำลังควบม้าข้ามลานที่เต็มไปด้วยหิมะ มุ่งหน้าสู่ประตูที่อยู่ไกลออกไป น่าจะอีกประมาณร้อยหลา ทันใดนั้นพวกทหารที่หลับ ๆ ตื่น  ๆ เริ่มรู้ตัว พวกเขาหันมาหาเธอ

“เร็วสิ!” ไคร่าตะโกน พยายามจะทำให้ม้าวิ่งเร็วขึ้น เธอเริ่มมองเห็นทางออกใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

สะพานหินโค้งขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า ที่กั้นถูกยกขึ้นนำไปสู่สะพาน และไกลออกไป หัวใจของไคร่าเต้นเร็วขึ้นเมื่อได้เห็นพื้นที่โล่ง มันคืออิสรภาพ

เธอเตะม้าด้วยแรงทั้งหมด ในขณะที่เธอมองเห็นทหารที่ทางออกเริ่มไหวตัว

“หยุดพวกมัน!” ทหารจากด้านหลังตะโกน

ทหารหลายคนวิ่งลุกลี้ลุกลนไปยังที่ปิดประตูเหล็กขนาดใหญ่ ไคร่าเริ่มรู้สึกหวาดกลัว ทหารเริ่มหมุนที่ปิดประตูทำให้ตารางเหล็กค่อย ๆ เลื่อนลงมา ไคร่ารู้ว่าถ้ามันปิดลงมาก่อนที่พวกเธอจะไปถึง ชีวิตของพวกเธอจะต้องจบสิ้นแน่นอน เธออยู่ห่างออกไปอีกเพียงยี่สิบหลาและกำลังควบม้าเร็วขึ้น…ตารางเหล็กปิดประตูที่ความสูงสามสิบฟุตค่อย ๆ ลงมาอย่างช้า ๆ ทีละฟุตทีละฟุต

“ก้มต่ำให้มากที่สุด!” ไคร่าร้องตะโกนบอกเดียร์ดรา ไคร่าโน้มตัวลงไปจนกระทั่งใบหน้าของเธออยู่แนบกับขนแผงคอของม้า

ไคร่าควบม้าต่อไป หัวใจของเธอเต้นแรง พวกเธอกำลังพุ่งตรงไปยังซุ้มประตู ตารางเหล็กปิดประตูค่อย ๆ ลดต่ำลงเรื่อย ๆ จนทำให้เธอต้องก้มลง ระยะที่ฉิวเฉียด เธอไม่รู้ว่าพวกเธอจะทำสำเร็จหรือไม่

ในขณะที่ม้าวิ่งฝ่าเข้าไป เธอคิดว่าพวกเธอจะต้องตายแน่ ๆ ที่กั้นประตูปิดลงเสียงดังสนั่นไล่หลัง ครู่ต่อมาพวกเธอสามารถข้ามสะพานไปได้ ภายใต้ท้องฟ้าที่เปิดโล่งทำให้ไคร่ารู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง

เสียงแตรดังอยู่ข้างหลัง ไคร่าสะดุ้งที่ได้ยินเสียงของธนูแหวกอากาศมาพุ่งตรงมาที่เธอ

เธอหันกลับไป ทหารของลอร์ดมากมายเข้าประจำตำแหน่งบนกำแพง พวกเขากำลังยิงธนูมาที่พวกเธอ เธอควบม้าวิ่งซิกแซกไปตามทาง พวกเธอยังคงอยู่ในระยะยิง เธอพยายามเร่งความเร็วให้มากขึ้น

พวกเธอค่อย ๆ ไกลออกไป ระยะทางตอนนี้น่าจะประมาณห้าสิบหลา ไกลพอที่ลูกธนูส่วนใหญ่จะยิงมาไม่ถึง…แต่ทันใดนั้น ไคร่าก็ต้องตกใจที่มองเห็นธนูปักอยู่ข้างตัวม้า ม้ากลับหลังทันที…มันเหวี่ยงทั้งคู่ตกกระเด็น

โลกของไคร่าหมุนเคว้ง เธอกระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรง ม้าล้มกลิ้งอยู่ข้าง ๆ โชคดีที่มันไม่ล้มโดนพวกเธอ

ไคร่าคุกเข่าด้วยความงุนงงและมึนหัว เดียร์ดราล้มอยู่อยู่ข้างเธอ ไคร่าหันหลังกับไป ที่กั้นประตูเหล็กถูกยกขึ้น ทหารหลายร้อยคนกำลังเรียงแถว รอให้ที่กั้นประตูเปิด พวกเขาควบม้าออกมา มันคือกองทัพเต็มรูปแบบ กองทัพที่กำลังมุ่งหน้ามาเพื่อฆ่าพวกเธอ เธอรู้สึกสับสนว่าทำไมพวกเขาจัดขบวนได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ แต่แล้วเธอก็ตระหนักได้ว่า พวกเขาจัดเตรียมขบวนกองทัพไว้ตั้งแต่ตอนรุ่งสาง เพื่อการโจมตีโวลิส

ไคร่าลุกขึ้นยืนและมองดูม้าที่ตายแล้ว ท่ามกลางที่ราบโล่งอันกว้างขวางที่อยู่เบื้องหน้า เธอแล้วรู้ว่าในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง