Kitabı oku: «ธรรมเนียมแห่งดาบ », sayfa 4
บทที่ เก้า
แอนโดรนิคัสเดินกระหน่ำไปด้วยความโกรธทั่วค่ายพักของเขาด้วยความเดือดดาลอย่างมาก เขาเอื้อมกรงเล็บที่ยาวแหลมฟาดลงยังหัวของนายทหารหนุ่มที่โชคร้าย ที่บังเอิญอยู่ข้างทาง ขณะที่เขาเดินไป แอนโดรนิคัสก็ตัดศีรษะของทหารอีกคนหนึ่งหลังจากคนแรก แล้วในที่สุด พวกทหารก็ได้รู้ว่าควรจะอยู่ห่างจากเขาเอาไว้ พวกเขาควรจะรู้ดีว่านี้ หากต้องอยู่ใกล้เขาเวลาที่มีอารมณ์ร้ายเช่นนี้
ทหารบางส่วนแยกทางออกไป ขณะที่แอนโดรนิคัสย่ำเท้าไปด้วยความโกรธ ผ่านไปทั้งค่ายของทหารหลายหมื่นนาย ทุกคนต่างเว้นระยะห่างอันพอสมควร แม้แต่นายพลของเขา ก็พยายามอยู่ห่างในระยะที่ปลอดภัย คอยติดตามอยู่ด้านหลัง เพราะรู้ว่าไม่ควรอยู่ใกล้เขาเกินไปเวลาที่เขามีอารมณ์เสียเช่นนี้
ความพ่ายแพ้ก็เป็นอย่างหนึ่ง แต่การพ่ายแพ้ในรูปแบบนี้ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของดินแดนจักรวรรดิ แอนโดรนิคัสไม่เคยประสบความพ่ายแพ้มาก่อน ในชีวิตของเขามีเพียงแต่เรื่องราวของชัยชนะ แต่ละครั้งก็จะโหดร้ายและ สนองความพอใจมากกว่าอีกอัน เขาไม่เคยรู้ว่าจะต้องพ่ายแพ้แบบนี้และตอนนี้เขารู้แล้วเขาไม่ชอบมันเลย แอนโดรนิคัสคิดอยู่ในใจครั้งแล้วครั้งเล่าว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีอะไรที่ผิดพลาดไป เพียงแค่เมื่อวานนี้ทุกอย่างเป็นราวกับว่าชัยชนะของเขา เสร็จสิ้นสมบูรณ์ราวกับว่าอาณาจักรวงแหวนเป็นของเขาแล้วเขาได้ทำลายราชสำนักและมีชัยชนะเหนือเมืองซิเลเซีย เขาได้ปราบปรามพวกราชวงศ์แม็คกิล และทำให้ผู้นำของมันเสียเกียรติ นั่นคือ ราชินีเกว็นโดลีน เขาได้ทรมานทหารใหญ่ๆ ของพวกนั้น โดยตรึงไว้กับไม้กางเขนและได้สังหารคอร์คไปแล้ว และกำลังที่จะประหารชีวิตเจ้าชายเคนดริคกับพวกคนอื่นๆ ส่วนอาร์กอนที่เข้ามาก้าวก่ายในเรื่องของเขา ก็ได้ลักพาตัวราชินีเกว็นโดลีนออกไปได้ ก่อนที่เขาจะฆ่าเธอ แอนโดรนิคัสพยายามจะแก้ไขเรื่องเหล่านั้น เพื่อจะได้พระนางกลับมาและสังหารพระองค์ร่วมไปกับคนอื่นๆ เขารู้ว่า มันเป็นเพียงแค่หนึ่งวัน จากชัยชนะอันสมบูรณ์และความยิ่งใหญ่
และจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและยิ่งแย่กว่านั้นธอร์และมังกรก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เหมือนกับเป็นการปรากฏตัวของภูตผีที่ชั่วร้าย แล้วก็ร่อนลงมาเหมือนกับกลุ่มควัน ด้วยเปลวไฟที่ยิ่งใหญ่กับดาบแห่งโชคชะตาที่กวาดล้างทั้งกองทัพของเขา แอนโดรนิคัสได้มองเห็น มันทั้งหมดตอนที่อยู่ในระยะที่ปลอดภัยเขาเห็นการสู้รบกันล่าถอยที่นี่และได้ถอยไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของที่ราบสูงหายเลนส์โดยมีหน่วยสอดแนมคอยนำข่าวกลับมาบอกเขาทั้งวันเกี่ยวกับการทำลายล้างที่ธอร์และมังกรทำลงไป ด้านล่างทางใต้ใกล้กันกับซาวาเรียทั้งกองพันทหารถูกหลังทำลายสิ้นในราชสำนักและเมืองซิเลเซียมันก็แย่เช่นเดียวกัน ตอนนี้ทางฝั่งของอาณาจักรวงแหวนด้านตะวันตก ที่เขาเคยครอบครองได้ถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระไปแล้ว มันเหลือเชื่อเกินกว่าจะเข้าใจได้
