Kitabı oku: «กำเนิดราชันย์มังกร », sayfa 4

Yazı tipi:

บทที่หก

ไคร่าเดินเคียงข้างพ่อของเธอไปตามทางเดินหินของป้อมโวลิส ป้อมปราการขนาดเท่ากับปราสาทหลังเล็ก ปกคลุมด้วยกำแพงหินอันราบเรียบ เพดานหนาแคบ ประตูไม้หรูหรา ปราการโบราณที่เคยเป็นบ้านของผู้เฝ้าดูแห่งกำแพงอัคคีและปกป้องเอสคาลอนมานานนับศตวรรษ มันคือป้อมปราการที่สำคัญอย่างยิ่งต่ออาณาจักร และยังเป็นบ้านของเธอ บ้านเพียงแห่งเดียวในชีวิตของเธอ เธอมักเผลอหลับไปกับเสียงของนักรบ เฉลิมฉลองอย่างสนุกสนามที่โถงด้านล่าง สุนัขขู่คำรามแย่งเศษอาหาร เสียงถ่านมอดไหม้ดังออกมาจากเตาผิง และเสียงลมที่ลอดเข้ามาผ่านรอยแยก องค์ประกอบทุกอย่าง ทุกมุมมองล้วนเป็นสิ่งที่เธอรัก

เมื่อไคร่าพยายามรักษาความเร็วในการเดิน เธอสงสัยว่าอะไรทำให้พ่อของเธอไม่สบายใจ พวกเขาเดินอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ เลโอเดินอยู่ข้างกาย สายแล้วสำหรับงานเลี้ยงฉลอง พวกเขาเลี้ยวลงไปยังทางเดิน ทหารและผู้เข้าร่วมงานต่างยืนตรงเมื่อเขาเดินผ่านไป พ่อของเธอเดินเร็วมากกว่าปกติ เธอรับรู้ได้ว่าต่างออกไป ปกติพ่อจะเดินเคียงข้างเธอ พร้อมรอยยิ้มกว้างที่แย้มออกมาจากหนวดเครา วางแขนบนไหล่ของเธอ บางครั้งก็เล่าเรื่องตลกให้เธอฟัง เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีตของพ่อ

แต่ตอนนี้พ่อเดินไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึม นำหน้าเธอหลายก้าว การขมวดคิ้วที่บ่งบอกถึงการไม่ยอมรับ เธอไม่ค่อยเห็นสีหน้าเช่นนี้บ่อยนัก พ่อดูมีปัญหาบางอย่าง และเธอคิดว่ามันเกิดจากเหตุการณ์ในวันนี้ การออกไปล่าสัตว์ของพี่ชาย ทหารของลอร์ดแย่งชิงหมูป่า…และบางทีอาจเป็นเพราะเธอ กาที่เธอออกไปลานประลอง ตอนแรกเธอคิดว่าพ่อจะยุ่งอยู่กับงานเลี้ยง…งานเลี้ยงในวันหยุดมักจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างวุ่นวาย พ่อต้องต้อนรับเหล่านักรบและผู้มาเยือนมากมายจนเลยเที่ยงคืน มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่โบราณ ตั้งแต่แม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ พ่อไม่ชอบการออกสังคม แต่เขาต้องพยายามรักษามารยาททางสังคมเอาไว้

เมื่อความเงียบงันปกคลุมมากขึ้น ไคร่าเริ่มสงสัยว่ามันมียังอีกอย่าง เหมือนจะเกี่ยวกับเรื่องที่เธอไปฝึกซ้อมกับพวกทหาร ความสัมพันธ์ของเธอกับพ่อซึ่งเคยเรียบง่าย เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความซับซ้อนเมื่อเธอเติบโตขึ้น ดูเหมือนพ่อจะคิดตรงข้ามกับทุกอย่างที่เธอทำ ลูกสาวที่พ่อคาดหวังอยากให้เป็น ในอีกมุมหนึ่ง พ่อมักจะสอนเธอเรื่องหลักการของนักรบ รวมถึงแนวคิดของอัศวินที่เธอควรปฏิบัติด้วยตัวเอง เธอและพ่อมักมีบทสนทนาที่ไม่รู้จบเกี่ยวกับความเป็นวีรบุรุษ ชื่อเสียง ความกล้าหาญ พ่อมักเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของบรรพบุรุษให้เธอฟังจนดึกดื่น เรื่องราวที่เธอฟังมาตลอดชีวิต และเป็นเพียงเรื่องราวเดียวที่เธอต้องการฟัง

ในเวลาเดียวกัน ไคร่ารับรู้ได้ว่าพ่อของเธอพยายามอดทนและทำตัวเองให้สงบ ราวกับพ่อได้มอบอะไรบางอย่างให้เธอและต้องการเอากลับคืน การพูดถึงการต่อสู้และวีรบุรุษเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของพ่อ แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่เด็กผู้หญิงอีกต่อไปแล้ว เธอกลายเป็นหญิงสาวและกำลังจะเป็นนักรบ บางเวลาพ่อก็ดูตกใจกับสิ่งที่เห็น เหมือนเขาไม่ได้คาดคิดกับการเติบโตของเธอ เขาดูเหมือนไม่รู้วิธีการรับมือกับบุตรสาวที่กำลังโตขึ้นมา โดยเฉพาะความปรารถนาที่จะเป็นนักรบ เหมือนพ่อไม่รู้ว่าต้องสนับสนุนเส้นทางใดแก่เธอ เขาไม่รู้ว่าต้องจัดการกับเธออย่างไร เธอทราบดีว่าพ่อรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง และเธอรับรู้ได้ว่าพ่อเองก็ภูมิใจในตัวเธอ เพียงแต่เขาไม่ต้องการแสดงออกมาให้ใครเห็น

ไคร่าทนกับความเงียบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว…เธอต้องการรู้

“ท่านพ่อกำลังกังวลเรื่องงานเลี้ยงหรือ?” เธอถาม

“ทำไมข้าต้องกังวล?” เขาตอบโดยไม่มองหน้าเธอ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังอารมณ์เสีย “ทุกอย่างเตรียมการไว้หมดแล้ว อันที่จริง เราสายแล้ว ถ้าข้าไม่ต้องไปที่ประตูนักรบเพื่อค้นหาเจ้า ตอนนี้ข้าควรอยู่ที่หัวโต๊ะของข้าแล้ว” เขาพูดสรุปอย่างขุ่นเคือง

เธอคาดไว้แล้วว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้ ความจริงที่พ่อโกรธทำให้เธอโกรธเช่นกัน หลังจากเธอจัดการคนทั้งหมด เธอสมควรได้รับการยอมรับจากพ่อ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับแสดงท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และถ้าจะมี มันก็คงจะเป็นการไม่ยอมรับ

เธอต้องการความจริง เธอรู้สึกรำคาญใจ เธอจึงตัดสินใจที่จะยั่วยุ

“ท่านพ่อไม่เห็นข้าล้มคนของท่านหรือ?” เธอพูดในแบบที่ต้องการทำให้เขาอับอาย ต้องการได้รับการยอมรับที่เขาปฏิเสธจะมอบให้

เธอมองเห็นพ่อหน้าแดงก่ำ แต่เขาห้ามตัวเองเอาไว้ขณะที่กำลังเดินไป คำพูดนั้นทำได้แค่เพียงเพิ่มความโกรธของพ่อเท่านั้น

พวกเขายังคงมุ่งหน้าไป ผ่านโถงแห่งวีรบุรุษ ห้องแห่งปัญญา และเกือบจะถึงห้องโถงใหญ่ เธอทนต่อไปไม่ไหวแล้ว

“ว่าไงท่านพ่อ?” เธอเรียกร้อง “ถ้าท่านไม่ยอมรับข้า เพียงแค่เอ่ยออกมา”

