Kitabı oku: «ธรรมเนียมแห่งดาบ », sayfa 3

Yazı tipi:

บทที่ เจ็ด

อีเร็คเปิดตาของเขาและพบว่าเขานอนอยู่ในอ้อมแขนของอลิสแตร์ เขามองขึ้นไปยังนัยน์ตาสดใสสีฟ้าของเธอที่เหมือนแสงส่องลงมา อันเปี่ยมไปด้วยความรักและความอบอุ่น เธอมีรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก เขารู้สึกว่าความอบอุ่นแผ่ออกมาจากมือของเธอแล้วไปทั่วร่างของเขา เมื่อเขาตรวจสอบตัวเองดู เขารู้สึกว่าร่างกายได้รับการเยียวยาแล้วอย่างสมบูรณ์ รู้สึกดั่งเกิดใหม่ ราวกับว่าเขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน นางได้ชุบชีวิตเขาขึ้นจากความตาย

อีเร็คลุกขึ้นนั่งมองเข้าไปในดวงตาของอลิสแตร์ด้วยความประหลาดใจ และเขารู้สึกพิศวงอีกครั้งว่า แท้จริงแล้วเธอเป็นใคร เธอถึงมีพลังแบบนั้นได้อย่างไร

เมื่ออีเร็คลุกขึ้นนั่งแล้วนวดหัวตัวเอง เขาก็จำได้โดยทันที เรื่องทหารของแอนโดรนิคัส การโจมตี การปกป้องธารน้ำลึก และหินก้อนขนาดใหญ่

อีเร็คกระโดดขึ้นด้วยสองเท้าของเขาและมองมายังทหารทั้งหลายที่ตากมองมาที่ตัวเขาราวกับว่ารอคอยการฟื้นคืนและรอคำสั่งใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยการปลดเปลื้อง

"ข้าหมดสติไปนานเท่าไหร่?" เขาหันมาถามอลิสแตร์อย่างบ้าคลั่ง เขารู้สึกผิดที่ต้องละทิ้งคนของเขาไว้เป็นเวลานาน แต่เธอยิ้มกลับมาที่เขายังหวานชื่น

"นานราวหนึ่งวินาที" เธอกล่าว

อีเร็คไม่เข้าใจว่ามันเป็นไปได้อย่างไร เขารู้สึกฟื้นตัวแข็งแรงราวกับว่า เขานอนหลับไปหลายปี เขารู้สึกถึงการพุ่งกระโดดของตนในรูปแบบใหม่ เมื่อเขายกเท้าขึ้นกระโดดตัว วกตัวกลับ แล้ววิ่งไปบริเวณทางเข้าของธารน้ำลึก และได้เห็นงานฝีมือของเขาม ก้อนหินขนาดใหญ่ที่เขาพุ่งเข้าชน ตอนนี้มันหยุดนิ่งและทหารของแอนโดรนิคัสไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ พวกเขาได้กระทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำเร็จลง เขาได้ปกป้องทัพตนจากกองทัพขนาดใหญ่ อย่างน้อยๆ ก็ในขณะนี้

ก่อนที่เขาจะเฉลิมฉลองนั้น อีเร็คได้ยินเสียงร้องดังมาจากด้านบน เขามองขึ้นไปบนของหน้าผา ทหารนายหนึ่งส่งเสียงร้องขึ้นมา ก่อนจะเซล้มลงไปด้านหลัง แล้วจึงตกลงสู่พื้นดิน จบสิ้นชีวิต

อีเร็คมองลงไปที่รางของทหารจึงเห็นว่ามันมีหอกที่เสียบทะลุเขารามจากนั้นจึงมองกลับไปเห็นกิจกรรมของ กองทัพเจ้าบ้านที่ตะโกนกรีดร้องปะทุขึ้นไปในทุกที่ดันหน้าของเขาทหารแอนโดรนิคัสหลายสิบคนโผล่ขึ้นมาด้านบนต่อสู้มือเปล่ากับทหารแห่งดยุค เข้าตีต่อยตัวต่อตัว และอีเร็คระลึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้บัญชาการของจักรวรรดิได้แยกกองกำลังเป็นสองส่วน ส่งฝ่ายหนึ่งผ่านเข้ามาตรงลำธารน้ำ อีกฝ่ายหนึ่งส่งขึ้นมาเข้าปะทะบนภูเขา

"ขึ้นไปด้านบนสุด!" อีเร็คออกคำสั่ง "ปีนขึ้นไป!"

ทหารของดยุคตามคำสั่งเขา ในขณะที่เขาวิ่งตรงขึ้นไปบนภูเขา ถือดาบอยู่ในมือ ขึ้นไปตรงทางลาดชันของก้อนหินและฝุ่นผง ในหลายๆ ก้าวที่เขามุ่งไป เขาลื่นไถลและเขาต้องใช้ฝ่ามือจับหน้าผาตรงรอยแตกที่มีอยู่ในหิน จับให้มั่น เขาพยายามอย่างถึงที่สุด เพื่อไม่ให้ตกลงมาทางด้านหลัง เขาวิ่งไปแต่พื้นผิวมันมีความลาดชันมากและมันเป็นการปีนขึ้นมากกว่าการวิ่ง แต่ละก้าวเดินคือการต่อสู้อันยากยิ่ง เสียงเสื้อเกราะกระทบกันดังอยู่รอบตัว ขณะที่ทหารของพวกเขามีอารมณ์ขุ่นเคืองและหายใจหอบ เหมือนกับแพะภูเขาที่เดินตรงขึ้นไปยังหน้าผา