เขาพยายามคิดถึงเรื่องดาบแห่งโชคชะตา เขาคิดถึงระยะทางอันแสนไกลที่จะได้มันมา หากเดินทางจากอาณาจักรวงแหวนและตอนนี้มันได้กลับมาที่นี่และเมื่อมีมันแล้วโล่พลังงานก็กลับคืนมาอีกครั้ง มันหมายถึงเขาก็จะถูกจำกัดให้อยู่ตรงนี้กับกำลังพลที่มี ถ้าเขาจะออกไป แล้วมันแน่นอนว่า เขาก็จะต้องการการสนับสนุนที่มากขึ้นจากด้านในนี้ เขาคาดว่าเขาจะยังคงมีกองกำลังครึ่งล้านอยู่ที่นี่ อยู่อีกฝั่งหนึ่งของที่ราบสูงไฮแลนด์ที่มีมากเกินกว่าพวกแม็คกิล แต่หากปะทะกับธอร์ที่มีดาบแห่งโชคชะตาและมังกร ไม่ว่าจะมีจำนวนมากเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญ ตอนนี้โอกาสที่จะเป็นไปได้อย่างน่าขันคือ การเข้าปะทะกับตัวเขา ครั้งหนึ่งเขาก็เคยอยู่ในตำแหน่งแบบนี้มาก่อน ราวกับว่าสิ่งต่างๆไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่แย่ลงเท่านั้น พวกสอดแนมก็ส่งข่าวกลับมาหาเขาอย่างไม่เคยหยุดพักว่าที่บ้านเกิด ที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ โรมูลัสได้ลักลอบเข้า ไปชิงบัลลังก์มาจากเขา
แอนโดรนิคัสร้องคำรามไปด้วยความโกรธแขนเดือดดาล เมื่อเขาย่ำกระหน่ำไปทั่วทั้งค่าย พิจารณาโต้แย้งถึงทางเลือกที่เขามี มองหาใครบางคน ใครสักคนที่จะตำหนิ เขารู้ว่า ในฐานะผู้บังคับบัญชาสิ่งที่ฉลาดที่สุดกับยุทธวิธีน่าจะเป็นคือ การยอมแพ้และออกจากอาณาจักรวงแหวนในตอนนี้ ก่อนที่ธอร์และมังกรจะมาพบเขา เขาควรจะกอบกู้สิ่งที่เขามี กองกำลังที่เขายังเหลืออยู่พากันขึ้นเรือและ ออกเรือแล่นกลับไปสู่อาณาจักรจักรวรรดิ ไปพร้อมความอัปยศที่จะรักษาบัลลังก์ของเขาไว้ อย่างไรก็ตาม อาณาจักรวงแหวนเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆเมื่อเทียบกับ ความใหญ่โตของอาณาจักรจักรวรรดิและผู้นำอันยิ่งใหญ่ทุกคนก็เคยพ่ายแพ้มาอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เขาก็ยังคงปกครองโลกนี้ถึงร้อยละเก้าสิบเก้า เขารู้ว่าเขาควรจะเพียงพอใจแล้วกับเรื่องนั้น
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ขวางทางแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่ แอนโดรนิคัสไม่ใช่คนที่จะระมัดระวังหรือพึงพอใจเขาทำตามความต้องการกิเลสในตัวเองและถึงรู้ว่ามัน จะเป็นการเสี่ยง เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะออกจากที่นี่และยอมรับความพ่ายแพ้ยอมให้อาณาจักรวงแหวนหลุดไปจากเงื้อมมือของเขาได้ ถึงแม้ว่าเขาจะต้องเสียทั้งกองทัพแห่งจักรวรรดิไป เขาก็จะหาหนทางที่จะบดขยี้และเข้าครอบงำที่แห่งนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะ ต้องทำอย่างไรก็ตาม
แอนโดรนิคัสไม่สามารถจะควบคุมมังกรหรือดาบแห่งโชคชะตาได้แต่ เขาควบคุมธอร์กรินได้มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต่างไป เขาคือลูกชาย
แอนโดรนิคัสหยุดและถอนหายใจกับความคิดนั้น ช่างเป็นเรื่องน่าขัน ลูกชายแท้ๆ ของเขาคืออุปสรรคอย่างสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่กับการครอบงำโลกใบนี้ บางครั้งมันเป็นเหมือนความเหมาะสม มันเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้และก็เหมือนกับทุกครั้งเขารู้ ว่า คนที่ใกล้ชิดมากที่สุดจะนำความเจ็บปวดมาให้มากที่สุด
เขาย้อนรำลึกไปถึงคำพยากรณ์ที่มันเป็นความผิดพลาดที่ปล่อยให้ลูกชายมีชีวิตอยู่มันเป็นความผิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเขาอยู่ในตำแหน่งที่อ่อนแอถึงแม้ว่าเขารู้ว่าคำพยากรณ์ที่ประกาศมาอาจจะนำมาสู่ความตายของตัวเอง แต่เขาก็ยังปล่อยให้ธอร์มีชีวิตอยู่และตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานกับบทเรียนนี้
แอนโดรนิคัสยังเดินย่ำเท้าต่อไปในค่ายทหารเดินไปพร้อมกับนายพลที่สุดท้ายเขาก็มาถึงรอบนอกและมาถึงค่ายพักที่มีขนาดเล็กกว่าที่อื่น มันเป็น กระโจมสีเลือดหมูเด่นอยู่บนที่อยู่ในสีดำและทอง มีเพียงบุคคลเดียวที่จะกล้ามีเต็นที่สีต่างออกไปมีอยู่คนเดียวที่พวกทหารเหล่านี้เกรงกลัว
นั่นคือ ราฟี
