Kitabı oku: «กำเนิดราชันย์มังกร », sayfa 2

Yazı tipi:

บทที่สาม

ไคร่าเดินตามหลังพวกพี่ชายเพื่อกลับไปยังป้อมปราการ พวกเขากำลังพยายามแบกน้ำหนักของหมูป่า ไอดานเดินอยู่ข้างเธอพร้อมเลโอที่กลับมาจากเกมวิ่งไล่ของมันแล้ว แบรนดอนและแบร็กซ์ตันแบกซากศพสัตว์ร้ายที่ผูกเข้ากับหอกสองอันและแบกไว้บนบ่าคนละข้าง ความหวาดกลัวของพวกเขาหายไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อพวกเขาออกมาจากป่าและเจอท้องฟ้าที่เปิดโล่ง ตอนนี้สามารถมองเห็นป้อมปราการของพ่ออยู่ในระยะสายตาแล้ว แต่ละก้าวที่เดินไป แบรนดอนและแบร็กซ์ตันเริ่มกลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง เกือบจะกลับมาเป็นพวกหัวดื้อตามเดิม ทั้งสองคนกำลังหัวเราะ หยอกล้อกันไปมาและโอ้อวดทักษะของพวกเขา

“หอกของข้าพุ่งถากหมูป่า” แบรนดอนพูดกับแบร็กซ์ตัน

“แต่” แบร็กซ์ตันแย้ง “หอกของข้าทำให้หมูป่าเปลี่ยนทางไปโดนธนูของไคร่า”

ไคร่ากำลังฟังอยู่ ใบหน้าของเธอแดงก่ำกับเรื่องราวโกหกของพวกเขา พี่ชายหัวรั้นของเธอกำลังทำตัวเองให้เชื่อเรื่องราวที่กุขึ้นมา ตอนนี้พวกเขาดูเหมือนจะเชื่อแบบนั้นจริง ๆ เธอคาดไว้แล้วว่าพวกเขาจะโอ้อวดเรื่องนี้เมื่อกลับไปยังห้องโถงของพ่อ และบอกเล่ากับทุกคนถึงการฆ่าของพวกเขา

มันน่าโมโหเสียจริง เธออยากโต้แย้งพวกเขา เธอเชื่อมั่นในกงล้อแห่งความยุติธรรม และเธอรู้ว่าสุดท้ายแล้วความจริงจะปรากฏ

“พวกเจ้าขี้โกหก” ไอดานพูดในขณะกำลังเดินอยู่ข้างเธอ และยังคงตัวสั่นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “พวกเจ้าก็รู้ว่าไคร่าเป็นคนฆ่าหมูป่า”

แบรนดอนชำเลืองข้ามไหล่ของเขาอย่างเย้ยหยัน ราวกับว่าไอดานเป็นเพียงแมลง

เจ้าจะไปรู้อะไร?” เขาถามไอดาน “เจ้ามัวแต่ฉี่รดกางเกงอยู่น่ะสิ”

พวกเขาทั้งคู่หัวเราะ ในขณะที่กำลังเดินไปพร้อมกับการสร้างเรื่องราว

“แล้วเจ้าไม่ได้วิ่งหางจุกตูดหรอกหรือ?” ไคร่าเสริม เธอไม่สามารถทนต่อไปได้อีก

คำพูดของไคร่าทำให้ทั้งคู่เงียบลง เธอน่าจะปล่อยให้สัตว์ร้ายจัดการพวกเขา แต่เธอไม่อยากพูดแบบนั้นออกไป เธอเดินไปอย่างมีความสุข รู้สึกดีที่ได้เป็นคนช่วยชีวิตน้องชายของเธอ นั่นคือความพอใจทั้งหมดที่เธอต้องการ

ไคร่ารู้สึกถึงมือเล็ค ๆ ที่วางลงบนไหล่ของเธอ เธอหันกลับมา ไอดานกำลังยิ้มปลอบใจเธอ เธอรู้สึกมีความสุขที่มีชีวิตรอดกลับมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ไคร่าสงสัยว่าพวกพี่ชายของเธอจะรู้สึกยินดีเหมือนกันหรือไม่กับสิ่งที่เธอได้ทำลงไปทั้งหมดนี้ ถ้าเธอไม่ทำอย่างนั้น พวกเขาอาจถูกฆ่าไปแล้วก็ได้

ไคร่ามองหมูป่ากระดอนไปมาต่อหน้าขณะเดินไปในแต่ละก้าว เธอทำหน้าตาบูดบึ้ง อยากให้พวกพี่ชายของเธอปล่อยมันไว้อย่างนั้น ในที่ที่มันควรอยู่ มันเป็นสัตว์ต้องสาป ไม่ใช่ของโวลิส และไม่ควรมาอยู่ที่นี่ มันเหมือนดังลางร้าย โดยเฉพาะการนำออกมาจากป่าแห่งหนามในเวลาพลบค่ำของช่วงเหมันต์จันทรา เธอนึกถึงสุภาษิตเก่าที่เคยอ่าน จงอย่าโอ้อวดหลังจากได้รับการละเว้นชีวิต เธอรู้สึกว่าพวกพี่ชายของเธอกำลังท้าทายโชคชะตา พวกเขากำลังนำความมืดกลับไปยังบ้านเกิด เธออดคิดไม่ได้ว่านี่อาจเป็นการทำให้สิ่งเลวร้ายเข้ามา

เมื่อมาถึงยอดเนินเขา ป้อมปราการที่แวดล้อมไปด้วยมุมมองของภูมิทัศน์อันกว้างขวางก็อยู่เบื้องหน้าพวกเขาแล้ว ลมหนาวเย็นยะเยือก หิมะกำลังตกหนัก แต่ไคร่ากลับรู้สึกผ่อนคลายที่ได้กลับมาบ้าน ควันจาง ๆ ลอยออกมาจากปล่องไฟ พร้อมกับชานเมืองและป้อมปราการของพ่อที่ส่องสว่างเรืองรองด้วยแสงไฟ เพื่อการอารักขาในยามค่ำคืนที่กำลังจะมาถึง ถนนเริ่มกว้างขึ้น เมื่อใกล้ถึงสะพาน พวกเขาทั้งหมดรีบเร่งฝีเท้า ถนนเริ่มเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังกระตือรือร้น เตรียมพร้อมสำหรับงานเทศกาล แม้ว่าอากาศจะไม่เอื้ออำนวยและใกล้มืด

ไคร่าไม่ค่อยจะแปลกใจกับภาพที่เห็นมากนัก เทศกาลเหมันต์จันทราถือเป็นหนึ่งในวันหยุดที่สำคัญที่สุดแห่งปี และทุกคนต่างวุ่นอยู่กับการเตรียมงานฉลองที่ใกล้จะมาถึง ผู้คนจำนวนมากเดินอยู่บนสะพาน เร่งรีบซื้อของจากร้านค้า เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลอง ในขณะที่กลุ่มคนจำนวนพอ ๆ กันกำลังเดินออกจากประตู รีบพาของกลับบ้านเพื่อไปฉลองกับครอบครัว รถลากวัวและรถขนสินค้าสวนกันขวักไขว่ อิฐและหินถูกลำเลียงไปยังกำแพงใหม่ที่กำลังสร้างอยู่เพื่อล้อมรอบป้อมปราการ เสียงของค้อนดังกังวานไปทั่ว คั่นจังหวะด้วยเสียงของสัตว์เลี้ยงและสุนัข ไคร่าสงสัยว่าพวกเขายังคงทำงานได้อย่างไรภายใต้สภาพอากาศเช่นนี้ มือของพวกเขาไม่เหน็บชาหรืออย่างไร