"พลธนู!” อีเร็คตะโกนร้อง

ด้านล่างนั่น ทหารพลธนูหลายสิบนายของ ได้ยกกำลังประเมินสถานการณ์บนภูเขา หยุดดูแล้วเล็งเป้าขึ้นไปบริเวณหน้าผา พวกเขาปล่อยการระดมยิงลูกธนูออกไปอย่างทหารของจักรวรรดิ หลายนายที่กรีดร้องและพากันถอยหลังกลิ้งลงมาอยู่ด้านข้างของหน้าผา มีร่างหนึ่งตกลงมาอยู่ตรงหน้าอีเร็ค เขาหลบเลี่ยงแต่เกือบจะไม่พ้นจากร่างนั้น ทหารของดยุคคนหนึ่งไม่ได้มีโชค ร่างที่ตกลงมาจากข้างบน พุ่งลงมาทับเขา มันส่งให้เขาลอยไปด้านหลัง กรีดร้องเสียงดังอยู่ใต้ร่างของศพที่หนักอึ้งนั่น

พลธนูพร้อมเข้าประจำตำแหน่งและมองยังด้านบน ด้านล่างของภูเขา เขายิงไปในทุกครั้งที่ทหารจักรวรรดิโผล่หัวขึ้นมา จากขอบหน้าผา เพื่อรักษาที่มั่นของตนไว้

แต่การยิงขึ้นไปนั้น มันค่อนข้างจะจัดการได้ยาก เป็นมือต่อมือ ไม่ใช่ว่าลูกธนูทุกลูกจะสามารถเข้าชนกับเป้าหมายได้หมด ธนูลูกหนึ่งพลาดเป้า ยิงเข้าไปทางด้านหลังของทหารของดยุคเอง ทหารนั้นร้องเสียงดังแล้วโค้งหลังลง ทหารของจักรวรรดิใช้โอกาสนั้นให้เป็นประโยชน์ เขาแทงเข้าไปแล้วกระแทกเขาให้ถอยหลัง ตกลงจากหน้าผา แต่เมื่อทหารของจักรวรรดิไร้การกำบัง พลธนูอีกนายก็ยิงลูกธนูเข้าไปที่ช่องท้อง มันสังหารเขา ร่างของเขาตกลงมาหน้าคว่ำจากขอบหน้าผา

อีเร็คเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่า เฉกเช่นเดียวกับทหารรอบๆ ตัวเขาที่วิ่งด้วยความเร็วสูงขึ้นไปยังหน้าผา เมื่อเขาเข้าใกล้ด้านบนสุดห่างไปเพียงหนึ่งฟุต เขาก็เริ่มจะลื่นไถลและกำลังจะตกลงมา เขาพยายามเอื้อมมือไปจับรากไม้หนาอันหนึ่งที่โผล่มาจากเนื้อหิน เขาจับมันแน่น เพื่อชีวิตของเขาเอง และห้อยต่องแต่งอยู่ตรงนั้น เขาพยายามดึงตัวเองขึ้นไป โดยใช้เท้าทั้งสองและก้าวขึ้นไปด้านบนอย่างต่อเนื่อง

อีเร็คมาถึงด้านบนก่อนทหารคนอื่นๆและเร่งไปข้างหน้าด้วยการร้องเสียงดังแห่งการประจัญบาน ยกดาบขึ้นสูงด้วยความกระตือรือร้นที่จะช่วยปกป้องทหารของเขาผู้ที่อยู่ในตำแหน่งด้านบนสุด แต่ก็กำลังถูกผลักให้ร่นตำแหน่งมาด้านหลัง ทหารของเขามีเพียงไม่กี่โหลด้านบนนี้ และแต่ละคนก็พัวพันสู้กับทหารจักรวรรดิตัวต่อตัว กองกำลังทางนั้นมีมากกว่าเขาถึงสองต่อหนึ่ง ในทุกวินาทีที่พาดผ่าน ทหารของจักรวรรดิก็เพิ่มจำนวนมายังด้านบนเขานี้มากขึ้นเรื่อยๆ

อีเร็คต่อสู้เหมือนกับคนเสียสติจู่โจมเข้าไปแทงทหารสองคนในคราวเดียวและช่วยคนของเขาให้เป็นอิสระ ไม่มีใครกระทำการรบในสงครามได้เร็วกว่าเขา ไม่มีใครทั้งอาณาจักรวงแหวนที่จะถือดาบสองดาบในมือแล้วฟาดฟันเข้าไปได้ในทุกทิศ อีเร็คใช้ความสามารถที่พิเศษของยอดนักรบแห่งกองรบเงินนี้ต่อสู้กับพวกจักรวรรดิ เขาเป็นผู้ชายคนเดียวที่ปล่อยคลื่นแห่งการทำลายล้าง เขาทั้งหมุนตัว หลบหลีก เข้าฟัน มุ่งหน้าลึกเข้าไปยังกลุ่มทหารจักรวรรดิอันหนาแน่น เขาหลบและใช้หัวพุ่งเข้า พร้อมปัดป้องด้วยความเร็วที่เขาเลือกที่จะไม่ใช้โล่ป้องกัน