พ่อมดส่วนตัวของแอนโดรนิคัสสัตว์ประหลาดที่นำมาซึ่งลางร้ายอันถึงที่สุดที่เขาเคยได้เขาสัมผัสราฟี่เป็นที่ปรึกษาของแอนโดรนิคัสในทุกอย่างก้าวที่เขาไป เขาได้ปกป้อง แอนโดรนิคัสจากพลังงานที่มุ่งร้ายและรับผิดชอบต่อการที่เขายกระดับขึ้นมากกว่าใครทั้งหมดแอนโดรนิคัสเกลียดที่จะต้องมาหา เขาอีกในตอนนี้เพื่อยอมรับว่าต้องการตัวเขาและเมื่อเวลาที่เขาต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ไม่ใช่ในโลก เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับเวทมนตร์มันเป็นเรื่องที่เขาต้องมาหาราฟีเสมอๆ
เมื่อแอนโดรนิคัสเข้าไกลกับที่พักของเขาตัวประหลาดอาบมนุษย์สองตัวที่ยาวและผอมแห้งที่ซอนอยู่ด้านหลังเสื้อ Chrome สีเลือดหมูพร้อมกับเพลงดวงตาสีเหลืองเรืองรองออกมาจาก ด้านหลังของผ้าคลุมหัวมองจองกลับมามันเป็นสัตว์เพียงอย่างเดียวที่อยู่ในที่พักที่กล้าที่จะไม่ก้มหัวให้เขา เวลาที่เขาปรากฏตัว
"ข้าเรียกหาราฟี" แอนโดรนิคัสประกาศ
เจ้าสัตว์ประหลาดสองตัวเอื้อมมือไปที่ดึงที่ปิดของเต้นท์โดยไม่ได้หันตัวไป
เมื่อนั้นเองกลิ่นที่น่าสยองขวัญก็ออกมาสู่แอนโดรนิคัสและทำให้เขาหดตัวถอยหลังกลับ
มันเป็นการรอคอยที่ยาวนาน นายพลทั้งหมดหยุดยืนอยู่ด้านหลังแอนโดรนิคัสและมองดูอย่างใจจดใจจ่อคนที่ทั้งค่ายทุกคนตั้งใจจะมาพบ ทั้งค่ายพักก็อยู่ในความเงียบสงบ
ในที่สุด ก็มีร่างออกมาจากเต็นท์สีเลือดหมู ปรากฏเป็นสัตว์ประหลาดร่างสูงยาว ซึ่งสูงกว่าแอนโดรนิคัสถึงสองเท่าทและผอมยาวเหมือนกิ่งไม้ของต้นโอลีฟ แต่งตัวอยู่ในสีเสื้อคลุมสีเลือดหมูที่เข้มที่สุด ด้วยใบหน้าที่มองไม่เห็นแอบซ่อนอยู่ในบางที่ในความมืดมิดใต้หมวกคลุม
ราฟียืนอยู่ตรงนั้นแล้วจ้องกลับมา แอนโดรนิคัสสามารถจะเห็นเพียงดวงตาสีเหลืองที่ไม่กระพริบ จ้องมา ดวงตาที่มันฝังลึกลงไปกับผิวสีซีดเผือดของเขา
ความเงียบอย่างตึงเครียดเข้ามาปกคลุมในที่สุดแอนโดรนิคัส ก็ก้าวมาข้างหน้า
"ข้าอยากให้ธอร์กรินตาย" แอนโดรนิคัสกล่าวหลังจากความเงียบงานเป็นเวลานาน ราฟี หัวเราะเบาๆเบาๆมันเป็นเสียงที่ เลิกแล้วชวนให้หัวเสีย
"พ่อกับลูกชาย" เขากล่าว "ช่างเหมือนกันในทุกครา"
แอนโดรนิคัสรู้สึกถูกเผาไม่อยู่ข้างในและหมดความอดทน
"เจ้าจะช่วยข้าไหม?" เขาย้ำถาม
ราฟียืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงันเป็นเวลานาน มันนานพอที่แอนโดรนิคัสกำลังคิดจะฆ่าเขาแต่เขารู้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล่นๆ ครั้งหนึ่งตอนที่โมโหร้ายแอนโดรนิคัสได้พยายามจะแทงเขาอย่างหุนหัน แต่ดาบของเขาก็ละลายอยู่ในมือเขากลางอากาศดำของมันเผาไม่มือของเขาไปด้วยมันใช้เวลาอยู่หลายเดือนที่จะทำให้เขาหายจากอาการเจ็บปวด
ดังนั้นแอนโดรนิคัสจึงยืนยืนอยู่ตรงนั้นกัดฟันและอดทนรออยู่ในความเงียบ
ในที่สุด ภายใต้ผ้าคลุมศีรษะนั้น ราฟีก็พูดพึมพำออกมา
"พลังงานที่อยู่รอบตัวเด็กนั่นช่างแข็งแกร่งมาก" ราฟีกล่าวอย่างช้าๆ "แต่ทุกคนก็มีจุดอ่อน เขาถูกยกระดับขึ้นมาด้วยเวทมนตร์ และก็จะถูกลดลงมาได้ ด้วยเวทมนตร์เช่นกัน"
แอนโดรนิคัสรู้สึกสนใจและก้าวเข้ามาข้างหน้า
"เวทมนตร์อะไรกัน? ที่ท่านพูดถึง"
ราฟีหยุดชั่วขณะ
"เป็นในแบบฉบับที่เจ้าไม่เคยพบมาก่อน" เขากล่าว "เป็นในแบบที่สงวนไว้เพียงเพื่อคนอย่างธอร์เท่านั้น นี่คือปัญหาของเจ้า แต่ว่าเขามีมากกว่านั้นอีก เขามีพละกำลังมากกว่าเจ้า แล้วเขามีชีวิตอยู่เพื่อจะรอวันนั้น"
แอนโดรนิคัสโกรธอย่าหัวเสีย
"บอกข้าเรื่องวิธีที่จะจับเขามา" เขาสั่งการ
ราฟี่ส่ายหัวของเขา
"นั้นเป็นจุดอ่อนของท่านเสมอมา" เขากล่าว "ท่านเลือกที่จะจับตัวเขา ไม่ได้ฆ่าเขา"
"ข้าต้องจับตัวเขาก่อน" แอนโดรนิคัสโต้แย้ง "จากนั้นจึงฆ่าเขาซะ มันมีวิธีหรือไม่?