ในที่สุดพ่อของเธอก็หยุดอยู่หน้าประตูโค้ง ทางที่มุ่งสู่ห้องโถงงานเลี้ยง เขาหันกลับมา และมองดูเธอด้วยสายตาเรียบนิ่ง สีหน้าของเขายิ่งทำให้เธอเจ็บปวด พ่อของเธอคือคนที่เธอรักมากที่สุดกว่าใครในโลกนี้ ผู้ซึ่งไม่เคยให้สิ่งใดเลยนอกจากรอยยิ้มสำหรับเธอ ตอนนี้พ่อกำลังมองเธอราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้า เธอไม่สมารถเข้าใจได้

“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าไปที่สนามนั้นอีก” พ่อของเธอพูด แฝงความโกรธอันเยือกเย็นอยู่ในน้ำเสียงของเขา

เสียงของพ่อทำให้เธอเจ็บปวดมากกว่าคำพูดที่เปล่งออกมา เธอยืนตัวสั่นเทา รับรู้ได้ว่ามันเหมือนกับการโดนหักหลัง เธอจะไม่สนใจเลยหากเป็นคนอื่น แต่นี่พ่อของเธอ ผู้ชายที่เธอรักและเฝ้ามอง บุคคลที่ใจดีกับเธอเสมอมา น้ำเสียงของเขาทำให้เธอกลัวอย่างยิ่ง

แต่ไคร่าไม่ใช่คนที่จะยอมถอยจากการโต้เถียง นิสัยนี้เธอได้มาจากพ่อ

“แล้วทำไมต้องห้าม” เธอถาม

สีหน้าของเขาเคร่งขรึมมากขึ้น

“ข้าไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลกับเจ้า” เขาพูด “ข้าคือพ่อของเจ้า ข้าคือผู้บัญชาการของป้อมปราการแห่งนี้ ข้าเป็นคนดูแลพวกทหารทั้งหมด และข้าไม่ต้องการให้เจ้าไปฝึกร่วมกับพวกเขา”

“ท่านกลัวว่าข้าจะเอาชนะพวกเขาใช่ไหม?” ไคร่าพูด เธอต้องการโต้แย้ง และไม่อยากให้พ่อปิดหนทางนี้ไปตลอดกาล

เขาหน้าแดงก่ำ คำพูดของเธอทำให้พ่อเจ็บปวดได้เช่นกัน

“ความโอหังเป็นของคนสามัญ” เขาดุ “ไม่ใช่สำหรับนักรบ”

“แต่ข้าไม่ใช่นักรบ ไม่ใช่หรือท่านพ่อ?” เธอยุแหย่

เขาหรี่ตาลง ไม่สามารถโต้ตอบได้

“มันเป็นวันเกิดครบรอบสิบห้าปีของข้า ท่านต้องการให้ข้าสู้กับต้นไม้และกิ่งไม้ไปตลอดชีวิตของข้าหรือ?”

“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าต่อสู้กับอะไรทั้งนั้น” เขาตะโกน “เจ้าคือเด็กผู้หญิง ตอนนี้เจ้าโตเป็นหญิงสาวแล้ว เจ้าควรทำในสิ่งที่ผู้หญิงทำ เช่น ทำอาหาร เย็บปักถักร้อย หรืออะไรก็ตามที่แม่ของเจ้าเลี้ยงดูมาเพื่อให้เจ้าทำ”

อารมณ์ของไคร่าเริ่มขุ่นมัว

“ท่านพ่อ ข้าเสียใจ ข้าไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่ท่านต้องการให้เป็น” เธอตอบ “ข้าเสียใจ ข้าไม่เหมือนกับเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ”

สีหน้าของเขาดูเจ็บปวดเช่นกัน

“แต่ข้าคือลูกสาวของท่านพ่อ” เธอพูดต่อ “ข้าคือเด็กผู้หญิงที่ท่านเลี้ยงมา การไม่ยอมรับตัวข้า เปรียบเสมือนการไม่ยอมรับตัวท่านเอง”

เธอยังคงยืนอยู่ที่นั่น วางมือลงบนสะโพก ดวงตาสีเทาอ่อนของเธอเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งของนักรบ แววตานั้นมองมาอย่างแน่วแน่ พ่อของเธอจ้องกลับไปด้วยดวงตาสีน้ำตาล และส่ายหัวออกมา

“นี่คือวันหยุด” เขาพูด “ไม่ใช่งานเลี้ยงเฉพาะนักรบ แต่ยังมีผู้มาเยือนและผู้สูงศักดิ์อีกมากมาย ผู้คนต่างเดินทางมาจากทั่วเอสคาลอน และต่างแดน” เขามองเธออย่างไม่ยอมรับ “เจ้าสวมใส่เสื้อผ้าของนักรบ รีบไปที่ห้องของเจ้า แล้วเปลี่ยนเป็นชุดราตรี เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่โต๊ะ”

เธอหน้าแดง รู้สึกโกรธ พ่อของเธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้ และยกนิ้วของเขาขึ้น

“และอย่าให้ข้าเห็นเจ้าบนสนามซ้อมรบกับคนของข้าอีก” เขาโกรธจัด

พ่อของเธอหันหลังไปทันที เมื่อคนรับใช้เปิดประตูขนาดใหญ่คลื่นเสียงดังลอยออกมาทักทายพวกเขา พร้อมกับกลิ่นของเนื้อย่าง สุนัขที่ไม่ได้อาบน้ำและเปลวไฟ เสียงเพลงที่บรรเลงอย่างไพเราะ และเสียงของกิจกรรมต่าง ๆ ภายในของห้องโถงกำลังดำเนินไป ไคร่ามองดูพ่อของเธอหันหลังเดินเข้าไป ตามด้วยผู้ร่วมงาน

คนรับใช้หลายคนยืนตรงอยู่นั้น เปิดประตูรอไคร่าที่กำลังยืนอยู่ เธอครุ่นคิดว่าจะต้องทำอย่างไร เธอไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อนในชีวิต

ในที่สุดเธอก็หันหลังกลับและเดินออกไปกับเลโอ ออกห่างจากห้องโถง กลับไปยังห้องของเธอ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอรู้สึกเกลียดพ่อของเธอ เธอคิดว่าพ่อจะต่างจากคนทั้งหมด ถึงตอนนี้เธอรู้แล้วว่าพ่อเป็นผู้ชายตัวเล็กกว่าที่เธอเคยคิด และเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ทำให้เธอเจ็บปวด สิ่งที่เขาพรากไปจากเธอ สนามซ้อมรบคือสิ่งที่เธอรักมากที่สุด การทำเช่นนี้เหมือนกรีดมีดทิ่มแทงหัวใจของเธอ การใช้ชีวิตอยู่กับผ้าไหมและเครื่องแต่งกายยิ่งทำให้เธอรู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุด

เธอต้องการไปให้พ้นจากโวลิส…และไม่กลับมาอีกเลย

*

ผู้บัญชาการดันแคนนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ในห้องโถงงานเลี้ยงฉลองขนาดใหญ่ของป้อมปราการโวลิส เขามองไปยังเหล่าครอบครัวของเขา นักรบ ประชาชน ที่ปรึกษา กุนซือและผู้มาเยือน จำนวนหลายร้อยคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ทั้งหมดนั่งอยู่ที่โต๊ะยาวเหยียด พวกเขามาเพื่อร่วมงานฉลองในวันหยุด ต่อหน้าคนทั้งหมดนี้ คนที่อยู่ในใจของเขาคือคนที่เขาไม่พยายามมองหา ไคร่าผู้เป็นบุตรสาวของเขา ดันแคนมักมีความสัมพันธ์พิเศษกับเธอเสมอ เขารู้สึกว่าต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ของเธอ เพื่อชดเชยความสูญเสียเรื่องแม่ของเธอ แต่เขาล้มเหลว เขารู้ เขาบกพร่องในหน้าที่ของการเป็นพ่อ…ไม่น้อยไปกว่าบทบาทของการเป็นแม่