เมื่อพวกเขาเข้าสู่สะพาน และรวมตัวกับฝูงชน ไคร่าเงยหน้าขึ้นมอง ท้องของเธอขมวดแน่นเมื่อเห็นคนของลอร์ดหลายคนยืนอยู่ที่ประตู ทหารของผู้ว่าการที่ถูกแต่งตั้งโดยแพนดีเซีย พวกเขาสวมเสื้อเกราะสีแดงอันโดดเด่น เธอรู้สึกไม่พอใจทันทีที่มองเห็น รู้สึกขุ่นเคืองเช่นเดียวกับคนทั้งหมดของเธอ การมาของทหารของลอร์ดไม่ต่างอะไรกับการกดขี่ และยิ่งในช่วงเหมันต์จันทรา เมื่อพวกเขามาเยือนที่นี่ พวกเขาสามารถเรียกร้องทุกสิ่งที่ต้องการจากผู้คนของเธอ พวกเขาอันธพาล เหมือนแร้งที่รุมทึ้งซากสัตว์ พวกเขาเป็นขุนนางที่น่ารังเกียจ แต่งตั้งตัวเองขึ้นมามีอำนาจ นับตั้งแต่การรุกรานของเเพนดีเซีย

ต้องโทษความอ่อนแอของพระราชาองค์ก่อนที่ยอมจำนนต่อพวกเขา ความอับอายครั้งนั้นทำให้พวกเราต้องทำตามคนเหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้ไคร่ารู้สึกโกรธ พ่อของเธอผู้เป็นนักรบที่ยอดเยี่ยม และผู้คนทั้งหมด ไม่ต่างอะไรกับทาสรับใช้ เธออยากให้ทุกคนลุกขึ้นสู้เพื่ออิสรภาพของพวกเขา เผชิญหน้ากับสงครามที่พระราชาองค์ก่อนหวาดกลัว แต่ก็คงไม่มีหวัง เพราะไคร่ารู้ดีว่าหากพวกเขาลุกขึ้นสู้ตอนนี้ พวกเขาจะต้องพบกับพลังอำนาจของกองทัพแพนดิเซีย บางทีพวกเขาอาจจะยับยั้งแพนดิเซียไว้ได้ ถ้าไม่เคยปล่อยให้พวกมันเข้ามา แต่ตอนนี้พวกมันเข้ามาในฐานที่มั่นแล้ว พวกเขาจึงมีตัวเลือกไม่มาก

เมื่อเดินมาถึงสะพาน ผู้คนในฝูงชนต่างหยุดดู จ้องมอง และชี้มาที่หมูป่า ไคร่ารู้สึกพอใจเล็กน้อยที่เห็นพี่ชายของเธอเหงื่อแตกกับการแบกหมูป่ามา หอบฮืดฮาดอย่างเหนื่อยล้า เมื่อพวกเขาเดินผ่านไป ทุกคนหันมองตามและอ้าปากค้าง ไม่ว่าจะคนทั่วไปและนักรบ ทั้งหมดต่างรู้สึกตกตะลึงที่เห็นสัตว์ร้ายตัวใหญ่มหึมา เธอสังเกตเห็นแววตาบางคู่ที่แฝงด้วยความสงสัย บางคนกำลังสงสัยเหมือนอย่างที่เธอคิด ว่านี่จะเป็นลางร้ายหรือไม่

สายตาทุกคู่มองมาที่พี่ชายของเธอด้วยความภูมิใจ

“เป็นการล่าที่ดีสำหรับงานเทศกาล” ชาวนาตะโกนบอก ในขณะที่เดินจูงวัวของเขาเข้ามา

แบรนดอนและแบรกซ์ตันยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

“นั่นจะทำให้คนของพ่อเจ้าอิ่มกันครึ่งบ้านเลยทีเดียว!” คนแล่เนื้อตะโกนออกมา

“พวกเจ้าจัดการมันได้อย่างไร?” คนทำอานม้าถาม

พี่น้องทั้งสองมองหน้ากัน แล้วแบรนดอนก็ยิ้มตอบไป

“ท่วงท่าการขว้างที่ดีและไร้ซึ่งความกลัว” เขาตอบอย่างกล้าหาญ

“ถ้าเจ้าไม่ออกไปเสี่ยงภัยในป่า” แบรกซ์ตันเสริม “เจ้าก็ไม่มีทางรู้ว่าจะพบกับอะไรบ้าง”

บางส่วนส่งเสียงเชียร์และปรบมือแก่พวกเขา แม้ว่าไคร่าจะรู้อยู่แก่ใจ แต่เธอก็ต้องห้ามปากตัวเองไว้ เพราะเธอไม่ต้องการความเห็นชอบของผู้คนเหล่านี้ เธอรู้ในสิ่งที่เธอได้ทำ

“พวกเขาไม่ได้สังหารหมูป่า!” ไอดานตะโกนออกมา

“เจ้าน่ะหุบปากซะ” แบรนดอนหันมาและส่งเสียงขู่ “ถ้ายังไม่หยุด ข้าจะบอกทุกคนว่าเจ้าฉี่รดกางเกงตอนที่หมูป่าพุ่งเข้าใส่”

“แต่ข้าไม่ได้ทำ!” ไอดานค้าน

“คิดว่าพวกเขาจะเชื่อเจ้าหรือ?” แบร็กซ์ตันเสริม

แบรนดอนและแบรกซ์ตันต่างพากันหัวเราะ ไอดานมองมาที่ไคร่า ราวกับต้องการรู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไร

ไคร่าส่ายหัว

“อย่าเสียเวลาเลย” เธอพูดกับเขา “ความจริงย่อมปรากฏ”

ความหนาแน่นของฝูงชนเพิ่มมากขึ้นเมื่อพวกเขาข้ามสะพานเข้ามา ผู้คนมากมายเดินไหล่ชนกันในขณะข้ามคูเมือง ไคร่ารับรู้ได้ถึงความตื่นเต้นท่ามกลางบรรยากาศของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า คบไฟถูกจุดขึ้นตามแนวสะพาน หิมะตกหนักมากขึ้น เธอมองไปยังเบื้องหน้า หัวใจของเธอเต้นรัวเช่นทุกครั้ง ประตูหินโค้งขนาดมหึมาที่มุ่งสู่ป้อมปราการได้รับการคุ้มกันโดยคนของพ่อ ด้านบนเป็นเหล็กแหลมของประตูปิดที่ถูกยกให้สูงขึ้น ปลายเหล็กนั้นหนาและถูกลับจนแหลมคม แข็งแรงพอสำหรับการยับยั้งศัตรู พร้อมที่จะปิดลงตลอดเวลาเมื่อได้ยินเสียงแตร ประตูเข้าออกนี้สูงสามสิบฟุต ข้างบนเป็นพื้นเรียบที่แผ่ขยายไปทั่วป้อมปราการ ใบเสมาขนาดกว้างบนกำแพงที่ทำจากหินมีคนเฝ้าประจำการอยู่ เพื่อดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โวลิสเป็นป้อมปราการชั้นเลิศ ไคร่ามักจะคิดเช่นนี้เสมอ เธอรู้สึกภูมิใจมากยิ่งขึ้นเมื่อกองกำลังของพ่อที่อยู่ภายใน เหล่านักรบชั้นยอดของเอสคาลอนจำนวนมาก ค่อย ๆ กลับมารวมตัวกัน หลังจากกระจัดกระจายกันไป นับตั้งแต่การยอมแพ้ของพระราชาองค์ก่อน มันเหมือนการดึงดูดกลับสู่แม่เหล็ก กลับมาหาพ่อของเธอ หลายครั้งที่เธอคอยรบเร้าให้พ่อประกาศตัวเองเป็นพระราชาองค์ใหม่ เช่นเดียวกับที่ผู้คนต่างต้องการ แต่พ่อเพียงแค่ส่ายหัวและพูดว่ามันไม่ใช่วิถีของเขา

เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ประตู คนของพ่อเธอจำนวนหนึ่งควบม้าพุ่งออกมา ผู้คนต่างหลีกทางให้ พวกเขากำลังออกไปยังสนามซ้อมรบ คันดินทรงกลมในสนามนอกป้อมที่ล้อมรอบด้วยกำแพงหินเตี้ย ๆ ไคร่าหันมองตาม หัวใจของเธอเต้นรัวขึ้น สนามซ้อมรบคือสถานที่ที่เธอชอบมากที่สุด เธอสามารถนั่งมองพวกเขาฝึกซ้อมได้หลายชั่วโมง คอยศึกษาทุกการเคลื่อนไหว วิธีการขี่ม้า วิธีการชักดาบ การเขวี้ยงหอกและการเหวี่ยงลูกตุ้ม คนเหล่านี้ขี่ม้าออกไปฝึกซ้อมแม้ว่าจะใกล้ค่ำและหิมะตกหนัก แม้แต่วันก่อนวันหยุดเฉลิมฉลอง เพราะพวกเขาต้องการที่จะฝึกซ้อม เพื่อพัฒนาทักษะให้ดียิ่งขึ้น พวกเขาต้องการอยู่ในสมรภูมิมากกว่ากินเลี้ยงอยู่ในที่ร่ม เช่นเดียวกับเธอ เธอรู้สึกได้ว่าคนเหล่านี้คือคนของเธออย่างแท้จริง

คนของพ่อเธออีกกลุ่มเดินเท้าออกมา ในขณะที่ไคร่าเข้าใกล้ประตูพร้อมกับพี่น้องของเธอ คนเหล่านี้หลบออกไปด้านข้าง สร้างทางเดินให้กับแบรนดอนและแบร็กซ์ตันพร้อมหมูป่า พวกเขาผิวปากอย่างชื่นชมและกรูกันเข้ามารอบ ๆ ผู้ชายตัวโตกล้ามใหญ่ร่างสูง สูงกว่าพี่ชายทั้งสองของเธอ พวกเขาส่วนใหญ่มีหนวดเคราสีดำและสีเทา พวกผู้ชายที่ดูเจนโลกเหล่านี้มีอายุราวสามสิบถึงสี่สิบปี พวกเขาเห็นสงครามมานักต่อนัก ผู้ซึ่งเคยรับใช้พระราชาองค์ก่อนและต้องทนทรมานกับความอัปยศจากการยอมจำนนของเขา ผู้ชายซึ่งไม่คิดที่จะยอมสยบต่อเจตนารมณ์ของตัวเอง พวกเขาผ่านเรื่องราวมาหลายอย่างและไม่ค่อยยินดีกับอะไรมากนัก แต่พวกเขาดูเหมือนจะเห็นด้วยกับเรื่องหมูป่า

“เจ้าสังหารมันด้วยตัวเองหรือ?” หนึ่งในพวกเขาถามแบรนดอน เข้ามามอวดูใกล้ ๆ

ผู้คนกรูกันเข้ามาเยอะมากขึ้น แบรนดอนและแบร็กซ์ตันหยุดเดิน รับการยกย่องและการชื่นชมจากผู้ชายที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ พยายามไม่แสดงออกให้เห็นว่าพวกเขากำลังหายใจลำบาก

“ใช่แล้ว พวกข้าเป็นคนจัดการ” แบรกซ์ตันตะโกนออกมาอย่างภูมิใจ

“เขาดำ” เสียงอุทานของนักรบอีกคน เดินเข้ามาใกล้ ๆ แล้วใช้มือลูบลงบนหลังหมูป่า “ไม่เคยเห็นมันเลยตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็ก ข้าเคยร่วมสังหารตัวหนึ่ง แต่ข้าอยู่กันเป็นกลุ่ม และสองคนต้องสูญเสียนิ้วของพวกเขา”

“งั้นหรือ เราไม่สูญเสียอะไรเลย” แบร็กซ์ตันตะโกนออกมาอย่างห้าวหาญ “เพียงแค่ปลายหอก”

ไคร่ารู้สึกโกรธที่คนเหล่านี้กำลังหัวเราะ และชื่นชมกับการสังหาร ในเวลาเดียวกัน เอนวิน ผู้นำของนักรบเหล่านี้ ก้าวออกมาข้างหน้าและตรวจสอบการสังหารอย่างใกล้ชิด เหล่านักรบถอยห่าง และหลีกทางให้เขาอย่างเคารพ

เอนวินเป็นผู้บังคับบัญชาของพ่อ เขาคือนักรบคนโปรดของเธอในบรรดาทั้งหมด เขาทำตามคำสั่งของพ่อเท่านั้น เอนวินเป็นผู้นำของนักรบชั้นยอดเหล่านี้ เขาเหมือนกับพ่อคนที่สองของเธอ เธอรู้จักเขามานานตั้งแต่จำความได้ เขารักเธออย่างทะนุถนอม เขาให้ความสำคัญกับเธอเสมอ และมักจะมีเวลาให้เธอ คอยสอนเทคนิคการต่อสู้และการใช้อาวุธที่คนอื่นไม่คิดจะทำ เขาให้เธอมีโอกาสฝึกซ้อมร่วมกับผู้ชายหลายครั้ง เธอสนุกกับทุกอย่าง เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา และยังใจดีกับคนที่เขาชอบ แต่คนที่เขาไม่ชอบ ไคร่ารู้สึกกลัวแทนพวกเขา

เอนวินมีความอดทนน้อยสำหรับเรื่องโกหก เขาคือผู้ชายที่ต้องการรู้ความจริงทั้งหมด แม้ว่ามันจะไม่น่าฟังก็ตาม เขามีสายตาเฉียบคม เอนวินตรวจสอบหมูป่าอย่างใกล้ชิด เขาพิจารณารอยธนูทั้งสอง เขามองดูอย่างละเอียด ถ้าจะมีใครสามารถรับรู้ถึงความจริง คน ๆ นั้นก็คงเป็นเขา

เอนวินตรวจสอบสองบาดแผล เขาสังเกตเห็นหัวธนูขนาดเล็กที่ยังคงปักอยู่ข้างใน ชิ้นส่วนของไม้ถูกพี่ชายของเธอหักออก พวกเขาดึงออกเกือบสุด จึงไม่มีใครเห็นสิ่งที่ใช้สังหารหมูป่า แต่เอนวินไม่ใช่ใครคนอื่น

ไคร่ามองดูเอนวินศึกษาบาดแผล เขาหรี่ตาลง เหมือนใกล้ได้ข้อสรุป เอนวินถอดถุงมือออก เอื้อมลงไปที่ตาของหมูป่า และดึงหนึ่งในหัวธนูออกมา เขาชูมือที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้น และหันไปหาพี่ชายของเธอช้า ๆ ด้วยสีหน้าสงสัย

“รูจากหอกงั้นหรือ?” เขาถามอย่างไม่พอใจ

ความเงียบอันตึงเครียดก่อตัวขึ้น แบรนดอนและแบร็กซ์ตันดูประสาทเสียเป็นครั้งแรก ยืนบ่ายเบี่ยงอยู่กับที่

เอนวินหันมาหาไคร่า

“หรือมันคือหัวธนู?” เขาพูดต่อ ไคร่าสามารถมองเห็นความคิดที่กำลังแล่นในหัวของเขา เขากำลังจะได้ข้อสรุป

เอนวินเดินมาที่ไคร่า ดึงลูกธนูออกมาจากกระบอกของเธอ และเทียบหัวธนูทั้งสองเพื่อให้คนอื่นเห็น มันมีลักษณะเหมือนกันอย่างเห็นได้ชัด เขามองมาที่ไคร่าอย่างภูมิใจ ดูมีความหมาย ไคร่ารู้สึกว่าสายตาทั้งหมดจ้องมาที่เธอ