อีเร็คฉีกผ่านกองกำลังพวกเขาเหมือนกับลม ล้มคว่ำทหารนับโหล ก่อนที่พวกเขาจะมีโอกาสได้ป้องกันตัว และทหารของดยุคก็อยู่รอบๆ ตัวเขาชุมนุมกันอยู่ด้านหลัง ทหารที่เหลือของดยุคก็กำลังขึ้นมาสู่ยอดด้วย แบรนด์ท และดยุคก็นำหน้า ต่อสู้เคียงข้างกับอีเร็ค ในไม่ช้าโมเมนตัมก็เปลี่ยนทิศ แล้วพวกเขาก็พบว่า ตัวเองกำลังดันให้ทหารจักรวรรดิล่าถอย ซากศพ กองสุมสูงขึ้นมาอยู่รอบตัวพวกเขา

อีเร็คเตรียมพร้อมจะสู้กับทหารจักรวรรดิระลอกสุดท้ายที่ยังคงอยู่บนยอดเขา เขาต้อนทหารนายหนึ่งล่าถอยไป ก่อนที่จะเอียงตัวเข้ามา เตะส่งเขากลับไปยังฝั่งของทหารจักรวรรดิกรีดร้อง เมื่อเขากลิ้งตัวไปด้านหลัง

อีเร็คกับทหารของเขาทั้งหมดยืนตรงนั้น พยายามสูดลมหายใจ อีเร็คก้าวไปข้างหน้าผ่านพื้นที่จุดขึ้นปะทะ จนไปถึงขอบเหวจากฝั่งของทหารจักรวรรดิ เขาต้องการจะมองลงด้านล่างว่ามีอะไร พวกจักรวรรดิได้หยุดส่งทหารขึ้นมาบนนี้อย่างชาญฉลาด แต่อีเร็คมีความรู้สึกลึกๆ ว่าจะต้องมีอะไรเก็บงำเอาไว้ ทหารของเขาขึ้นมาอยู่ด้านข้างของเขาและมองลงไปด้วย

ไม่มีอะไรในมโนภาพที่ร้ายที่สุดจะเตรียมตัวเตรียมใจเขาให้พบกับสิ่งที่อยู่ ณ เบื้องล่าง หัวใจเขาดิ่งลงหุบเหว นอกเหนือไปจากนายทหารหลายร้อยคนที่เขาได้ฆ่าไป นอกเหนือไปจากความจริงที่ว่า เขาสามารถปิดกั้นส่วนธารน้ำได้ และเข้ายึดจุดสูงด้านบนนี้ สิ่งที่มองเห็นด้านล่างคือพลทหารหลายหมื่นนายของฝ่ายจักรวรรดิ

อีเร็คแทบจะไม่อยากเชื่อมัน มันได้พรากทุกสิ่งทุกอย่างที่เขากระทำไปมากมาย ความเสียหายทุกอย่างที่พวกเขาทำไม่ได้กระทบกระเทือนกับกำลังทหารของจักรวรรดิอันไม่มีที่สิ้นสุดได้เลย พวกจักรวรรดิยังคงส่งทหารมามากขึ้นๆ มาที่นี่ อีเร็คและทหารของเขาสามารถฆ่าฟันทหารอีกหลายสิบหลายร้อยคน แต่ในท้ายที่สุด พวกเขาคงสามารถฆ่าล้างจำนวนหลายพัน

อีเร็คยืนอยู่ตรงนั้นรู้สึกสิ้นหวัง ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้ว่า เขากำลังจะตายอยู่ตรงพื้นที่ตรงนี้ ในวันนี้ มันไม่มีวิธีอื่นแล้ว แต่เขาจะไม่เสียใจ เขาได้ปกป้องอย่างวีรบุรุษแล้ว และถึงแม้ว่าเขาจะตาย มันก็จะไม่มีวิธีใดหรือที่แห่งใดที่ดีไปกว่านี้ เขากำดาบในมือและใส่ความแกร่งกล้าให้กับตัวเอง ความลังเลเพียงอย่างเดียวก็คือ อลิสแตร์จะต้องปลอดภัย

บางทีเขาคิดว่าชีวิตในชาติหน้า เขาคงจะมีเวลากับเธอได้มากกว่านี้

"คือ พวกเราน่าจะมีการหนีที่ดี" เสียงหนึ่งดังขึ้น

อีเร็คหันไปเห็นแบรนด์ท เข้ามายืนด้านข้างมือของเขาจับดาบและรู้สึกอ่อนข้อ พวกเขาทั้งสองต่อสู้กับสมรภูมิด้วยกันมานับไม่ถ้วนและถูกโจมตีจากฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าอยู่หลายครา แต่กระนั้น อีเร็คก็ไม่เคยเห็นสีหน้าของเพื่อนเขาเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ มันคงเหมือนเป็นเงาสะท้อนให้กับตัวเขาเองว่า สัญญาณแห่งความตายได้มาถึงที่นี่แล้ว