ดันแคนมักจะเฝ้ามองดูเธอเสมอ เด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวในครอบครัวที่มีแต่ผู้ชาย และภายในป้อมปราการที่เต็มไปด้วยนักรบแห่งนี้ เธอเป็นเด็กที่ไม่เหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่น เด็กผู้หญิงที่เขาต้องยอมรับ เธอเป็นคนที่เหมือนกับเขา เธอใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในโลกของผู้ชาย เขาทำตามวิธีของเขาเพื่อตัวของเธอเอง ไม่ใช่เพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่เพราะเขารักเธอที่สุด มากกว่าคำพูดใด ๆ บางทีอาจจะมากกว่าความรู้สึกที่มีต่อลูกชายของเขา ในบรรดาลูกทุกคน เขายอมรับว่าเขามองเห็นตัวเองอยู่ในตัวของเธอ แม้ว่าเธอจะเป็นเด็กผู้หญิงก็ตาม ความดื้อรั้นของเธอ การตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยว จิตวิญญาณของนักรบ การไม่ยอมอ่อนข้อ การไร้ซึ่งความกลัว และความเห็นอกเห็นใจ เธอมักลุกขึ้นต่อสู้เพื่อคนที่อ่อนแอ โดยเฉพาะน้องชายคนเล็กของเธอ และมักจะต่อสู้เพื่อสิ่งนั้นเสมอไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

นั่นคืออีกหนึ่งเหตุผลที่การสนทนาทำให้เขาอารมณ์เสียอย่างมาก ในขณะที่เขาเฝ้ามองเธออยู่บนสนามซ้อมรบเมื่อตอนเย็น การกวัดแกว่งไม้เท้าของเธอ การต่อกรกับชายเหล่านั้นด้วยทักษะแพรวพราว มันช่างน่าทึ่ง หัวใจของเขากระโดดโลดเต้นด้วยความภูมิใจและมีความสุข เขาเกลียดมัลเทรน คนอวดดีและเป็นหอกข้างแคร่ เขาเบิกบานใจที่ลูกสาวของเขาสามารถเอาชนะคนอื่น เขารู้สึกมากกว่าความภูมิใจที่มีต่อเธอ เด็กผู้หญิงที่เพิ่งอายุสิบห้าปี เขาต้องการเข้าไปโอบกอดเธออย่างยิ่ง และยกย่องเธอต่อหน้าคนอื่น

แต่ในฐานะพ่อ เขาไม่สามารถทำได้ ดันแคนต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอ ลึกลงไปเขารู้สึกว่าเธอกำลังเข้าสู่เส้นทางที่อันตราย เส้นทางแห่งความรุนแรงในโลกของผู้ชาย เธอจะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในสนามรบที่เต็มไปด้วยผู้ชายอันตราย ผู้ชายที่เต็มไปด้วยตัณหา ผู้ชายที่เมื่อเลือดขึ้นหน้าจะสู้จนตัวตาย เธอยังไม่รู้ว่าการต่อสู้ที่แท้จริงเป็นอย่างไร อะไรคือการเสียเลือด ความเจ็บปวด ความตายที่อยู่แค่เอื้อม มันไม่ใช่ชีวิตที่เขาอยากให้เธอเผชิญ…แม้ว่าเธอจะยินยอมก็ตาม เขาต้องการให้เธอปลอดภัยและได้รับการคุ้มครองอยู่ในป้อมปราการ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและสะดวกสบาย แต่เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเพื่อให้เธอปรารถสิ่งนั้นด้วยตัวของเธอเอง

ทั้งหมดทำให้เขาสับสน เขาปฏิเสธที่จะชื่นชมเธอ เขาพบว่าการทำเช่นนี้สามารถห้ามปรามเธอได้ แต่ลึก ๆ แล้วเขาเองก็ไม่อยากทำ การไม่แสดงออกถึงความชื่นชมทำให้เขาบาดหมางกับเธอมากขึ้น เขาเกลียดสิ่งที่ทำกับเธอคืนนี้ และเขาไม่ชอบความรู้สึกที่ต้องเผชิญอยู่ตอนนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร

สิ่งที่ทำให้เขาอารมณ์เสียมากยิ่งขึ้นคือเสียงสะท้อนที่ก้องกังวานอยู่ในความคิดของเขา คำทำนายเกี่ยวกับเธอเมื่อยามแรกเกิด เขาได้แต่คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ คำพูดของแม่มด แต่ทุกวันนี้ การเฝ้ามองเธอได้ทำให้เห็นถึงความกล้าหาญของเธอ ทำให้เขารู้ว่าเธอเป็นคนพิเศษ เขาสงสัยว่าคำทำนายจะเป็นความจริงหรือไม่ และความคิดนั้นทำให้เขากลัวมากกว่าทุกสิ่ง โชคชะตาของเธอกำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว และเขาไม่มีทางหยุดยั้งมันได้ อีกนานแค่ไหนที่ทุกคนจะรู้ความจริงเกี่ยวกับเธอ?

ดันแคนหลับตาลงและส่ายหัวของเขา กระดกไวน์อึกใหญ่ พยายามที่จะไม่คิดถึงเรื่องต่าง ๆ นี่ควรจะเป็นค่ำคืนแห่งการฉลอง อายันแห่งฤดูหนาวมาถึงแล้ว หิมะกำลังตกหนักโหมใส่หน้าต่าง กองหิมะสูงพะเนินอยู่เหนือก้อนหิน ราวกับต้องการบ่งบอกถึงสัญญาณของวันหยุด ลมกำลังพัดโชยอยู่ด้านนอก พวกเขาทั้งหมดปลอดภัยอยู่ภายในป้อมปราการแห่งนี้ ร่างกายได้รับความอบอุ่นจากเปลวไฟในเตาผิง เอร็ดอร่อยไปกับบรรดาเนื้อย่างและไวน์รสเลิศ

เขามองไปรอบ ๆ ทุกคนต่างดูมีความสุข นักเล่นกล นักดนตรีและนักร้องกำลังส่งเสียง ในขณะที่ผู้คนต่างพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน และเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของเขา ดันแคนมองดูรางวัลอันยอดเยี่ยมเบื้องหน้าของเขา โต๊ะงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยอาหารอันโอชะ เขาภูมิใจเมื่อมองเห็นโล่ที่แขวนอยู่เหนือขึ้นไปบนกำแพง แต่ละอันมีตราสัญลักษณ์แตกต่างกัน แต่ละเครื่องหมายแสดงถึงกลุ่มต่าง ๆ เหล่านักรบที่มาเพื่อต่อสู้ร่วมกับเขา เขามองดูถ้วยรางวัลแห่งสงครามที่แขวนอยู่ ความทรงจำตลอดชีวิตที่ผ่านมาในการต่อสู้เพื่อเอสคาลอน เขาคือชายที่โชคดี