ความเงียบงำอีกระลอกตามมา
"มันมีวิธีที่จะดึงพละกำลังของเขา ใช่" ราฟีกล่าว "เมื่อดาบอันล้ำค่าหลุดมือไป เมื่อมังกรหลุดเขาไป เขาก็จะเป็นเพียงแค่เด็กชายเฉกเช่นคนอื่นๆ"
"บอกวิธีข้ามา" แอนโดรนิคัสออกคำสั่ง
มันเป็นความเงียบงันอีกยาวนาน
"ราคาของมันคือ อะไรล่ะ?" ราฟีตอบมาในที่สุด
"อะไรก็ได้" แอนโดรนิคัสตอบ "ข้าให้อะไรเจ้าก็ได้"
แล้วเสียงหัวเราะอันชั่วช้าก็ดังขึ้นเป็นเวลานาน
"ข้าคิดว่าวันหนึ่งท่านจะต้องเสียใจเรื่องนั้น" ราฟีตอบ
"เสียใจอย่างมาก มากเลยทีเดียว"
บทที่ สิบ
ขณะที่โรมูลัสเดินอย่างพิถีพิถัน ตามถนนที่ทำจากอิฐทองคำมุ่งหน้าสู่เมืองโวลูเซียซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรจักรวรรดิ ทหารแต่งตัวในชุดที่ดีที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่ โรมูลัสเดินอยู่ด้านหน้าของทหารซึ่งดูผิดหวังและแพ้พ่ายจากการต่อสู้กับมังกร ทหารซึ่งมีจำนวนลดลงเหลืออยู่ไม่กี่ร้อยนาย
โรมูลัสรู้สึกเดือดพล่าน มันเป็นการเดินของความอัปยศ ทั้งชีวิตเขาเคยกลับมาพร้อมกับชัยชนะที่เดินแห่ไปอย่างวีรบุรุษ ตอนนี้เขาเดินกลับมาอย่างเงียบงันในสภาพที่ต้องอับอาย เขานำพาทหารที่รับความพ่ายแพ้ล้มเหลวกลับมา แทนที่จะเป็นของรางวัลและนักโทษที่ถูกจับกุม
มันเหมือนไฟรุมเผาอยู่ข้างใน มันเป็นเรื่องขาดเขลาที่เขาต้องเดินทางไกล เพื่อไล่ตามดาบ เพื่อเผชิญหน้ากับมังกร อัตตาของเขาได้นำพาเขาไป เขาน่าจะรู้ตัวดีกว่านี้ เขาช่างโชคดีที่หนีมันมาได้ ทั้งหมดนี่ไม่ใช่ทหารทุกคนจะไม่ได้รับบาดเจ็บ เขายังคงได้ยินเสียงทหารร้องโอดโอยและได้กลิ่นเนื้อที่ไหม้เกรียมอยู่
ทหารของเขาเป็นพวกที่มีระเบียบวินัยและต่อสู้อย่างกล้าหาญหรือที่พากันเดินหน้าไปสู่ความตายภายใต้คำสั่งของเขา หลังจากทหารหลายพันนายที่ หดหายไปต่อหน้าต่อตา จนเหลือเพียงแค่ไม่กี่ร้อย เขารู้ดีเมื่อถึงเวลาต้องหนีทเขาออกคำสั่งให้ล่าถอยอย่างเร่งด่วนและกำลังที่เหลือนี้ก็ไถลลื่นลงไปสู่อุโมงค์ที่เหมือนเป็นตู้นิรภัย มันกำบังพวกเขาจากเปลวเพลิงของมังกร พวกเขาซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน แล้วจึงเดินทางกลับมาจนถึงเมืองหลวงโดยการเดินเท้า
ในตอนนี้พวกเขาก็เดินผ่านประตูเมืองที่อยู่สูงขึ้นไปร้อยฟุตสู่ฟากฟ้าขณะที่เดินเข้ามาในเมืองแห่งตำนานเมืองนี้ที่ประดิษฐ์มาจากทองคำ ทหารจักรวรรดิที่เดินอยู่ทั่วทุกทิศทางก็กลับมายืนตัวอย่างเป็นระเบียบยืนยาวไปตามสนาม ยืนอย่างตั้งใจ เมื่อเขาผ่านสวนสนาม อย่างไรก็ดี เมื่อแอนโดรนิคัสได้จากไปแล้ว โรมูลัสก็คือผู้นำอันแท้จริงของอาณาจักรจักรวรรดิและเป็นผู้ที่นักรบต่างให้ความเคารพมากที่สุด จนกระทั่งความพ่ายแพ้ของเขาในวันนี้ ในตอนนี้ หลังจากที่ต้องปราชัย เขาไม่รู้ว่าผู้คนจะมองเขาเป็นอย่างไร