"อย่างน้อยพวกเราก็จะลงไปพร้อมกับดาบในมือ" ดยุคกล่าวขึ้น

มันเหมือนกับ เสียงสะท้อนในความคิดของอีเร็คไม่มีผิด

ข้างล่างนั้นมีทหารของจักรวรรดิมองขึ้นมาพวกเขาอีกหลายพัน คน เริ่มชุมนุมเดินสวนสนามกันอย่างพร้อมเพรียง มุ่งหน้าเข้ามาสู่หน้าผา พร้อมกับอาวุธมากมาย กองพลธนูของจักรวรรดิเริ่มจะคุกเข่าลง อีเร็ครู้ว่า ณ วินาทีนั้น การนองเลือดกำลังจะเริ่มขึ้น เขาฮึดสู้ขึ้นมาและสูดลมหายใจลึกๆ

ในทันใดนั้น มีเสียงหวีดแหลมดังขึ้นมาจากบางแห่งบนท้องฟ้า มาจากสุดขอบฟ้า อีเร็คมองขึ้นไปบนฟากฟ้า และกำลังสงสัยว่า เขาได้ยินเสียงของสิ่งใดกัน ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินเสียงร้องของมังกร เขาคิดว่าบางทีมันน่าจะเป็นเสียงแบบนั้น มันเป็นเสียงที่เขาไม่เคยลืมเลือน วันหนึ่งเขาได้ยินเสียงนั้นจากการฝึกฝนร้อยวัน มันเป็นเสียงที่เขาไม่คิดว่า เขาจะได้ยินมันอีกครั้ง แล้วมันไม่น่าจะเป็นไปได้ มังกร งั้นหรือ? ในอาณาจักรวงแหวน งั้นหรือ?

อีเร็คชะเง้อคอขึ้นไปมองในระยะไกลออกไป ผ่านหมู่เมฆหมอก เขาจึงเห็นภาพที่ปะทุขึ้นผลาญเข้าในใจเขาตราบชั่วชีวิต สิ่งที่บินมา มุ่งหน้าสู่พวกเขานั้น มันเป็นปีกอันใหญ่โตมโหฬารกระพือขึ้นลง มันเป็นมังกรสีม่วงที่มีขนาดใหญ่ พร้อมกับตาสีแดง ภาพที่อยู่เบื้องหลังหน้านั้นดูน่ากลัวมากกว่าทหารทั้งกองทัพ

แต่เมื่อเขามองเข้าไปใกล้ สีหน้าท่าทางเขาเปลี่ยนไปสู่ความสับสน เขาคิดว่าเขาเห็นมนุษย์สองคนนั่งอยู่บนหลังมังกร เมื่ออีเร็คหรี่ตาของเขาลง เขาคิดว่าจำสองคนนั้นได้ หรือว่าดวงตาของเขาเล่นตลกอะไรกันแน่?

ตรงนั้น บนหลังของมังกรมีธอร์กรินนั่งอยู่ ส่วนด้านหลัง คนนั่งเกาะเอวธอร์อยู่คือ ลูกสาวของราชาแม็คกิล คือพระนางเกว็นโดลีน

ก่อนที่อีเร็คจะประมวลความคิดอะไรในสิ่งที่เขาเห็น มังกรก็โฉบลงมา ดำดิ่งเข้าไปสู่พื้นดินเหมือนกับนกอินทรีย์ มันเปิดปากของมันออก แล้วส่งเสียงหวีดร้องอย่างน่าสะพรึงกลัว เป็นเสียงที่ดังแหลมที่ก้อนหินใหญ่ด้านข้างอีเร็คเริ่มจะปริแตก ทั้งพื้นพิภพสั่นสะเทือนเมื่อมังกรพุ่งลงมา เปิดปากของมันแล้วพ่นไฟ มันดูไม่เหมือนสิ่งใดทั้งมวลที่อีเร็คเคยพบเห็นมาก่อน

ทั้งหุบเขาเต็มไปด้วยเสียงตะโกนและเสียงร้องจากทหารจักรวรรดิหลายพัน นายระลอกของไฟกลืนกินเผาเขาไประลอกแล้วระลอกเล่า ทั้งหุบเขาถูกจุดขึ้นด้วยเปลวเพลิง ธอร์กำกับมังกรขึ้นและลงตามแถวของทหาร กวาดล้างพวกเขาจำนวนมากมายในชั่วพริบตา

ทหารที่เหลืออยู่หันตัววิ่งหนี แข่งกันหนีรอดไปสู่ขอบฟ้า ธอร์พยายามตามล่าพวกเขาด้วยเขานำทางมังกรที่พ่นเพลิงออกมามากขึ้น

เพียงชั่วอึดใจทหารทั้งหมดด้านล่างของอีเร็ค กองทหารที่เขารู้สึกว่าจะนำความตายมาถึงตัว ทั้งหมดนั่นโดนสังหารสิ้นซาก ส่วนที่เหลืออยู่ตรงนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่า ซากที่ดำเป็นตอตะโก กองไฟและเปลวเพลิง และดวงจิตวิญญาณที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ตรงนั้น กองทัพจักรวรรดิทั้งหมดได้สูญสิ้นไปแล้ว

อีเร็คมองขึ้นไปเปิดปากด้วยความตกตะลึงอย่างสุด-มองไปที่มังกรที่บินสูงอยู่บนอากาศกระพือปีกอันใหญ่โตของมันบินผ่านพวกเขาไปมันบินไปทางเหนือทหารของพวกเขาต่างระเบิดเสียงเชียร์ออกมาลั่น เมื่อมันได้บินผ่านพวกเขาไปแล้ว