นอกจากนี้ เขายังต้องเผชิญหน้ากับการอยู่ภายใต้อาณาจักรที่ถูกยึดครอง กษัตริย์ทาร์นิส พระราชาองค์เก่าผู้ยอมจำนนแต่โดยดี ผู้คนของเขาต้องพบกับความอับอาย เขาวางมือโดยไม่แม้แต่จะลุกขึ้นสู้ ยินยอมให้แพนดิเซียรุกรานอย่างง่ายดาย แม้ว่าจะทำให้ไม่มีการเสียเลือดเนื้อและเมืองต่าง ๆ แต่นั่นเป็นการปล้นจิตวิญญาณของพวกเขา ทาร์นิสมักคัดค้านว่าเอสคาลอนไม่มีทางที่จะป้องกันได้ แม้ว่าพวกเขากำลังปกป้องประตูทางใต้ สะพานแห่งความเศร้า แพนดิเซียสามารถล้อมพวกเขาและโจมตีจากทะเล แต่พวกเขารู้ว่านั่นเป็นการโต้แย้งที่อ่อนแอ เอสคาลอนได้รับพรศักดิ์สิทธิ์ด้วยอาณาเขตบริเวณชายฝั่งที่มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงกว่าร้อยฟุต เต็มไปด้วยคลื่นกระทบอันรุนแรงและหินขรุขระ ไม่มีเรือลำใดสามารถเข้ามาใกล้ได้ และไม่มีกองทัพใดสามารถฝ่าเข้ามาได้โดยไม่มีการสูญเสีย แพนดิเซียสามารถโจมตีทางทะเลได้แต่จะต้องแลกกับการสูญเสียมหาศาล แม้ว่าแพนดิเซียจะเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ก็ตาม ทางบกจึงเป็นเพียงหนทางเดียว และนั่นเป็นเพียงคอขวดของประตูทางใต้ ซึ่งเอสคาลอนต่างรู้ดีว่าสามารถป้องกันได้ การยอมแพ้จึงถือตัวเลือกของความอ่อนแออย่างแท้จริงและไม่มีเหตุผลอื่นใด

ตอนนี้เขาและนักรบชั้นยอดคนอื่น ๆ ไม่มีพระราชา แต่ละคนต่างถูกทิ้งไว้กับอาวุธของตัวเอง พร้อมบ้านเมืองและฐานที่มั่นของพวก แต่ละคนถูกบังคับให้ยอมศิโรราบต่อลอร์ดผู้ว่าที่ได้รับการแต่งตั้งโดยจักรวรรดิแพนดิเซีย ดันแคนยังคงจดจำวันที่เขาถูกบังคับให้สาบานตนได้ ความรู้สึกที่ถูกบังคับให้คุกเข่า…มันทำให้เขาแทบบ้าเมื่อคิดถึงเหตุการณ์นั้น

ดันแคนพยายามคิดย้อนถึงวันที่ผ่านมา ในช่วงที่เขาเคยประจำการที่เอนดรอส เมื่ออัศวินทุกคนของทุกกลุ่มมารวมตัวกัน ออกรบด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน พระราชาองค์เดียวกัน ธงผืนเดียวกัน ด้วยกองกำลังมากกว่าสิบเท่าที่เขามีอยู่ปัจจุบัน พวกเขากระจัดกระจายออกไปตามหัวมุมต่าง ๆ ของอาณาจักร  บัดนี้พวกเขาได้มาผนึกกำลังกันอยู่ที่นี่

พระราชาทาร์นิสเป็นพระราชาที่อ่อนแอเสมอมา ดันแคนรับรู้ตั้งแต่แรกแล้ว ในฐานะที่เขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุด เขามีหน้าที่ปกป้องพระราชา แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ไม่สมควร ลึก ๆ แล้วดันแคนไม่แปลกใจที่พระราชายอมจำนน แต่เขากลับแปลกใจกับการล่มสลายอันรวดเร็ว อัศวินชั้นยอดถูกพัดปลิวไปกับสายลม ทั้งหมดกลับไปยังกลุ่มของพวก เมื่อไม่มีพระราชาปกครองและอำนาจทั้งหมดอยู่ในกำมือของแพนดิเซีย และความชอบธรรมทางกฎหมายถูกช่วงชิง หลังจากนั้นพวกมันได้กลับไปยังอาณาจักรของตัวเองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่อันสงบสุข แต่ได้กลายมาเป็นสถานที่เพาะพันธุ์อาชญากรรมและสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การเดินทางตามถนนที่เคยปลอดภัยนอกฐานที่มั่นจึงไม่ปลอดภัยอีกต่อไป

เวลาล่วงเลยไป อาหารเริ่มร่อยหรอ ถ้วยเหล้ามากมายถูกเติมเต็ม ดันแคนหยิบช็อคโกแลตและเอาเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อถาดอาหารแห่งเหมันต์จันทราถูกนำมาวางบนโต๊ะ ถ้วยช็อคโกแลตของชนชั้นสูงถูกส่งต่อกันไป ประดับประดาด้วยครีมเนื้อแกะสด ดันแคนเริ่มหัวหมุนจากการดื่ม เขาต้องเพ่งสมาธิเพื่อหยิบมันขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่งและลิ้มรสความอบอุ่นของมัน เขาดื่มเข้าไปรวดเดียว ความอบอุ่นกระจายไปทั่วท้องของเขา พายุยังคงโหมกระหน่ำอยู่ด้านนอก แรงขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกขณะ ตัวตลกกำลังเล่นเกม นักกวีกำลังเล่าเรื่อง นักดนตรีกำลังบรรเลงเพลงขับกล่อม ค่ำคืนนี้ยังคงดำเนินต่อไป เพลิดเพลินกับบรรยากาศให้เต็มที่เพื่อลืมเรื่องราวต่าง ๆ ไปให้หมด วันนี้คือประเพณีในวันเหมันต์จันทราที่มีการฉลองข้ามคืน เพื่อต้อนรับฤดูหนาวดังเช่นมิตรสหาย และรักษาประเพณีให้สืบทอดต่อไป ช่างฤดูหนาวนี้จะอยู่กับเราไม่นาน

ในที่สุด ดันแคนก็มองไปรอบ ๆ และเห็นไคร่า เธอนั่งอยู่ที่นั่น ดูกลัดกลุ้ม เศร้าซึม เหมือนอยู่คนเดียว เธอยังไม่ได้เปลี่ยนจากชุดนักรบตามที่เธอได้รับคำสั่ง ความโกรธของเขาปะทุขึ้นมาชั่วครู่ แต่เขาก็ปล่อยมันไป เขาเห็นได้ว่าเธอกำลังหัวเสีย เขาก็เช่นกัน รู้สึกอย่างเดียวกันสุดขั้วหัวใจ

ดันแคนตัดสินใจที่จะสงบศึกกับเธอ อย่างน้อยเพื่อเป็นการปลอบใจเธอ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเห็นด้วยกับเธอ เขากำลังจะลุกจากเก้าอี้และไปหาเธอ ทันใดนั้นเอง ประตูบานใหญ่ของห้องงานเลี้ยงได้เปิดออก

ผู้มาเยือนรีบเข้ามาในห้อง ชายร่างเล็กในชุดขนสัตว์หรูหรา ผู้ส่งสารจากอีกดินแดน ผมและเสื้อคลุมของเขาปกคลุมไปด้วยหิมะ เขาถูกพามายังโต๊ะงานเลี้ยง ดันแคนประหลาดใจที่มีผู้มาเยือนยามดึกเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนพายุหนัก ขณะที่ชายคนนี้ถอดเสื้อคลุมของเขา ดันแคนสังเกตเห็นว่าเขาสวมผ้าคลุมสีม่วงและสีเหลืองของเอนดรอส ดันแคนจึงรู้ว่าเขาเดินทางมาจากเมืองหลวงด้วยการขี่ม้าเป็นเวลาสามวัน

ผู้มาเยือนต่างทยอยกันมาตลอดทั้งคืน แต่ไม่เคยดึกเช่นนี้ และไม่ได้มาจากเอนดรอส การเห็นสีเหล่านั้นทำให้ดันแคนนึกถึงพระราชาองค์ก่อน

ภายในห้องเงียบสงัดเมื่อผู้มาเยือนยืนอยู่หน้าที่นั่งของเขาและก้มหัวลงอย่างงดงามต่อดันแคน กำลังรอคำเชิญให้นั่ง