ความพ่ายแพ้นั้นยังไม่ได้เป็นเวลาที่แย่ที่สุด มันเป็นชั่วขณะที่โรมูลัสกำลังพยายามก่อร่างรัฐประหารเตรียมตัวที่จะฉกฉวยอำนาจและขับไล่แอนโดรนิคัสออกไป ขณะที่เขาผ่านไปทั้งเมืองที่พิถีพิถันนี้อย่างเจ็บปวด ผ่านน้ำพุ ผ่านทางเดินไปยังสวนที่ปูทางไว้อย่างวิจิตรมีทหารรับใช้และข้าทาสอยู่ทั่วทุกที่ เขาประหลาดใจที่กลับมาในสภาพแบบนี้ เขาเคยจินตนาการเอาไว้ว่า จะกลับมาพร้อมกับดาบแห่งโชคชะตาในมือ จะมีพลังอำนาจมากกว่าที่เคย แต่เขากลับต้องหวนคืนมาในฐานะคนไร้สมรรถภาพ ตอนนี้แทนที่เขาจะอ้างถึงอำนาจและสิทธิชอบธรรมของเขา เขากลับต้องมาขอโทษต่อหน้าสภา แล้วหวังว่าจะไม่สูญเสียตำแหน่งของเขาไป
ณ ที่ประชุมสภาอันสูงสุด ความคิดที่บิดเบี้ยวอยู่ด้านในใจของโรมูลัสยังคงอยู่ เขาไม่ใช่คนที่จะต้องขึ้นอยู่กับใครทั้งสิ้น พวกที่อยู่ในสภาเป็นเพียงประชาชนที่ไม่เคยแม่แต่จะจับดาบมาก่อน แต่ละคนมาจากสิบสองจังหวัดที่อยู่ในอาณาจักรจักรวรรดิที่ส่งตัวแทนแต่ละที่มาสองคน รวมเป็นผู้นำรวมสองโหลจากทั่วทุกมุมของอาณาจักร แต่ทางทฤษฎีแล้ว พวกเขาเป็นผู้ปกครองจักรวรรดิ แต่ในความจริงแล้ว แอนโดรนิคัสเป็นผู้ปกครองและ สภาก็ทำตามคำสั่งของเขา
แต่เมื่อเวลาที่แอนโดรนิคัสได้จากไปสู่อาณาจักรวงแหวนเขาได้ให้อำนาจของสภามากกว่าที่เคย โรมูลัสคาดว่าที่แอนโดรนิคัสกระทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันตัวเขาเองและทำให้โรมูลัสถูกตรวจสอบ เพื่อให้แน่ใจว่าบัลลังก์จะคงอยู่ เมื่อเขาหวนคืนมา พวกสมาชิกของสภาเคลื่อนตัวอย่างกล้าหาญเข้ามาในสภา พวกเขาแสดงท่าทางราวกับว่าพวกเขามีอำนาจเหนือโรมูลัส โรมูลัสต้องกระทำตามเช่นนั้น ในตอนนี้ที่เขาต้องทนทุกข์กับการเสียเกียรติและต้องตอบคำถามกับประชาชนพวกนี้ พวกเขาก็เป็นคนที่ถูกเลือกมาจากเพื่อนสนิทของแอนโดรนิคัส ประชาชนที่แอนโดรนิคัสได้ไปปกป้อง เพื่อให้มั่นใจว่าบัลลังก์ของเขาจะไม่สูญไป พวกสภาพยามตามหาเหตุผลที่มีน้ำหนักให้แอนโดรนิคัสและทำให้การคุกคามใดๆ ต่อเขานั้นอ่อนลงโดยเฉพาะกับโรมูลัส และการพ่ายแพ้ของเขาก็ทำให้มันดูเป็นโอกาสที่สมบูรณ์แบบ
โรมูลัสเดินมาตามทางไปสู่อาคารรัฐสภาที่เปล่งปลั่งใหญ่โต มันมีสีดำมันซึ่งเป็นตึกรูปวงกลมที่สูงเสียดฟ้า มันล้อมรอบไปด้วยเสาสีทองและมีด้านบนเป็นหลังคาโดมสีทองสุกสว่าง มันมีผืนธงของจักรวรรดิปลิวไสว พร้อมกับมีประตูที่ฝังสัญลักษณ์ของสิงโตทองคาบอินทรีย์ในปาก
ขณะที่โรมูลัสกำลังขึ้นบันไดทองคำนับร้อยขั้น ทหารของเขาก็ยืนรออยู่ที่ลานกว้าง เขาเดินมาเพียงลำพัง เดินไปทีละสามขั้น ไปยังประตูของอาคารรัฐสภา อาวุธของเขาส่งเสียงกระทบดังเข้ากับชุดเกราะในขณะที่เขาเดินไป
ประตูขนาดใหญ่ด้านบนที่สุดของขั้นบันไดนั้นจะต้องใช้มหาดเล็กถึงหนึ่งโหลในการเปิดมัน ประตู สูงขึ้นไปห้าสิบฟุตมันทำจากทองคำเปล่งปลั่งและประดับไปด้วยเม็ดดุมสีดำทั่วทั้งหมดแต่ลาโดมก็จะสลักสัญลักษณ์นูนของจักรวรรดิพวกเขา เปิดประตูไปตลอดทางแล้วอร่อก็รู้สึกถึงกระแสลมที่ตัดผ่านมาอย่างเยือกเย็นมันทำให้ ขนของเขาลุกขึ้นฉันบนผิวขณะที่เขาเดินเข้าไปด้านนายที่มืดสลัวประตูขนาดใหญ่ก็ปิดลงอยู่ด้านหลังและเขารู้สึกราวกับว่าเขาเข้ามาในอาคารนี้เพื่อถูกฝังลงยังสุสาน