อีเร็ครู้สึกไร้ซึ่งคำพูดในการสรรเสริญกับความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของธอร์ ในการควบคุมสัตว์ร้ายและพลังของสัตว์ร้ายนั่น อีเร็คได้รับโอกาสครั้งที่สองในชีวิต เขาและเหล่าทหารของเขารู้สึกมีความหวังกับสิ่งดีดีเป็นครั้งแรกในช่วงหนึ่ง ครั้งนี้เขาสามารถชนะกองทัพของแอนโดรนิคัสนับล้านคนได้ เพราะว่ามีสัตว์ร้ายแบบนั้น พวกเขาสามารถเอาชนะได้จริงจริง

"ทหาร เดินหน้า!" อีเร็คสั่งการ

เขารู้สึกมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวที่จะตามรอยของมังกรไป เขาได้กลิ่นของกำมะถันและเห็นเปลวเพลิงลอยสูงอยู่บนฝากฟ้า ไม่ว่ามันจะนำเข้าไปที่ใด ธอร์ได้หวนกลับมาแล้ว และมันเป็นเวลาที่จะเข้าร่วมกับเขา

บทที่ แปด

เจ้าชายเคนดริคเข้าจู่โจมบนหลังม้าของพระองค์ โดยมีทหารของพระองค์อยู่รายรอบมีจำนวนหลายพันนายอยู่ข้างนอกเมืองวินีเซีย ซึ่งเป็นเมืองสำคัญที่กองกำลังของแอนโดรนิคัสได้ล่าถอยไปปักหลัก ซุ้มประตูเล็กทางเข้าเมืองทำมาจากเหล็กสูงใหญ่โดยมีกำแพงที่ทำมาจากหินที่มีความหนาและมีกองกำลังทหารของแอนโดรนิคัสหลายพันคนอยู่คับคั่ง ทั้งด้านในและด้านนอกประตูเมืองซึ่งดูมีจำนวนมากกว่ากองกำลังของเจ้าชายเคนดริค กองกำลังทหารของฝ่ายพระองค์มิได้มีได้เปรียบอีกต่อไป

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ การได้มองเห็นเมืองนี้จากด้านหลัง เห็นทหารหลายพันนายเป็นกองกำลังเสริมที่มารวมกันอย่างคับคั่ง ณ บริเวณที่ราบของเมือง ที่เจ้าชายแขนเด็กคิดไว้ว่าพวกเขากำลังหลบหนีอยู่นั้นสถานการณ์ได้กลับตาลปัตรอย่างรวดเร็ว โดยความจริงแล้วกองกำลังได้เดินสวนสนามมาทางเจ้าชายเคนดริค พวกเขาเดินอย่างเป็นระเบียบและได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเยี่ยม มันเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ที่พร้อมจะทำลายล้างได้ทุกสิ่ง

ทางที่เลือกอยู่ทางเดียวที่เหลือในตอนนี้คือการล่าถอยไปยังเมืองซิเลเซียเพื่อตั้งรับอย่างชั่วคราวจนกระทั่งจักรวรรดิเข้ามาชิงเมืองอีกครั้งและพวกเขาทั้งหมดก็ต้องกลายไปเป็นทาสอีกครั้งหนึ่ง และนั่นจะไม่ทรงยอมให้เกิดขึ้นได้เด็ดขาด

เจ้าชายเคนดริคไม่เคยล่าถอยจากการเผชิญหน้า ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนน้อยกว่า เช่นเดียวกันกับนักรบผู้กล้าคนอื่นๆในกองทัพของแม็คกิล หรือของเมืองซิเลเซียหรือของอัศวินเงินที่จะไม่ยอมถอย พวกเขาทั้งหมด เจ้าชายเคนดริค รู้ว่าพวกเขาจะสู้จนตัวตายและพระองค์ก็ทรงกำดาบในพระหัตถ์แน่นขึ้นไปอีก พระองค์ทรงรู้ว่าจะต้องทรงทำอะไรในวันนี้

พวกทหารของกองกำลังจักรวรรดิกู่ร้องสัญญาณรบ ส่วนกองกำลังของเจ้าชายเคนดริคก็เข้าร่วมร้องด้วยเสียงดังกว่าอีกฝ่าย

เจ้าชายเคนดริค และพลทหารของพระองค์เร่งฝีเท้าลงไปจากเนินเขาเข้าปะทะกับกองกำลังที่สวนมาของอีกฝ่าย ทรงรู้ดีว่าในการต่อสู้ครั้งนี้ พวกเขาไม่สามารถเอาชนะมันได้แต่ก็ ทรงตัดสินใจกระทำการรบอยู่ดี พวกทหารของแอนโดรนิคัสเร่งฝีเท้าเข้ามาหาพวกเขาอย่างเร็ว เจ้าชายเคนดริค รู้สึกถึงกระแสลมที่พัดผ่านผมของเขา ทรงรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนของดาบที่อยู่ในมือ และทรงรับรู้ว่าอาจจะพ่ายแพ้ไป เมื่อใดก็ได้ จากดาบที่ฟาดฟันเสียงดังกังวานอยู่นั่น ซึ่งเป็นเสียงที่ดังและคุ้นเคย