“ขออภัยด้วยนายท่าน” เขาพูด “ข้าควรจะมาถึงเร็วกว่านี้ แต่หิมะทำให้ข้ามาสาย ข้าไม่ได้ต้องการดูหมิ่นท่าน”

ดันแคนพยักหน้า

“ข้าไม่ใช่นายท่าน” ดันแคนแก้ไขคำพูด “แต่เป็นเพียงผู้บัญชาการ และที่นี่เราทุกคนเท่าเทียมกันหมด ไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาว ชายหรือหญิง เราต้อนรับผู้มาเยือนทุกคน ไม่ว่าเจ้าจะมาถึงเวลาใดก็ตาม”

ผู้มาเยือนพยักหน้าและกำลังจะนั่งลง ดันแคนยกฝ่ามือของเขาขึ้น

“ที่นั่งอันทรงเกียรติในประเพณีของเรา มีไว้สำหรับผู้มาเยือนจากแดนไกล มานั่งข้างข้าสิ”

ผู้มาเยือนประหลาดใจ เขาพยักหน้ารับ คนรับใช้นำเขาไป ผู้ชายตัวเตี้ย บอบบาง แก้มและดวงตาซูบผอม เขาอายุราวสี่สิบแต่ดูเหมือนจะแก่กว่านั้น เมื่อเขานั่งลงใกล้ ๆ ดันแคนสำรวจเขาและสังเกตเห็นความว้าวุ่นใจที่แฝงอยู่ในดวงตาของเขา ผู้มาเยือนที่ปรากฏตัวตอนท้ายในงานเลี้ยงของวันหยุด มันต้องมีอะไรบางอย่าง เขารับรู้ได้ว่ามันไม่ปกติ

ผู้มาเยือนนั่งก้มหน้า กรอกตาไปมา ภายในห้องกลับมาเต็มไปด้วยเสียงของงานเลี้ยงอีกครั้ง ชายคนนี้รีบซดซุปและกินช็อคโกแลตที่วางอยู่ตรงหน้า เขาเคี้ยวเสียงดัง พร้อมเอาชิ้นขนมปังก้อนโตเข้าปาก เขาดูหิวโหยอย่างมาก

“บอกข้ามา” ดันแคนพูดขึ้นทันทีที่ชายคนนี้กินหมด เขาร้อนใจที่จะรู้ “เจ้ามีข่าวอะไรจากเมืองหลวง?”

ผู้มาเยือนค่อย ๆ ผละชามของเขาออกไปและก้มหน้าลง ไม่ต้องการสบตากับดันแคน บรรยากาศบนโต๊ะเงียบลง เผนให้เห็นสีหน้าอันน่ากลัวของเขา ทุกคนกำลังรอฟังคำตอบ

ในที่สุด เขาหันมาและมองหน้าดันแคน ดวงตาของเขาแดงก่ำ และน้ำตาคลอ

“ข่าวที่ว่า ไม่ควรมีชายคนใดต้องแบกรับ” เขาพูด

ดันแคนเตรียมพร้อมสำหรับตัวเขาเอง รับรู้ได้ถึงเรื่องที่ยิ่งใหญ่

“เช่นนั้น จงบอกข้ามา” ดันแคนพูด “ข่าวร้ายจะสลายไปตามกาลเวลา”

ชายคนนั้นมองกลับไปที่โต๊ะ ถูนิ้วของเขาอย่างประสาทเสีย

“เมื่อถึงเวลาเหมันต์จันทรา กฎหมายใหม่แห่งแพนดิเซียได้รับการประกาศใช้บนแผ่นดินของเรา…การแต่งงาน”

ดันแคนรู้สึกว่าคำพูดนั้นทำให้เลือดของเขาแข็งตัว เขาอ้าปากด้วยความโกรธ การแต่งงงานของหญิงสาว มันเป็นสิ่งที่ยากเกินจะเข้าใจ

“เจ้าแน่ใจหรือ?” ดันแคนย้ำ

ผู้มาเยือนพยักหน้า

“วันนี้ บุตรสาวคนแรกที่ยังไม่แต่งงานของชายทุกคนและนักรบในอาณาจักรของเรา บุตรสาวของพวกเขาที่อายุครบสิบห้าปีสามารถถูกอ้างสิทธิ์การแต่งงานโดยลอร์ดผู้ว่าประจำท้องถิ่น เพื่อตัวของเขาเอง หรือใครก็ตามที่เขาเลือก”

ดันแคนมองไปที่ไคร่าทันที เขามองเห็นความตกใจและความไม่พอใจอยู่ในดวงตาของเธอ ผู้ชายทุกคนในห้องทั้งหมด นักรบทุกคน ต่างหันไปมองไคร่าเช่นกัน ทุกคนเข้าใจความหมายของข่าว ใบหน้าของเด็กสาวคนอื่น ๆ ต่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ไคร่าดูมีสีหน้าของความพยาบาท

“พวกมันจะไม่ได้ตัวเธอ!” เอนวินตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ เสียงของเขาดังขึ้นมาในความเงียบ “พวกมันจะไม่ได้ตัวเด็กผู้หญิงคนไหนของเรา!”

อัทฟาเอลดึงมีดของเขาออกมา และปักลงบนโต๊ะ

“พวกมันสามารถเอาหมูป่าของเราไปได้ แต่เราจะสู้จนตัวตาย เพื่อไม่ให้พวกมันเอาเด็กผู้หญิงของเราไป!”

นักรบต่างพากันตะโกนออกมาอย่างเห็นด้วย ความโกรธเกรี้ยวของพวกเขาปะทุขึ้น บรรยากาศในห้องแย่ลงทันใด

ดันแคนค่อย ๆ ยืนขึ้น อาหารของเขาไม่อร่อยอีกต่อไปแล้ว ภายในห้องเงียบลงเมื่อเขาลุกขึ้นมาจากโต๊ะ นักรบทั้งหมดต่างยืนขึ้นเช่นกัน มันเป็นสัญลักษณ์ของความเคารพ

“งานเลี้ยงเลิกแล้ว” เขาประกาศ เสียงของเขาหนักแน่น เขาพูดเช่นนั้นออกไป แม้รู้ว่าดีมันยังไม่ถึงเวลาเที่ยงคืน…ลางร้ายสำหรับเหมันต์จันทรา

ดันแคนเดินมาหาไคร่าในความเงียบงัน ผ่านแถวของทหารและบุคคลสำคัญ เขายืนอยู่ที่เก้าอี้ของเธอ และมองเธอตาเธอ เธอจ้องกลับมา ความแข็งแกร่งและความต่อต้านสะท้อนออกมากจากดวงตาของเธอ ใบหน้าที่ทำให้เขาภาคภูมิใจ เลโออยู่เคียงข้างเธอ มันกำลังมองไปที่เขาเช่นกัน

“มาเถอะ บุตรสาวของข้า” เขาพูด “เจ้าและข้ามีเรื่องอีกมากที่ต้องคุยกัน”

บทที่เจ็ด

ไคร่านั่งอยู่ในห้องของพ่อ ห้องขนาดเล็กที่ทำมาจากหิน ตั้งอยู่ชั้นบนของป้อมปราการ เพดานสูงประดับด้วยเทียนไขและเตาผิงไฟหินอ่อนขนาดใหญ่ที่มีร่องรอยสีดำจากการใช้งานมานานนับปี ทั้งคู่ต่างมองหน้ากันท่ามกลางความเงียบอันหดหู่ พวกเขานั่งตรงข้ามกับของกองไฟ บนกองขนสัตว์ สายตาจับจ้องไปยังกองฟืนที่สุมอยู่ เสียงปะทุของไม้กำลังมอดไหม้อยู่ในเปลวไฟ