โรมูลัสเดินอย่างวางมาดข้ามผ่านไปทั้งห้องบนพื้นหินอ่อน เสียงรองเท้าบู้ทสะท้อนขึ้นมา เขากัดกรามแน่น เขาต้องการที่จะทำให้การประชุมนี้เสร็จสิ้นเสียที เพื่อจะได้ไปทำสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า เขาเคยได้ยินเรื่องลือเกี่ยวกับอาวุธที่มหัศจรรย์ ก่อนที่จะเข้ามาในนี้ เขาต้องการรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถ้ามันจริงมันก็จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง มันก็จะทำให้อำนาจถูกเปลี่ยนข้าง ถ้ามันมีอยู่จริงๆ แล้วละก็ คนของแอนโดรนิคัสทั้งหมดในสภานี่ ก็จะไม่มีความหมายอะไรสำหรับเขาอีก จริงๆ แล้วในที่สุด อาณาจักรจักรวรรดิทั้งหมดก็จะต้องตกเป็นของเขา เมื่อคิดถึงอาวุธชิ้นนั้น มันทำให้โรมูลัสรู้สึกมั่นใจและเชื่อมั่น ในขณะเขาก้าวเดินขึ้นบันไดไปอีกหนึ่งชุด ไปถึงประตูที่สูงใหญ่อีกชั้นและในที่สุด เขาก็เข้ามาถึงในห้องประชุมสภาอันสูงสุด
ข้างในห้องโถงใหญ่เป็นสีดำ มีโต๊ะรูปวงกลมที่ว่างเปล่าตรงจุดศูนย์กลาง มีทางผ่านแคบๆ สำหรับให้ผ่านเข้าไปได้ทีละคน ผู้ที่นั่งอยู่รอบโต๊ะ คือสภาที่ปรึกษาที่มีอยู่ด้วยกันยี่สิบสี่คน พวกเขาสวมใส่เสื้อคลุมสีดำนั่งกันอย่างหน้านิ่วเคร่งขรึม เป็นพวกผู้ชายแก่ๆ ที่มีเขาสีเทาและตาสีเลือดหมูที่เหมือนเป็นสีแดงซึมออกมา เพราะอายุที่แก่ชรา มันเหมือนเป็นการหมิ่นเกียรติที่โรมูลัสต้องมาเผชิญหน้ากับพวกเขาต้องเดินผ่านทางแคบๆเพื่อเข้าไปถึง. ศูนย์กลางของโต๊ะและถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนที่เขาต้องรายงาน มันรู้สึกขายหน้าที่ต้องถูกบังคับให้หันไปรายงานกับพวกเขา ทั้งห้องนี้ทั้งโต๊ะตัวนี้ มันก็คือกลยุทธ์การข่มขู่ของแอนโดรนิคัสอีกอันหนึ่งที่ใช้กับเขา
โรมูลัสยืนอยู่ณจุดศูนย์กลางของห้องในความเงียบ เขาไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานเท่าไหร่ที่เขาต้องถูกเผาอยู่ตรงนี้ เขารู้สึกถูกกระตุ้นให้เดินออกไป แต่เขาต้องหยุดตัวเองไว้
"โรมูลัสแห่งกองอ็อกทากิ้น" หนึ่งในสภาที่ปรึกษากล่าวอย่างเป็นทางการ
โรมูลัสหันไปเห็นที่ปรึกษาเป็นชายแก่ มีร่างผอม มีแก้มกลวงโบ๋และผมสีเทาที่มองเขากลับมาด้วยสายตาสีเลือดหมู ผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของแอนโดรนิคัส แล้วโรมูลัสรู้ว่าตัวเขาจะต้องพูดอะไรที่เป็นที่ชื่นชอบของแอนโดรนิคัส
ชายแก่กระแอมลำคอ
"เจ้ากลับมาจากเมืองโวลูเซียด้วยความแพ้พ่ายอย่างน่าอดสู เจ้ากล้าหาญมากที่มาถึงยังที่นี่"
"เจ้ากลายเป็นผู้บังคับบัญชาที่สะเพร่าและทำอะไรอย่างเร่งเร้า"
โรมูลัสหันไปเห็นสายตาที่ดูถูกดูหมิ่นจ้องกลับมาจากอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะวงกลม
"เจ้าสูญเสียกำลังคนไปหลายพัน จากการตามหาดาบที่ไร้ประโยชน์ ในการเผชิญหน้าอย่างสะเพร่ากับมังกร เจ้าได้ทำให้แอนโดรนิคัสและทั้งจักรวรรดิต้องผิดหวัง เจ้ามีอะไรจะพูดเกี่ยวกับตัวเองหรือไม่?"