เจ้าชายแคนดริครู้สึกประหลาดพระทัยที่ทรงได้ยินเสียงแหลมดังมาจากเบื้องบน พระองค์ทรงชะเง้อพระศอมองขึ้นไปยังท้องฟ้าและทอดพระเนตรเห็นบางอย่างแหวกผ่านออกมาจากหมู่เมฆ มันทำให้พระองค์ต้องทอดพระเนตรถึงสองครั้ง พระองค์เคยทอดพระเนตรเห็นมันมาก่อน ตอนที่ธอร์โผล่มาบนหลังของไมโครเพิลแต่ภาพที่เห็นนั้นก็ยังคงทำให้พระองค์ทรงประหลาดพระทัยอย่างมาก โดยเฉพาะ ในเวลานี้ที่มีพระนางเกว็นโดลีนอยู่บนหลังนั่นด้วย

ดวงพระหฤทัยของเจ้าชายเคนดริคพองโต เมื่ิทอดพระเนตรเห็นพวกเขาสองคนมุ่งหน้าลงมาแล้ว ทรงระลึกขึ้นได้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์กว้าง ทรงชูดาบขึ้นสูงและเข้าจู่โจมอย่างรวดเร็วระลึกขึ้น เป็นครั้งแรกได้ได้ว่าชัยชนะจะตกเป็นของพวกเขาในวันนี้

*

ธอร์และพระนางเกว็นบินอยู่บนหลังของไมโครเพิลบินผ่านเข้าออกกลุ่มเมฆ ปีกอันใหญ่โตของเธอกระพือขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ในขณะธอร์เร่งให้เธอเดินทางต่อไป เขารับรู้ถึงอันตรายที่อยู่ด้านล่างต่อเจ้าชายเคนดริค และคนอื่นๆ พวกเขาโฉบต่ำลงมา แล้วผ่านทะลุเข้าหมู่เมฆอีกครั้ง ก่อนที่จะมองเห็นภูมิทัศน์ด้านล่างอย่างชัดเจน สภาพที่เป็นเนินเขารายล้อมมากมายของอาณาจักรวงแหวนท เขาเห็นกองทัพของแอนโดรนิคัสใหญ่โตกินอาณาเขตกว้างขวาง กำลังเร่งเข้าจู่โจม กองกำลังของเจ้าชายเคนดริค ในที่ราบโล่งแจ้งนั่น

ธอร์เร่งไมโครเพิลให้ลดตัวต่ำลง

"ร่อนลง!" เขากระซิบ

ไมโครเพิลโชว์ต่ำลงเข้าใกล้ยังพื้นดินที่ธอร์สามารถจะกระโดดออกมา จากนั้น เธออ้าปากของเธอเพื่อปลดปล่อยเปลวเพลิงออกมา ความร้อนของมันเข้าใกล้ตัวของธอร์ เปลวเพลิงระลอกแล้ว ระลอกเล่าม้วนผ่านเข้าไปในบริเวณที่ราบ แล้วก็ตามมาด้วยเสียงร้องอันน่าสะพรึงกลัวของพวกทหารจักรวรรดิ ไมโครเพิลก่อเกิดหายนะ ด้วยการทำลายล้างที่ไม่เหมือนอะไรที่ผู้คนเคยพบเห็นมาก่อน มันทำให้เขตชนบทที่ห่างออกไปหลายไมล์เต็มไปด้วยแสงไฟและทหารนับพันๆ นายล้มตายลง

ผู้ใดก็ตามที่รอดชีวิตจะหันหลังแล้ววิ่งหนีไป ธอร์จะทิ้งพวกนี้ไว้ให้เจ้าชายเคนดริค จัดการต่อไป

ธอร์ย้อนกลับไปยังเมือง และมองเห็นทหารจักรวรรดิจำนวนหลายพันนายอยู่ในนั้น เขารู้ว่าไมโครเพิลไม่สามารถจัดการในที่แคบๆแบบนั้นได้ ในสถานที่ลึกชัน กำแพงแคบๆ และมันก็อันตรายเกินไปที่จะปล่อยให้เธอลงไป ที่นั่น ธอร์เห็นทหารหลายร้อยนายกำลังเล็งลูกธนูและหอกขึ้นมาบนท้องฟ้า เขากลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับไมโครเพิลหากบินลงเข้าใกล้ในระยะประชิด ตัวเขาไม่ชอบให้มันเป็นแบบนั้นเลย เขารู้สึกถึงดาบแห่งโชคชะตาที่กำลังเต้นเป็นจังหวะอยู่ในมือของเขาและรู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ เขาต้องทำมันด้วยตัวเอง

ธอร์นำไมโครเพิลลงมาอยู่ด้านหน้าเมืองออกไปด้านนอกของประตูเหล็กขนาดใหญ่

ขณะที่เธอกำลังลงจอด เขาชะโงกหน้าไปกระซิบที่หูของไมโครเพิลว่า "ให้เผาผลาญประตูเมืองเหล็กยักษ์นั่นลง แล้วข้าจะจัดการมันต่อเอง"

ไมโครเพิลนั่งรอตรงนั้น และบ่นกลับไป เธอกระพือปีกขึ้นลงอย่างแข็งขืน เห็นได้ชัดว่า เธอต้องการอยู่เคียงข้างกับธอร์ ต้องการสู้กับเขาในเมือง แต่ธอร์มิอาจให้เธอไปเสี่ยงชีวิตได้