หัวใจของไคร่าหมุนเคว้งหลังจากได้ยินข่าว เธอนั่งลูบขนของเลโอด้วยจิตใจล่องลอย เธอนั่งเกร็งเท้าแน่น ไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ว่ามันคือความจริง ในที่สุดการเปลี่ยนแปลงก็มาถึงเอสคาลอน ราวกับว่านี่คือวันที่ชีวิตของเธอถึงจุดจบ เธอยังคงจ้องดูกองไฟ สงสัยว่าชีวิตของเธอไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ถ้าแพนดิเซียพรากเธอไปจากครอบครัว ป้อมปราการของเธอ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอรัก หากเธอต้องแต่งงานกับลอร์ดผู้ว่าวิปลาส เธอยอมตายเสียดีกว่า

ไคร่ามักรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ที่นี่ ภายในห้องของพ่อแห่งนี้ ที่ซึ่งเธอใช้เวลามากมายนับไม่ถ้วนในการอ่านหนังสือ หลงใหลไปกับนิทานวีรบุรุษ ตำนาน และนิทานต่าง ๆ ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงหรือแต่ง พ่อของเธอชอบเสาะหาหนังสือโบราณและอ่านออกเสียงดัง ๆ ให้เธอฟังในตอนเช้าตรู่ เรื่องราวต่างสถานที่ต่างเวลา ในบรรดาเรื่องทั้งหมด ไคร่าชอบเรื่องราวของนักรบ การต่อสู้อันยิ่งใหญ่ เลโอมักจะนอนอยู่ที่เท้าของเธอเสมอ หลายครั้งที่ไอดานมาร่วมกับพวกเขา และอ่านหนังสือกันจนเช้า เธอรักการอ่านมากกว่าที่เธอรักอาวุธ เธอมองไปยังผนังห้องพ่อ มันเรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือ ม้วนตำราและม้วนหนังสัตว์ที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เวลานี้ถ้าเลือกได้เธอปรารถนาที่จะทอดอารมณ์ไปกับสิ่งเหล่านี้แทน

แต่เมื่อมองไปที่พ่อของเธอ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เธอจำต้องกลับมาสู่ความจริงอันโหดร้าย นี่ไม่ใช่ค่ำคืนของการอ่าน เธอไม่เคยเห็นพ่อของเธอกระวนกระวายใจเช่นนี้ มันดูต่างออกไป ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอย่างไร เธอรู้ว่าพ่อของเธอเป็นชายที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิ เหล่าทหารทั้งหมดต่างภูมิใจในตัวเขา และในวันที่เอสคาลอนยังมีพระราชา เมืองหลวง และการชุมนุมของข้าราชสำนัก ทั้งหมดสามารถยกชีวิตของพวกเขาเพื่ออิสรภาพ การยอมจำนน การต่อรอง ไม่ใช่วิธีการของพ่อ แต่พระราชาองค์เก่าหักหลังพวกเขา ยอมพ่ายแพ้ ทิ้งพวกเขาไว้ในจุดที่ย่ำแย่ เหมือนกับกองทัพที่แตกกระจายแยกย้ายกันไป พวกเขาไม่สามารถต่อสู้กับศัตรูที่ได้เข้ามาอยู่ในที่ของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว

“มันคงจะดีกว่านี้ถ้าวันนั้นได้พ่ายแพ้ในสนามรบ” พ่อของเธอพูด เสียงของเขาหนักแน่น “การเผชิญหน้ากับแพนดิเซียอย่างสมเกียรติและพ่ายแพ้ การยอมจำนนของพระราชายังไงก็เป็นการพ่ายแพ้อยู่ดี เพียงแค่ยาวนานกว่า ช้ากว่า โหดร้ายกว่า วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า การแย่งชิงอิสรภาพทีละอย่างไปจากเรา แต่ละอย่างที่ทำให้เราลดความเป็นคนน้อยลงไป”

ไคร่ารู้ว่าเขาพูดถูก และเธอเข้าใจการตัดสินใจของพระราชาทาร์นิส แพนดิเซียปกครองโลกครึ่งหนึ่ง ด้วยกองทัพของทาสอันยิ่งใหญ่ พวกเขาสามารถทำลายล้างเอสคาลอนจนสิ้นซาก พวกเขาไม่ควรจะถอยหลังให้ อย่างไรก็ตามคนนับล้านกลับทำเช่นนั้น อย่างน้อยตอนนี้เอสคาลอนก็ยังไม่ถูกแตะต้อง ผู้คนยังมีชีวิตอยู่ หากยังคงเรียกสิ่งที่เป็นอยู่นี้ว่าชีวิต

“สำหรับพวกมัน สิ่งนี้ไม่เกี่ยวกับการแย่งชิงเด็กผู้หญิง” พ่อของเธอพูดต่อ คำพูดของเขาถูกรบกวนโดยเสียงปะทุของไฟเป็นระยะ “มันเกี่ยวกับอำนาจ การกำราบ การบดขยี้ สิ่งที่เหลืออยู่ในวิญญาณของเรา”

พ่อของเธอจ้องมองไปในเปลวไฟ เธอสามารถเห็นได้ว่าเขากำลังมองย้อนไปยังอดีตและอนาคตของเขาในคราวเดียวกัน ไคร่าหวังว่าเขาจะหันมาและบอกกับเธอว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องต่อสู้ ลุกขึ้นต่อต้านเพื่อสิ่งที่พวกเขาเชื่อ เพื่อสร้างคำมั่นว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยให้เธอถูกช่วงชิงไป

แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เธอกลับรู้สึกผิดหวังและโกรธมากขึ้น เขายังคงนั่งอย่างเงียบงัน จ้องมอง ครุ่นคิด ไม่ได้กล่าวถึงการรับประกันที่เธอปรารถนา เธอไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการทะเลาะกันก่อนหน้านี้

“ข้าจำช่วงเวลาที่ข้ารับใช้พระราชาได้” เขาพูดอย่างช้า ๆ ด้วยเสียงที่เข้มแข็งและทุ้มลึก ทำให้เธอรู้สึกสบายใจอย่างที่มันเคยเป็น “เมื่อตอนที่แผ่นดินยังคงเป็นหนึ่งเดียว เอสคาลอนไร้เทียมทาน เราเพียงแค่ต้องเฝ้าระวังกำแพงอัคคีเพื่อคอยยับยั้งพวกโทรล และประตูทางใต้เพื่อต้านทานแพนดิเซีย เราคือเสรีชนมายาวนานนับศตวรรษ และนั่นคือสิ่งที่มันควรจะเป็นมาตลอด”

เขาเงียบไปชั่วครู่ ไฟมอดไหม้ต่อไป ไคร่ากำลังรออย่างกระวนกระวาย จดจ่อรอให้พ่อของเธอพูดจบ เธอลูบหัวของเลโอไปพลาง

“ถ้าพระราชาทาร์นิสสั่งการให้พวกเราป้องกันประตู” เขาพูดต่อ “เราจะป้องกันมันจนนาทีสุดท้าย พวกเราทั้งหมดยินดีที่จะสละชีวิตเพื่ออิสรภาพของเรา แต่เช้าวันหนึ่งเราตื่นมาพบว่าดินแดนของเราเต็มไปด้วยศัตรู” เขาพูด ดวงตาของเขาเปิดกว้างด้วยความทุกข์ทรมาน ราวกับว่าจริงอันโหดร้ายกำลังอยู่เบื้องหน้า

“ข้ารู้เรื่องทั้งหมดนี้แล้ว” ไคร่าย้ำเตือน กระวนกระวาย เบื่อหน่ายที่ฟังเรื่องราวเดิม ๆ

เขาหันมาหาเธอ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความพ่ายแพ้

“เมื่อพระราชายอมพ่ายแพ้” เขาถาม “เมื่อศัตรูอยู่เหนือเจ้า จะมีอะไรเหลือให้ต่อสู้อีก?”