“ฝีมือของเจ้าไม่ใช่รึ?” เขาถามเธอ ดูเหมือนเป็นการประกาศมากกว่าคำถาม

เธอพยักหน้ากลับไป

“ใช่” เธอตอบอย่างเรียบง่าย เธอชอบเอนวินที่ให้การยอมรับและปกป้องเธอ

“และเป็นการยิงโค่นหมูป่า” เขาสรุป เสียงของเขาหนักแน่น

“ข้าไม่เห็นบาดแผลอื่นนอกจากสองแห่งนี้” เขาเสริม พลางลูบมือไปทั่วตัวของหมูป่า เขาหยุดมืออยู่ที่หู ตรวจสอบดู หันกลับมา มองไปที่แบรนดอนและแบร็กซ์ตันอย่างเหยีดหยัน “เว้นแต่เจ้าจะเรียกรอยข่วนจากคมหอกนี้ว่าบาดแผล”

เขาชูหูของหมูป่าขึ้นมา แบรนดอนและแบร็กซ์ตันหน้าแดงก่ำในขณะที่กลุ่มนักรบหัวเราะ

นับรบที่มีชื่อเสียงอีกคนของพ่อก้าวเท้าออกมาข้างหน้า เขาคือไวดาร์ เขาเป็นเพื่อนสนิทของเอนวิน ชายหนุ่มอายุราวสามสิบ รูปร่างเตี้ย ผอมบาง พร้อมใบหน้าซูบซีด และรอยแผลเป็นทั่วจมูกของเขา ไวดาร์แข็งแกร่งดั่งหิน เขามีชื่อเสียงด้านการต่อสู้มือเปล่า เขาคือผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุดที่ไคร่าเคยพบ เขาสามารถล้มคนร่างยักษ์สองคนที่มีรูปร่างใหญ่กว่าสองเท่า ขนาดตัวของเขาทำให้ผู้ชายหลายต่อหลายคนคิดผิดเมื่อเผชิญหน้ากัน พวกเขาต่างได้บทเรียนจากการเจ็บตัว ไวดาร์ยังเป็นคนที่คอยดูแลไคร่า และคุ้มครองเธอ

“ดูเหมือนพวกเขาจะพลาด” ไวดาร์สรุป “เด็กผู้หญิงช่วยเขาเอาไว้ ใครสอนเจ้าทั้งสองให้ขว้าง?”

แบรนดอนและแบร็กซ์ตันดูเคร่งเครียดมากขึ้น พวกเขาถูกจับได้ว่าโกหก และไม่พูดคำใด ๆ ออกมา

“การโกหกเกี่ยวกับการสังหาร ถือเป็นเรื่องร้ายแรง” เอนวินพูดอย่างเคร่งขรึม เขาหันกลับที่พี่ชายของเธอ “บอกความจริงมา พ่อของพวกเจ้าต้องการให้พูดความจริง”

แบรนดอนและแบร็กซ์ตันยืนนิ่ง ดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด พวกเขามองหน้ากัน กำลังคิดว่าจะพูดอะไรออกไป พวกเขาอ้ำอึ้งพูดไม่ออก นี่เป็นครั้งแรกที่ไคร่าเห็นพวกเขาเป็นแบบนี้

ในขณะที่พวกเขากำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้น เสียงของคนนอกได้ดังข้ามผ่านฝูงชน

“ไม่สำคัญว่าใครเป็นคนสังหาร” เสียงหนึ่งพูดออกมา “ตอนนี้มันเป็นของพวกเราแล้ว”

ไคร่าหันกลับไปมองพร้อมกับคนอื่น ๆ ตกใจกับน้ำเสียงที่หยาบกร้าน และไม่คุ้นเคย เธอรู้สึกเคว้งคว้างในท้อง เมื่อเธอเห็นกลุ่มคนของลอร์ด โดดเด่นอยู่ในชุดเกราะสีแดง พวกเขากำลังเดินฝ่าฝูงชน ชาวบ้านต่างหลีกทางให้ พวกเขาเดินเข้ามาใกล้หมูป่าและมองอย่างละโมบ ไคร่ารับรู้ได้ว่าพวกเขาต้องการอนุสรณ์แห่งการสังหารนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาอยากได้ แต่มันคือวิธีการระรานคนของเธอ เพียงเพื่อแย่งความภาคภูมิใจไปจากพวกเขา เลโอขู่คำรามอยู่ข้างเธอ เธอวางมือลงบนคอเพื่อให้มันถอยออกไป

“ในนามของท่านลอร์ดผู้ว่า” คนของลอร์ดพูด ทหารร่างท้วม คิ้วต่ำหนา พุงโต และใบหน้าโง่เขลา “เราขออ้างสิทธิ์ในหมูป่าตัวนี้ เขาขอขอบคุณล่วงหน้ากับของขวัญของพวกเจ้าสำหรับเทศกาลวันหยุด”

เขาชี้นิ้วไปที่คนของเขา พวกเขาก้าวออกมาข้างหน้า กำลังจะคว้าหมูป่า

เมื่อพวกเขาจะทำเช่นนั้น เอนวินก้าวออกมาข้างหน้าทันทีเพื่อขวางพวกเขาไว้ โดยมีไวดาร์อยู่ข้างกาย

ความเงียบงันปกคลุมฝูงชนอีกครั้ง ไม่เคยมีใครกล้าเผชิญหน้ากับทหารของลอร์ด แม้ว่าไม่ได้เป็นกฎที่เขียนเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครต้องการจุดชนวนความโกรธของแพนดีเซีย

“ข้าสามารถบอกได้ว่า ไม่มีใครเสนอรางวัลให้พวกเจ้า” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นดุจเหล็กกล้า “หรือท่านลอร์ดผู้ว่าของเจ้า”

ผู้คนต่างรวมตัวกันเพื่อดูการเผชิญหน้าอันดุเดือดนี้ ในขณะที่คนอื่น ๆ ถอยห่างออกไป เพื่อสร้างพื้นที่สำหรับคนสองคน บรรยากาศแห่งความตึงเครียดทวีความรุนแรงมากขึ้น

ไคร่ารับรู้ได้ถึงเสียงของหัวใจที่กำลังเต้นรัว เธอจับธนูในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว เหตุการณ์กำลังจะบานปลาย มากพอที่จะทำให้เธอต้องการสู้ เธอต้องการอิสรภาพ เธอรู้ว่าคนของเธอไม่ควรทำให้ลอร์ดผู้ว่าโกรธ เพราะพวกเธอคงไม่อาจรับมือได้ เว้นแต่จะมีปาฏิหาริย์บางอย่างที่ช่วยทำให้สามารถจัดการได้ จักรวรรดิแพนดีเซียคอยหนุนหลังพวกเขาอยู่ พวกเขาสามารถสั่งกองกำลังขนาดใหญ่เทียบเท่าผืนทะเล

ในขณะเดียวกันไคร่ากลับรู้สึกภูมิใจที่เอนวินออกมาแสดงตัวต่อหน้าพวกเขา ในที่สุดก็มีคนที่กล้าทำเช่นนี้

ทหารจ้องมองเอนวินอย่างไม่พอใจ

“เจ้ากล้าปฏิเสธท่านลอร์ดผู้ว่าของเรางั้นหรือ?” เขาถาม

เอนวินยังคงยืนกราน

“หมูป่าตัวนี้เป็นของเรา ไม่มีใครมอบมันให้พวกเจ้า” เอนวินพูด

“มันเคยเป็นของพวกเจ้า” ทหารแก้คำพูด “และตอนนี้มันเป็นของพวกเราแล้ว” เขาหันหลังกลับ “เอาหมูป่าไป” เขาสั่งการ

ทหารของลอร์ดเดินข้ามา ทันใดนั้นกลุ่มทหารของพ่อไคร่าก้าวเท้าออกมาข้างหน้า หนุนหลังเอนวินและไวดาร์ ขวางทางทหารของลอร์ด ต่างเตรียมพร้อมกับอาวุธของพวกเขา

ความตึงเครียดมาคุมากขึ้น ไคร่าจับธนูแน่นจนกำปั้นของเธอกลายเป็นสีขาว เธอรู้สึกแย่ในขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้น เธอคิดว่าเธอต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้ การสังหารหมูป่าของเธอ เธอสังหรณ์ถึงเรื่องร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอไม่พอใจพี่ชายของเธอที่นำลางร้ายนี้เข้ามายังหมู่บ้านของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่ำคืนแห่งเหมันต์จันทรา ซึ่งมีการเล่าขานกันมายาวนานว่าเรื่องประหลาดมักเกิดขึ้นในวันหยุด ช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์เมื่อความตายสามารถข้ามภพจากอีกโลกหนึ่ง ทำไมพี่ของเธอต้องท้าทายวิญญาณด้วยวิธีนี้?