"นี่เป็นสงครามของข้า"เขายืนกราน "และข้าต้องการให้เจ้านำพระนางเกว็นไปอยู่ในที่ปลอดภัย"

ไมโครเพิลดูเหมือนจะยอมรับ แต่ทันใดนั้น เธอก็เอนตัวกลับไปปลดปล่อยเปลวเพลิงไปยังประตูเหล็กนานจนกระทั่งมันหลอมละลายไม่กลายจุณ

ธอร์เอนตัวไปหาไมโครเพิล

"ไปได้!" เขากระซิบบอกเธอ "จงพานางเกว็นโดลีนไปในที่ปลอดภัย"

ธอร์กระโดดลงจากหลังของเธอ และเขารับรู้ถึงการกระตุกของดาบแห่งโชคชะตาที่อยู่ในมือ

"ธอร์!" พระนางเกว็นร้องเรียก

แต่ธอร์ได้เร่งฝีเท้าออกตัวไปแล้ว ไปยังประตูเมืองที่ถูกหลอมนั่น เขาได้ยินเสียงไมโครเพิลทะยานตัวออกไป และรับรู้ว่าเธอกำลังพาพระนางเกว็นไปยังที่ปลอดภัย

ธอร์วิ่งอย่างเร็วไปสู่ประตูที่เปิดออก เข้าไปในลานของตัวเมือง เข้าไปสู่ศูนย์กลางของเมือง ผ่านทหารมากมายหลายพันนาย โดยมีดาบแห่งโชคชะตากำลังสั่นอยู่ในมือราวกับว่ามันมีชีวิต มันนำเขาผ่านไปราวกับว่าเขาตัวเบากว่าอากาศ สิ่งที่เขาต้องทำก็เพียงแค่ถือดาบนั้นไว้ในมือ

ธอร์รู้สึกว่าแขนและข้อมือรวมถึงลำตัวของเขาเคลื่อนไหว ฟาดฟัน จู่โจม ในทุกทิศทางดาบเสียงดังกังวานไปทั่วบรรยากาศ การฟาดฟันของมันราวกับการตัดเนย จัดการฆ่าทหารหลายสิบคนได้จากการฟาดลงเพียงครั้งเดียว ธอร์หมุนควงและปลดปล่อยพลังการทำลายล้างไปทั่วทุกทิศทาง ในตอนแรก พวกจักรวรรดิพยายามที่จะต่อสู้กลับมา แต่หลังจากที่ธอร์ฟันผ่านโล่มาได้ ตัดทะลุเสื้อเกราะไปได้ ตัดอาวุธยุทโธปกรณ์ใดๆ ได้ ราวกับว่าไม่ได้มีอาวุธอะไรอยู่ตรงนั้น หลังจากที่เขาจัดการฆ่าทหารออกไปหลายต่อหลายแถว พวกเขาตระหนักขึ้นมาว่า พวกเขากำลังสู้อยู่กับอะไร มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์และเป็นการทำลายล้างอย่างรวดเร็วที่ไม่มีทางหยุดได้

ทั้งเมืองเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงพวกทหารจักรวรรดิหลายพันคนและ หันไปและพยายามหนีออกไปจากเมืองออกไปจากธอร์แต่ว่ามันไม่มีหนทางที่จะไปได้ธอร์เคลื่อนไหวเร็วมากจากการนำของดาบไว้ราวกับเป็นสายฟ้าฟาดผ่านไปทั่วทั้งเมืองทั้งทหารที่ตกใจกลัววิ่งเข้าสู่กำแพงเมืองวิ่งเข้าหากันและกัน พากันแตกตื่นเพื่อจะหลบหนีไป

ธอร์ไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาหลบหนีเข้าวิ่งด้วยความเร็วสูงผ่านทุกซอกมุมของเมืองมีดาบพาเขาไปด้วยความเร็วที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนและ ในขณะที่เขานึกถึงพระนางเกว็นโดลีนและสิ่งที่แอนโดรนิคัสได้กระทำกับเธอเขาฆ่าฟันทหารคนแล้วคนเล่า เพื่อเป็นการล้างแค้นอย่างสาสมมันถึงเวลาทำสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูกต้อง กับแอนโดรนิคัสได้ เข้ามารุกรานอาณาจักรวงแหวนทั้งหมด

แอนโดรนิคัสพ่อของเขาความคิดนี้เผาไหมเขาเหมือนอยู่ในกองไฟ การฟันดาบลงไปในแต่ละครั้งธอร์นึกไปถึงการข้าตัวเขาและล้างสะสางมันจนไปถึงต้นบรรพบุรุษทมต้องการจะเป็นคนอื่นเกิดมาจากคนอื่น เขาอยากได้พอที่เขาสามารถภาคภูมิใจได้ใครก็ได้ที่ไม่ใช่แอนโดรนิคัสแล้วถ้าเขาจะเอาถ้าทหารเหล่านี้เพียงพอแล้ว ในบางครั้ง เขาก็จะทำให้ผลจากความนึกคิด เกี่ยวกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่ได้