ไคร่ารู้สึกโกรธ

“บางทีพระราชาไม่จำเป็นต้องเป็นตำแหน่งที่สมควรได้รับเสมอไป” เธอพูดโดยไม่เหลือความอดทนอีกแล้ว “ที่จริงพระราชาเป็นเพียงแค่มนุษย์ และบางครั้งบางคราวมนุษย์ก็ทำผิดพลาด เส้นทางที่มีเกียรติที่สุดคือการต่อต้านพระราชาของท่าน”

พ่อของเธอถอนหายใจ จ้องมองไปยังเปลวไฟ แทบจะไม่ได้ฟังเธอ

“เราอยู่ที่โวลิส เทียบกับส่วนที่เหลือของเอสคาลอน นับว่าที่นี่ยังดีกว่า พวกมันยินยอมให้เราเก็บอาวุธ อาวุธของจริง ไม่เหมือนกับอื่น ผู้ที่ครอบครองโลหะจะถูกต้องโทษประหาร พวกมันให้เราฝึก พวกมันมอบภาพลวงตาแห่งอิสรภาพ มากพอที่จะทำให้เราอิ่มเอมใจ เจ้ารู้ไหมว่าทำไมพวกมันถึงต้องทำเช่นนั้น” เขาถาม มองมาที่เธอ

“เพราะว่าท่านคืออัศวินที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพระราชา” เธอตอบ “เพราะว่าพวกเขาต้องการให้เกียรติแก่ท่าน ให้สมกับตำแหน่งของท่าน”

เขาส่ายหัว

“ไม่ใช่” เขาตอบ “เพียงเพราะพวกมันต้องการเรา พวกมันต้องการให้โวลิสดูแลกำแพงอัคคี มีเพียงเราที่ยืนอยู่ระหว่างมาร์ดาและพวกมัน แพนดิเซียกลัวมาร์ดามากกว่าที่เรากลัว เพราะว่าเราคือผู้เฝ้าประตู พวกมันใช้ทหารเกณฑ์ลาดตระเวนกำแพงอัคคี แต่ไม่มีใครเฝ้าระวังได้ดีเท่าเรา”

ไคร่ากำลังคิดตาม

“ข้ามักคิดเสมอว่าเราอยู่เหนือพวกมัน เหนือการเอื้อมมือถึงของแพนดิเซีย แต่คืนนี้” เขาพูดอย่างเคร่งขรึม มองมาที่เธอ “ข้าตระหนักได้ว่ามันไม่จริง ข่าวนี้…ข้ากำลังรอบางอย่างมานานหลายปี ข้าไม่แน่ใจว่านานเท่าไร และแม้ว่าจะเตรียมการมาตลอดหลายปี ตอนนี้มันมาถึงแล้ว…ไม่มีอะไรที่ข้าสามารถทำได้อีก”

เขานั่งมือกุมหัว เธอมองกลับไปที่เขา รู้สึกตกใจ ความรู้สึกเดือดดาลก่อตัวขึ้นภายในตัวของเธอ

“ท่านพ่อกำลังจะบอกว่าให้พวกมันพาข้าไปหรือ?” เธอถาม “ท่านจะบอกว่าท่านจะไม่สู้เพื่อตัวข้าหรือ?”

ใบหน้าของเขาดูมืดมน

“เจ้ายังเด็ก” เขาพูด โกรธ “ไร้เดียงสา เจ้าไม่เข้าใจวิถีของโลก เจ้ามองเห็นแค่การต่อสู้ ไม่ใช่อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ถ้าข้าสู้เพื่อเจ้า ถ้าคนของข้าสู้เพื่อเจ้า เราอาจจะชนะศึกหนึ่งครั้ง แต่พวกมันจะกลับมา ไม่ใช่ร้อยคน หรือพันคน หรือหมื่นคน แต่จะเป็นมหาสมุทรของกองทัพ ถ้าข้าสู้เพื่อเจ้า เท่ากับว่าข้าสั่งทุกคนให้เดินไปสู่ความตาย”

คำพูดของเขาทิ่มแทงเธอเหมือนคมมีด ภายในใจของเธอสั่นไหว ไม่ใช่เฉพาะคำพูดของเขา แต่มันเป็นความสิ้นหวังที่แฝงอยู่เบื้องหลัง เธอต้องการออกไปจากที่นี่ เธอเหน็ดเหนื่อย ผิดหวังอย่างมากในตัวชายคนนี้ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยบูชา เธอรู้สึกกำลังเสียใจกับการถูกทรยศ

เธอยืนขึ้น ตัวสั่น และถลึงตาใส่เขา

ท่านพ่อ” เธอโมโห “ท่านนักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนของเรา ยังกลัวแม้แต่จะปกป้องเกียรติของลูกสาวตัวเอง?”

ใบหน้าของเขาแดงก่ำที่ถูกสบประมาท

“ระวังปากของเจ้าด้วย” เขาเตือนอย่างน่ากลัว

แต่ไคร่าไม่ยอม

“ข้าเกลียดท่าน!” เธอตะโกน

คราวนี้ถึงคราวที่เขาจะยืนบ้าง

“เจ้าต้องการให้คนทั้งหมดของเจ้าถูกฆ่าหรือ?” เขาตะโกนกลับ “ทั้งหมดต้องตายเพื่อเกียรติของเจ้าหรือ?”

ไคร่าไม่สามารถห้ามตัวเองได้ นี่เป็นครั้งแรก นานมาแล้วเท่าที่เธอจำได้ เธอร้องไห้ออกมา เจ็บช้ำอย่างที่สุดกับการที่พ่อของเธอไม่แยแส

เขาเดินมาข้างหน้าเพื่อปลอบใจเธอ แต่เธอก้มหัวลงและเบือนหน้าหนี จากนั้นเธอห้ามใจตัวเอง หันกลับมาอย่างรวดเร็วและปาดน้ำตา มองดูเปลวไฟด้วยน้ำตาที่เอ่อนอง

“ไคร่า” เขาพูดอย่างนุ่มนวล

เธอมองมาที่เขาและเห็นว่าเขาเองก็มีน้ำตานองเช่นกัน

“แน่นอนข้าจะสู้เพื่อเจ้า” เขาพูด “ข้าจะสู้เพื่อเจ้าจนหัวใจของข้าหยุดเต้น ข้าและทหารทั้งหมดของข้าจะตายเพื่อเจ้า ในสงครามที่ตามมาหลังจากนั้น เจ้าจะตายเช่นกัน เจ้าต้องการให้เป็นแบบนี้หรือ?”

“แล้วความเป็นทาสของข้าล่ะ?” เธอตอบกลับ “นั่นคือสิ่งที่ท่านต้องการหรือ?”

ไคร่ารู้ว่าเธอเห็นแก่ตัว เธอห่วงตัวเองก่อน และนั่นไม่ใช่นิสัยของเธอ แน่นอนเธอไม่ต้องการให้คนของเธอต้องมาตายเพราะเธอ แต่เธอเพียงต้องการได้ยินพ่อของเธอพูดว่า ข้าจะสู้เพื่อเจ้า ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เจ้ามาก่อน เจ้าสำคัญที่สุด

แต่เขายังคงเงียบ และความเงียบของเขาทำให้เธอเจ็บปวดยิ่งกว่าสิ่งใด

ข้าจะสู้เพื่อเจ้า!” เสียงดังขึ้น

ไคร่าหันกลับมา ตกใจเมื่อเห็นไอดานเข้ามาในห้อง ถือหอกเล็ก ๆ พยายามที่จะทำท่าทางกล้าหาญ

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” พ่อของเธอถามออกไป “ข้ากำลังพูดกับพี่สาวของเจ้า”

“และข้าได้ยินแล้ว!” ไอดานพูด พร้อมเดินเข้ามาข้างใน เลโอวิ่งไปและเลียขาของเขา

ไคร่าอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ไอดานแบ่งปันแนวทางการต่อต้านแบบเดียวกับเธอ แม้ว่าเขายังเด็กและตัวเล็กเกินไปสำหรับการแสดงความกล้าหาญให้สมกับเจตนารมณ์ของเขา

“ข้าจะสู้เพื่อพี่สาวของข้า!” เขาพูดต่อ “แม้ว่าต้องต่อกรกับโทรลทั้งหมดแห่งมาร์ดา!”