โรมูลัสมองจ้องกลับไปอย่างท้าทาย
"ข้าไม่มีอะไรจะขอโทษ" เขากล่าวมา "การนำดาบกลับคืนมาเป็นสิ่งที่สำคัญของจักรวรรดิ"
ชายแก่อีกคนนึงเอนตัวมาข้างหน้า
"แต่เจ้า กอบกู้มันคืนมาไม่ได้ ใช่หรือไม่?"
โรมูลัสหน้าแดงขึ้นมา เขาอยากจะฆ่าผู้ชายคนนี้ถ้าเขาทำได้
"ข้าเกือบจะทำได้แล้ว" เขาตอบกลับมาในที่สุด
"เกือบจะทำได้ มันไม่ได้ มีความหมายอะไรเลย"
"พวกเราต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่ไม่คาดคิด"
"มังกร งั้นหรือ?" สมาชิกในสภาท่านหนึ่งให้ข้อสังเกต
โรมูลัสหันไปมองหน้าเขา
"เจ้าช่างบ้าระห่ำอะไรเช่นนี้?" สมาชิกในสภาอีกท่านหนึ่งกล่าว "เจ้าคิดว่าเจ้าจะชนะอย่างงั้นหรือ?"
โรมูลัสกระแอมลำคอขึ้น เมื่อความโกรธพุ่งสูงขึ้นมา
"ข้าไม่ได้หวัง จุดมุ่งหมายของข้าไม่ได้ต้องการจะฆ่ามังกร แต่เพื่อจะนำดาบกลับคืนมา"
"แต่ขอพูดอีกครั้ง เจ้าทำไม่ได้"
"ที่แย่ไปกว่านั้น" สมาชิกอีกท่านหนึ่งกล่าว "เจ้าได้ปล่อยมังกรให้มาปะทะกับเรา ได้มีรายงานถึงการโจมตีจากมังกรเกิดขึ้นอยู่ทั่วจักรวรรดิ เจ้าได้เริ่มสงครามที่เราเอาชนะไม่ได้ มันเป็นความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ"
โรมูลัสหยุดความพยายามที่จะโต้ตอบ เขารู้ว่ามันก็จะนำไปสู่ข้อกล่าวหาและการแย้งกลับมา อย่างไรก็ดี พวกนี้คือคนของแอนโดรนิคัสและพวกเขาก็มีระเบียบวาระของตัวเอง
“มันน่าเสียดายที่ท่านแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย เพื่อจะลงโทษแก่เจ้า” หนึ่งในคณะกรรมการสภากล่าว “ข้ามั่นใจว่า เขาจะไม่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่อีกต่อไป” เขากระแอมลำคอและนั่งพิงไปด้านหลัง “แต่ในเมื่อเขาไม่อยู่ เราจะต้องรอคอยการกลับมาของเขา ตอนนี้เจ้าก็จะควบคุมกองทัพที่ส่งกองเรือออกไปสนับสนุนท่านแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรวงแหวน เจ้าจะถูกลดขั้นลง ถูกถอดยศและถอดอาวุธออก ให้เจ้าอยู่ในที่พักและรอคอยคำสั่งอื่นๆจากพวกเรา”
โรมูลัสจ้องกลับไปโดยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“จงดีใจที่เราไม่ได้ประหารเจ้าในที่นี้ ตอนนี้ไปได้แล้ว” หนึ่งในสมาชิกสภากล่าวขึ้น
โรมูลัสกำหมัดของเขาใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง เขามองลงไปยังใบหน้าของคณะกรรมการแต่ละคน เขาปฏิญาณว่าจากฆ่าสังหารพวกนี้ ทีละคนจนครบทุกคน แต่เขาบังคับตัวเองให้หลีกเลี่ยง บอกตัวเองว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เขาจะต้องได้รับความพอใจจากการฆ่าพวกเขาทั้งหมดแน่นอน แต่มันก็จะไม่ได้ทำให้เขาสำเร็จตามเป้าประสงค์
โรมูลัสหันหลังกลับและเดินย่ำกระหน่ำออกไปจากห้อง เสียงรองเท้าบู้ทดังสะท้อน เขาเดินไปผ่านประตูที่มหาดเล็กเปิดมันให้เขาและปิดมันดังลั่นอยู่ด้านหลัง
โรมูลัสเดินออกมาจากอาคารรัฐสภา เดินลงไปยังขั้นบันไดทองทำ แล้วไปยังกลุ่มทหารที่รอคอยเขาอยู่ เขาออกคำสั่งกับนายทหารยศรองลงมา
"นายท่าน" นายพลกล่าวขณะก้มหัวลง "คำสั่งของท่านคืออะไร?"