ธอร์ต่อสู้ด้วยความงง เขาหมุนไปทั่วทุกทิศทาง จนกระทั่งเขาระลึกขึ้นได้ว่า เขากำลังตีอยู่เขากำลังฟาดฟันอยู่กับความว่างเปล่า เขามองไปรอบๆ เห็นว่าทหารทุกคนแต่ละคนจากกองกำลังหลายพัน นอนสิ้นชีวิตอยู่กับพื้นทั้งเมืองเต็มไปด้วยซากศพ ไม่มีใครหลงเหลืออยู่อีก

ธอร์ยืนอยู่ที่จตุรัสของเมืองเพียงลำพังหายใจเหนื่อยหอบโดยมีดาบที่ส่งแสงเรืองรองอยู่ในมือ โดยไม่ใช่จิตวิญญาณที่ถูกปลุกเร้า

ธอร์ได้ยินเสียงในระยะไกลเขาฝ่ามันออกไปวิ่งออกไปจนไปถึงประตูเมืองลาได้มองเห็นนายทหารของเจ้าชายเคนดริคกำลังเข้าต่อสู้กับ ทหารของแอนโดรนิคัสส่วนที่เหลือเพียงเล็กน้อย เป็นการไล่พวกเขาออกไป

ขณะที่ธอร์กำลังวิ่งไปยังประตูเมืองอยู่นั้น ไมโคเพิลก็มองเห็นเขาและลดตัวลงมา เธอกำลังรอคอยการกลับมาของเขาอยู่ พระนางเกว็นอยู่บนหลังของเธอ ธอร์ขึ้นขี่หลังของมังกร และบินออกไปสู่อากาศอีกครั้งหนึ่ง

พวกเขาบินผ่านกองกำลังทหารของเจ้าชายแคนดริค ธอร์มองเห็นพวกเขาจากการบนนี้เหมือนกับฝูงของมดที่อยู่ต่ำลงไปพวกเขาส่งเสียงร้องแห่งชัยชนะเมื่อเขาบินผ่านไป จนในที่สุด พวกเขาก็มาอยู่ด้านหน้าของกองทัพของเจ้าชายเคนดริคอยู่เบื้องหน้าของกองทัพคนและม้าอันยิ่งใหญ่ท่ามกลางกองฝุ่นอยู่เบื้องหน้ากองกำลัง ทหารยุวชนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของแอนโดรนิคัส

"ลงไป" ธอร์ส่งเสียงกระซิบ

พวกเขาทะยานแล้วเขาไปไกลกับทหารของแอนโดรนิคัส ณ ขณะนั้น ไมโคเพิลก็หายใจเป็นเปลวเพลิงออกมากวาดล้างแถวของทหารออกไปหนึ่งแถว มันเป็นกำแพงไฟที่ ปล่อยออกมาอย่างรวดเร็วเสียงกรีดร้องดังขึ้นและในไม่ช้าธอร์ก็สามารถกวาดล้าง กองกำลังเสริมด้านหลังได้ทั้งหมด

ในที่สุดก็ไม่มีผู้คนเหลือให้ฆ่าได้อีก

พวกเขายังคงบินต่อไป ข้ามผ่านดินแดนที่ราบที่ขยายตัวออกไป ธอร์ต้องการที่จะแน่ใจว่า จะไม่มีใครหลงเหลืออยู่อีก ในระยะตรงนี้ธอร์สามารถมองเห็นขอบเขตของภูเขา เห็นที่ราบสูงไฮแลนด์ที่แบ่งดินแดนตะวันออกและตะวันตกออกจากกัน ไม่มีทหารจากจักรวรรดิหลงเหลือมีชีวิตรอดอยู่เลยสักราย ธอร์รู้สึกพอใจที่ได้รู้เช่นนั้น

ทั้งอาณาจักรทางตะวันตกของอาณาจักรวงแหวนใต้ถูกปลดปล่อยแล้ว มันมีการฆ่าฟันเพียงพอแล้วสำหรับในหนึ่งวัน พระอาทิตย์กำลังจะตก และไม่ว่าสิ่งใดจะรออยู่ยังอีกฝั่งหนึ่งของที่ราบสูงไฮแลนด์ทางด้านตะวันออก มันก็จะยังคงเป็นอย่างนั้นต่อไป ณ เวลานี้

ธอร์บินเวียนเป็นวงกลมบินกลับไปหาเจ้าชายเคนดริคที่อยู่ในชนบท เขาเร่งไปหาเจ้าชายในทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนและเสียงโห่ร้อง ของพวกทหารที่มองขึ้นมายังท้องฟ้าและเปล่งเสียงเรียกชื่อของเขา

เขาลงจอดอยู่เบื้องหน้าของกองทัพและลงมาจากมังกร พร้อมกับช่วยพระนางเกว็นโดลีนลงมาด้วยกัน

พวกเขาได้รับการสวมกอดจากกลุ่มคนขนาดใหญ่ ทุกคนต่างกรูกันเข้ามา เสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะดังขึ้น และเหล่าทหารเบียดเสียดกันเข้ามาจากทุกทิศทาง เจ้าชายเคนดริค เจ้าชายก็อดฟรีย์ เจ้าชายรีส และเหล่าทหารพี่น้องยุวชน กลุ่มอัศวินเงิน ทุกๆคนที่ธอร์รู้จักและห่วงใยต่างพากันเข้ามสวมกอดเขากับพระนางเกว็นโดลีน พวกเขาทุกคนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ในที่สุด พวกเขาก็ได้รับอิสรภาพ