เธอเอื้อมมือไป กอดเขาและจูบลงบนหน้าผากของเขา

เธอปาดน้ำตาและหันกลับไปหาพ่อ สายตาของเธอช่างหม่นหมอง เธอต้องการคำตอบ เธอต้องการได้ยินเขาพูด

“ข้าไม่ได้สำคัญกับท่านมากกว่าคนของท่านใช่หรือไม่?” เธอถาม

เขาจ้องกลับมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

“เจ้ามีความหมายต่อข้ามากกว่าโลกนี้” เขาพูด “แต่ข้าไม่ได้เป็นแค่บิดาของเจ้า ข้าคือผู้บัญชาการ คนของข้าอยู่ในความรับผิดชอบของข้าเช่นกัน เจ้าไม่เข้าใจหรือ?”

เธอขมวดคิ้ว

“แล้วสิ่งนั้นมาจากไหนท่านพ่อ? คนของท่านสำคัญกว่าครอบครัวของท่านตั้งแต่ตอนไหน? ถ้าหากการลักพาตัวลูกสาวของท่านไม่ใช่สิ่งสำคัญ แล้วมันคืออะไร? ท่านจะทำสงครามเมื่อลูกชายของท่านถูกพรากไปใช่ไหม”

เขาถลึงตาใส่

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน” เขาตะคอก

“แต่มันเป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ?” เธอตอบกลับอย่างแน่วแน่ “ทำไมชีวิตของเด็กผู้ชายจึงมีค่ามากกว่าเด็กผู้หญิง?”

พ่อของเธอโกรธมาก หายใจรุนแรง และถอดเกราะของเขาออก เขาดูไม่สบายใจมากกว่าที่เธอเคยเห็น

“มันไม่มีทางอื่นแล้ว” เขาพูดออกมาในที่สุด

เธอมองกลับไปอย่างสับสน

“พรุ่งนี้” เขาพูดอย่างช้า ๆ เสียงของเขาเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงของผู้มีอำนาจ ราวกับว่าเขากำลังพูดอยู่กับที่ปรึกษาของเขา “เจ้าจะเลือกเด็กผู้ชาย เด็กผู้ชายที่เจ้าชอบจากคนของเรา เจ้าจะแต่งงานตอนพระอาทิตย์ตกดิน เมื่อคนของลอร์ดเดินทางมาถึง เจ้าได้แต่งงานเรียบร้อยแล้ว พวกเขาไม่สามารถแตะต้องเจ้าได้ เจ้าจะปลอดภัยอยู่ที่นี่กับเรา”

ไคร่าจ้องกลับด้วยความตกตะลึง

“ท่านคาดหวังให้ข้าแต่งงานกับเด็กผู้ชายแปลกหน้าหรือ?” เธอถาม “แค่เลือกใครสักคน แค่นั้นหรือ? กับคนที่ข้าไม่ได้รัก?”

“เจ้าจะทำ!” พ่อของเธอตะโกนหน้าแดง “ถ้าแม่ของเจ้ายังอยู่ แม่ของเจ้าจะจัดการเรื่องนี้ จัดการให้เรียบร้อยก่อนที่มันจะเป็นเช่นนี้ และเจ้าไม่ใช่นักรบ เจ้าคือเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว นั่นคือข้อสรุปของปัญหา ถ้าเจ้ายังไม่เลือกสามีก่อนสิ้นวัน ข้าจะเลือกให้เจ้า และไม่ต้องมาพูดเรื่องนี้กันอีก!”

ไคร่าจ้องกลับไป รู้สึกไม่สบอารมณ์ โมโห…แต่เหนือสิ่งทั้งหมด เธอกำลังผิดหวัง

“แล้วนั่นคือวิธีที่ผู้บัญชาการดันแคนผู้ยิ่งใหญ่เอาชนะสงครามครั้งนี้หรือ?” เธอถาม ต้องการทำให้เขาเจ็บปวด “หาช่องว่างทางกฎหมายเพื่อซ่อนตัวจากผู้รุกรานหรือ?”

ไคร่าไม่รอให้พ่อโต้ตอบ เธอหันหลังและวิ่งออกจากห้อง เลโอวิ่งอยู่ข้างเท้าของเธอ เธอกระแทกประตูไม้โอ๊คตามหลัง

“ไคร่า!” พ่อของเธอตะโกน แต่เสียงประตูกลบเสียงเรียกของเขา

ไคร่าเดินลงไปตามทางเดิน รู้สึกว่าทั้งโลกกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้เท้าของเธอ ราวกับว่าการก้าวเดินของเธอไม่มั่นคงอีกต่อไป เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว การมีอยู่ของเธอทำให้พวกเขาทั้งหมดเป็นอันตราย และนั่นคือสิ่งที่เธอจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น

ไคร่าไม่สามารถเข้าใจคำพูดของพ่อ เธอไม่มีทางที่จะแต่งงานกับใครที่เธอไม่ได้รัก เธอจะไม่ยอมแพ้และใช้ชีวิตเหมือนกับผู้หญิงทั่วไป เธอยอมตายซะเสียกว่า พ่อจะไม่รู้สิ่งนี้เลยหรือ? พ่อไม่รู้จักลูกสาวของตัวเองงั้นหรือ?

ไคร่าหยุดอยู่ที่ห้องของเธอ สวมรองเท้าบูทสำหรับฤดูหนาว จัดเสื้อผ้าขนสัตว์ที่อบอุ่นที่สุด คว้าธนูและไม้เท้าของเธอ แล้วจึงเดินต่อไป

“ไคร่า!” เสียงโกรธของพ่อเธอสะท้อนจากที่ไหนสักแห่งดังไปตามทางเดิน

เธอจะไม่ยอมให้พ่อตามทัน เธอเดินต่อไป เลี้ยวไปตามทางเดิน ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กลับมาโวลิสอีก ไม่ว่าอะไรจะอยู่ข้างนอกนั่น ในโลกที่แท้จริง เธอจะพุ่งชนมัน เธอรู้ดีว่าเธออาจจะตายได้ แต่อย่างน้อยมันคือทางเลือกของเธอ อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องใช้ชีวิตตามเส้นทางที่ผู้อื่นขีดไว้

ไคร่าเดินมาถึงประตูหลักของป้อมปราการ เลโออยู่ข้าง ๆ เธอ คนรับใช้ยืนอยู่ที่นั่น ใต้คบไฟที่มอดแล้ว จ้องมองมาที่เธออย่างงุนงง

“ท่านหญิง” คนรับใช้พูด “ดึกแล้ว พายุกำลังโหมกระหน่ำ”

แต่ไคร่ายืนอยู่ที่นั่นอย่างแน่วแน่ จนกระทั่งในที่สุด เธอมั่นใจแล้วว่าเธอจะไม่ถอยหลัง พวกเขามองหน้ากันด้วยความลังเล จากนั้นแต่ละคนจึงเอื้อมมือไปและดึงประตูออกอย่างช้า ๆ

เมื่อประตูเปิดออก ลมหนาวเย็นพัดผ่านเข้ามาทิ่มแทงใบหน้าของเธอ ลมพัดพาหิมะปลิวลอยไป เธอรวบเสี้อขนสัตว์ให้แน่นขึ้นในขณะที่มองลงไปและเห็นหิมะสูงระดับหน้าแข้งของเธอ