เมื่อเหล่าทหารเผชิญหน้ากัน ทหารของพ่อเตรียมพร้อมที่จะชักดาบออกมา ทั้งหมดกำลังจะละเลงเลือด ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา ทำลายความเงียบงัน

“การสังหารนี้เป็นของเด็กผู้หญิง” เสียงดังกล่าวพูด

มันเป็นเสียงที่ดังมาก เต็มไปด้วยความมั่นใจ เสียงของคำสั่งการ เสียงที่ไคร่านับถือและเคารพมากกว่าใครในโลกนี้ พ่อของเธอ ผู้บัญชาการดันแคน

สายตาทั้งหมดหันไป พ่อของเธอเดินใกล้เข้ามา ฝูงชนต่างหลีกทางให้อย่างเคารพยกย่อง เขายืนอยู่ที่นั่น ชายรูปร่างใหญ่ดุจภูเขา สูงกว่าคนอื่นสองเท่า และไหล่ที่กว้างกว่าคนทั่วไปสองเท่า เคราของเขาสีน้ำตาล ผมสีน้ำตาลยาวสลับกับสีเทา สวมขนสัตว์ไว้บนบ่า แบกดาบยาวสองเล่มบนเข็มขัด พร้อมหอกไขว้ที่หลัง สวมเกราะสีดำของโวลิสที่มีรูปสลักมังกรอยู่บนอก แสดงถึงสัญลักษณ์ของกลุ่ม อาวุธของเขาเต็มไปด้วยรอยบากและรอยขูดขีด อันเกิดจากประสบการณ์และการต่อสู้มากมายนับไม่ถ้วน เขาคือชายที่น่าเกรงกลัว ชายที่น่ายกย่อง ชายผู้มีความเที่ยงธรรม เหนือสิ่งอื่นใด เขาเป็นชายที่รักและเคารพนับถือ

“มันคือการสังหารของไคร่า” เขาพูดย้ำ มองไปยังพี่ชายของเธอด้วยความผิดหวัง แล้วหันกลับมามองไคร่า โดยไม่สนใจทหารของลอร์ด “ไคร่าจะเป็นคนตัดสินชะตาของมัน”

ไคร่ารู้สึกตกใจกับคำพูดของพ่ออย่างยิ่ง เธอไม่คิดว่ากลายจะเป็นแบบนี้ ไม่คิดว่าพ่อจะผลักความรับผิดชอบให้มาอยู่ในมือของเธอ การปล่อยให้เธอทำการตัดสินใจอันหนักอึ้ง นี่ไม่ใช่เพียงแค่การตัดสินใจแค่เรื่องหมูป่า พวกเขาต่างรู้ดี แต่มันคือการตัดสินใจที่เกี่ยวกับชะตากรรมของทุกคนที่อยู่ภายใต้ป้อมปราการแห่งนี้

ทหารต่างยืนเรียงแถวอย่างดุดันคนละฝั่ง ทั้งหมดถือดาบอยู่ในมือ เธอมองดูพวกเขา ทุกคนมองมาที่เธอ รอการตัดสินใจจากเธอ เธอตระหนึกถึงสิ่งที่ต้องเลือก คำที่กำลังจะเอ่ย เพราะมันจะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในชีวิตของเธอ

บทที่สี่

เมิร์คค่อย ๆ เดินลงมาจากป่า แหวกตัวผ่านต้นไวท์วูด พลางนึกย้อนถึงชีวิตที่ผ่านมา สี่สิบปีของเขานับเป็นช่วงเวลาที่ช่างยากลำบาก เขาไม่เคยเดินทางในป่า ไม่เคยได้ใช้เวลาชื่นชมกับความงดงามรอบตัว เขาก้มลงดูใบไม้สีขาวที่ถูกบดละเอียดอยู่ใต้ฝ่าเท้า สลับกับเสียงของไม้เท้าที่แตะลงบนผืนป่าอันอ่อนนุ่ม ในขณะที่เดินไปนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองความสวยงามของต้นอีสป ที่ปกคลุมด้วยใบสีขาวสว่างและกิ่งก้านประกายแดง ส่องแสงระยิบระยับรับอรุณแรกยามเช้า ใบของมันกำลังร่วงหล่น โปรยปรายลงมาราวกับหิมะ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้สัมผัสกับความสงบสุขอย่างแท้จริง

รูปร่างและความสูงของเขาเหมือนกับคนทั่วไป เขามีผมสีดำเข้ม หนวดเครารุงรัง กรามกว้าง คางยาว โหนกแก้มยื่นออกมา และดวงตาสีดำโตที่มีรอยคล้ำใต้ตา สภาพของเมิร์คตอนนี้ราวกับว่าเขาไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว ในที่สุด เขาก็รู้สึกเหมือนได้พักผ่อนจริง ๆ เสียที ที่แห่งนี้ในเขตเยอร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเอสคาลอนไม่มีหิมะตก ลมหนาวจากมหาสมุทรพัดโชยมา ต่างจากทางตะวันตกที่มีอากาศอบอุ่นกว่าและใบไม้หลากสีสัน ทำให้เมิร์คสามารถค้างคืนได้โดยการใส่เสื้อคลุมแค่ตัวเดียว ไม่ต้องกลัวอากาศหนาวเย็นเหมือนในเอสคาลอน เขาเริ่มเคยชินกับการสวมใส่เสื้อคลุมแทนชุดเกราะ ถือไม้เท้าแทนดาบ แตะใบไม้ด้วยไม้เท้าของเขาแทนการทิ่มแทงศัตรูด้วยคมมีด ทั้งหมดเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขา เขาอยากสัมผัสถึงความรู้สึกที่ได้กลายเป็นคนใหม่ตามที่เขาปรารถนา มันเป็นความสงบสุข แต่ดูน่าอึดอัดใจ ราวกับว่าเขากำลังเสแสร้งเป็นใครบางคนที่ไม่ใช่ตัวตนของเขา

เมิร์คไม่ใช่นักเดินทาง ไม่ใช่พระ หรือผู้ชายรักสงบทั่วไป เขายังคงเป็นอย่างเคย สิ่งที่อยู่ในสายเลือดของเขา การเป็นนักรบและไม่ใช่เพียงแค่นักรบทั่วไป เขาคือชายที่ต่อสู้ด้วยกฎของเขาเอง ผู้ซึ่งไม่เคยพ่ายแพ้ในการต่อสู้ใด ๆ เขาคือชายผู้ไม่เกรงกลัวแม้แต่การต่อสู้ในลานประลองทวน ตลอดจนตรอกท้ายโรงเตี๊ยมซึ่งเป็นสถานที่โปรดของเขา บางคนเรียกเขาว่านักรบรับจ้าง นักฆ่า นักดาบรับจ้าง เขาได้รับการขนานนามหลากหลายชื่อ บ้างก็ดูเกินจริงไปหน่อย แต่เมิร์คไม่สนใจกับชื่อเหล่านั้น เขาไม่สนว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ทั้งหมดที่เขาสนใจคือเขาเป็นคนหนึ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด

เพื่อให้เหมาะสมกับบทบาทของเขา เมิร์คได้เปลี่ยนชื่อมามากมายด้วยตัวของเขาเอง เขาเปลี่ยนตามอำเภอใจ เขาไม่ชอบชื่อที่พ่อของเขาตั้งให้ อันที่จริง เขาไม่ชอบพ่อ และเขาไม่ใช่คนที่จะดำเนินชีวิตตามที่คนอื่นบงการ เมิร์คคือชื่อที่เปลี่ยนมาใช้บ่อยที่สุด และตอนนี้เขาชอบชื่อนี้ เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะเรียกเขาอย่างไร เขาสนเฉพาะสองสิ่งในชีวิต นั่นคือ การค้นหาตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการปักคมมีด และผู้ว่าจ้างต้องจ่ายรางวัลให้เขาด้วยทองคำใหม่เอี่ยมในปริมาณมาก

เมิร์คค้นพบเมื่อตอนเด็กว่าเขามีพรสรรค์โดยกำเนิด สิ่งที่เขาทำเหนือกว่าคนอื่น ๆ พี่ชาย พ่อและบรรพบุรุษที่มีชื่อเสียงทั้งหมดของเขาดูภาคภูมิใจกับการเป็นอัศวินที่มีเกียรติ สวมชุดเกราะที่ดีที่สุด กวัดแกว่งด้วยเหล็กที่ดีที่สุด เคลื่อนไหวอย่างอิสระบนม้า โบกสะบัดตราสัญลักษณ์ไปมาพร้อมผมที่มีกลิ่นเหมือนดอกไม้ และเอาชนะการแข่งขันที่ผู้หญิงต่างโยนดอกไม้มาที่เท้าของพวกเขา นั่นเป็นความภูมิใจสูงสุดของพวกเขา

เมิร์คเกลียดงานเอิกเกริก การเป็นที่สนใจ อัศวินทั้งหมดเหล่านั้นดูเหมือนจะงุ่มง่ามในการสังหาร ไร้ประสิทธิภาพที่สุด เมิร์คไม่เคยรู้สึกเคารพหรือยอมรับในตัวพวกเขา แม้แต่เครื่องหมาย ตราสัญลักษณ์หรือปลอกแขนที่เหล่าอัศวินโหยหา พวกเขาขาดสิ่งสำคัญมากที่สุด มันคือทักษะในการคร่าชีวิตคนอย่างรวดเร็ว เงียบเชียบ และมีประสิทธิภาพ เขาไม่มีอะไรในใจที่จะพูดถึงอีกแล้ว

เมื่อครั้งที่เขายังเด็ก เพื่อนเขาตัวเล็กเกินไปที่จะปกป้องตัวเองและมักถูกรังแกอยู่เสมอ พวกเขามาหาเมิร์ค เพราะรู้ว่าเขาเก่งกาจเรื่องดาบ เมิร์ครับเงินมาและทำหน้าที่ปกป้องพวกเขา พวกอันธพาลไม่เคยกลับมารังแกพวกเขาอีกเลย ความกล้าหาญของเมิร์คได้รับการบอกกล่าวต่อกันไปอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการฆ่าคนของเขาพัฒนามากขึ้น และเขาได้รับเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

เมิร์คสามารถกลายป็นอัศวิน นักรบผู้มีชื่อเสียงเช่นเดียวกับพี่ชายของเขา แต่เขาเลือกที่จะอยู่ในด้านมืด ชัยชนะคือสิ่งที่เขาสนใจ ความตายอย่างมีประสิทธิภาพ เขาค้นพบว่าอัศวินผู้มีอาวุธอันงดงามและชุดเกราะขนาดใหญ่นั้นไม่สามารถสังหารเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วแม้แต่ครึ่งหนึ่งเช่นที่เขาทำ ชายผู้โดดเดี่ยวสวมเสื้อหนังและมีดอันคมกริบ

ในขณะที่เมิร์คเดินไต่เขาและใช้ไม้เท้าปักลงบนใบไม้ เขานึกถึงคืนหนึ่งในโรงเตี๊ยมที่ได้อยู่กับพี่น้องของเขา ดาบถูกชักออกมาพร้อมกับอัศวินคู่แค้น พี่ชายของเขาถูกล้อมรอบ พวกมันมีจำนวนมากกว่า และในขณะที่อัศวินแฟนซียืนอยู่ในงานเลี้ยง เมิร์คไม่ลังเล เขาปากริชข้ามตรอกและตัดคอของพวกมันทั้งหมดก่อนที่พวกมันจะทันชักดาบออกมา

แทนที่พี่ของเขาจะขอบคุณที่ได้รับการช่วยชีวิต พวกเขากลับตีตัวออกห่าง พวกเขาหวาดกลัวและดูถูกเมิร์ค นั่นคือการขอบคุณที่เขาได้รับ การทรยศทำให้เมิร์คเจ็บปวดเหนือการสรรหาคำพูดใดมาอธิบาย เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแตกแยก ความสูงส่ง ความกล้าหาญทั้งหมด ล้วนเป็นสิ่งหลอกลวงในสายตาของเมิร์ค พวกเขาเดินจากไปด้วยเกราะที่เงางามและเหยียดหยันเมิร์ค ถ้าไม่ใช่เพราะฝีมือและคมมีดของเขา พวกนั้นคงนอนตายอยู่หลังตรอกตั้งแต่วันนั้นแล้ว

เมิร์คเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ พลางถอนหายใจ พยายามละทิ้งอดีตที่ผ่านมา เขาตระหนักได้ว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่เข้าใจที่มาของพรสวรรค์ในตัว อาจเป็นเพราะเขารวดเร็วและว่องไว ไม่ก็ความเร็วของมือและข้อมือ เขาอาจมีพรสวรรค์พิเศษในการค้นหาจุดสำคัญของมนุษย์ก็เป็นได้ หรืออาจเป็นเพราะเขาไม่เคยลังเลที่จะก้าวไปอีกขั้น การทิ่มแทงครั้งสุดท้ายที่ทุกคนต่างกลัว อาจเพราะเขาไม่เคยต้องลงมือซ้ำสอง หรือเพราะว่าเขาสามารถทำได้โดยไม่ต้องเตรียมการ สังหารได้ด้วยเครื่องมือทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นปากกาขนนก ค้อน ท่อนไม้เก่า เขาสามารถสร้างสรรค์ได้ไม่จำกัด พลิกแพลงได้มากกว่าคนอื่นและว่องไวกว่า นับเป็นการผสมผสามอันน่าสะพรึงกลัว

เมื่อโตขึ้นมา อัศวินที่ภาคภูมิใจเหล่านั้นได้ตีตัวออกห่างจากเขา แม้แต่แสดงการเยาะเย้ยเขาผ่านลมหายใจ (ไม่มีใครเคยเยาะเย้ยเขาต่อหน้า) แต่ตอนนี้พวกเขาแก่ตัวลง อำนาจของพวกเขาเสื่อมถอย ในขณะที่ชื่อเสียงของเมิร์คกระจายไปทั่ว เขาคือคนที่ได้รับการเกณฑ์ไปโดยพระราชา พวกเขาทั้งหมดถูกลืม เพราะพี่ของเขาไม่เคยเข้าใจว่า ความกล้าหาญ ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้พระราชาเป็นพระราชา แต่ความน่ารังเกียจ ความรุนแรงป่าเถื่อน ความกลัว การกำจัดศัตรูทีละคน และการสังหารที่น่าสยดสยองที่ไม่มีใครอยากทำ ล้วนเป็นสิ่งที่สร้างพระราชา เขาคือคนที่ได้รับการพิจารณาเมื่อต้องการงานที่แท้จริงสำหรับสิ่งที่พระราชาต้องสะสาง