โรมูลัสจ้องกลับไปขณะที่กำลังคิด จริงอยู่ที่เขาไม่สมควรจะกระทำตามคำสั่งของคณะกรรมการสภา ในทางกลับกัน ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่จะคัดค้านฝ่าฝืนคำสั่ง
"มันคือคำสั่งของคณะสภาที่สั่งให้เรือรบจักรวรรดิที่อยู่ในน่านน้ำกลับมายังชายฝั่งของเราเดี๋ยวนี้"
สายตาของเหล่านายพลต่างเบิกกว้าง
"แต่นายท่าน นั่นจะเป็นการทำให้แอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่ ถูกทิ้งไว้ในอาณาจักรวงแหวนและก็จะไม่มีทางกลับมายังบ้านเกิดได้"
โรมูลัสหันไปมองจ้องพวกเขาด้วยสายตาเย็นช้า
“อย่าตั้งคำถามกับข้า” เขาตอบมาในเสียงที่แข็งกระด้าง
นายพลก้มหัวของเขาลงได้
"ครับ นายท่าน ให้อภัยข้าด้วย" นายพลหันไปแล้วรีบเร่ง โรมูลัสรู้ดีว่าเขาควรจะกระทำตามคำสั่ง เขาเป็นทหารที่มีความจงรักภักดี
โรมูลัสยิ้มอยู่ภายในใจพวกกรรมการโง่เง่านั่นคิดว่าเขาจะ ทำตามพวกเขาจะยึดถือคำสั่งของพวกเขา พวกเขาประเมินตัวเขาต่ำไปอย่างมากจากนี้ไปพวกเขาจะไม่มีใครมาบังคับรถคันตำแหน่งของเขาได้จน กว่าที่พวกนั้นจะรู้ตัวโรมูลัสก็จะมีอำนาจแล้วก็จะ ออกคำสั่งเพื่อป้องกันให้พวกเขาเหล่านั้นมีอำนาจเหนือตัวเขาเองแอนโดรนิคัสป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่โรมูลัสนั้นยิ่งใหญ่กว่า
ชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านนอกของร้านสาธารณะใส่ชุดคลุมสีเขียวยาวสองแสงเรืองรอง เขาปิดผ้าคลุมหัวลงมา เปิดเผยเพียงใบหน้าสีเหลืองแบนๆ และกว้างพร้อมกับดวงตาสี่ดวง ผู้ชายคนนี้ มีมือที่ซูบผอมและยาวนิ้วของเขายาวเท่ากับแขนของโรมูลัสและยืนอยู่ตรงนั้นอย่างอดทน เขาคือวอกเกเบิ้ล เขาไม่ชอบจะมาพัวพันกับพวกเชื้อสายนี้แต่ใน บางสถานการณ์ อย่างวันนี้ เขาจำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวด้วย
โรมูลัสเดินไปยังจุดนั่น เขารู้สึกขยะแขยง แม้อยู่ในระยะห่างไปหลายฟุต เจ้าสัตว์นั่นมองกลับมาด้วยตาทั้งสี่ มันเอื้อมมือมาด้วยนิ้วอันยาวของมัน สัมผัสเข้ากับแผ่นอกของเขา โรมูลัสหยุดอยู่อย่างเย็นยะเยือกในสัมผัสของนิ้วที่เต็มไปด้วยเมือกนั่น
"เราได้พบสิ่งที่ท่านให้เราตามหาแล้ว" เจ้าสัตว์นั่นกล่าว เจ้าวอกเกเบิ้ลทำเสียงโกรกกรากอย่างประหลาดอยู่ข้างในลำคอ "แต่มันจะมีราคาแพงอย่างหามิได้"
"ข้าจ่ายให้เจ้าเป็นอะไรก็ได้" โรมูลัสกล่าว
เจ้าสัตว์ประหลาดหยุดชะงักเพียงครู่ ก่อนที่จะตัดสินใจ
"ท่านจะต้องมาเพียงลำพัง"
โรมูลัสครุ่นคิด
"แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้โกหก?" โรมูลัสถาม
เจ้าสัตว์ประหลาดชะโงกเข้ามาใกล้ มันใกล้ที่สุดและส่งยิ้มมา โรมูลัสหวังว่ามันไม่ได้ทำเช่นนั้น มันทำให้เขาเห็นฟันซี่เล็กแหลม นับร้อยๆซี่ในกรามสี่เหลี่ยมผืนผ้าของมัน
"ท่านไม่รู้หรอก" มันตอบ
โรมูลัสมองเข้าไปในดวงตาทั้งหมดของมัน เขารู้ดีว่าเขาไม่ควรเจ้าไว้ใจเจ้าสัตว์นี่ แต่เขาต้องลองดู รางวัลที่ได้มามันสูงค่าเกินกว่าจะเพิกเฉย มันเป็นรางวัลที่โรมูลัสได้ตามหามาทั้งชีวิต อาวุธที่มีอยู่ในตำนาน ตำนานได้เล่าขานเอาไว้ว่า มันจะทำให้โล่พลังงานลดต่ำลงและทำให้เขาข้ามไปยังหุบเขาใหญ่ได้
เจ้าสัตว์ประหลาดหันหลังและเริ่มเดินออกไป โรมูลัสยืนอยู่ตรงนั้น เฝ้ามองมันอยู่
จนท้ายที่สุด เขาก็ตามมันไป
Ücretsiz ön izlemeyi tamamladınız.