การปักไม้เท้าลงบนพื้นแต่ละครั้งทำให้เมิร์คนึกถึงเหยื่อแต่ละรายของเขา เขาได้สังหารศัตรูที่เลวร้ายที่สุดของพระราชาโดยไม่ใช้พิษ ภารกิจนั้นเขาต้องใช้มือสังหารกระจอก ๆ นักผสมยา หญิงสาวล่อใจ รายที่เลวร้ายที่สุดคือพวกเขาต้องการสังหารพร้อมคำแถลง และการทำเช่นนั้น พวกเขาจำเป็นต้องใช้เมิร์ค เพื่อทำบางอย่างที่สยดสยอง การป่าวประกาศด้วยมีดในลูกตา ทิ้งร่างเอาไว้กลางจัตุรัสเมือง ห้อยโตงเตงจากหน้าต่าง เพื่อให้ทุกคนมองเห็นในตอนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อให้ทุกคนสงสัยว่าใครกันที่กล้าคิดต่อต้านพระราชา

เมื่อกษัตริย์ทาร์นิส ผู้เป็นพระราชาองค์ก่อนยอมจำนนต่ออาณาจักรแพนดีเซีย เมิร์คถูกให้ความสำคัญน้อยลง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกไร้จุดหมาย การไม่มีพระราชาให้รับใช้ทำให้เขารู้สึกเคว้งคว้าง บางอย่างที่อยู่ภายในก่อตัวขึ้นมา เหตุผลบางอย่างเขาไม่เข้าใจ เขาเริ่มสงสัยเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง ชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดของเขาถูกครอบงำด้วยความตาย การเข่นฆ่า การพรากชีวิต ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่าย ง่ายเกินไป แต่ตอนนี้ บางอย่างภายในตัวของเขากำลังเปลี่ยนแปลง ราวกับว่าเขาแทบจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพื้นที่มั่นคงใต้ฝ่าเท้า เขารู้อยู่เสมอว่าชีวิตบอบบางขนาดไหน การพรากชีวิตง่ายดายเพียงใด แต่ตอนนี้เขาเริ่มสงสัยเกี่ยวกับการรักษาชีวิต ชีวิตช่างบอบบาง การรักษาชีวิตไม่น่าท้าทายมากกว่าการแย่งชิงชีวิตหรือ?

และนอกจากตัวของเขาเองแล้ว เขาเริ่มสงสัยว่าสิ่งที่เขาแย่งชิงจากผู้อื่นคืออะไร?

เมิร์คไม่รู้ว่าอะไรจุดประกายให้เขาย้อนดูตัวเอง แต่มันทำให้เขาไม่สบายใจอย่างยิ่ง บางอย่างเผยออกมาภายใต้จิตใจสำนึกของเขา ความรู้สึกสะอิดสะเอียน เขาเริ่มเบื่อหน่ายกับการเข่นฆ่า เขารู้สึกเกลียดชังการฆ่าที่สุดแม้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยมีความสุขกับมัน เขาหวังว่าจะมีบางสิ่งที่จุดชนวนเรื่องราวทั้งหมดนี้ สิ่งนั้นค่อย ๆ คืบคลานออกมาตัวจากเขาโดยไม่มีสาเหตุ และนั่นทำให้เขารำคาญอย่างที่สุด

เมิร์คไม่เหมือนกับนักรบรับจ้างคนอื่น ๆ เขาลงมือทำตามความเชื่อมั่นของเขาเท่านั้น เขาทำภารกิจได้เป็นอย่างดี ค่าจ้างสูงเกินไป ผู้ว่าจ้างเป็นคนสำคัญเกินไป เขาเริ่มมองไม่เห็นเส้นกั้น ยอมรับการฆ่าคนที่ไม่ได้ทำผิดอย่างเลี่ยงไม่ได้ และนั่นคือสิ่งที่กำลังรบกวนเขา

เมิร์คเริ่มปรารถนาการไม่ทำสิ่งใด เพราะเขาทำมาพอแล้ว เพื่อพิสูจน์กับผู้อื่นว่าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เขาต้องการลบเรื่องราวในอดีตทั้งหมด อยากย้อนคืนสิ่งที่ทำลงไป เพื่อเป็นการสำนึกผิด เขาได้ปฏิญาณตนกับตัวเองว่าเขาจะไม่ฆ่าใครอีกแล้ว ไม่แม้แต่จะยกนิ้วแตะต้องใคร เขาจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อเฝ้าขอพระเจ้าให้อภัย เพื่ออุทิศตัวของเขาในการช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อกลายเป็นคนที่ดีกว่าเดิม นั่นคือเรื่องราวทั้งหมดที่ได้นำเขามาสู่ป่าที่กำลังเดินอยู่ขณะนี้พร้อมไม้เท้าของเขา

เมิร์คมองเห็นเส้นทางป่าชันขึ้นและดิ่งลง ใบไม้สีขาวสะท้อนแสงพร่างพราว เขาตรวจสอบเส้นขอบฟ้าอีกครั้งเพื่อมองหาหอคอยเยอร์ แต่ยังคงไร้ซึ่งวี่แวว เขารู้ว่าท้ายที่สุดเส้นทางนี้ต้องนำเขาไปยังที่นั่น การเดินทางแสวงบุญครั้งนี้ได้เรียกหาเขามาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว เขาหลงใหลนิทานผู้เฝ้ามองตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ระเบียบลับของอัศวิน ครึ่งหนึ่งเป็นมนุษย์และอีกครึ่งเป็นบางอย่าง งานของเขาคือการสิงสถิตอยู่ในหอคอยทั้งสอง หอคอยเยอร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือและหอคอยโคสทางตะวันออกเฉียงใต้ คอยปกป้องโบราณวัตถุที่สำคัญที่สุดของอาณาจักร มันคือดาบแห่งเพลิงในตำนาน ที่เปลวไฟยังคงเผาไหม้อยู่ ไม่มีใครรู้ว่าดาบนี้อยู่ในหอคอยไหนกันแน่ ความลับที่ปกปิดไว้ไม่มีผู้ใดทราบ นอกจากผู้เฝ้ามองโบราณกาล ถ้ามันถูกเคลื่อนย้ายหรือถูกขโมย เปลวไฟอาจหายไปตลอดกาล และเอสคาลอนจะสุ่มเสี่ยงจากการโจมตี

เล่ากันว่าการยืนมองเหนือหอคอยคือการเรียกที่สูงส่ง มันเป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์และทรงเกียรติ ถ้าได้รับการยอมรับจากผู้เฝ้ามอง เมิร์คใฝ่ฝันถึงผู้เฝ้ามองมาตลอดชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก ยามเข้านอนตอนกลางคืน เขาเฝ้าสงสัยว่าการเข้าร่วมตำแหน่งนี้จะเป็นอย่างไร เขาต้องการปลดปล่อยตัวเองสู่ความสันโดษ การรับใช้ การย้อนมองตัวเอง และเขารู้ว่าไม่หนทางไหนดีกว่าการเป็นผู้เฝ้ามองอีกแล้ว เมิร์ครู้สึกว่าเขาพร้อมแล้ว เขาปลดเกราะเหล็กออกสวมเสื้อหนังแทน และถือไม้เท้าแทนดาบ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาผ่านพ้นราตรีได้โดยไม่ต้องเข่นฆ่าหรือทำร้ายผู้ใด เขาเริ่มรู้สึกดีกับตัวเอง

เมื่อเมิร์คขึ้นมาสู่ยอดเนินเขาเล็ก ๆ เขามองหาอย่างมีความหวัง หลังจากเดินมาทั้งวัน เขาหวังว่ายอดเขานี้ต้องเผยให้เห็นหอคอยเยอร์บนที่หนึ่งของเส้นขอบฟ้า แต่มันกลับว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดนอกจากป่ามากมายที่ทอดยาวสุดสายตา แต่เขารู้ว่าเขาใกล้ถึงแล้ว หลังจากการปีนเขามาหลายวัน หอคอยน่าจะอยู่ไม่ไกล

เมิร์คเดินลงไปตามเนินเขา ป่าเริ่มหนาขึ้น เมื่อเขาลงมาถึงข้างล่าง เขาพบกับต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ล้มขวางทางอยู่ เขาหยุดและมองดูมัน ชื่นชมกับขนาด กำลังคิดหาทางที่จะข้ามผ่านต้นไม้นี้

“ข้าว่านั่นน่าจะไกลมากพอแล้ว” เสียงอันร้ายกาจเปล่งออกมา

เมิร์ครับรู้ได้ถึงความประสงค์ร้ายที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงได้ทันที บางอย่างที่เขาเคยเชี่ยวชาญ เขาไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เขาได้ยินเสียงเหยียบใบไม้รอบตัวเขา และใบหน้าที่ปรากฏออกมาจากป่าช่างน่ากลัวยิ่งนัก แต่ละใบหน้าดูไม่เกรงกลัวต่อความตาย พวกมันคือใบหน้าของคนที่สังหารโดยไร้เหตุผล ใบหน้าของโจรทั่วไป นักฆ่าที่ออกล่าเหยื่อแบบสุ่มไปเรื่อย และความรุนแรงอันโง่เขลา ในสายตาของเมิร์ค พวกมันคือที่สุดของสิ่งชั้นต่ำ

เมิร์คถูกปิดล้อม เขาเดินเข้ามาในกับดัก รีบเพ่งสายตาไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็วโดยไม่ให้พวกมันทันสังเกต สัญชาตญาณเก่าของเขาตื่นตัว และเขานับได้ว่าพวกมันมีกันแปดคน ทั้งหมดถือมีดสั้น สวมชุดซอมซ่อ ใบหน้า มือและเล็บสกปรก ทั้งหมดมีใบหน้าที่แสดงถึงภาวะเข้าตาจน พวกมันคงไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว และพวกมันรู้สึกเบื่อ

เมิร์คเริ่มรู้สึกตึงเครียดเมื่อหัวหน้ากลุ่มโจรเข้ามาใกล้ขึ้น นั่นไม่ใช่เพราะว่าเขาหวาดกลัว เมิร์คสามารถฆ่าเขาได้ สามารถฆ่าพวกมันทั้งหมดโดยไม่ต้องกระพริบตา ถ้าเขาเลือกที่จะทำ แต่สิ่งที่ทำให้เขาวิตกคือความเป็นไปได้ที่จะถูกบีบบังคับให้ต้องใช้ความรุนแรง ทั้งที่เขาตั้งใจแล้วว่าจะรักษาคำสัตย์ของตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

“เอาไงดี?” หนึ่งในพวกมันถาม เดินเข้ามาใกล้ และวนรอบเมิร์ค

“ดูเหมือนจะเป็นพระ” อีกคนหนึ่งพูด เสียงของเขาดูเย้ยหยัน “แต่รองเท้าบูทนั่นดูไม่เข้ากัน”

“บางทีเขาคือพระที่คิดว่าตัวเองคือทหาร” อีกคนหัวเราะ

พวกมันทั้งหมดส่งเสียงหัวเราะ ผู้ชายท่าทางโง่ ๆ อายุราวสี่สิบ ฟันหน้าไม่มี หนึ่งในพวกมันยื่นหน้าเข้ามาพร้อมลมหายใจกลิ่นเหม็นและกระแทกหัวไหล่เมิร์ค เมิร์คคนเดิมสามารถฆ่าคนที่เข้ามาใกล้ได้ในพริบตา

แต่เมิร์คคนใหม่ตั้งใจแล้วว่าจะเป็นคนที่ดีกว่า วางตัวเหนือความรุนแรง แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นการรนหาที่ตายของพวกเขา เมิร์คหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก ๆ และบังคับตัวเองให้ใจเย็น

จงอย่าพึ่งพาความรุนแรง เขายับยั้งตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

“พระรูปนี้เข้ามาทำอะไร?” หนึ่งในพวกมันถาม “สวดมนต์หรือ?”

พวกมันทั้งหมดโพล่งหัวเราะออกมาอีกครั้ง

“พระเจ้าช่วยเจ้าไม่ได้หรอก พ่อหนุ่มน้อย!” อีกคนตะโกนออกมา

เมิร์คลืมตาขึ้น และจ้องกลับไปยังพวกคนโง่เขลา

“ข้าไม่อยากทำร้ายพวกเจ้า” เขาพูดอย่างใจเย็น

เสียงหัวเราะนั้นยิ่งดังมากขึ้นกว่าเดิม เมิร์คตระหนักแล้วว่าการอยู่อย่างใจเย็น โดยไม่ตอบสนองด้วยความรุนแรง ช่างเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งนัก

“ถ้างั้นพวกเราก็โชคดีสิเนี่ย!” อีกคนตอบ

พวกมันหัวเราะอีกครั้ง แล้วทั้งหมดก็เงียบลง เมื่อหัวหน้าของพวกมันก้าวมาข้างหน้าและพูดใส่หน้าเมิร์ค

“แต่ทว่า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใกล้จนเมิร์คสามารถได้กลิ่นลมเหม็น ๆ ที่ออกมาจากปาก “พวกข้าอยากจะทำร้ายเจ้า”

ชายอีกคนเข้ามาด้านหลัง เขารัดแขนหนา ๆ รอบลำคอของเมิร์ค และเริ่มรัดแน่นขึ้น เมิร์คอ้าปากกว้างในขณะที่กำลังโดนบีบคอ แรงบีบแน่นมากพอที่จะทำให้เขาเจ็บปวด แต่ไม่มากพอที่จะตัดขาดอากาศทั้งหมด เขาสามารถตอบสนองกลับด้วยการเอื้อมมือไปข้างหลังและฆ่าชายคนนี้ซะ มันเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย เขารู้ตำแหน่งความดันที่เหมาะสมของปลายแขนที่จะทำให้เขาปล่อยมือออก แต่เมิร์คฝืนตัวเองไม่ให้ทำ

ปล่อยพวกมันไป เขาบอกตัวเขาเอง เส้นทางแห่งความนอบน้อมต้องมีจุดเริ่มต้นที่ไหนสักแห่ง

เมิร์คมองไปที่ผู้นำของพวกมัน

“เอาของของข้าไป อะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ” เมิร์คพูด หายใจหอบ “เอามันไปและไปตามทางของเจ้า”

“ถ้าพวกข้าเอาไป แล้วยังอยู่ที่นี่ล่ะ?” ผู้นำตอบ

“ไม่มีใครถามเจ้าว่าเราสามารถเอาอะไรได้หรือไม่ได้ ไอ้หนู” อีกคนตอบ

หนึ่งในพวกมันเดินออกมาและรื้อค้นเอวของเมิร์ค มือแห่งความโลภกำลังค้นหาของติดตัวอันน้อยนิดที่เขาเหลืออยู่บนโลกนี้ เมิร์คบังคับให้ตัวเองใจเย็นในขณะที่มือนั้นยังคงคลำหาทุกอย่างที่เขาเป็นเจ้าของ พวกมันเทมีดสีเงินออกมา อาวุธโปรดของเขา เมิร์คยังคงเจ็บปวด และไม่ตอบโต้

ปล่อยมันไป เขาบอกตัวเอง

“นี่อะไรน่ะ?” อีกคนถาม “มีดสั้นหรือ?”

เขาจ้องหน้าเมิร์ค

“พระแต่งตัวเช่นเจ้าพกมีดด้วยหรือ?” หนึ่งในนั้นถาม

“เจ้ากำลังจะทำอะไรน้องชาย แกะสลักไม้หรือ?” อีกคนถาม

พวกมันทั้งหมดหัวเราะ เมิร์คกัดฟันแน่น สงสัยว่าเขาจะทนได้อีกนานแค่ไหน

ผู้ชายที่เอามีดไปหยุดกับที่ มองดูข้อมือเมิร์ค และดึงแขนของเขาออกมา เมิร์คพยายามอดกลั้น เมื่อรู้ว่าพวกมันเห็นสิ่งนั้นแล้ว

“นี่อะไร?” โจรถาม จับข้อมือของเมิร์คและชูขึ้นมาเพื่อตรวจสอบดู

“ดูเหมือนหมาจิ้งจอก” คนหนึ่งพูด